ชานชาลาหมายเลข 13
เสียงครางเสียงกรีดร้อง หวาดกลัว ศพนั้นมิเหลือตัว แต่หน้า นัยน์ตากลอกกลิ้งมัว มองหยั่ง บอกเฮย คล้ายกล่าวบอกผ่านหว้า รวดร้าวดวงใจ
ผู้เข้าชมรวม
253
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ชานชาลาหมายเลข 13
เย็นมากแล้วแต่ดวงตะวันยังคงอ้อยอิ่งไม่ยอมลับขอบฟ้า เสียงประกาศเตือนให้พนักงานเก็บข้าวของให้เรียบร้อยก่อนกลับบ้านดังผ่านโสตประสาตอันเรือนราง ผมเก็บกระเป๋อย่างใจลอย
นี่ก้อผ่านมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้วสินะ แต่มันดูราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน...
ผมเดินออกจาบริษัทด้วยอาการที่เหมือนร่างไร้วิญญาณ เพื่อนร่วมงาน 2-3คนพยามบอกลาแต่ผมรู้สึกว่าพวกเขาเหมือนเงารางๆที่เดินผ่านผมไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่า 2 เท้าของตนเองพามาหยุดอยู่ที่ใดก็เกือบจะโดนรถชนตายไปแล้ว
“ไอ้บ้าเอ๊ย! มีตารึป่าววะ” เสียงคนขับรถบรรทุกชะโงกหน้าออกมาด่าทออย่างโกรธจัดก่อนจะขับรถจากไป ผมลุกขึ้นปัดตัวอย่างลวกๆแล้วเดินหนีไปจากที่ตรงนั้นเสียดื้อๆ ไม่มีแม้แต่เอ่ยคำขอโทษ
เพราะมันมีค่าเพียงแค่ให้ผมบอกคนเพียงคนเดียวเท่านั้น...
ผมเดินไปเรื่อยๆจุดหมายของผมอยู่ที่สถานีรถไฟ วันนี้ผมจะกลับบ้าน ถึงเวลาที่ผมต้องกลับบ้าน ผมลาพักร้อนแล้ว หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นมากมายผมคิดว่าผมสมควรหยุดพักซะที
ระทางทางที่ก้าวเดินเต็มไปด้วยฝุ่นผงที่ปลิวว่อนผ่านไปรอบๆตัว รถราวิ่งกันขวักไขว่ซึ่งก็เป็นธรรมดาของเวลาเลิกงาน การจราจรในเมืองใหญ่เป็นแบบนี้นี่เองที่ผมอยากจะหนีไปเสียให้ไกล ไปเสียให้พ้นๆ แต่หัวสมองของผมในตอนนี้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้น้อยเหลือเกิน หากทว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่นานนี้สิมันช่างติดตรึงอยู่ในหัวของผม ...ในหัวใจของผม
“กฤษณ์คะลินลืมตาได้หรือยังเอ่ย”หญิงสาวเอ่ยร่างเล็กเอ่ยถามพลางพยามกลั้นยิ้มเอาไว้
“อ่ะ...ลืมตาได้แล้วครับ”ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆบอกพร้อมกับยื่นกล่องสีแดงใบเล็กๆให้
“อะ...อะไรคะเนี่ย” เธอแลดูตกใจเล็กน้อย แต่ยังมองเห็นได้ถึงแก้มที่เป็นสีออกเรื่อๆและแววตาที่แสดงความปีติเมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
“คือ...มันอาจไม่มีค่าอะไรนัก แต่ผมอยากให้คุณรับไว้” เขาเว้นจังหวะนิดหนึ่ง สายลมพัดเอื่อยๆทำให้ใบไม้จากต้นไม้ใหญ่โปรยปรายลงมา
“แต่งงานกับผมนะครับลิน” เขาเสริมต่ออย่างขัดเขิน
หญิงสาวนิ่งอยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยตอบช้าๆอย่างชัดเจนและหนักแน่น
“ตกลงค่ะ ลินจะแต่งงานกับคุณ” จากแก้มที่เป็นสีเรื่อๆตอนนี้กลายเป็นสีแดงจัด
ภาพใบหน้ายามเขินอายและริมฝีปากได้รูปสวยเอ่ยตอบนั้น คล้ายกับมีเงาร่าเลือนมาบดบังก่อนจะหมุนวนถูกเลือนหายไปกับความมืด คงเหลือไว้แต่เพียง เสียงนุ่มนวลที่บอกเพียง
“ตกลงค่ะ...........ตกลงค่ะ” เสียงนี้ดังก้องอยู่ในหัวของผม วนเวียนไปมาไปมีทางออก
ผมยังรู้สึกเหมือน “เธอ”คนนั้น ยังอยู่ตรงนี้ตรงที่ข้างๆผม และตอบรับคำร้องขอที่ผมบอกเธอไป แต่พอผมจะเอื้อมมือไปหาเธอผมพบแต่เพียง “ความว่างเปล่า” ผมหาเธอไม่เจอเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ผมถึงกับทรุดตัวลงบทฟุตบาท น้ำตาร้อนผ่าวไหล่ผ่านมืออาบทั้งสองแก้มผมไม่อยากรับรู้เลยว่าเธอจากผมไปแล้วจริงๆ...
“ลินรอผมตรงนี้ตู่หนึ่งนะ เดี๋ยวผมมา” ชายหนุ่มวิ่งข้าถนนไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ตรงดิ่งไปยังร้านขายดอกไม้ ซึ่งก็คงจวนเวลาที่ร้านจะปิดแล้ว เพราะดอกไม้ที่เขาถือออกมาเป็นเพียงดอกกุหลาบสีขาวดอกเดียวเท่านั้น เขาประคองดอกไม้อย่างทะนุถนอมสายตามองไปยังร่างเล็กๆที่ยืนรออยู่ฝั่งตรงข้าม โคมไฟข้างทางสาดแสงลงมาต้องร่างของเธอ
“ช่างน่ารักเสียจริง” เขาคิดพลางเดินข้ามถนน
“เอี๊ยดดดด...โครม...พลั่ก” เสียงเบรกลั่นยาวองรถยนต์ตามด้วยเสียงชนบางอย่างก่อนที่เสียงสิ่งหนึ่งตกกระทบพื้นอย่างแรง
บุคคลที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดยืนนิ่ง ตัวแข็งทื่อ มือยังคงกำดอกกุหลาบดอกนั้นไว้มั่น เมื่อตั้งสติได้เขาจึงวิ่งเข้าไปหาร่างเล็กๆร่างนั้นทันที
ตอนที่ไปถึงนั้นลมหายใจของเธอก็รวยรินเต็มทน ชายหนุ่มร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้องมาก่อน
ปากพร่ำบอกแต่เพียง
“ลิน อย่าเป็นอะไรนะ นี่ไงดอกไม้ของคุณ ลิน . . .ลิน”เขาเอาดอกไม้นั้นยื่นให้เธอจากสีขาวบริสุทธิ์ของมันตอนนี้เปือนเลือดจนกลายเป็นสีแดง
“ลิ นลิน คุณตื่นสิลิน ผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนหันซ้ายขวาปากตะโกนขอความช่วยเหลือ เขารู้สึกสับสนไปหมด เขากลัวเหลือเกิน กลัวอย่างจับใจ กลัวว่าต้องเสียเธอไป...
มือเล็กๆเย็นเฉียบเอื้อมมาแต่ข้อเท้า เพียงเท่านั้นเขาแทบจะทรุดตัวลงไปในทันที
“อะไร ลิน... คุณมีอะไรจะบอกผม แต่คุณอย่าเพิ่งพูดเลยลิน อย่าเพิ่งพูด เดี๋ยวคุณจะเหนื่อยไปมากกว่านี้”เขาละล่ำละลักหากแต่น้ำตายังคงไหลอาบ
ริมฝีบางบางเฉียบ ขยับเล็กน้อยพอจับได้ว่า “อย่าร้องไห้” แล้วแน่นิ่งไปดวงตาเริ่มรี่ลงจนปิดสนิท
หัวใจของชายหนุ่มแทบจะแหลกสลาย
“ลินลิน คุณอย่าเป็ฯอะไรนะ คุณจะแต่งานกับผมไม่ใช่หรือลิน ลิน...”เขาเขย่าร่าเธอเบาๆปรถนาให้เธอลืมตาขึ้นมา
“ลิน นี่ไงคุณเห็นดอกกุหลาบนี่มั้ย ผมให้คุณนะ คุณรับไว้สิ”เขาเอาดอกไว้วางบนอกเธอแล้วโอบกอดตัวเธอไว้ราวกับเป็นสิ่งหวงแหน เลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนไปทั่วตัว ตลอดทางที่รถพาเธอไปโรงพยายาบาลเขาแทบจะไม่รับรู้สิ่งใดเลย แม้กระทั่งตอนที่แพทย์ออกมาบอกเขาว่า
คนรักของเขาได้จากไปแล้วและจากไปตลอดกาล. . .
“ลินผมยังไม่ได้บอกคุณเลยนะ ดอกไม้ที่ผมให้คุณน่ะ แทนความหมายว่า...
"รักของผมแม้เรียบง่าย แต่ก็มั่นคงกับคุณคนเดียว"
ตอนนี้ผมอยู่หน้าสถานีรถไฟแล้ว ตัวอาคารทำจากหินอ่อนแลดูสวยงาย ผู้คนดำเนินชีวิตไปอย่างคึกคัก ซึ่งช่างผิดแผกกับสิ่งที่อยู่ในหัวใจผมเหลือเกิน
“ซื้อตั๋วไปเชียงใหม่ที่หนึ่งครับ” ผมบอกพนักงานขายตั๋ว ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมโดยสารรถไฟกลับ คงเป็นเพราะผมอยากเดินทางช้าๆกระมัง เพื่อบางที่เวลาอันยาวนานบนรถไปอาจจะช่วยอะไรผมได้บ้าง เสียงพนักงานขายตั๋วบอกเวลาที่รถไฟมาเทียบสถานีและผมควรไปที่ชานชาลาไหนผ่านเข้าหูเพียงเล็กน้อย ผมก้มลงมองหมายเลขชานชาลา ตัวเลขตัวเล็กๆพอมองเห็นว่าเป็น หมายเลข 13
“เลขสวยดีนี่” ผมคิด แล้วเดินไปที่นั่นอย่างไม่กระตือรือร้นนัก
ถึงแล้วผมดูเวลา เหลืออีก 15 นาทีกระมัง ผมจึงทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
อยู่ๆผมก็มีความรู้สึกถึงแรงมหาศาลที่กดทับลงมาบนตัว และคำถามหลายๆคำถามก็ผุดขึ้นมาในหัว คงมีแต่เพียงคำถามเดียวที่ดังขัดเจนที่สุด
“ทำไม ทำไมต้องเป็นคุณลิน ทำไมไม่เป็นผม ผมไม่อยากต้องทนดูเวลาที่เสียคุณไปแบบนี้” หยดน้ำใสๆเริ่มเอ่อท้นดวงตา ผมจึงรีบปาดมันทิ้งเสีย ผมไม่อยากผิดต่อเธออีก
แต่แล้วความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวผม
“ทำไมเราไม่ไปหาลินล่ะ” ทันทีที่เสียงประกาศว่ารถไฟจะเทียบชานชาลา ผมลุกขึ้น ผมเดินอย่างใคร่ครวญในความคิดไปยังริบขอบชานชาลา เสียงเล็กในหัวบอกผมว่า
“ไปสิ ไปหาเธอ เดี๋ยวรถไฟจะมาแล้ว นายก็จะได้ไปหาเธอไง”
“ใช่ ฉันจะไปหาลิน” ผมตอบกลับเสียงนั้นอย่างแผ่วเบา
เสียงรถไฟกำลังใกล้เข้ามา ผมเริ่มชั่งใจ ในความรู้สึกเรือนราง ผมได้ยินเสียงของเธอ
“อย่าค่ะกฤษณ์ อย่าค่ะ” ผมได้ยินเสียงสะอื้นของเธอ ผมจะทำยังไงดี รถไฟจะเข้าเทียบแล้ว
“ไปสิ ไปหาเธอ” เสียงนั้นยังคงดังอยู่
“ใช่. . .ไปหาลิน” . . . . . .
รถไฟวิ่งผ่านหน้าไป ผมรู้สึกถึงลมแรงๆที่ปะทะเข้าที่หน้า ตอนนี้ผมชักเท้าเข้ามายืนอย่างปลอดภัยภายในชานชาลาแล้ว เสียงจอกแจกของผู้คนเริ่มกลับเข้ามาในห้วงความรู้สึกอีกครั้ง
เสียงเล็กๆนั้นหายไปแล้ว ตอนนี้ผมรู้สึกปลอดโปล่งอย่างบอกไม่ถูก ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด พร้อมกับจะในทันทีที่เสียงกรีดร้องดังขึ้น ผู้คนวิ่งกรูกันไปตามเสียงนั้น ผมยืนงงอยู่พักใหญ่ก่อนที่ 2 ขาของผมจะพาวิ่งออกไปเช่นกัน ผมวิ่งไปเรื่อยๆจนถึงปลายชานชาลา ผมเห็นด้านหลังของรถไฟวิ่งผ่านไป ตอนที่ผมไปถึงนั้นผู้คนก็มุงดูกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว สายตาของทุกคนต่างมองไปยังรางรถไฟเบื้องล่างผมพยามจะแทรกตัวเข้าไปดู แต่กลับโดนเบียดออกมาทุกครั้ง
ผมจึงได้แต่ฟังเรื่องราวจาผู้คนรอบๆตัว
“อุบัติเหตุ อุบัติเหตุ เรียกตำรวจเร็ว” เสียงเจ้าหน้าที่สถานีตะโกนบอกเจ้าหน้าที่อีกคน
“ฉันว่าไม่ใช่นา ฆ่าตัวตายรึป่าว สยองชะมัด”เสียงชายวัยกลางคนพูดกับชายหัวล้านที่อยู่ข้างๆ
“ไม่เอาลูกไม่ดู ไปที่อื่นเร็ว” หญิงร่างท้วมบอกลูกสาวของเธอพลางเดินเอามือปิดปากออกจากที่นั่นไป
อากับกิริยาของทุกคนที่ผมเห็นแทบจะเป็นไปในรูปแบบเดียวกันคือตกใจและแววตาเต็มไปด้วยความสยดสยอง ตอนนี้ผมแทบจะรู้เรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ต้องเห็นเหตุการณ์เอง มันคงจะน่ากลัวมิใช่น้อยผมเลือกที่จะไม่เห็นดีกว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงแล้วพร้อมกับเจ้าหน้าที่หน่วยกูภัยอีกจำนวนหนึ่ง ผมจึงหันหลังเดินกลับออกมา
“ลิน นั่นคุณจริงๆด้วย” ผมเผลอหลุดปากออกมาเมื่อหันไปเห็น เธอยืนอยู่ตรงนั้น ตรงชานชาลาฝั่งตรงข้าม แต่ทำไม เธอดู...เศร้าเหลือเกิน
“พลั่ก” ผมรู้ตัวอีกทีก็โดนชนล้มลงไปนอนกองกับพื้น ลินหายไปแล้ว!
ผมหันไปมองลอดผ่านระหว่างขาของเจ้าหน้าที่ลงไปยังเบื้องล่าง สิ่งที่ผมเห็นป็นอย่างแรก คือของเหลวสีแดงฉานเต็มรางรถไฟ ผมกวาดสายตาไปจน
สบสายตาใครบางคนที่มองตอบกลับมา เป็นสายที่เต็มไปด้วยความปวดร้าว
แววตาใครบางคนที่เหมือนกับแววตาของผม เป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก เป็นใบหน้าของใครบางคนที่ผมคุ้นเคยจนอยากจะเชื่อ
“นั่นคือตัวผม” ไม่ใช่สิ จะเรียกว่าตัวคงไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าหัว
เพราะร่างที่เห็นนั้นมีเพียง “ส่วนหัว”เท่านั้น
เพียงเท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมเข้าใจอะไรบางอย่าง ผมลุกขึ้นยืน ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกตกใจ
ภาพเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งแวบผ่านเข้ามา ภาพที่ผมกระโดลงไปในรางตอนที่เสียงเล็กๆนั่นบอกผม วิ่งผ่านเข้ามา หลังจากนั้น...อืมผมไม่รู้สึกอะไรอีกเลย และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ผมเห็นเธอ
ผมเห็นเธอเศร้าเสียใจ ผมนี่แย่จริงๆ ผมทำให้เธอร้องไห้
แต่อย่างน้อย ผมได้ไปหาเธอ... ผมลุกขึ้นเดินช้า ตัดผ่านรางรถไฟไปยังชานชาลาฝั่งตรงข้าม
ที่นั่นเธอรอผมอยู่ เธอรออยู่ตรงนั้น ผมไปหาเธอ จากนี้เราจะได้อยู่ด้วยกัน...ตลอดไป
เสียงครางเสียงกรีดร้อง หวาดกลัว
ศพนั้นมิเหลือตัว แต่หน้า
นัยน์ตากลอกกลิ้งมัว มองหยั่ง บอกเฮย
คล้ายกล่าวบอกผ่านหว้า รวดร้าวดวงใจ
ผลงานอื่นๆ ของ นายกะโฮ่ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ นายกะโฮ่
ความคิดเห็น