[Fic LSK] ความลับ(เล็กๆ)ของ(ว่าที่)เทพอัศวินเทมเพส - [Fic LSK] ความลับ(เล็กๆ)ของ(ว่าที่)เทพอัศวินเทมเพส นิยาย [Fic LSK] ความลับ(เล็กๆ)ของ(ว่าที่)เทพอัศวินเทมเพส : Dek-D.com - Writer

    [Fic LSK] ความลับ(เล็กๆ)ของ(ว่าที่)เทพอัศวินเทมเพส

    จูบแรกที่ข้าปรารถนาคือความอ่อนหวานและนุ่มนวลจากคนที่ข้ารักสุดหัวใจ ... ทว่า จูบแรกของข้ากลับเป็นการถูกจู่โจมที่รุนแรงและรุกเร้าจากเทพอัศวินอีกองค์หนึ่งที่ข้าแทบไม่รู้จัก !

    ผู้เข้าชมรวม

    414

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    414

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    11
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ต.ค. 56 / 00:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ฟิคเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเล่ม 7 ฉากที่เดินทางไปวิหารเทพแห่งความมืด
    อ่านไปก็ อื้มมม สองคนนี้ดูมีอะไรนะ (จิ้นไปไกลนั้นเองงงง 55555)

    เรื่องนี้พรำ่เพ้อและตัดจบลงอย่างรวดเร็วค่ะ!
    (จะว่าสนองนี้ดตัวเองก็ใช่อยู่)

    ที่จริงพล็อตในหัวมทีมากกว่านี้แต่ถ้าปล่อยไว้นานมีสิทธิ์ไม่จบ
    เพราะฉะนั้น ขอลงเลยละกัน =w=

    ปล.อาจมีแก้ไขเพิ่มเติมเล็กๆน้อยๆ หลังจากนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      (1)

      Tempest

      หน้าที่ของเทพอัศวินเทมเพสนั้นมากมายและหนักหนายิ่งนัก ... แต่ไม่ว่างานเอกสาร งานของหลวง หรืองานอื่นใด ... ก็ไม่แย่เท่างานสายลับ

      ข้ามองภาพสะท้อนในกระจกเงาอย่างหงุดหงิด ตอนนี้ข้ากำลังดูตัวเองในสภาพกางเกงชั้นในตัวเดียวและมีคนสองคนกำลังเถียงกันข้ามหัวข้าไปมา หนึ่งคือท่านอาจารย์และอีกคนคือรองหัวหน้าหน่วยของท่าน และเรื่องที่กำลังเถียงกันย่อมเกี่ยวข้องกับการนั่งกึ่งเปลือยกายของข้าอย่างแน่นอน

      พวกท่านคุยกันถึงไหนแล้วนะ

      “... แล้วพวกที่ข้าให้ไปดูมาล่ะ”

      “เรื่องช่างตัดเย็บเสื้อผ้าข้าน่าจะหามาให้ท่านได้ แต่ช่างแต่งหน้าข้าไม่แน่ใจเท่าไหร่”

      “แล้วเจ้าว่าศิษย์ของข้าควรย้อมผมสีอะไรล่ะ? ถ้าเป็นแบบนี้สีน้ำเงินล่ะก็ ข้าบอกได้เลยว่าใครหน้าไหนที่ไม่รู้ว่านี่คือเทพอัศวินเทมเพสปลอมตัวมา คงมีสติปัญญาเข้าขั้นควรไปเข้าเฝ้าองค์มหาเทพได้แล้ว”

      “... สีดำ เพราะในงานราตรีย่อมมีความงามซ่อนอยู่ในความมืดเสมอ นั่นจึงเป็นความรู้สึกน่าค้นหาแบบหนึ่ง” ... โอ้ ลึกล้ำจริงๆ สมกับที่เป็นรองหัวหน้าหน่วยของท่านอาจารย์ผู้เป็นหนึ่งด้านภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ

      “ก็ดี เส้นผมของซีโอจริงๆ ก็เป็นสีดำอยู่แล้ว ... แล้วชุดล่ะ?”

      “กระโปรงยาวกรอมเท้าสุภาพเรียบร้อยแบบสตรีชั้นสูง ถึงจะเหมาะที่สุด”

      “ไม่เอา! ชุดสั้นๆ สิถึงจะเซ็กซี่ดี แล้วใส่รองเท้าหนังสูงปรี๊ดๆ แบบมีสายคาดไปคาดมาถึงเข่า ... ”

      “เดี๋ยว ฟังข้าก่อน”

      “ถุงน่องตาข่ายยาวเข้าไปใต้กระโปรง ... ฮะ อะไรของเจ้า! มีอะไรก็รีบพูดมา”

      รองหัวหน้าหน่วยเหลือกตาขึ้นมองเพดานอย่างเหลืออด เหลือบสายตามาทางข้าเล็กน้อย จากนั้นจึงค้อนให้กับหัวหน้าหน่วยของตนแล้วค่อยกล่าวว่า “นี่ท่านคิดว่าแข้งเหล็กของเทพอัศวินเทมเพสเซ็กซี่นักหรือไง”

      “แน่นอน!

      ข้าที่นั่งฟังอยู่แทบกระอักเลือดออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านอาจารย์กอดอกเชิดหน้าราวกับมั่นใจในคำตอบเป็นอย่างยิ่ง เมื่อรวมเข้ากับสีหน้าแบบ แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าไม่เห็นหรือไง ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกว่ายากที่จะขัดความคิดของเทพอัศวินองค์นี้ ... แน่นอนว่าข้าไม่มีทางเห็นด้วย! ... ท่านอาจารย์ ท่านคิดผิดแล้วล่ะ

      และความอดทนของคนเราย่อมมีขีดจำกัดเมื่อคนที่ทำหน้าตายอยากตวาดขึ้นว่า

      “ท่านกรุณาตรวจสอบร่างกายลูกศิษย์ท่านดีๆ มิเช่นนั้นเกรงว่าบังเอิญเรื่องที่ข้าไปตรวจสอบร่างกายศพที่ท่านไหว้วานมาอาจแพร่ออกไปได้”

      ท่านอาจารย์หน้าเปลี่ยนสีทันที แววตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอน ... กับแค่เรื่องแบบนั้นมันน่ากลัวตรงไหนน่ะเหรอ? ศพไม่ได้น่ากลัวหรอก แต่เป็นเทพอัศวินเทอร์มิสต่างหากที่น่ากลัว ... ถ้าข้าจำไม่ผิดเรื่องตรวจศพครั้งนี้ จัดเป็นความลับยิ่งใหญ่ทิ่อยู่ในสถานที่ที่ลับเอามากๆ ดังนั้นเทพอัศวินเทมเพสจึงได้รับคำสั่งให้ออกโรงเอง แต่ท่านอาจารย์กลับส่งรองหัวหน้าหน่วยของตนไปตรวจสอบแทนน่ะสิ!

      กลับมาที่เทพอัศวินเทมเพสที่โดนลูกน้องของตนข่มขู่ แล้วในที่สุด ท่านอาจารย์ก็ยอมเปลี่ยนท่าที

      ท่านก้มลงนั่งยองๆ ที่พื้นแล้วเพ่งพินิจท่อนขาของข้ารวมถึงเอานิ้วจิ้มลงไปบนกล้ามขาอันแข็งแรงไร้ที่ติ เทพอัศวินเทมเพสถอนหายใจเล็กน้อยก่อนยอมรับแต่โดยดี ในแววตาของท่านเต็มไปด้วยความเสียดายอย่างไม่ปิดบัง “เซ็กซี่ ... แบบผู้ชายน่ะ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงคงดูไม่ดีเท่าไหร่ เปลี่ยนเป็นรองเท้าบู๊ทแทนก็ได้ ... แบบที่นางกำนัลในวังหลวงเค้าฮิตกันน่ะ”

      ข้าไม่อยากจะบอกเลยว่าไอที่ฮิตๆ กันนั้น มีเหตุเริ่มต้นมาจากว่าท่านอาจารย์ที่เคารพของข้าเป็นผู้ออกแบบเสื้อผ้าให้กับราชินีแห่งแคว้นที่เป็นผู้นำแฟชั่นของเมืองนี้เองกับมือ ทุกปลายเดือนท่านอาจารย์จะเข้าวังหลวงพร้อมกับแบบเสื้อผ้าของเดือนถัดไปโดยให้เหตุผลว่ากำลังทำงานสืบข่าวอยู่ ... อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่นอนว่าสิ่งที่อยู่ในมือของท่านแทบจะเรียกได้ว่าเป็นตัวกำหนดอนาคตเสื้อผ้าของคนทั้งแคว้นที่ข้าจะได้เห็นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า! ... และจึงเป็นที่มาของคำว่า ”อนาคตอยู่ในกำมือเรา” ของเทพอัศวินเทมเพสองค์ที่ 37 ... และเหมือนเมื่อวานเหมือนข้าจะได้ยินท่านบ่นงึมงำว่าสมัยนี้มันต้องวินเทจ

      ณ ปัจจุบัน ท่านอาจารย์กำลังอธิบายเพื่อขอชุดเปลือยไหล่กับรองหัวหน้าหน่วยของตนอยู่

      “ข้าอยากได้ชุดแบบนั้น ข้าเข้าใจว่าศิษย์ของข้าควรจะมีท่อนแขนที่เล็กกว่านี้ ข้าเองก็ไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน เจ้าจะคิดยังไงก็เรื่องของเจ้า แต่เป็นข้า ข้าคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคนที่ปิดเนื้อปิดกายไม่เห็นผิวพรรณสักตารางนิ้วik;กับแม่ม่ายแบบนั้นหรอก ... ต่อให้ข้าต้องใช้สายตาลวนลามนางทั้งวันก็เถอะ!... แค่เหล่เถอะขอรับ

      รองหัวหน้าหน่วยลังเลเล็กน้อยก่อนพูดเหมือนยื่นคำขาดว่า “มันก็จริงของท่าน แต่ข้าคงต้องใช้ผ้าคลุมไหล่แบบบางช่วยหน่อยล่ะ ห้ามเห็นทั้งหมดเด็ดขาด” และแม้ท่านอาจารย์จะมีท่าทีไม่พอใจแต่ก็ยอมรับโดยดีและแอบบ่นเล็กน้อยว่า “ล้าสมัย”

      ข้านั่งฟังพวกเขาสองคนเถียงกันไปอีกนานจนกระทั่งมีคนมาวัดหุ่นข้าแล้วหันไปพูดกับท่านอาจารย์ว่า “ต้องใส่โครงเหล็กแล้วสวมคอร์เซ็ทเสริม” ข้าที่จะอ้าปากเถียงถูกขัดขึ้นมาด้วยคำว่า “เจ้าว่ายังไงก็ตามนั้นแหละ”

      ข้า ... ต้องสวมคอร์เซ็ท? อา ไม่ไหวแล้ว ข้าอยากจะไปกราบแทบเท้าของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเดี๋ยวนี้เลยล่ะ!

      ในที่สุดเหมือนท่านอาจารย์จะสังเกตเห็นสีหน้าที่อยากจะร้องไห้ของข้าจึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “ซีโอ เจ้าเป็นอะไรไป หรือเจ้าไม่สบาย?”

      “ท่านอาจารย์ ข้าไม่เห็นความจำเป็นแม้แต่น้อยที่จะต้องแต่งตัวเป็นสตรีเช่นนี้”

      “ซีโอ เจ้าพูดอะไรน่ะ! ข้าบอกเจ้าไปหลายครั้งแล้วนะว่าหากเจ้าต้องการรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง เจ้าจะต้องปลอมแปลงตนแล้วเข้าไปหาข้อมูลหรือสืบข่าวสารด้วยตนเอง แล้วถ้าเจ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมารู้มั๊ยจะเป็นยังไง เจ้าจะทำให้วิหารเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเสื่อมศรัทธายังไงล่ะ!

      ... ไม่ใช่เพราะท่านสนุกกับการ เล่น ข้าเหมือนเล่นตุ๊กตาหรือ? ถึงแม้ข้าอยากจะตอบไปอย่างนั้นใจจะขาดแต่ท่านอาจารย์ก็ไม่เปิดช่องให้ข้าพูดอยู่ดี

      “แล้วนี่เป็นงานสุดท้ายของเจ้าก่อนที่จะดำรงตำแหน่งเทพอัศวินเทมเพสองค์ที่ 38 ด้วย ถ้าเจ้าอยากทำให้ตัวเองได้ชื่อว่าชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิง ก็ลองทำงานนี้พลาดดูสิ! เอ๊ะ หรือเจ้าอยาก”

      “ไม่ขอรับ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นผู้หญิง”

      “เด็กน้อยเอ๋ย บางครั้งบางคราวเทพเจ้าแห่งแสงสว่างก็สร้างความจำเป็นบางอย่างที่บังคับให้สถานการณ์ยากต่อการจัดการได้ ซึ่งเจ้าก็คงรับรู้ได้ว่านั่นคือความปรารถนาดีขององค์มหาเทพ ดังนั้นเจ้าเองก็ควรเตรียมพร้อมที่จะรับเจตจำนงอันงดงามนั้น”

      ... ถึงข้าจะไม่ค่อยเข้าใจสักไหร่แต่ท่านก็คงอธิบายให้กระจ่างแจ้งกว่านี้ไม่ได้สินะ ... ส่วนมากเวลาที่ท่านพูดถึงเทพเจ้าแห่งแสงสว่างทำไมข้ารู้สึกว่าประโยคนั้นยากแก่การเข้าใจไม่ต่างจากเทพอัศวินครีอุสเป็นคนพูดเลยนะ

      ข้าหลั่งน้ำตาเงียบๆ อยู่ภายในใจแล้วเข้าไปดื่มด่ำอยู่ในโลกส่วนตัวที่ไม่มีใครเคยเข้าถึง ไม่สิ เพราะถึงยังไงก็ไม่มีใครคิดจะสนใจความต้องการของข้ากันอยู่แล้วนี่!

      สิ่งสุดท้ายที่ข้าสนใจคือคำพูดของท่านอาจารย์ที่ว่า “ถ้าเจ้าทำสำเร็จ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเป็นเทพอัศวินเทมเพสที่เยี่ยมยอดได้!” ... ใช่ แต่ตอนนี้ข้ายังเป็นว่าที่เทพอัศวินเทมเพสที่ต้องใส่คอร์เซ็ทอยู่น่ะสิ!

      หลังจากผ่านเก้าคืนสิบวันอันโหดร้ายที่ข้าต้องฝึกเป็นผู้หญิง ... ไอที่เรียกว่า น่าอายสุดๆ ตั้งแต่เกิดมาข้าเพิ่งจะรู้สึกก็ในวันนี้แหละ ... ถึงแม้ว่าใครหลายๆ คนจะชมว่าข้างามอย่างโน้นข้าสวยอย่างนี้ก็เถอะ ข้าก็ไม่สามารถยิ้มรับคำเหล่านั้นได้แม้แต่น้อย ถ้าข้าทำแบบนั้นก็คงเป็นอมนุษย์ปลอมตัวมาแล้วล่ะ!

      ข้าจะเผยรายละเอียดการฝึกซ้อมเล็กๆน้อยๆในการฝึกให้ฟังแล้วกัน

      ... อย่างแรก ภาพลักษณ์เปี่ยมเสน่ห์

      ข้าก้มหน้าลงเล็กน้อยปล่อยให้ผมหน้าที่เพิ่งตัดเสร็จตกลงมาปิดบังสายตา และเหลือบตาขึ้นเพื่อให้สามารถมองในรัศมีได้ไกลกว่า 5 เมตร มือทั้งสองข้างกอดอกหลวมๆ และสัมผัสได้ถึงความแข็งภายใต้เสื้อผ้า ... โครงเหล็ก

      “ใช่แล้วอย่างนั้นแหละ คนที่มองจะนึกถึงโฉมงามที่กำลังซ่อนตัวอยู่ หลุบตาลงด้วยห้ามมองอะไรทั้งนั้นเหมือนเจ้ากำลังสร้างเขตแดนที่ไม่มีใครรุกล้ำเข้ามาได้”

      ข้ายิ้มอย่างขมขื่นให้กับประโยคหลัง แบบนั้นข้าถนัดอยู่แล้ว และทันทีที่ริมฝีปากข้ายกขึ้นเพื่อสร้างรอยยิ้ม ...

      “เจ้าช่วยอย่าแสยะอย่างนั้นได้มั๊ย ยิ้มอ่อนๆ พอ ... เผยอปากเล็กน้อยด้วย!

      บ้าจริง ข้าไม่ได้แสยะสักหน่อย ดูยังไงของเจ้าเนี่ย! ท่านอาจารย์หันหลังไปหัวเราะ แล้วมองมาที่ข้า มือชี้ไปที่ริมฝีปากตน นั่นทำให้ข้าอายอยู่มิใช่น้อย ร้อยทั้งร้อยข้าเชื่อว่าท่านอาจารย์เป็นคนคิดแผนการนี้ขึ้น ... เพื่อแกล้งข้า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุการณ์ประหลาดคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน แต่ที่เคยหนักสุดก็คือ ข้าต้องปลอมตัวเป็นขอทานที่คลานบนพื้นวนรอบเมืองลีฟบัด ช่างโหดร้ายเป็นที่สุด ตอนนั้นผิวข้าไหม้เกรียมเลยล่ะ!

      เอาเถอะ ถึงอย่างไรท่านอาจารย์ก็ไม่เลิกแกล้งข้าอยู่ดี!

      ... อย่างที่สอง กริยายั่วยวน

      ข้ามองอุปกรณ์เครื่องดื่มมึนเมาสีแดงสวยตรงหน้าอย่างเหม่อลอย เคลิบเคลิ้ม

      ข้ายกแก้วไวน์ที่อยู่ในมือขึ้นมาจิบแล้วแสดงสีหน้าพึงพอใจก่อนจะดื่มอีกครั้ง ครั้งนี้ข้ายกแก้วขึ้นสูงเพื่อให้ไวน์แดงสายหนึ่งไหลจากมุมปากจนถึงต้นคอ ข้าสงสัยเล็กน้อยเมื่อท่านอาจารย์เดินเข้ามาใกล้ๆ ด้วยรอยยิ้มแบบที่ใช้ดึงดูดสตรีให้มาติดกับแทบนับไม่ถ้วน ... และใกล้ซะจนข้าเป็นฝ่ายผงะออก แต่ท่านอาจารย์รวบตัวข้าดึงเข้ามาประชิดแล้วก้มลงเลียไวน์แดงที่ไหลเป็นทางบนคอข้า!

      “หัวหน้า ท่านทำอะไรน่ะ!” จากมุมของรองหัวหน้าหน่วยที่มองจากด้านหลังคงเป็นภาพที่...สุดๆ และก็ทำให้ท่านอาจารย์หันหลังกลับไปตอบว่า “แกล้งเด็ก” โดยที่ยังมีข้าอยู่ในอ้อมแขน จากนั้นจึงกระซิบข้างหูข้าว่า

      “ปกติพอข้าเอาสาวงามเข้ามาใกล้จนตัวติดกันเจ้าก็จะหาเรื่องวิ่งหนีทันที แต่พอข้าเอาชายงามซึ่งก็คือตัวข้าเองเข้ามาใกล้ เจ้ากลับนิ่งไปซะงั้น ... ”

      “หยุดนะ ท่านจะทำอะไรลูกศิษย์ของท่านน่ะ” ... ยิ่งพูดเหมือนยุเมื่อท่านอาจารย์ยกมือมาจับและกดหัวของข้าแทน แน่นอนว่าข้ารั้งตัวไว้สุดขีดเพื่อไม่ให้ท่านอาจารย์ที่โน้มหัวเข้ามาใกล้ได้ ... ทำอะไรที่น่าสยดสยองกับข้า แต่ที่สำคัญ ท่านรองหัวหน้าหน่วยยืนหน้าซีดเผือดอยู่ด้านหลัง จากมุมนั้นคงเห็นเป็น ... !!

      “รู้มั๊ย หน้าของเจ้าตอนขัดขืนนี่ ... ยั่วยวนออย่างแรง” ท่านอาจารย์กระซิบให้ข้าได้ยินเพียงคนเดียว แถมยัง ... เลียแก้มข้าด้วย! มากไปแล้วนะ ข้าตวัดขาออกไปด้วยความรู้สึกหมั่นไส้เต็มที่ แต่ท่านอาจารย์ถอยหลังกลับ หลบทันด้วยความเร็วแบบเทพอัศวินเทมเพสและข้าก็ทันสังเกตว่าท่านอาจารย์เลียริมฝีปากด้วยแววตายิ้มกริ่มเป็นเชิงหยอกเย้า ข้าอ่านปากของท่านได้ว่า เจ้าชอบล่ะสิ ... นั่นทำให้ใบหน้าข้าร้อนผ่าวแล้วตะโกนออกไปสุดเสียงว่า

      “ข้าแค่กำลังตกใจ!

      ท่านอาจารย์เพียงหัวเราะดังลั่นกับคำของข้า ไม่ไหวแล้ว ข้าอยากจะท้าสู้ท่านอาจารย์ซะตอนนี้เลย! ... แต่คงไม่ต้องแล้วล่ะ เมื่อผู้เปิดหลักสูตรเคร่งครัดแก่ข้าหิ้วท่านอาจารย์โยนออกไปนอกประตูแถมตวาดไล่ให้ไปไกลๆอีกด้วย

      หลังเหตุการณ์สุดสยองผ่านไป ข้ารู้สึกหมดแรงอยากกลับห้องไปพักแล้ว ... แต่คอร์สเรียนนั้นยังไม่จบ

      ... อย่างที่สาม วิธีเชิญชวน

      ช เชิญชวน ? ข้าไม่ได้ฟังผิดใข่มั๊ย ใครก็ได้ช่วยบอกว่าข้าฟังผิดที ... เหมือนท่านรองหัวหน้าหน่วยจะรู้ว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่จึงส่ายหน้าตอบให้ด้วยรอยยิ้มจริงใจสุดๆ ... พวกท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ บอกข้าที ข้าอยากกลับไปสู่ชีวิตสามัญปกติธรรมดาจะตายแล้ว ให้ข้าตรวจกองเอกสารสูงเมตรครึ่งแทนท่านอาจารย์ก็ยังได้!

      “ไม่ยากหรอก ยิ่งเจ้าที่เป็นว่าที่เทพอัศวินเทมเพสด้วยแล้ว ... เจ้าคงจะเข้าใจอารมณ์ของหญิงสาวที่เจ้าเคยโปรยเสน่ห์ให้ เจ้าคงเคยสังเกตเวลาที่นางแสดงท่าทางต้องการชวนเจ้าขึ้นเตียง เจ้าก็แค่ต้องทำแบบนั้นเท่านี้เอง”

      “... ”

      “เฮ้ย เจ้าร้องไห้ทำไม”

      “... ฮือ”

      “บอกข้าซิว่าเจ้ายังเป็นว่าที่เทพอัศวินเทมเพสอายุเกือบยี่สิบปีที่ยังบริสุทธิ์อยู่” ... ใช่ขอรับ!

      คนเฝ้าประตูนั่งรับลมอย่างใจลอย เพื่อนของเขากลับกันไปหมดแล้ว หน้าที่ของพวกเขาคือคอยรับท่านหญิงท่านชายผู้เป็นแขกมีเกียรติของคฤหาสน์หลังนี้ แล้วในเมื่อดึกป่านนี้แขกทยอยมากันจนครบแล้วก็คงไม่มีอะไรให้พวกเขาต้องรออีก ... ใช่ไหม?

      เขาสะดุ้งตกใจเมื่ออีกหนึ่งขบวนรถม้าสีขาวก้าวออกมาจากแนวป่าอย่างไม่รีบร้อนเท่าที่ควร เป็นการมาเยือนที่เงียบกริบจนน่าประหลาดใจ และทันทีที่รถม้าหยุดจอด สตรีผู้หนึ่งก็ก้าวลงมาจากเกวียนที่นั่งจนเขาแทบวิ่งไปรับมือตามหน้าที่ไว้ไม่ทัน เขาได้แต่ก้มหน้าตำหนิตนเองในใจพร้อมรอรับคำว่าของอีกฝ่าย แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเสียงก้าวเท้าที่เป็นจังหวะของอีกฝ่าย และเป็นอีกครั้งที่เขาต้องวิ่งไปขวางหน้าเอาไว้แล้วถามตามมารยาทเพื่อรอรับจดหมายเชิญว่า

      “ขออภัยที่เสียมารยาทขอรับ ไม่ทราบว่าเป็นคุณหนูท่านใดที่ได้ให้เกียรติมาเยือนสถานที่นี้?”

      ไม่มีเสียงตอบรับ ... เขาเงยหน้าขึ้นจากกระดานรายชื่อบนมือแล้วมองสุภาพสตรีผู้ที่ยังไม่ไหวติง

      ... ผ้าคลุมหน้าสีดำซ่อนนัยน์ตาของหล่อนเอาไว้ เผยเพียงริมฝีปากสีแดงสดที่แย้มออกด้วยรอยยิ้มชวนละลานตา เจ้าหล่อนเอียงคอเล็กน้อยราวกับสงสัยในถ้อยคำของเขา เส้นผมสีดำปลิวไสวกลืนเข้ากับรัตติกาลราวกับกำลังหยอกล้อกับสายลม ... สตรีปริศนาชูนิ้วเรียวยาวขึ้นทาบริมฝีปากตนอย่างเชื่องช้าเหมือนเป็นสัญญาณการตัดบทสนทนาทั้งหมด และกว่าที่ผู้เฝ้าประตูจะได้สติไปกับการเคลิบเคลิ้มในความงามที่ลึกลับเกินจะหยั่งจนถอนตัวไม่ขึ้นนั้น เจ้าหล่อนก็เดินกรีดกรายหายเข้าไปในธรณีประตู ทิ้งไว้เพียงรูปมายาที่ชวนลุ่มหลงอยู่ตรงนั้น

      ...

      และภายในห้องโถงต้อนรับที่อลังการโอ่อ่ายิ่งกว่าพระมหาราชวัง ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีม่วงเข้มยืนอยู่ตรงกลางพร้อมรับแขกด้วยรอยยิ้มแสยะและดวงตาเหยียดหยันภายใต้หน้ากากสีขาวครึ่งหน้า ทว่า ไม่มีใครกล่าวโทษเขาแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงสารพัดคำกล่าวชมเชยอย่างเท่าที่จะนึกหาได้

      บุคคลผู้นี้ ... คือผู้ที่ไม่เคยมีใครได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงมาก่อน

      เจ้าของคฤหาสน์?

      สุภาพสตรีชุดดำผู้ที่เพิ่งก้าวย่างเข้ามาในงานเลียริมฝีปากแดงสดของตนอย่างกระหาย เมื่อรวมเข้ากับนัยน์ตาสีมรกตวาววับนั้น หล่อนก็ไม่ต่างจานักล่าที่มองเห็นเหยื่ออันโอชะ

      ใช่ เหยื่ออยู่ตรงหน้าแล้ว ของจริงมันเริ่มจากนาทีนี้ต่างหาก ...

      (2)

      Artemis

      ภายใต้ปีกแห่งรัตติกาลที่สยายปกคลุมท้องฟ้า แมวดำแสนกลก็ออกมาเดินเล่นท่องราตรี ... แต่ละก้าวย่างแผ่วเบาล้วนงดงามชวนให้เพ้อฝัน และราวกับลวงหลอกไร้ซึ่งความจริง

      มีสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดสายตาของเขา ... สตรีสูงศักดิ์ที่ก้าวเท้าอย่างสง่างามในชุดราตรีสีดำแบบผูกคล้องคอเป็นสายๆ ยาวกรอมเท้า โดยมีระบายเป็นชั้นๆ พร้อมทั้งขอบลูกไม้ที่ขับผิวขาวซีดรวมทั้งถุงมือยาวเข้าชุด ไหล่เปลือยถูกทาบด้วยมีผ้าแพรบาง

      ใบหน้าที่ก้มลงและถูกซ่อนไว้หลังแพรบางเงยขึ้นเผยให้เห็นนัยน์ตาสีเขียวพราวระยับที่ฉายแววเจ้าเล่ห์อยู่ลึกๆ

      ข้ามองตามแผ่นหลังนั้นไปด้วยความสงสัยและสะดุดใจ คนมากมายที่เคยพบเห็นไม่มีใครที่จะดูซ่อนอารมณ์และลึกลับได้ถึงเพียงนี้ ... ทว่าความสงสัยถูกเก็บไว้ในใจเมื่อนาฬิกาส่งเสียงดังก้องกังวานบอกเวลาสามทุ่มซึ่งเป็นเวลาเริ่มงาน ทั้งงานเลี้ยง และงานที่ได้รับมอบหมายของเขา

      เขากระซิบเชิญสุภาพสตรีคนหนึ่งเป็นคู่เต้นรำ หลังจากนั้นจึงเดินขึ้นไปบนระเบียงชั้นสองและใช้ช้อนเงินเคาะแก้วไวน์จนเกิดเสียงสะท้อนเรียกความสนใจจากผู้คนให้เงยหน้าขึ้นมอง

      เขาดีดนิ้วครั้งหนึ่งเป็นสัญญาณเริ่มให้วงดนตรีเริ่มบรรเลง ผู้คนทยอยออกมาเต้นรำบนฟลอร์เป็นคู่ๆ รวมถึงเขาที่ควงคู่เต้นรำเมื่อครู่ออกมากลางฟลอร์

      เมื่อบทเพลงบรรเลงสิ้นสุดลงพร้อมกับที่สุภาพสตรีพลิ้วตัวลงในอ้อมอก หญิงสาวที่ข้าเพิ่งเต้นรำด้วยเสร็จยื่นมือเรียวออกมา และข้าก็จุมพิตมือนั้นแผ่วเบา ... ตามมารยาท

      หล่อนสบตาข้าด้วยแล้วเอ่ยว่า “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ชิดใกล้ท่านเจ้าคฤหาสน์”

      ข้าค้อมตัวลงรับคำนั้น และวูบหนึ่งที่รู้สึกถึงสายตาของใครบางคนที่มองมาอย่างตื่นตระหนกปนประหลาดใจ ... ใครกัน? ข้ากวาดสายตามองคนรอบตัว ทว่าสิ่งที่ทำให้ข้าต้องหยุดนิ่งคือมุมห้องโถงใหญ่ที่มืดสลัว

      ที่หลังม่านแดงหม่นสีกุหลาบ ... ใบหน้าที่หมดจด เส้นผมสีดำเงางามดุจไหมชั้นดีที่สยายไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าคลุมด้วยผ้าโปร่งสีดำ แพขนตาหนาทาบบนใบหน้าตัดกับผิวสีขาว และสิ่งที่ทำให้ข้าละสายตาไม่ได้คือนัยน์ตาสีมรกตที่วาววับอยู่ในเงามืดและรอยยิ้มชวนพิศวงบนริมฝีปากสีแดงสด

      เสียงเพลง เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย ... ไม่มีเสียงใดที่อยู่ในการรับรู้ข้าอีกต่อไป

      ความงามของอัญมณีที่ต้องแสงเป็นประกายไม่อาจเทียบได้กับมรกตล้ำค่านี้แม้แต่น้อย

      ข้าอดที่จะมองผ่านหน้ากากและหลงใหลไปกับรอยยิ้มนั้นไม่ได้ ความรู้สึกบางอย่างถูกปลุกให้พลุ่งพล่านและลุกโชนอยู่ภายในด้วยสายตาที่จ้องมองมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าของรอยยิ้มนั้นเริ่มเดินจากไปโดยที่สายตายังคงจับจ้องที่ข้า ... เป็นการเชิญชวน? และข้าก็เดินตามราวกับต้องมนต์สะกด

      จนกระทั่งถึงทางเดินที่ไร้ผู้คน เสียงเท้าที่ก้าวเดินเป็นจังหวะสะท้อนไปมาก็หยุดลง ข้าเดินเข้าไปหาร่างที่ยังคงหันหลังให้และรับรู้ว่าคนๆนี้สูงกว่าข้าเล็กน้อย คงเป็นเพราะรองเท้าสตรี ความเงียบเกิดขึ้นเป็นพักใหญ่และสิ้นสุดลงเมื่อมือเรียวยาวนั้นหันมาคว้าหน้ากากของข้าออกอย่างรวดเร็วจนข้าไม่ทันตั้งตัว ... และด้วยใบหน้าที่โน้มเข้ามาใกล้ เส้นผมสีดำนั้นโรยตัวลงมาจนข้าได้กลิ่นน้ำหอมเบาบาง

      ไม่ว่าจะด้วยการกระทำที่อุกอาจหรือสิ่งที่อยู่ในใจก่อนหน้านี้ ทำให้ข้าเกิดปฏิกิริยาตอบสนองกลับโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้ทัน ... ข้าทาบจุมพิตลงบนริมฝีปากสีกุหลาบของนาง มืออีกข้างโอบรอบเอวบางพลางรั้งเข้ามาให้แนบชิด ปลายลิ้นชื้นแทรกเกี่ยวกระหวัด ... นานจนข้ารู้สึกถึงเรี่ยวแรงที่หายไปของสตรีตรงหน้าจึงผละออก

      และวินาทีต่อมามือเรียวก็ฟาดฉาดจนข้าหน้าหัน และแรงของมันมากพอที่จะทำให้ข้ามึนงง ... ข้าทำอันใดผิดกัน ?

      เมื่อสายตาหันกลับมาก็ไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว ใบหน้าชายหนุ่มเผยแววตื่นตระหนก ... หรือนางจะไม่ใช่มนุษย์ ?!

      ทว่ากลิ่นหอมหวานที่ปะปนอยู่ในอากาศเพียงพอที่จะทำให้เขาสงบลง

      สายลมที่เริ่มพัดทำให้กลิ่นน้ำหอมของคนที่เคยอยู่ตรงนี้ค่อยๆ เจือจางไปจนทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นราวกับไม่ใช่ความจริงที่จับต้องได้ ข้าทำได้เพียงยืนมองความว่างเปล่าและไม่อาจละสายตาไปจากที่เดิมได้

      เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งวันมีเพียงช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่ชัดเจน

      (3)

      Tempest

      จูบแรกที่ข้าปรารถนาคือความอ่อนหวานและนุ่มนวลจากคนที่ข้ารักสุดหัวใจ ... ทว่า จูบแรกของข้ากลับเป็นการถูกจู่โจมที่รุนแรงและรุกเร้าจากเทพอัศวินอีกองค์หนึ่งที่ข้าแทบไม่รู้จัก !

      คำแรกที่เทพอัศวินเทมเพสรุ่นที่ 37 ผู้เป็นอาจารย์บังเกิดเกล้าทักเขาในรุ่งเช้าวันถัดมาคือ

      ซีโอ ปากเจ้าบวมเจ่อราวกับถูกใครจูบมา

      ข้าคงเชื่อว่าอาจารย์อุทานด้วยความตกใจจากใจจริงหากไม่ใช่ว่ารอยยิ้มและสายตาล้อเลียนกำลังประดับอยู่บนใบหน้าของท่าน ใบหน้าของข้าคงกำลังแดงก่ำด้วยเลือดที่สูบฉีดจนหน้าร้อนไปหมด ข้าถูกตบบ่าเบาๆ อย่างปลอบใจจึงเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ที่ขยิบตาให้ ... แล้วนาทีถัดมาข้าก็กอดท่านไว้พร้อมกับร้องไห้ออกมา

      ท่านอาจารย์ ฮึก ข้า ข้าถูกผู้ชายด้วยกันจูบ ฮือ

      ข้ารู้ว่ามันน่าอายแต่สุดจะทนจริงๆ เมื่อเหล่าหน่วยเทพอัศวินเทมเพสมาถึงพวกเขาต่างสงสัยว่าท่านอาจารย์แกล้งอะไรข้าถึงได้ร้องไห้เป็นการใหญ่เช่นนั้น ... แน่ล่ะ ข้าไม่เคยร้องให้ใครเห็นมาก่อนตั้งแต่เป็นว่าที่เทพอัศวินรุ่นต่อไป

      ท่านอาจารย์ปล่อยข้าให้ไปเดินเล่นได้หลังจากที่ข้าสงบลง ข้าวางแผนว่าจะปาหาว่าที่เทพอัศวินครีอุสหากไม่ใช่ว่าข้าเจอว่าที่เทพอัศวินอาร์เทมิสที่ไม่สนิทสนมกำลังนั่งรำพึงรำพันอยู่ที่ลานน้ำพุเสียก่อน

      ใบหน้าของเด็กคนนั้นดูอมทุกข์จนข้าอดที่จะเข้าไปดูไม่ได้ และหลังจากที่ข้าพยายามถามเจ้าตัวแล้วจึงได้คำตอบมาว่า ข้าหลงรักคนๆ หนึ่ง แต่นางไม่รักข้าตอบ

      ซีโอเกาหัวให้กับคำเอ่ยนั้น ... พวกโคลด์บลัดมีมุมอ่อนไหวแบบนี้เหมือนกันแฮะ

      เมื่อคืนข้าไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากท่านอาจารย์แล้วพบนางโดยบังเอิญ ... นางเป็นสตรีที่สูงมากประมาณเจ้า ... มีเนตรสีเขียวประกายระยิบระยับดุจพรายน้ำ ...

      ซีโออดคิดในใจไม่ได้ว่า หากใครเคยกล่าวไว้ว่าเทพอัศวินอาร์เทมิสเป็นจอมหยิ่งชอบพร่ำเพ้อล่ะก็ คนผู้นั้นพูดถูกแล้วล่ะ เพราะแม้ว่าคนตรงหน้าจะพึมพำจับใจความไม่ได้แต่ก็ไม่ยอมเลิกเชิดหน้ามองท้องฟ้าลงมาสบตากับเขาเลยสักครั้ง น้ำเสียงที่พร่ำอยู่นั้นก็ตวัดหางเสียงชวนให้หมั่นไส้เสียเหลือเกินว่าแต่ เด็กคนนี้ชื่ออะไรนะ

      ... ข้าคงตรอมใจหากไม่ได้พบนางอีกครั้ง หัวใจของข้าต้องถูกขโมยไปในจุมพิตครานั้นแน่ๆ

      เจ้าว่าอะไรนะ ซีโอสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินคำว่าจุมพิต สมองเร่งทำงานขึ้นมาฉับพลันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ามีเส้นผมสีม่วงเข้มที่คุ้นตา

      แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจฟังสิ่งที่คนข้างๆ พูดแต่พอนำมาเรียบเรียงแล้วมันทะแม่งๆ อย่างไรชอบกล

      สตรีชุดดำผมดำตาเขียวงานเลี้ยงคฤหาสน์ภารกิจเจ้าของงานสามทุ่มตกหลุมรักจุมพิต ... เอ๊ะ ?

      ข้าพูดว่าหัวใจของข้าถูกขโมย ... ยังไม่ทันพูดจบซีโอก็ขัดขึ้นมาก่อนเจ้าบอกว่า เมื่อคืนเจ้าไปเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงสวมหน้ากากที่จัดขึ้นทุกๆ สองปีแทนอาจารย์ที่คฤหาสน์แถบชานเมืองแล้วเจ้าไปเจอผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งและตกหลุมรักนางใช่หรือไม่!?”

      ว่าที่เทพอัศวินอาร์เทมิสอดทึ่งไม่ได้ที่ว่าที่เทพอัศวินอีกคนสามารถสรุปเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังให้เหลือได้ภายในประโยคเดียว เขาเหล่มองอีกฝ่ายด้วยหางตาอย่างปลาบปลื้มและพยักหน้ารับ

      ซีโอรู้สึกโลกทั้งใบทลายลงมาตรงหน้า

      หมายความว่า ... เจ้าของคฤหาสน์ที่ข้าต้องไปสืบว่าเป็นใคร คือเทพอัศวินอาร์เทมิส

      หมายความว่า ... เจ้าของคฤหาสน์(ตัวแทน)ที่ข้าพบเมื่อคืน คือว่าที่เทพอัศวินอาร์เทมิส

      หมายความว่า ... ข้าอาจจะโดนท่านอาจารย์ปั่นหัวเล่น

      และหมายความว่า ... ผู้หญิงที่เจ้านี่กำลังพูดถึง คือข้า!!

      และหมายความว่า ... ข้าจูบกับว่าที่เทพอัศวินอาร์เทมิส !!!

      ร่างของซีโอแน่นิ่งราวกับโดนแช่แข็ง เขารู้สึกหายใจไม่ออกและกำลังสำลักน้ำ ...

      ตึง !

      ว่าที่เทพอัศวินอาร์เทมิสรู้สึกตื่นตระหนกที่อยู่ๆ คนข้างๆ ก็ร่วงลงไปน้ำพุอย่างช้าๆ ... ผ่านไปสักพักก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะโผล่ขึ้นมาทั้งที่น้ำออกจะตื้น หรือว่าเขาต้องการฆ่าตัวตายกัน?

      เด็กหนุ่มก้มลงไปฉุดร่างของซีโอขึ้นมาจนตวัเองก็เปียกไปด้วย กระนั้นก็ยังพึมพำกับตนเอง ถึงอย่างไรข้าก็ปล่อยให้คนตายต่อหน้าไม่ได้หรอกนะ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะหายใจ เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนตัดสินใจผายปอดอีกฝ่าย พร้อมทั้งกดลงที่หน้าอกแรงๆ

      ซีโอสำลักน้ำและลืมตาขึ้น มือที่ว่างอยู่ตบผู้ที่ช่วยตนจนหน้าหันราวกับเป็นภาพซ้ำซ้อนเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ

      ก็ช่วยเจ้าน่ะสิ ... ข้าทำอะไรผิด ?!

      ซีโอหลบสายตาที่เพ่งมองมาตรงๆ เขาอดที่จะนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้ พลันใบหน้าก็สูบฉีดไปด้วยเลือด

      ขอบใจนะซีโอลุกขึ้นยืนและยื่นมือให้อีกฝ่ายที่เปลี่ยนอารมณ์ตามไม่ทัน เขามองตัวเองที่เปียกโชกและมองอีกฝ่ายที่แม้จะไม่เปียกเท่าแต่ก็ควรจะไปเปลี่ยนเสื้ออย่างน้อยเขาก็ควรตอบแทนสำหรับการช่วยเหลือ

      เอ่อ ... ข้าว่าข้ารู้จักผู้หญิงที่เจ้าพูดถึงนะ ข้าบังเอิญได้สิ่งนี้มาจากนางเมื่อนานมาแล้ว ... ข้าให้เจ้าก็แล้วกันสิ่งที่ซีโอยื่นให้คือที่คั่นหนังสือสีเงินที่มีลวดลายสวยงาม และยังเป็นเป็นหนึ่งในสิ่งของสุดรักสุดหวงของข้าด้วย

      นางไม่ใช่พวกที่อยากให้ใครพูดถึงสักเท่าไร เจ้าก็เลิกพูดถึงนางซะ ... ข้าไปล่ะ

      หลังพูดเหมือนคนไม่ได้สติเท่าไร ซีโอก็ยัดของในมือให้กับอีกดฝ่ายและเดินจากไปอย่างรีบร้อนทิ้งให้คนที่มึนงงไม่แพ้กันยืนเอ๋ออยู่คนเดียว

      ...

      ว่าที่เทพอัศวินอาร์เทมิสลูบริมฝีปากของตนเองเบาๆ สัมผัสจากการช่วยชีวิตเมื่อสักครู่ติดใจเขาอย่างน่าประหลาดพลางหวนนึกถึงคืนก่อน

      รสริมฝีปากเมื่อครู่ ...

      พลันรอยยิ้มงดงามปรากฏบนใบหน้าจนซีโอที่เหลียวมองกลับมาแอบตื่นตะลึง ว่าที่เทพอัศวินอาร์เทมิสที่มองเห็นร่างดังกล่าวยืนอยู่ไกลๆ ก็ก้าวเท้าตามมา

      เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป

      ...

      ...

      สองว่าที่เทพอัศวินยืนคุยกันอีกสักพักท่ามกลางสายลมที่ล้อมรอบ

      บางที ... มันอาจไม่ใช่เรื่องแย่อะไร










      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×