ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC SJ:KIHAE] :: Bad Romance แผนรักร้ายมัดหัวใจนายตัวแสบ

    ลำดับตอนที่ #7 : Bad Thing No.5: สภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.31K
      2
      5 ก.ย. 53

     






    "ยูกึนนี่น่ารักจริงๆเลยน้าา โอ๊ะ!...นั่นมาพอดีเลย...คุณฮันคยองครับ พายูกึนไปเล่นที่สนามเด็กเล่นหน่อยได้มั้ยครับ ผมต้องดูร้านน่ะ"

    คนที่เพิ่งก้าวเข้ามาในร้านหลังจากออกไปทำธุระแต่เช้าชะงักไปนิดเมื่อโดนเอ่ยทัก ก่อนเขาจะจำต้องพยักหน้ารับคำอย่างช่วยไม่ได้เมื่อสองพ่อลูกต่างพากันหันมามองเขาตาแป๋วราวกับเขาเป็นคนกลางในการตัดสินเรื่องนี้...และเขาก็เป็นคนกลางในการตัดสินใจทุกอย่างของสองพ่อลูกคู่นี้ประจำนั่นล่ะ

     

    "เอาสิ"

    เมื่อได้รับคำตกลงเป็นคำพูดอันเชื่อถือได้ ยูกึนคนดีก็ยิ้มร่าออกมา ในขณะที่คุณพ่อได้แต่ทำหน้าเบ้อย่างหมั่นไส้พร้อมกับฉวยโอกาสฟัดแก้มนิ่มของเจ้าเด็กที่แปรพักตร์เร็วเหลือเกินไปหนักๆหนึ่งที

     

    "ยิ้มแป้นเชียวนะเจ้าตัวแสบ"

     

    "ก็ยูกึนดีใจนี่นา"

     

    "ดีใจก็รีบไปอาบน้ำซะก่อนที่อาฮันจะเปลี่ยนใจนะครับคนเก่ง"

     

    "อาบกับอาฮันนะ"

    ขออนุญาตคุณพ่อเสร็จ ลียูกึนเด็กเจ้าเล่ห์ก็หันไปสบตากับชายหนุ่มชาวจีน ซึ่งแน่ล่ะ...ทำตาปิ๊งๆแบบนั้น ถ้าไม่ตกลง มีหวังเขื่อนแต่แตกแต่เช้าแน่ๆ ฮันคยองถอนหายใจออกมานิดก่อนจะเอื้อมมือไปรับร่างเล็กมาอุ้มไว้แนบอกและพาเดินขึ้นไปอาบน้ำที่ชั้นสองโดยไม่เอ่ยบ่นอะไรออกมาสักคำ ยูกึนหัวเราะคิกคักพลางกอดคอของคนตัวสูงเอาไว้

               

    "วันนี้อาฮันจะไปที่ตึกนั่นอีกมั้ย"

    ช่างหน้าแปลกใจที่เด็กวัยหัดพูดอย่างลียูกึนรู้จักคำยากๆอย่างคำว่าตึก แต่ฮันคยองก็ไม่แปลกใจหรอก ก็เขานี่ล่ะเป็นคนบอกเอง แต่ถ้าคุณพ่อคนดีของเจ้าหนูนี่เค้นเข้าว่าทำไมถึงรู้เข้าล่ะก็ เขาต้องโดนโวยแน่ๆ

     

    "ไปมาแล้วตอนเช้าล่ะ"

    ชายหนุ่มว่าพลางวางร่างเล็กลงบนพื้นกระเบื้องห้องน้ำ เขาจัดการพับขากางเกงแสล็คสีดำของตนขึ้นพร้อมกับถลกแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะหันไปจัดการถอดเสื้อนอนของเจ้าหนูน้อยออกอย่างคล่องแคล่ว คุณพี่เลี้ยงตัวโตรุนหลังยูกึนเข้าไปยืนใต้ฝักบัวแล้วจึงเปิดน้ำอุ่นให้ไหลลงมา คนตัวเล็กยิ้มแป้นด้วยท่าทางอารมณ์ดีพลางขยับตัวเล่นน้ำไปตามประสา ปล่อยให้พี่เลี้ยงจำเป็นฟอกสบู่ให้เสียจนหองท้วมไปหมด

     

    "ทำหน้าอย่างนี้ ไม่เจอล่ะสิ"

     

    ทีกับเขาล่ะพูดแจ้วเชียว

     

    ที่กับคุณพ่อทำมาเป็นพูดอ้อแอ

     

    ที่กับคนแปลกหน้าทำมาเป็นไม่ช่างพูด

     

    ลียูกึนช่างเป็นเด็กที่ร้ายชะมัด!

     

    "อืม"

     

    "ไปอีกนะๆ ยูกึนชอบตึกสวยๆ ยูกึนอยากเห็นคนที่อาฮันอยากเจอ"

     

    "จะเจอไปทำไม เจอไปนายก็ไม่รู้จักอยู่ดี"

    ฮันคยองตอบกลับเสียงห้วนๆตามนิสัย แต่ยูกึนคนดีก็คงจะชินกับความหยาบกระด้างนั้นแล้วล่ะ ถึงได้ยังยิ้มกว้างอยู่อย่างนี้พร้อมกับส่ายหัวดุ๊กดิ๊กไปมาเพราะโดนพี่เลี้ยงสระผมให้

     

    "ก็อาฮันบอกว่าคนที่อยู่ในตึกสวยๆเป็นนางฟ้าง่ะ ยูกึนอยากเห็นนางฟ้านี่นา"

     

    ..............................................................

     

    "โต๊ะสอง"

    พ่อครัวบอกเจ้าของของอาหารจานนี้แก่เขาห้วนๆก่อนจะหมุนตัวเดินหายเข้าไปในครัวตามเดิม อีทึกรับอาหารจานนั้นมาก่อนจะเดินนำมันไปวางเสิร์ฟที่โต๊ะหมายเลขสองอย่างเรียบร้อยพร้อมด้วรอยยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ เขาเอ่ยถามความต้องการของลูกค้าเป็นครั้งสุดท้าย และเมื่อได้รับคำปฏิเสธกลับมา ร่างบอบบางก็ตั้งท่าจะเดินกลับไปประจำที่เค้าน์เตอร์ระหว่างครัวตามเดิม หากแต่ดวงตาแสนหวานของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ในร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามเสียก่อน

     

    เสี้ยวใบหน้าด้านข้างอันคมคายและผมสีอ่อนแบบนั้นช่างคุ้นตาและคุ้นเคย ผู้ชายคนั้นรับร่างของเด็กชายตัวเล็กๆมาจากชายหนุ่มเจ้าของร้านที่เขาคุ้นหน้าก่อนชายหนุ่มผู้เป็นเป้าสายตาของเขาจะหมุนตัวเดินออกจากร้านไป อีทึกยิ้มค้างให้กับความว่างเปล่านั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนเขาจะหัวเราะกับตัวเองเบาๆและหมุนตัวกลับไปทำงานของตนตามเดิม...ถ้าเขาทำงานแข็งแรงได้มากพอกับความเพ้อเจ้อของตัวเองก็คงจะดีสินะ

     

    "คิดถึงอีกแล้ว...แย่จัง คิดถึงอีกจนได้"

     

    ............................................................

     

    "ว้าววว...คิๆ"

    ยูกึนตื่นเต้นเสมอเมื่อเขาพามาที่นี่...คอนโดหรูสูงเสียดฟ้าที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงโซล โดยเฉพาะเวลาพาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องที่ตั้งอยู่ยังชั้นบนสุดด้วยแล้ว เจ้าเด็กน้อยจะร้องกรี๊ดๆมากเป็นพิเศษเลยล่ะเวลาอยู่ในลิฟต์แก้วน่ะ แต่ที่ชั้นล๊อบบี้ก็ไม่เว้นหรอกนะ ยูกึนจะหัวเราะคิกคักและชี้นู่นชี้นี่ให้เขาดูทุกอย่างรอบตัวทุกครั้งจนเขาคิดว่าพนักงานประชาสัมพันธ์ที่ด้านหน้าจะจำหน้าเขาได้เพราะเจ้าหนูนี่นั่นล่ะ ฮันคยองก็ไม่อยากจะพาตัวปัญหาอย่างลียูกึนมาที่นี่นักหรอก หากแต่สำหรับลียูกึน ถ้าถูกใจบางอย่างเข้าแล้ว มีครั้งแรก มันจะต้องมีครั้งที่สองครั้งที่สามครั้งที่สี่และอีกหลายๆครั้งตามมาเสมอ และแน่ล่ะ...มันเป็นความลับระหว่างพวกเขามาหลายเดือนแล้ว

     

    "อดเจอนางฟ้าเลย"

    เจ้าเด็กตัวน้อยพึมพำออกมาพลางชูไม้ชูมือขึ้นเป็นเชิงขอให้เขาอุ้มขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่เคยขัดใจอะไรเจ้าเด็กนี่ได้เลยสักครั้ง ฮันคยอย่อตัวลงอุ้มร่างเล็กขึ้นท่ามกลางสายตาเอ็นดูจากพนักงานสาวมากมายที่ทำงานอยู่ที่ชั้นล๊อบบี้ เขาเลี่ยงที่จะไม่ตอบอะไรกลับไป

     

    "ทำไมอาฮันไม่ฝากบอกไว้ล่ะ"

    ชายหนุ่มชาวจีนนิ่งไปนิดก่อนจะปัดข้อเสนอนั้นทิ้งไปด้วยการส่ายหน้าปฏิเสธ

     

    "เสียเวลา"

    ยูกึนทำปากยู่ พึมพำเป็นทำนองว่าทำแบบนี้เสียเวลากว่าอีก ก่อนเจ้าตัวจะรีบซุกหน้าเข้ากับไหล่กว้างหลบความผิดเมื่อโดนคุณอาคนดีหันมาทำตาดุใส่ ฮันคยองก้าวข้ามถนนตรงไปยังสวนสาธารณะฝั่งตรงข้าม...นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งกระมังที่ทำให้เจ้ายูกึนชอบอ้อนให้เขาพามาที่นี่เหลือเกิน ก็สนามเด็กเล่นที่นี่ใหญ่กว่าสนามเด็กเล่นแถวบ้านตั้งเยอะแบบนี้นี่

     

    "อย่าเล่นซนให้ได้แผลล่ะ"

    เขาเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงห้วนๆทิ้งท้ายก่อนจะปล่อยร่างเล็กลงกับพื้น และแน่ล่ะ...ลียูกึนจอมไฮเปอร์เห็นของเล่นดีกว่าเขาเสมอ ฮันคยองเฝ้ามองเจ้าเด็กตัวน้อยอยู่อีกชั่วครู่ก่อนจะหันกลับไปแหงนหน้ามองอาคารสูงเสียดฟ้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งพวกเขาเพิ่งเดินออกมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเฉยชา

     

    หาตัวยากขึ้นเยอะเลยนะปาร์คจองซู

     

    ...........................................................

     

    อีทึกก้าวลงมาจากรถเมล์พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ...ที่ทำงานอยู่คนละฝั่งเมืองนี่เหนื่อยจังเลยนะ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นั่นล่ะ เรียวปากยางคลี่ยิ้มออกมานิดให้กับอากาศอันร้อนระอุของกลางฤดูร้อนก่อนเขาจะเริ่มก้าวเท้าตรงกลับไปยังคอนโดของตนที่ได้มาจากเงินก้อนสุดท้ายของบัตรเครดิตของเขาก่อนที่มันจะถูกอาญัติไปโดยฝีมือของคุณพ่อ...คงเป็นสิ่งเดียวในหลายปีที่ผ่านมานี้กระมังที่เขาตัดสินใจทำบางสิ่งได้ถูกต้อง เขาถึงยังมีที่ซุกหัวนอนดีๆเป็นของตัวเองอยู่แบบนี้

     

    อีทึกตั้งใจจะไปหยิบชุดฟอร์มที่เขาลืมหยิมติดมือมาเมื่อเช้าก่อนจะต่อรถไปยังซุปเปอร์มาเก็ตที่อยู่ถัดไปอีกเกือบชั่วโมงอันเป็นที่ทำงานของงานที่สองของเขา แต่ทุกครั้งที่เขาเดินผ่านที่ด้านหน้าตึก ขาของเขาก็มันจะพาเขาแวะเข้ามาในสวนสาธาระที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนเสมอ

     

    ยังเปลี่ยนนิสัยเอ้อระเหยลอยชายแบบนี้ไม่ได้เสียที

     

    ร่างบอบบางทรุดตัวลงบนม้านั่งใต้ร่มไม้ ทอดสายตามองอย่างว่างเปล่าไปเบื้องหน้าโดยที่ริมฝีปากยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนจาง เสียงหัวเราะใสๆที่ลอยมาตามลมเรียกสายตาของเขาได้เล็กน้อย และร่างเล็กๆของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เล่นซนเสียจนเลอะเทอะไปหมดก็ทำฝห้รอยยิ้มของเขาขยับกว้างขึ้น อีทึกยกมือขึ้นโบกเป็นเชิงทักทายไปเล็กๆเมื่ออีกฝ่ายหันมาสบตากับเขาเข้า เด็กชายตัวน้อยมองหน้าเขาด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์อย่างน่าชังก่อนเจ้าตัวจะยิ้มแป้นพลางยกไม่ยกมือขึ้นมาโบกตอบเขาอย่างร่าเริงคล้ายจะเรียกให้เขาเข้าไปเล่นด้วย

     

    ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาแสนหวานและรอยยิ้มแสนอ่อนโยนลุกขึ้น ก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมือของตนนิดเพื่อดูว่ามีเวลาเหลือมากพอหรือไม้ และเมื่อเห็นว่ามันยังเหลือเวลาอีกตั้งนานกว่าที่งานจะเริ่ม เขาก็ตั้งท่าจะเดินเข้าไปหา แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าคุยอยู่กับเด็กผู้ชายคนนั้นก็ทำให้เขาชะงักไป

     

    ไม่ใช่หรอก

     

    ไม่มีทางใช่หรอก

     

    "ฮัน...คยอง"

    เสียงหวานเอ่ยออกมาแผ่วเบาคล้ายอยากจะร้องเรียก หากแต่เมื่อผู้ชายคนนั้นทำท่าจะหันมาตามนิ้วเล็กๆของเด็กผู้ชายตัวน้อยที่ชี้มาหา เขากลับหมุนตัวและก้าวเดินหนีไป สาวเท้ายาวๆตรงไปยังป้ายรถเมล์โดยไม่แม้เพียงจะเหลียวหลังกลับมามองอีกเป็นครั้งที่สอง ดวงตาคู่หวานแสบร้อน ทว่าคนที่ก้มหน้าก้มตาเดินอยู่นั้นกลับพยายามทีจขะคลี่รอยยิ้มออกมา

     

    บางครั้งอีทึกก็คิดว่าความคิดถึงเป็นสิ่งดี

     

    เพราะมันทำให้เขารู้ว่าเขายังยังมีคนสำคัญให้เขาคอยรักคอยห่วงใย

     

    แต่บางครั้งอีทึกก็คิดว่าความคิดถึงช่างเลวร้าย

     

    เพราะมันทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนสำคัญมากพอให้ใครห่วงใยเลยสักคน

     

    "คิดถึงมากเกินไป...จริงๆด้วย"

     

    .......................................................................

     

     

    ความวุ่นวายในช่วงบ่ายทำให้อีทึกลืมเรื่องเมื่อกลางวันไปเสียสนิท โดยเฉพาะเมื่อเขาไปลืมโทรศัพท์มือถือไว้ที่ไหนก็ไม่รู้แบบนี้น่ะ ร่างบอบบางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากพลางรีบสาวเท้าวิ่งตรงไปยังร้านอาหารจีนซึ่งเป็นที่ทำงานแรกของเขา...งานที่สามของเขากำลังจะเริ่มภายในไม่ถึงชั่วโมงนี้ และมันก็อยู่ห่างออกไปตั้งหลายสถานี อีทึกทะเล้อทะล้าเปิดประตูร้านเข้าไป

     

    "สวั...อ๊ะ...อีทึกฮยอง!"

    เจ้าเด็กไทยชื่อประหลาดผู้เป็นบริกรประจำกะบ่ายของร้านร้องทักเขาทันทีที่เขาโผล่เข้าไปยืนหอบอยู่กลางร้าน นิชคุณยิ้มแป้นแล้นอย่างน่ารักมาให้เขาพลางล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนแล้วจึงเอามันมาแกว่งไปมาตางหน้าของเขาด้วยสีหน้ารู้ทัน

     

    "มาตามหานี่ใช่มั้ยล่ะ ผมเก็บได้ด้วยนะ"

    ดูเหมือนภาษาที่แตกต่างจะไม่เป็นอุปสรรคกับเจ้าเด็กนี่เอาเสียเลย เพราะมันไม่สามารถทำให้นิชคุณคนนี้หลุดพูดเจื้อยแจ้วได้เลยสักครั้ง อีทึกหลุดหัวเราะออกมานิดให้กับท่าทางรู้ทันนั้นพลางคว้าโทรศัพท์มือถือของตนมาถือเอาไว้เสียเอง

     

    "ขอบใจมากเลยนะนิชคุณ"

    นิชคุณหัวเราะคิกคักพลางรับเอ่ยไล่เขาให้ออกจากร้านไปก่อนที่คุณจางเจ้าของร้านจะมาเห็นเขา และแน่ล่ะ...เขาไม่ชอบเจ้าของร้านคนนั้นมากนักหรอกนะ อีทึกเอ่ยขอบคุณอีกครั้งพร้อมกับสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะพาไปเลี้ยงขนมในวันหรุ่งนี้ก่อนจะรีบเผ่นออกมาจากร้าน เรียวปากสีสดแต้มยิ้มนิดๆอย่างยินดีที่ตัวเองได้โทรศัพท์มือถือแสนรักคืน เขาก้มหน้าก้มตากดเช็คมิสคอลล์ และมันก็มีถึง26สายเลยล่ะ

     

    "คังอินจะโทรมาทำไมเยอะแยะนะ"

    คนร่างบางพึมพำกับตัวเองเบาๆพลางเก็บเจ้าโทรศัพท์มือถือเครื่องบางของตนใส่กระเป๋ากางเกงโดยไม่คิดจะโทรกลับไปหาคนที่โทรมาหาเขาเกือบสามสิบครั้ง...คังอินหาทางเจอเขาได้เสมอนั่นล่ะ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ คังอินคนนั้นก็จะหาเขาจนเจอทุกที

     

    ขาเรียวก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้าทั้งๆที่อีกไม่นานก็จะถึงเวลาเข้างานแล้ว หากแต่ว่าเขาก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะวิ่งไปที่สถานีรถไฟใต้ดินเสียแล้ว และมันก็เป็นอีกครั้งที่เขาพาตัวเองมาหยุดอยู่ในสวนสาธารณะ อีทึกเลือกม้านั่งแล้วจึงทรุดตัวนั่งลง เหม่อมองสายตาของตนไปยังผู้คนที่อย่างว่างเปล่าและเลื่อนลอย...ทำเหมือนกำลังมองหาใครบางคนอยู่เสมอจนเป็นนิสัย

     

    'ถ้ายังเห็นผัวดีกว่าบ้านก็ไสหัวออกไปซะ! ไม่ต้องกลับมาให้ฉันเห็นหน้าลูกเลวๆอย่างแกอี! ลูกชายอย่างแก ฉันไม่อยากมี!...ถ้าคิดว่าผัวแกมันดีนัก ถ้าคิดว่ามันเลี้ยงก็ได้ ที่นี่ก็ไม่ต้อนรับแกอีก! ไม่ต้องมาใช้หลังคาของบ้านหลังนี้คุ้มหัวแกอีก!...ตระกูลปาร์คไม่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเป็นคนสมองกลวงไร้หัวคิดอย่างแกปาร์คจองซู!!'

     

    อีทึกแค้นยิ้มออกมานิดให้กับความทรงจำของตนที่ไม่ว่าครั้งใดที่เขาเหม่อลอย มันก็มักจะหาทางเล็ดลอดเข้ามาทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดได้เสมอ...น่าหัวเราะชะมัด!...เขาไม่เคยตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องได้เลยสักครั้ง แต่กระนั้นแล้ว...เขาก็ยังรอไม่ใช่รึไง

     

    ความรักของเขา

     

    ไม่ว่าจะยังไง...เขาก็ยังเชื่อ

     

    "ปาร์คจองซูไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว"

    เขาให้กำลังใจตัวเองเบาๆก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นยืนเพื่อไปทำงานของตนเสียที หากแต่ดวงตาของเขาก็ไปสะดุดเข้าที่สนามเด็กเล่นเสียก่อน...เด็กผู้ชายเมื่อตอนกลางวันอีกแล้ว และก็...อ่า...นั่มมันเจ้าของร้านกาแฟฝั่งตรงข้ามนี่นา อีทึกอมยิ้มออกมานิดให้กับความช่างอ้อนของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่เดินไปอ้อนคนที่เขาเรียกว่าอัปป้าด้วยท่าทางน่าเอ็นดู...ตัวเล็กนิดเดียว เป็นอัปป้าเสียแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยนะ

     

    "คุณเจ้าของร้านนี่เจ๋งจริงเลยน้าาา"

    อีทึกพึมพำกับตัวเองด้วยน้ำเสียงขำพลางตั้งท่าจะหมุนตัวเดินออกมา แต่ทว่าร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งผู้มีใบหน้าคมคายเรียบเฉยและผมสีอ่อนก็หยุดความตั้งใจของเขาลงอีกครั้ง คนตาหวานเบิกตาขึ้นโต เฝ้ามองผู้ชายคนนั้นใช้ปลายนิ้วปัดบางอย่างออกจากแก้มนวลของชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟฝั่งตรงข้าม...เฝ้ามองผู้ชายคนนั้นใช้ปลายนิ้วเกี่ยวปอยผมสีดำขึ้นไปถัดใบหูเล็กด้วยท่าทางอ่อนโยน...เฝ้ามองผู้ชายคนนั้นย่อตัวลงอุ้มร่างของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่เขาเห็นเมื่อตอนกลางวันขึ้นมาแนบอก...เฝ้ามองคนทั้งสามคนยืนห่วงใยกันและกันอยู่ตรงนั้น...และเขาก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างกลวงเปล่าเหมือนคนโง่เง่าอยู่ตรงนี้

     

    ความรู้สึกเหมือนพื้นที่ตนกำลังเหยียบยืนพังทลายลงเป็นอย่างไร

     

    อีทึกเพิ่งจะเข้าใจวันนี้เอง

     

    และความรู้สึกเหมือนหัวใจค่อยๆเต้นช้าลงและหยุดชะงักไปมันเจ็บมากขนาดไหน

     

    อีทึกก็เพิ่งเคยจะรู้สึกวันนี้เอง

     

    "ยิ้มนะปาร์คจองซู...อย่าเพิ่งร้องไห้สิ"

    เรียวปากบางพยายามที่จะขยับรอยยิ้มของตนให้กว้างขึ้น หากแต่ดวงตาของเขากลับแสบเคืองไปหมดจนมองอะไรไม่ชัดเอาเสียเลย อีทึกสูดหายใจลึก...พยายามไม่ให้ตนหลุดเสียงสะอื้นออกมา เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าราวกับกำลังมองหาดาวสักดวงเพื่อใช้ปลอบใจของตน แต่มันก็น่าเสียดายที่เพื่อนที่คอยปลอบใจเพียงหนึ่งเดียวอย่างดวงดาวยังไม่ถึงเวลาโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา นางฟ้าผู้ไร้ปีกจึงได้แต่จ้องมองไปยังท้องฟ้าสีส้มอมแดงด้านบนอย่างว่างเปล่า หวังเพียงว่าการเงยหน้าให้สูงแบบนี้จะช่วยให้น้ำตาไหลย้อนกลับเข้าไปด้านใน และเขาก็รู้ดีว่ามันจะได้ผล

     

    "ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรแล้ว"

    คนตาหวานสูดหายใจเข้าปอดลึกเพื่อเรียกกำลังใจ คลี่รอยยิ้มกว้างออกมาด้วยท่าทางสดใสก่อนจะก้าวเดินตรงเข้าไป และคนที่สังเกตเห็นเขาเป็นคนแรกก็คือเด็กตัวน้อยคนนั้น

     

    "พี่นางฟ้าเมื่อกลางวันนี่นา...นี่ไงอาฮัน บอกแล้วว่ายูกึนไม่ได้ตาฝาด นี่ไงนางฟ้าที่ยูกึนเห็นอ่ะ!"

    เสียงของเด็กชายตัวน้อยที่แทนตัวเองว่ายูกึนร้องดังขึ้น และมันก็สามารถเรียกสายตาของผู้ปกครองทั้งสองคนให้หันมามองนางฟ้าที่ว่าในทันที ซึ่งแน่ล่ะ...ใบหน้าอันงดงามของนางฟ้าผู้มีดวงตาแสนหวานนั้นประดับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างสดใสที่แลดูแสนอ่อนโยน อีทึกยกมือขึ้นนิดเป็นเชิงเอ่ยทักทานทุกคนก่อนเขาจะหันไปสบตากับชายหนุ่มร่างสูงคนนั้นที่กำลังมองเขาด้วยแววตาอันนิ่งเฉย...มันเจ็บปวดเสียจนเขาต้องขยับรอยยิ้มให้กว้างขึ้นเลยล่ะ

     

    "ฮันคยองใช่มั้ย ฮันคยองจริงๆด้วย...ฉันเจอนายแล้ว!"

     

    ไม่ว่าจะอีกสักกี่ปี คนที่วิ่งตามก็ยังเป็นเขา

     

    ไม่ว่จะรักมากสักเท่าไร

     

    ปาร์คจองซูคนนี้ก็ยังเป็นเพียงคนเดียวที่วิ่งตามเสมอ

     

    น่าเศร้าชะมัดเลย

     

    ...............................................................

     

    "ฮันคยอง...เป็นยังไงบ้าง"

    อีทึกเปิดบทสนทนากับคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาบนม้านั่งด้วยคำถามง่ายๆพร้อมรอยยิ้มจางๆบนเรียวปาก และสำหรับเขา...มันก็ช่างเป็นคำถามที่งี่เง่าชะมัด เพราะคำตอบนั้นมันก็ชัดเจนอยู่แล้วตั้งแต่ต้น...ฮัยคยองยังอยู่ได้โดยไม่ต้องมีอีทึกคนนี้คอยวุ่นวายอยู่ในชีวิต

     

    "อืม...ก็ดี"

     

    "งั้นหรอ"

    เขาพึมพำตอบรับพลางหลุบสายตาลงมองมือที่จับประสานกันอยู่บนตักของตน...ทุกอย่างช่างดูอึดอัดไปหมดจนมันน่าร้องไห้ เพราะเขามีคำถามมากมายเต็มไปหมด แต่กลับไม่รู้ว่าจะเอ่ยถามอันไหนออกไปก่อน...อยากจะทักทายให้มากกว่านี้ อยากจะสดใสให้มากกว่านี้ อยากจะทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากมายเหมือนกัน...ปาร์คจองซูช่างเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดเสียจริง เพราะแม้เพียงแค่หันไม่สบตาให้หายคิดถึง เขายังไม่กล้าทำเลย

     

    "นายผอมลง"

     

    "ไม่หรอก แค่ไม่ค่อยมีเวลากินเท่าไรน่ะ"

    คนตาหวานเอ่ยตอบกลับยิ้มๆพร้อมกับโบกไม้โบกมือเป็นเชิงบอกว่านั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมายก่อนจะก้มหน้ากลับลงมามองที่หน้าตักของตนตามเดิม เขาพยายามที่จะสรรหาเรื่องเรื่อยเปื่อนออกมาพูดอีก...พยายามที่จะคิดว่าคนที่ห่างหายกันไปถึงสี่ปีจะต้องเอ่ยคุยกันถึงเรื่องใดบ้าง หากทว่าตอนนี้ลำคอของเขานั้นเจ็บแสบไปหมดจนไม่กล้าที่จะเปล่งเสียงใดๆออกไป...กลัวว่าคนข้างกายจะรู้ว่าเขากำลังจะร้องไห้ก็เท่านั้น...ฮันคยองไม่ชอบคนเจ้าน้ำตา บอกว่ามันน่าเบื่อและน่ารำคาญ เขาจำมันได้ดี คงเป็นเพราะอย่างนี้กระมังที่ทำให้เขาพยายามที่จะยิ้มเอาไว้อยู่แบบนี้...และมันก็เจ็บปวดมากเหลือเกิน

     

    "ทำไมถึงไม่มีเวลา แค่หยุดกินข้าวมันจะตายรึไง"

    ฮันคยองก็ยังคงมีคำพูดที่ชอบทำให้เขาหัวใจสลายแบบนี้ไม่เปลี่ยนเลย แต่ไม่เป็นไร...เขาทำใจให้ชินกับมันมานานเสียแล้ว อีทึกคลี่รอยยิ้มออกมาให้กับหน้าตักของตน ไม่แม่แต่จะหันไปสบตากับนัยน์ต่สีควันบุหรี่ที่เขารู้ว่ากำลังจ้องมองมาที่เขา

     

    "ฉันต้องทำงานน่ะ เงินมันไม่พอให้ฉันกินอาหารดีๆเท่าไรหรอก"

    เขาหลุดหัวเราะออกมาเบาๆเหมือนจะให้อีกฝ่ายเห็นมันเป็นเรื่องตลกพลางขยับตัวนั่งบนม้านั่งให้เรียบร้อยขึ้น แต่มันก็ไม่ตลก และอีกฝ่ายก็ไม่แม้เพียงจะยิ้มออกมา ฮันคยองไม่เคยยิ้มให้เขามาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ...อีทึกรู้ดีอยู่แล้ว

     

    "ฉันไม่ได้เป็นนางฟ้าเหมือนที่เพื่อนสมัยมหาลัยเรียกแล้วนะ ฉันก็ต้องทำงานเหมือนคนอื่นๆ หนักกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ....ก็ฉันไม่มีใบปริญญาเหมือนคนอื่นเค้านี่นา"

    นางฟ้านัยน์ตาแสนหวานหลุดเสียงหัวเราะออกมาอีกพลางเหลือบสายตาไปมองคนข้างกายเล็กน้อย และดวงตาสีควันบุหรี่ที่ทอดตรงออกไปเบื้องหน้าโดยไม่มีความรู้สึกใดๆให้เห็นเลยก็ทำให้กระบอกตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาจนมันแสบเคืองไปหมด อีทึกรีบเบือนหน้ากลับลงมามองที่มือของตนตามเดิม...เขาคลี่รอยยิ้มออกมากว้างขึ้นทั้งๆที่กำลังเจ็บปวดมากเหลือเกิน แต่ไม่เป็นไร...ปาร์คจองซูคนนี้ไม่เป็นอะไรง่ายๆอยู่แล้ว

     

    "ฉันดีใจนะที่ฮันคยองไม่เป็นอะไร หายไปไม่บอกแบบนั้นทำให้ฉันตกใจมากเลยนะรู้มั้ย ฉันน่ะ..."

    เสียงหวานชะงักค้างไปนิดราวกับกำลังเรียบเรียงประโยคที่จะตามมาต่อจากนั้น และมันก็มีมากมายเกินไปจนเขาไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกมา อีทึกยิ้มค้าง เขากระพริบตามองมือของตนที่จับเกร็งประสานกันอยู่บนหน้าตักแน่นจนข้อนิ้วขาวซีดไปหมด...ซ่อนความเจ็บปวดของตนเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มอันคุ้นเคย เขาน่ะ...โทรไปหาใครต่อใครตั้งมากมายเพื่อถามหาคนที่ชื่อฮันคยอง โทรถามทุกโรงพยาบาลถึงคนที่ชื่อฮันคยอง วิ่งไปยังหลายต่อหลายที่ทีพวกเขาเคยใช้เวลาด้วยกันเพื่อถามหาคนที่ชื่อฮันคยอง และเขาน่ะ...ก็ยังร้องไห้อยู่ตั้งหลายวันเพราะไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่เจอแม้แต่เงาของคนที่ชื่อฮันคยอง แต่ฮันคยองไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้หรอก...ไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียว

     

    "ยังเก็บของของนายไว้อยู่เลยนะ ถ้าอยากได้คืนก็มาเอาละกัน ฉันอยู่ที่ห้องเดิมนั่นล่ะ"

     

    "มือเป็นอะไร"

    เสียงทุ้มที่เอ่ยขัดขึ้นทำให้มือเล็กที่วางประสานกันอยู่บนตักบีบกระชับเข้าหากันมากขึ้นกว่าเดิมทันทีเพื่อปิดบังพลาสเตอร์ยาสีสดใสหลายอันที่ติดพันอยู่ที่ปลายนิ้ว อีทึกหัวเรากลบเกลื่อนออกมาเบาๆพลางใช้มือข้างที่ไม่เป็นอะไรกำรวบนิ้วของมืออีกข้างเอาไว้...เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลกับตัวเขา...จริงๆนะ แม้เพียงนิดก็ไม่อยาก

     

    "ฉันซุ่มซ่ามน่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก ฮันคยองก็รู้นี่ว่าฉันก็ซุ่มซ่ามแบบนี้เสมอนั่นล่ะ"

    ฮันคยองทำเพียงปรายสายตามองไปยังพลาสเตอร์ยาลายการ์ตูนสีสดใสนั่นเล็กน้อยแล้วจึงเบือนสายตากลับไปมองความว่างเปล่าตรงหน้าตามเดิม...และนางฟ้าก็ยังคงทำได้เพียงแค่ยิ้ม

     

    "ฮันคยองไม่..."

     

    "ลำบากนักทำไมไม่กลับบ้าน"

     

    ก็ฮันคบองสัญญาว่าจะเป็นคนดูแลฉัน

     

    ก็ฮันคยองสัญญาว่าจะอยู่กับฉัน

     

    ก็ฉัน...ยังเชื่อว่ามันถูก

     

    อีทึกซ่อนคำตอบพวกนั้นเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มของตนพลางยกมือขึ้นมาเกี่ยวผมออกจากข้างแก้มไปทัดที่ใบหู...ฟ้าใกล้มืดแล้ว และทุกอย่างระหว่างพวกเขาก็ยิ่งดูมืดมน เขาเปลี่ยนมือกลับมาเป็นจับประสานกันเอาไว้เหมือนเดิม

     

    "พ่อไล่ฉันออกมาแล้วนี่นา จะให้ฉันกลับไปได้ยังไง ฉันไม่มีบ้านให้กลับแล้วล่ะ"

     

    "อาฮัน!...ยูกึนหิวข้าวแล้วนะ!!"

    เสียงตะโกนเจื้อยแจ้วของยูกึนที่ตะโกนดังมาจากม้านั่งที่อยู่ห่างออกไปซึ่งเจ้าตัวกำลังนั่งคอยอยู่กับคุณพ่อ(ผู้ซึ่งกำลังดุลูกชายที่ทำตัวเสียมารยาทใหญ่เลยล่ะ)ทำให้นาฬิกาที่เหมือนหยุดลงไปชั่วครู่กลับมาขยับเดินอีกครั้ง...ทำให้เวลาที่ฮันคยองคนนี้เป็นฮันคยองของอีทึกเพียงคนเดียวหมดลง และกลับเข้าสู่ความเป็นจริงที่ว่าตอนนี้ฮันคยองคนนี้กำลังจะเดินจากไป และไม่มีทางกลับมายืนเคียงข้างอีทึกอีกต่อไป...จะไม่ดูแลอีทึกอีกต่อไป เจ้าของดวงตาแสนหวานเงยหน้าขึ้นมามอบรอยยิ้มให้กับร่างสูงที่ลุกขึ้นตามเสียงเรียก

     

    "แล้วเจอกันใหม่นะฮันคยอง"

     

    "อืม...เจอกัน"

    ชายหนุ่มชาวจีนยืนลังเลอยู่ตรงหน้าเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนปลายนิ้วอุ่นจะยื่นมาแตะสัมผัสเบาๆที่ริมฝีปากของเขาราวกับอยากจะอ่านความหมายของรอยยิ้มนั้น แต่ไม่มีทางรู้หรอก...อีทึกจะไม่มีวันให้ฮันคยองคนนั้นรู้หรอกว่าเขาอยากจะยื้อรั้งอีกฝ่ายเอาไว้มากแค่ไหน

     

    "ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย"

     

    "ไม่ล่ะ...ฉันยังอยากนั่งเล่นอยู่ตรงนี้อีกหน่อย ขอบคุณนะ"

    อีทึกมอบรอยยิ้มหวานไปให้อีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเบือนสายตาหลบออกมาเมื่อคนตัวสูงเริ่มที่จะหันหลังเดินจากไป...เขาไม่อยากเห็นแผ่นหลังกว้างนั่นให้ตัวเองร้องไห้หรอกนะ เขาไม่อยากเป็นคนงี่เง่าที่วิ่งเข้าไปรั้งอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าทุเรศไม่ให้จากไปไหนอีก เพราะแค่เดินจากไปเพียงครั้งเดียว...อีทึกก็ร้องไห้มากเกินพอแล้ว

     

    .....................................................................

     

    "อาฮันอุ้ม!...ไปกินร้านลุงคังนะ ยูกึนอยากกินเนื้อย่าง"

    ฮันคยองรับร่างของยูกึนขึ้นมาอุ้มเอาไว้แนบอกทั้งๆที่ดวงตายังคงไม่ละออกไปจากคนที่เขาเพิ่งเดินจากมาแม้เพียงเสี้ยววินาที แต่การขยับตัวของลีฮยอกแจที่กำลังพยายามจัดท่าทางของยูกึนให้เข้าที่เข้าทางก็เรียกสายตาของเขาให้หันกลัยมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าในที่สุด

     

    "นั่นน่ะหรอนางฟ้าของคุณ"

     

    "อืม"

     

    "เขาทำงานอยู่ที่ร้านฝั่งตรงข้ามมาหลายปีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะไม่เคยเห็น"

    ฮยอกแจว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามนิสัยพลางก้าวเดินนำออกไป และแน่ล่ะ...เขาต้องรีบเดินตามคนเย็นชาไปอย่างเช่นเคย ฮันคยองกระชับร่างเล็กในอ้อมกอดแน่นขึ้น หัวใจของเขากระตุกไหวกับความจริงนั้น หากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกไป ดวงตาเรียวรีแสนเย็นชาของคนตัวเล็กที่เดินนำอยู่ด้านหน้าตวัดมามองเขานิด...และความหมายที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นก็ชัดเจน แต่นั่นก็ปะไร...ฮันคยองโดนความจริงเรื่องนี้ตีแสกหน้ามาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนชินชาเสียแล้ว

     

    "อยากจะเป็นเจ้าของนางฟ้าก็เหนื่อยต่อไปเถอะ แค่คนเดินดินธรรมดาอย่างคุณน่ะ...ไม่มีใครที่ไหนเค้ายกนางฟ้าให้หรอก บนฟ้ากับพื้นดินน่ะ...ไกลมากนะ พระเจ้าคงไม่อยากให้นางฟ้าของพระองค์ต้องตัดปีกเพื่อลงมาอยู่บนพื้นหรอก...แล้วคนธรรมดาอย่างคุณกับผมน่ะ ให้ตายยังไง...ก็ไม่มีทางมีปีกด้วย"

     

    .........................................................................

               

    "เจอจนได้!...เฮ้อ!...นี่ฉันวิ่งไปทั่วโซลเพื่อหานายเลยนะ"

    ศีรษะเล็กถูกผลักเบาๆโดยฝีมือของชายหนุ่มร่างหนาที่วิ่งมายืนก้มหน้าก้มตาหอบอยู่ตรงหน้าเขา อีทึกคลี่ยิ้มออกมานิดพลางยื่นมือไปรับถุงกระดาษที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ทั้งๆที่เจ้าตัวยังคงก้มหน้าเอามือยันเข่าหอบหายใจอยู่อย่างนั้น

     

    "คังอินหาฉันเจอตลอดเลย แอบตามฉันรึเปล่าเนี่ย"

     

    "ก็ฉันรักนายนี่ ฉันก็ต้องใส่ใจนายอยู่แล้วสิ!...มีชีสเบอร์เกอร์กับฟิชเบอร์เกอร์ อยากทานอันไหนล่ะ ฉันให้นายเลือกก่อนเลยอ่ะ"

    คำว่ารักที่ฟังดูไม่ค่อยจริงจังเท่าไรราวกับเป็นเรื่องล้อเล่นที่อีกฝ่ายพูดออกมาทำให้อีทึกคลี่รอยยิ้มกล้างขึ้นอีกนิดพร้อมกับหัวใจที่อุ่นขึ้น...คังอินไม่ต้องจริงจังก็ได้ เพราะทุกการกระทำของคังอินก็บอกความจริงจังออกมาได้มากพออยู่แล้ว...มากพอจนเขาแทบกระอักเลยล่ะ

     

    คังอินคนแสนดีใส่ใจอีทึกคนไม่ได้ความคนนี้มากเหลือเกิน

     

    "งั้น...ฉันขอฟิชเบอร์เกอร์ล่ะกันนะ"

    อีทึกเงยหน้าขึ้นไปยิ้มจนตาหยีให้กับคนที่ใจดียอมให้เขาเลือกอาหารก่อนพลางล้วงหยิบเจ้าฟิชเบอร์เกอร์ที่ว่าออกมาจากถุง เขาได้ยินคังอินพึมพำบางอย่างขณะที่เจ้าตัวทรุดตัวนั่งลงข้างเขาและคว้าชีสเบอร์เกอร์ที่เหลือไปแกะทานอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางหิวจัด...คงจะตามหาเขาทั้งวันอย่างที่ปากว่าจริงๆแน่ๆ

               

    "หายไปไหนมา ฉันไปหานายที่ผับก็ไม่เจอ คุณลีบอกว่านายยังไม่มาเข้างานเ ฉันเป็นห่วงมากเลยนะ!...โทรไปหาก็ไม่รับ มีโทรศัพท์ไว้นอนหนุนหัวรึไงกัน!...ห้ามทำแบบนี้อีกนะรู้มั้ยเจ้าคนงี่เง่า!!"

    คังอินโวยวายออกมาเสียงดังทั้งๆที่อหารยังเต็มปากพร้อมกับใช้มือข้างที่ว่างผลักหัวเขาอีกรอบราวกับอยากจะให้คนงี่เง่าคนนี้เข้าใจเสียทีว่าอย่าได้ทำให้เขาเป็นห่วงมากนัก และแน่ล่ะ...คนงี่เง่าของคังอินไม่เคยทำอะไรเลยนอกจากยิ้มไม่ก็หัวเราะให้กับความห่วงใยของเขา...น่าโมโหชะมัด!

     

    "ขอโทษนะคังอิน"

     

    "ปล่อยให้คนที่รักนายเป็นห่วงมันเป็นบาปนะรู้ไว้ซะด้วย! เตรียมตัวชดใช้เรื่องนี้ในนรกได้เลย! ถึงนายจะเป็นนางฟ้า ซาตานก็จะไม่เว้นนายหรอกจะบอกให้!"

    อีทึกหัวเราะคิกคักออกมาให้กับคำขู่แสนเว่อร์ของคนข้างกายพลางค่อยๆแกะกระดาษห่อเบอร์เกอร์ของตนออกอย่างปราณีต คนตัวใหญ่สบถออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อคนที่ต้องตกนรกดูไม่สะทกสะท้านใดๆกับคำขู่ของเขาเลยสักนิด...คิดว่าเป็นนางฟ้าแล้วตกนรกไม่ได้รึไงกันนะ! เขาเชื่อว่าซาตานจะไม่ใจอ่อนให้กับหน้าสวยๆและตาหวานๆนั่นเหมือนเขาแน่ๆ รับประกันได้เลย!

     

    คังอินยกแขนขึ้นวางพาดข้อศอกลงบนพนักพิงไม้แข็งๆของม้านั่งพลางเหลือบสายตามองคนตัวเล็กที่นั่งก้มหน้าที่นั่งอยู่ข้างๆนิดคล้ายกำลังมองหาความผิดปกติบางอย่างที่เขารู้สึกได้อยู่ในรอยยิ้มแสนหวานนั่น...ดูท่าว่าอีทึกคิดจะเบี้ยวมื้ออาหารของเขาอีกมื้อแล้วกระมัง

     

    "กินเข้าไปเลยนะปาร์คจองซู...ให้หมดด้วย! มันแพงขนาดไหนรู้มั้ย ฉันต้องแบกข้าวสารตั้งกี่กระสอบกว่าจะซื้อมันมาให้นายได้...สำนึกมั่งเซ่!"

    คำขู่ไม่เคยใช้ได้ผลกับอีทึก คังอินรู้ดี...พูดดีๆด้วยก็ไม่เคยได้ผลเหมือนกัน ต้องถึงขั้นอ้อนวอนไม่ก็บังคับนั่นล่ะ คนแสนดีที่คิดถึงเพียงแค่คนอื่นเสมอถึงจะยอมทำตาม และคงเป็นเพราะแบบนั้นกระมังที่ทำให้เขาอยากดูแลนางฟ้าไร้ปีกผู้มีดวงตาแสนหวานองค์นี้เหลือเกิน อีทึกหัวเราะเบาๆให้กับคำขู่ของเขาอีกครั้งพลางยกฟิชเบอร์เกอร์ที่เจ้าตัวเป็นคนเลือกเองขึ้นกัดคำเล็กๆโดยมีสายตาของคนซื้อที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆคอยจ้องจับผิดอยู่ทุกวินาที

     

    "นั่นล่ะ...กินเข้าไป ฉันรู้นะว่านายไม่ได้กินข้าวกลางวันน่ะ นายนี่มันจริงๆเล้ยยย!...คิดว่าตัวเองเป็นนางฟ้าแล้วไม่ต้องกินรึไงกัน นางฟ้าก็ต้องกินข้าวนะฉันจะบอกให้!"

    คังอินบ่นออกมายืดยาวตามประสาพลางงับแฮบเบอร์เกอร์ส่วนสุดท้ายในมือเข้าปาก เขานั่งเคี้ยวเจ้าอาหารฟาสต์ฟู้ดโภชนาการต่ำหากแต่ราคาแสนแพงไปเงียบๆพร้อมกับยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาวางพาดยาวไปตามพนักของม้านั่งและเหยียดขายาวออกไปด้วยท่าทางแสนสบาย ชายหนุ่มงึมงำอยู่กับตัวเองไปอีกหลายคำก่อนจะเงยหน้าวางศีรษะเข้ากับพนักพิงเพื่อให้สายลมยามเย็นแตะสัมผัสใบหน้าด้วยท่าทางเหมือนจะเหนื่อยใจกับคนตัวเล็กแสนบอบบางคนนี้มากเหลือเกิน

     

    "นายมาทำอะไรที่นี่ ร้านสะดวกซื้ออยู่อีกฝั่งเมืองไม่ใช่รึไง"

    คังอินเอ่ยถามพลางเหลือบสายตามองคนข้างกายนิด และนางฟ้าของเขาก็ยังคงนั่งก้มหน้านิ่งโดยมีฟิชเบอร์เกอร์แตะค้างอยู่บนเรียวปาก แต่เขารู้...แววตาแบบนั้น...สีหน้าแบบนั้น...ท่าทางแบบนั้น หากไม่มีรอยยิ้ม อีทึกของเขาก็ทำได้เพียงแค่อย่างเดียวนั่นล่ะ

     

    "คัง...ฮึก...อิน"

     

    ร้องไห้จริงๆด้วย

     

    "กินเข้าไปเร็วเข้า ฟ้ามืดแล้ว เดี๋ยวรถหมด"

    เขาพยายามที่จะทำเป็นไม่สนใจหยดน้ำตาที่ไหลตกลงมาจากดวงตาแสนหวานที่เขาหลงรักทันทีเมื่อแรกเห็น...มันทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดน้อยที่สุดแล้วแบบนั้น คังอินเลื่อนมือไปวางลงบนศีรษะเล็ก โดยที่สายตาของตนยังคงติดตรึงอยู่ที่ท้องฟ้าด้านบนราวกับมันมีอะไรน่าสนใจหนักหนา และทันทีที่เขาสัมผัสเพื่อปลอบโยน อีทึกก็เริ่มสะอื้นจนตัวสั่นไหวไปหมด...แต่เขารู้ว่าเจ้าตัวก็พยายามที่จะกินตามที่เขาสั่ง

     

    "ทำไม...ฮึก...คังอินถึงต้องวิ่งตามฉัน...ฮึก...ตลอดเลยล่ะ"

     

    "ฉันก็บอกนายไปแล้วนี่ จะต้องให้ฉันพูดอีกสักกี่ครั้งกันคนงี่เง่าแบบนายถึงจะเข้าใจ...มันก็เพราะฉันรักนายยังไงล่ะเจ้าคนงี่เง่า"

     

    "แต่ว่า...ฮึก...มันเหนื่อยนะ...ฮึก...วิ่งตามน่ะเหนื่อยมากเลยนะ...ฮึก...เหนื่อยจริงๆนะ"

     

    "ตัวเล็กนิดเดียวอย่างนายมันก็เหนื่อยน่ะสิ กินเข้าไปปเยอะๆจะได้ไม่เหนื่อย...แข็งแรงอย่างฉันไม่เหนื่อยง่ายๆหรอกนะ!"

     

    "แล้วทำไม...ฮึก...ถึงรักฉันล่ะ"

    คังอินนิ่งคิดไปนิด...ปล่อยให้เสียงสะอื้นของคนที่เป็นดั่งความรักของเขาเข้ามาบาดหัวใจตัวเองให้เจ็บเล่นอยู่ชั่วครู่ก่อนเขาจะคลี่ยิ้มออกมาจางๆพร้อมกับขยับมือขยี่ผมสีน้ำตาลสว่างนั่นไปเบาๆ

     

    "ฉันรักนายมันต้องมีเหตุผลด้วยรึไง ฉันใช้หัวใจรักนายนะ ไม่ใช่สมองสักหน่อย...ฉันก็แค่รักนายเฉยๆมันผิดรึไงกันล่ะ"

    ยิ่งน้ำเสียงของเขาอบอุ่นมากเท่าไร อีทึกก็ยิ่งสะอื้น...ยิ่งพังทลาย และมันก็ยิ่งทำให้อากาศรอบกายของพวกเขาเศร้า แตาเขาก็ไม่ใช่คนที่ละเอียดอ่อนมากพอที่จะรู้ว่าควรจะทำตัวยังไงเมื่อเห็นน้ำตา คังอินคนหยาบกระด้างคนนี้ทำได้เพียงแค่ลูบหัวปลอบโยนเท่านั้น...ทำแบบนี้มาเสมอนั่นล่ะ และอีทึกก็จะยิ้มกลับมาให้เขาเสมอเช่นกัน

     

    "ขอบคุณนะ...ฮึก...ขอบคุณจริงๆนะ"

     

    "หยุดสะอื้นแล้วกินแฮมเบอร์เกอร์ให้หมดสักที เดี๋ยวก็ได้สำลักหรอก...ฉันสั่งให้หยุดสะอื้นไงล่ะ!"

     

    ทำไมกันนะ...

     

    ทำไมกันล่ะ...

     

    ปาร์คจองซูไม่เห็นหายเจ็บเลย

     

    ไม่หาย...เลยสักนิดเดียว

     

    .............................................................

     

     

     


    เป็นการพิมพ์ห้าสิบเปอเซนที่เร็วที่สุดในรอบสิบปีจริงๆ ตอนแรกนึกว่าจะต้องใช้สักสามสี่วัน ที่ไหนได้ แค่สองวันก็เสร็จแล้ว- - รู้สึกเหมือนลงครึ่งนึงไปเก้อๆยังไงก็ไม่รู้เนอะ เอาเถอะนะ...ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีสำหรับคุ่ฮันทึกนะ และป๋าของเราก็ยังทำตัวได้น่าเตะเหมือนเดิมจิงๆ แต่ไรเตอร์ว่าที่ได้ใจสุดๆสำหรับตอนนี้คงเป็นคิมคังอินคนดีของเราแน่ๆ ไรเตอร์จำไม่ได้ว่าเคยเห็นคาแรคเตอร์ตรงๆแบบนี้ที่ไหน คงเป็นการ์ตูนสักเรื่องไม่ก็ซีรี่สักเรื่องแน่ๆ เพราะไรเตอร์รู้สึกว่ามันคุ้นมากๆ แถมยังน่ารักมากๆด้วยเนอะ ป๋าจะเรตติ้งตกหนักกว่าเก่าก็เพราะหมีแน่ๆ ฟันธงได้เลย ตอนนี้ไม่เศร้ามากเท่าไร แต่พี่ทึกก็ทำให้เราอึดอัดด้วยรอยยิ้มหวานๆนั่นล่ะนะ ไปตัดสินกันเอาเองละกันนะว่าระหว่างสามคนที่แล้วกับสามคนนี้ คู่ไหนหดหู่มากกว่ากัน(รีดเดอร์บอก หดหู่หมดนั่นล่ะอิบร้า!!)

     

     

    ตอนหน้า ครั้งแรกกะว่าจะเปนยุนแจสักหน่อย แต่ไปๆมาๆ ของเปนคิเฮก่อนดีกว่า ของดี(?)เราขอเก็บไว้ท้ายสุดค่ะ ไปดูนังหมวยแรดของเราลากคุณหมอบอมคนดีกลับมกโพกันค่ะ

     

     

    เจอกันครั้งหน้านะจ้ะ^^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×