คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : ตอนที่ 33 อาชีพยาม กับคนที่ดูถูก
“อาธีน่านี่เจ้าชอบพอกับมนุษย์ยังงั้นรึ”อาร์เทมีสกล่าวถามสตรีที่พึ่งรับขึ้นมาด้วยพลัง จนมานั่งอยู่ข้างๆ
“ไม่รู้สิ ข้าแค่คิดว่าเขาน่าสนใจดีเท่านั้น”อาธีน่ากล่าวแบบส่งๆ
“แต่เจ้าครองพรหมจารีมานานกว่าข้าอีกนะ แล้วเจ้าจะทิ้งมันได้เช่นไร”อาร์เทมีสกล่าวถามผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวตน
“ข้าสละได้อยู่แล้ว เพราะข้าไม่ได้บานไว้กับแม่น้ำสติกซ์แบบเจ้า”อาธีน่าตอบแบบไม่สนใจ จนอาร์เทมีสถึงกับนำไปจิ้นเอง รู้สึกว่ายิ่งจิ้นจะยิ่งเอ็กวายแซทด์ เทพสาวถึงกับหน้าแดงจนอาธีน่าต้องมองตาขวาง สงสัยยัยนี่จะติดนิยายโรแมนซ์ที่ซื้อตุนไว้ในห้องนอนที่ปราสาทเทพแน่เลย
พอเฟตออฟไลน์ไปจากเกม เวลานั้นก็ล่วงเลยมาถึง 18:00 น.พอดี ซึ่งเป็นเวลาที่พวก NPC จะเริ่มงานเลี้ยง ฉลองโดยมีสมาคมพ่อค้าจัดให้ เป็นการสมน้ำหน้าคุณเย้ยผู้แพ้ กับฉลองให้กับผู้เล่นและเอไอที่คอยช่วยเหลือ จนกระทั่ง มียอดผู้เข้ากินฟรีกว่าแสนคน ซึ่งแน่นอน มันทำให้พวกพ่อค้าบ่นไปตามๆกัน ว่าคนที่สู้จริงดันไม่ได้กิน ไอ้พวกที่กินดันเป็นพวกกินแรงเพื่อน
“เมืองนี้ถูกเปลี่ยนไปซะแล้วนะครับ”พนักงานหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามกับเจ้าหน้าที่ตรวจสอบระดับสูงประจำเมือง
“อืม ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเมืองเริ่มต้นจะมีผู้เล่นปกครองซะแล้ว เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่เป็นแบบนี้ ระบบคงจะปรับเปลี่ยนอะไรอีกแน่ๆ”อิสที่ถูกถามเอ่ยขึ้นเป็นเชิงตอบ แม้จะบอกข้อมูลเชิงลึกให้ลูกทีมไม่ได้ แต่แค่นี้ก็น่าจะทำให้รู้ว่างานต่อไปนี้ต้องหนักแน่นอน เตรียมตัวกันไว้ล่ะ
“แล้วดีมั้ยครับ”พนักงานที่อยู่ในคอนโทรลถามบ้าง
“ดีและไม่ดี ถ้าเกิดระบบเปลี่ยนจริงๆ เราจะได้รู้กันล่ะ ว่ามันจะเปลี่ยนอะไรบ้าง กับเมืองๆนี้”อิสกล่าวจบก็เดินไปตึกของ NPC โดยมีลูกน้องเดินตามไปเป็นพรวน พวกเขาต้องเตรียมตัวรับงานแล้ว ถ้าเป็นแบบที่อิสกล่าว
ก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม ห้องออฟไลน์ที่เฟตเข้าใช้บริการ
ชายหนุ่มเดินนำหน้าอสูรทั้ง 3 เข้ามายังห้องออฟไลน์ ที่มีขนาดพอดีสำหรับ 2 ท่าน แต่ 4 คนนี้ต้องนอนซ้อนกันแล้วล่ะ
“ผมจะออฟไลน์แล้วนะครับ”เฟตหันมากล่าวกับอสูรของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย โดยเขาเองก็เดินมาหยุดที่หัวเตียงพร้อมจะออฟไลน์แล้วเช่นกัน
“อืม/ค่ะ”3 อสูรสาวพยักหน้าเตรียมพร้อม แต่นั่นทำให้เฟตถึงกับงง
“ทำไมต้องเตรียมตัวกันขนาดนั้นด้วยล่ะ ก็แค่ให้กลับมาในตัวเองนะครับ”ที่เขากล่าวถามก็เพราะอยากจะให้ 3 สาวยอมรับเองว่าจะต้องถูกผนึก แต่พอมาเห็น 3 สาวรับคำด้วยใบหน้าขึงขังก็ทำให้เฟตชักไม่แน่ใจว่าพวกเธอต้องการอะไรกันแน่
“ก่อนจะกลับเข้าร่าง ขอกินอะไรอร่อยๆ ก่อนได้เปล่าล่ะ”อนาตาเซียพูดขึ้นเป็นคนแรก ทำให้เฟตถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็น 2 อสูรสาวที่เหลือพยักหน้าเสริมคำพูดของมังกรสาว
“แล้ว จะเอาอะไรล่ะ ผมไม่ได้ซื้อมาด้วยซิ ส่วนเลือดผมก็น้อยนะ อย่ากินเลย”ชายหนุ่มถามหาความต้องการ ทำให้ 3 สาวยิ้มกริ่ม พร้อมกับไล่ต้อนจนเฟตไปนั่งลงกับเตียง
“ก็เลือด กับพลังของนายไง ไม่รู้เหรอ ว่ามันอร่อยจนพวกฉันติดใจเลยนะ”อนาตาเซียกล่าวจบก็นั่งคร่อมตักชายหนุ่ม ทำให้เฟตต้องขืนตัว ไม่ให้มังกรสาวจับกดเขาได้ ลูกผู้ชายไม่ยอมถูกกดหรอกเฟ้ย
“เอาจริงๆ เหรอครับ”เฟตหยั่งเชิงพร้อมกับใบหน้าจริงจัง กลับเป็นมังกรสาวเสียเองที่หน้าแดง
“อืม อื้อ!!!”พอตกลงเท่านั้น อนาตาเซียก็ถูกเฟตถ่ายพลังให้อย่างรวดเร็วและร้อนแรง จนเจ้าตัวถึงกับตกใจ แต่เมื่อปรับความพร้อมได้ แสงที่เกิดจากการถ่ายพลังก็ไล่โลมเลียรอบๆตัวหญิงสาวพร้อมกับมีรอยสักเพิ่มขึ้นตามร่างกาย
“นี่มัน รอยสักแห่งพลังนี่”2 สาวอุทานเมื่อเห็นรอยสักของอนาตาเซีย แต่เฟตนั้นไม่สนใจแล้ว เขาจับมังกรสาวกดกับเตียง จากนั้นก็ส่งถ่ายพลังอย่างเต็มที่ จนมังกรสาวต้องใช้มือค้ำยันไม่ให้เฟตกดตัวลงมามากกว่านี้ มิเช่นนั้นเธอได้ตายคาอกของชายหนุ่มแน่ๆ
“แฮกๆ!!!”อนาตาเซียหายใจอย่างเหนื่อยหอบ หลังจากเฟตถอนหายใจไปแล้ว
“กลับมาสู่กายและใจข้าเถิด มังกรต้องสาป”เฟตกระซิบที่ข้างหูมังกรสาวเบาๆ พร้อมกับร่างนั้นสลายกลายเป็นไอสีดำตรงเข้าสู่ร่างของชายหนุ่ม หมอกนั้นโลมเลียชายหนุ่มเล็กน้อยพอเป็นพิธี จากนั้นก็ทะลุเข้าตรงหน้าอกหายเข้าไปเลย
“คนต่อไป”เฟตหันไปหาเหยื่อ ซึ่งหญิงสาวผมขาวเริ่มคิดว่าตนขอเปลี่ยนใจจะทันมั้ยเนี่ย แต่เมื่อเฟตเดินตรงรี่เข้ามา คำค้านของเธอก็ถูกกลืนหายเข้าไปในปากของชายหนุ่ม เมื่อเจ้านายผู้ที่ความมืดเข้าครอบงำ ตอนนี้จับเธอกดเช่นเดียวกับอนาตาเซีย
“อื้อ!!!”เสียงร้องครางในลำคอของไรน่าส่งผลให้เฟตส่งพลังของตนเข้าไปมากกว่าเดิมซะอีก มากเสียจนหางของหญิงสาวสั่นไหวไปมา พร้อมกับเพิ่มจำนวนมาโดยไม่รู้ตัว
“จิ้งจอก 2 หาง”จาเนียอุทาน แต่กว่าเธอจะรู้ตัว เฟตก็มายืนต่อหน้าเธอแล้ว
“เดี๋ยวค่ะ เจ้านาย”เอลฟ์สาวรีบค้าน ซึ่งเฟตก็ทำตามที่เอลฟ์สาวว่า เนื่องจากจาเนียเป็นคนที่บอบบางที่สุดแล้วในกลุ่ม เขาจึงเทคแคร์เธอมากกว่า 2 อสูรที่มักกินเขาเป็นอาหารว่าง ขนาดเมื่อกี้ตอนที่ส่งถ่ายพลังให้ยังมีการดูดเลือดในปากเขาไปด้วยเลย
“ผมจะทำอย่างอ่อนโยนที่สุดครับ”เฟตกระซิบกล่าวอย่างอ่อนโยน ทำให้เอลฟ์สาวหนาวไปถึงหู ซึ่งกว่าจะรู้ตัว เธอก็ถูกเฟตจับนอนบนเตียงแล้ว
“อ่อนโยนด้วยนะคะ”เป็นคำพูดที่ชวนเข้าใจผิดสุดๆ แต่เฟตก็ตอบสนองด้วยจูบอันอ่อนโยน นุ่มนวล บริสุทธิ์ใจ พลังที่เฟตส่งถ่ายให้จาเนียนั้น มากกว่าอสูรตนอื่นๆ เนื่องจากเอลฟ์สาวมีร่างกายและพลังเป็นของตัวเอง
‘จาเนียได้รับการปลดความสามารถในการบินคะ’เสียงระบบรายงานพร้อมกับปีกแบบนางฟ้าสีขาวออกมาจากด้านหลังเอลฟ์สาว ทำให้เฟตต้องขยับตัวให้เธอเล็กน้อย เพื่อให้ปีกคู่นี้ออกมาได้เต็มที่
ปีกขนนกสีขาวบริสุทธิ์ 1 คู่กระพือเบาๆที่ด้านหลัง บ่งบอกได้อย่างดีว่า สิ่งนี้แหละ ที่จะทำให้เอลฟ์สาวบินได้
“อื้ม!!!”เมื่อเห็นจาเนียมีปีก ชายหนุ่มก็เสริมพลังเข้าไปอีก เผื่อจะได้อะไรเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง
‘อสูรจาเนียได้รับพลังสายประหลาดค่ะ เป็นผลให้ความสามารถเดิมอัพเกรดขึ้นค่ะ’
‘จาเนียสามารถบินได้เร็วขึ้นกว่าเดิม 1 เท่าตัว ตามกำลังการใช้งานปีกแห่งวัลคิวรี่ค่ะ’เสียงของระบบรายงานพร้อมกับปีกขนนกสีขาวอีก 1 คู่โผล่พ้นหลังอสูรสาวออกมา
เมื่อเห็นเช่นนั้นเฟตก็ปลดการส่งถ่ายพลัง เพื่อมองดูปีกทั้ง 4 ของเอลฟ์สาว
“สวยดีนะครับ”เฟตยิ้มบอกในขณะที่เอลฟ์สาวก็ยิ้มให้เช่นกัน ความสัมพันธ์ของเฟตกับเธอ รู้สึกว่าจะไกลกว่าอสูรกับเจ้านายคนอื่นๆแล้วแน่นอน
หลังจากถ่ายพลังให้จนจาเนียร้องว่าไม่ไหว เฟตก็จัดการเก็บจาเนียไว้กับจี้คริสตัล
พออสูรหายไปหมดแล้ว เฟตก็นั่งหอบหายใจพร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาเหมือนนำพุ การที่เขาถ่ายพลังให้อสูรมันเป็นการตัดกำลังผู้เล่นอย่างมหาศาลเลยทีเดียว ถ้าทำแบบนี้ข้างนอก มีหวังถูกหมากัดก็ยังตายได้ง่ายๆเลย
ชายหนุ่มนอนลงที่เตียงด้วยความอ่อนแรง พร้อมกับคิดว่าครั้งต่อไปเขาต้องทดสอบใช้อาวุธให้ได้เลย
“ลืมมอบพลังให้ข้าหรือเปล่าคะ”เป็นเสียงที่เฟตจำได้ติดหู มันเป็นเสียงในตอนที่เขาสลบนั่นเอง
“คุณ”เฟตอุทานพร้อมกับจะลุกขึ้นยืน แต่กว่าจะได้ลุก เจ้าของเสียงนั่นก็มานั่งคร่อมร่างเขาไว้เสียแล้ว ซึ่งร่างที่คร่อมก็ดันเป็นร่างของหญิงสาวช่วงโตเต็มวัยเสียด้วย
“ท่านจะกลับแล้ว ไม่คิดจะลาข้า จีอาผู้นี้เหรอ”หญิงสาวบนร่างของเฟตถามอย่างตัดพ้อ แต่การยั่วยวนนั้นกลับส่งผลตรงกันข้ามแบบสิ้นเชิง
“คุณจีอา คุณมาได้ไงอ่ะ ไม่ซิ คุณหายไปไหนมา”
“เราไม่อยากปรากฏตัวให้เทพรุ่นหลานได้ซักถามน่ะ ท่านต้องเข้าใจ เรามันเป็นเพียงเทพเก่าแก่”จีอากล่าวยิ้มๆ ขณะมองดูเฟตที่หงายคอมองเพดานห้อง เพื่อเลี่ยงจะมองร่างของเธอที่อยู่ภายใต้ชุดเดรสผ้าบางสีขาว ที่มองยังไงก็เหมือนกับไม่ได้ใส่เสื้อผ้า
“แล้วถ้าปรากฏตัวจะเป็นยังไงเหรอ”ชายหนุ่มย้อนถาม
“ก็จะเกิดสงคราม ที่อาจจะจมเมืองๆหนึ่งไปได้โดยสิ้นเชิง แต่ไม่ต้องห่วง เหตุการณ์ในเมืองนี้ข้ามีเหตุผลในการปรากฏตัวพอ”จีอารีบอธิบาย เมื่อเห็นเฟตตาโตด้วยความตกใจ
“เหตุผล ทำไมต้องใช้เหตุผลด้วยล่ะ”เฟตย้อนถาม แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่า พวกอาธีน่าก็ต้องมีเหตุผลรองรับในการปรากฏตัวก็เงียบไปโดยพลัน ดูเหมือนเทพสาวจะรู้ว่าเฟตพอรู้เรื่องบางอยู่แล้ว จึงอธิบายเหตุผลง่ายๆ
“เพราะหนึ่ง ท่านมีสร้อยคอของข้า สอง ท่านมีหลานของข้าเป็นอสูร”จีอาชี้ไปที่สร้อยคอกับหัวใจของเฟต
“สร้อยคอเช่นนี้แต่เดิมทีเป็นของข้า ถ้ำที่ท่านไปช่วยอสูรเอลฟ์ ก็เป็นถ้ำที่เทพในรุ่นข้าสร้างมาทั้งนั้น ส่วนหลานข้า ก็ไรน่านั่นไง จิ้งจอกทิวเมสเซียนเป็นลูกของไทฟอนกับอิคริสน่า ซึ่งมีศักดิเป็นหลานข้าเช่นกัน”จีอาอธิบายจบ เฟตก็ทำหน้าเข้าใจทันที ถ้าอย่างนั้นจีอาก็โผล่มาหาเขาได้ตลอดซินะ
“แต่น่าเสียดาย เหตุผลของข้าสามารถใช้ได้ครั้งเดียว”จีอากล่าวจบสร้อยคอที่เฟตสวมอยู่ก็แตกสลายกลายเป็นดิน เหลือทิ้งไว้แต่เพียงคริสตัลที่เก็บจาเนียไว้
“นามธรรมของข้ายิ่งใหญ่กว่าที่ท่านเห็นนัก”จีอาจับเฟตกดพร้อมกับก้มตัวตามไปด้วย ส่วนชายหนุ่มก็เก็บจี้คริสตัลเข้าตัวอย่างรวดเร็ว
“ข้าหวังว่าสักวันหนึ่ง ท่านจะได้มาช่วยข้านะ”จีอากล่าวจบก็จูบลงที่ริมฝีปากของเฟต ส่วนชายหนุ่มที่ถูกกดก็ตัดออฟไลน์ไปในทันที หลังจากหัวแตะหมอน
‘เฮือก!!!’ เฟตสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจหลังจากถูกตัดออฟไลน์
“โถ่เอ๋ย เสียท่าให้ผู้หญิงซะได้”ชายหนุ่มบ่นพึมพำ ปกติเขาไม่เคยตกเป็นรองผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย
“แต่จะว่าไป เกมนี้น่ากลัวจริงๆแหะ ทำได้สมจริงสุดๆ”เมื่อความรู้สึกที่ถูกจีอาจูบยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้น เฟตสัมผัสริมฝีปากเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นบิดร่างกายแล้วเดินเข้าห้องน้ำที่อยู่ในห้องรับรองแขก หลังจากชายหนุ่มล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เดินออกมาที่ห้องโถงรับแขกแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ที่ส่งภาพโลกภายนอกเข้ามาให้เห็น
“ช่างวุ่นวายจริง มนุษย์เรา”เฟตพึมพำขณะมองดูบรรยากาศยามเช้าของเมืองหลวง แม้จะเป็นเวลาเช้าตรู่แต่ผู้คนก็ลุกขึ้นแข่งขันกันแล้ว
หลังจากผมยืนบิ้วร์อารมณ์ได้สักพักก็เดินไปเขียนจดหมายฝากไว้ให้เจ้านายของผมที่กำลังนอนกรนสนั่นหวั่นไหวอยู่
เมื่อเขียนจดหมายเสร็จ ผมก็เดินออกจากห้องมุ่งไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปเอาชุดที่รถตามที่ได้เขียนบอกเอาไว้
พอลิฟต์ที่ใกล้ที่สุดเปิด ผมก็เดินเข้าไปพร้อมกับกดลงไปที่ชั้นหนึ่ง ซึ่งเครื่องอำนาจสะดวกชิ้นนี้ก็ตอบโจทที่ผมต้องการได้ ด้วยการเลื่อนลงไปชั้นล่างตามปรารถนา แต่ทว่า ยังลงมาได้ไม่ถึง 3 ชั้น มันก็หยุดแวะรับผู้โดยสารเสียแล้ว อืม รู้งี้เอาป้ายแท็กซี่มาติดดีกว่าแหะ เพราะผู้คนที่ผมคาดว่าเป็นพนักงานกำลังยืนรอใช้ลิฟต์กันเป็นจำนวนมากน่ะซิ
พวกเขาตกใจในทีแรกที่เห็นผม ก็แหงล่ะ ผมลงมาจากชั้นผู้บริหารนี่นา แต่สักพักพวกเขาก็ตั้งตัวได้ เมื่อเห็นว่าผมใส่ชุดแบบพนักงานทั่วไป เสื้อเชิ้ตหนึ่งตัว กางเกงแสลคซ์สีดำตามแบบฉบับพนักงานบริษัททั่วๆไป เมื่อผู้คนเหล่านี้เดินสายกันเข้าลิฟต์มา ผมก็พบว่าจากลิฟต์ที่เคยกว้างใหญ่ เหมาะสำหรับนอนเล่นของผมก็แคบลงไปในพริบตา ตามจำนวนของประชากรที่รกโลกเพิ่มมากขึ้น
และสิ่งที่สำคัญที่สุกก็คือ คนเหล่านี้คือเพื่อนร่วมงานกัน การพูดคุยจึงมีมาตามปกติ ซึ่งพวกเขาก็คุยกันไปต่างๆนาๆ แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจมากที่สุดก็คือข่าวนี้
“นี่รู้เปล่า เมืองเริ่มต้นทวีปตะวันออกกลางตอนนี้ดังมากเลยนะ”สตรีที่อยู่ข้างหน้าพูดขึ้นกับกลุ่มเพื่อนของเธอ อืม ..... เพื่อนของคุณคุยด้วยอยู่นะครับ หันไปสนใจเธอหน่อยเถอะ หันมายิ้มให้ผมทำไมกันเนี่ย
“อืม ฉันรู้แล้วล่ะ อยากจะรู้จักชายรูปงามที่ว่านั่นจริงๆนะ เห็นบอกว่าใช้อาวุธที่เรียกว่าตลับเกม 99 in 1 อะไรเนี่ยแหละ ผู้เล่นใหม่ทำไมถึงมีอาวุธแบบนั้นได้กันน๊า”คุณเธอร้องถามอย่างสงสัย ในขณะที่ผมเกือบจะจามอยู่แล้ว ถ้าคนๆนั้นไม่ใช่ตัวผมเอง หญิงสาวคนนี้พูดจบก็หันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง ซึ่งทำให้ผมต้องยิ้มตอบกลับบ้างตามผู้มีอัธยาศัยที่ดี ทำให้พนักงานสาวคนนี้เขินบิดไปบิดมาจนเพื่อนต้องบิดแขนเตือนคำเตือนที่ทำให้ผมสะดุ้งว่า แฟนของเธอก็ยังอยู่ในลิฟต์ด้วย อ้อ พี่หน้าเข้มข้างหน้าซินะ มิน่า ทำไมถึงเหล่มองผมบ่อยจัง
“พี่เป็นพนักงานใหม่เหรอครับ ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้าเลย”พนักงานชายที่ยืนอยู่ข้างๆผมอยู่ๆก็เอ่ยถามออกมาซะงั้น แต่ก็ดี ดีกว่าถูกคนอื่นส่งสายตาพิฆาตมาให้
“ก็ไม่เชิงครับ พอดีเจ้านายผมเขามาที่นี่ผมเลยต้องมาด้วย”ผมตอบพร้อมกับโยนทุกอย่างให้คุณชิออน จากนั้นก็มองดูลิฟต์ที่ต้องการให้ลงไปถึงชั้น 2 สักที แต่ก็นะ จากชั้นสูงสุดกว่าจะลงไปถึงต้องใช้เวลาหน่อย
“เจ้านายพี่เหรอครับ สงสัยเขาคงมาทดสอบเครื่องที่ชั้น 35 มั้ง พี่คงเหนื่อยแย่เลยนะครับ ที่ต้องมาตามเจ้านายไกลขนาดนี้”พนักงานหนุ่มคนเดิมชวนคุย นั่นแหละที่ทำให้ผมอยากจะลงไปให้ถึงไวๆ นี่มันคุยมากไปแล้วเฟ้ย
“ครับเจ้านายผมก็ประมาณนั้นครับ แต่ผมไม่ได้เหนื่อยอะไรหรอกครับ กลับสดชื่นด้วยซ้ำ”ผมพยายามตอบเท่าที่ถาม แต่เจ้าหนุ่มคนเดิมก็ชวนผมคุยเรื่อยๆ จนผมเหนื่อยที่จะตอบ
ในขณะที่ผมโต้ตอบกับชายคนนี้ พนักงานคนอื่นๆที่อยู่ในลิฟต์ด้วย ต่างพากันเงียบกันหมด แถมยังเหล่มามองผมเป็นระยะๆอีก หึ ถ้าเจอกับเจ้านายผมคงไม่ไหลตายไปกันเลยหรอกนะ
“กลับบ้านแล้วเหรอพี่ เสียดายจังถ้าผมรู้ว่าพี่ประจำอยู่เมืองไหนนะ ผมจะไปร่วมธุรกิจกับพี่แน่ๆเลย พี่คุยสนุกมากครับ”ชายหนุ่มยังคุยเป็นต่อยหอยเหมือนเดิม แม้จะเดินออกมาจากลิฟต์แล้วก็ตาม ผมที่ถูกเดินตามมาถามหันมาตอบด้วยรอยที่คิดว่าน่าจะใช่ยิ้มนะ
“ตอนนี้ผมอยู่เมืองเริ่มต้นครับ กำลังพักฟื้น (เหนื่อย) อยู่”ตอบได้เช่นนั้นผมก็หันไปเดินด้วยท่าทีปกติต่อ ลอบบี้ของที่นี้นี่ใหญ่เอาการเลย ไม่ต้องสืบเลยว่าอาคารทั้งหลังจะใหญ่ขนาดไหน มิน่าล่ะทำไมถึงจัดการรองรับแขกได้ถึง 5 พันคน
“เข้าเทรสงานที่เมืองเริ่มต้นสินะครับ ถ้ายังไงผ่านแล้วก็มาที่เมือง ธารวาส ได้นะครับ ผมประจำเมืองนั้นอยู่”ชายหนุ่มยังคงพูดเป็นต่อยหอยเหมือนเดิม แม้จะห่างกันมามองแล้ว ผมลอบมองพวกพนักงานที่ลงลิฟต์มาด้วยกัน พวกเขายังทำท่ารำคาญแทนผมเลย อืม.... พูดมากอย่างงี้ เหมาะไปคุยทอร์คโชว์จริงๆ
ส่วนผมก็ต้องคอยตอบคำถามชายหนุ่มคนนี้ไปเรื่อยๆ จนเขาขอแยกตัวไปขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน นั่นแหละ ผมถึงจะได้พักปากบ้าง คนบ้าอะไรพูดเก่งชะมัด
ผมเดินตรงไปที่รถเพื่อเอาของทันที เมื่อเอาชุดสำรองเสร็จผมก็หันหลังกะจะกลับเข้าตึกทันที แต่แล้ว ชายที่ยืนทำหน้าบูดเบี้ยวอยู่ที่ตู้ขาวๆด้านหน้าบริษัทแห่งนี้ ก็ดึงสายตาของผม ไปจนหมด ทำให้ผมต้องเดินเข้าไปหาเขาอย่างห้ามขาตัวเองไม่อยู่
“เป็นอะไรครับ”ผมเดินเข้ามาถามชายที่ใส่ชุดซาฟารีทันที ทำให้ชายที่ถูกถามหันมามองมองรวดเร็ว
“น้องชาย อยู่ในบริษัทนี้ใช่มั้ย”ชายวัยกลางคนพูดด้วยเสียงคล้ายคนโกรธอะไรสักอย่าง
“ครับ”ผมตอบขณะนึกว่าเมื่อคืนนอนที่นี่ก็คงเรียกได้ว่าอยู่ล่ะมั้ง
“น้องชายอยู่แทนพี่สักพักสิ พี่มีธุระด่วนมาก ถ้าพี่ไม่ได้ไปตอนนี้ มีหวังต้องมีคนตายแน่ๆ”ชายวัยกลางคนยังคงพูดด้วยใบหน้าซีเรียส จนผมรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ต้องรีบพยักหน้าให้ ไม่งั้นเขาอาจจะทำให้ผมนี่แหละ ตายเป็นคนแรก
“ขอบใจมากนะน้องชาย ถ้าจะให้ดีเอาเสื้อตัวนั้นใส่ทับด้วยล่ะ”ชายวัยกลางคนกล่าวแล้วชี้ไปที่เสื้อซาฟารีตัวหนึ่ง พอชี้จบชายผู้นี้ก็เดินดุ่มๆไปทางสถานที่แห่งหนึ่งที่มีป้ายติดไว้อใกล้ๆตัวอาคารว่า ‘ห้องน้ำพนักงานชาย’
“ขอให้มีความสุขครับ”ผมโบกมือล่าพี่ชายต่างช่วงอายุอย่างอารมณ์ดี ต่างกับชายวัยกลางคนทีหันมาแยกเขี้ยวให้ จากนั้นก็วิ่งจู้ดเข้าไป จนเกือบจะถอดกางเกงทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
“สงสัยสมภูมิจะเดือดเด็ดเผ็ดร้อนแหะ”ผมพึมพำเมื่อได้ยินเสียงแว่วๆมาจากในห้องน้ำ แม้ระยะจะห่างกันมาก แต่หูของผมที่มีประสิทธิภาพเหมือนของหมาก็ทำหน้าที่ได้ดีจนผมภูมิใจ แต่โชคดีจริงๆที่ยังไม่ได้กินข้าว
เมื่อรับปากช่วยแล้วก็เลยเอาเสื้อของพนักงานซีคิวมาสวมแล้วนั่งลงที่ป้อมยามตามคำขอ
ในขณะที่ผมนั่งเล่นๆด้วยความเซ็งไม่มีอะไรทำ สายตาก็เหล่ไปเห็นหนังสือปกแข็งขนาดใหญ่ที่ขึ้นป้ายว่าประวัติพนักงาน มันเป็นการเซฟว่าพนักงานของบริษัทนี้มีที่มาที่ไปดี สามารถตรวจสอบได้ตลอด ผมจึงถือวิสาสะเอามาอ่านฆ่าเวลา ตอนนี้ผมเป็นพนักงานแล้วนี่
หลังจากอ่านได้สักพัก ผมก็เห็นคนๆหนึ่งทีคุ้นตา จากนั้นก็กดโทรศัพท์โทรออกทันที
“ช่วยหารายชื่อทะเบียนของรหัสประชาชนนี้หน่อยครับ รหัสคือ …….”ผมกรอกไปตามสายอย่างฉับไว ประกันมันต้องเคลมเร็ว เมื่อปรายสายหาเจอแล้วผมก็ขออีกคำถามหนึ่ง “ครับ ดูประวัติให้ผมหน่อยครับ”
หลังจากได้ข้อมูลตามที่ต้องการแล้ว ผมก็วางสายแล้วกดเปลี่ยนไปโทรหาเลขาของเจ้านายแทน
“สวัสดีค่ะ ท่านผู้บริหารเงา”เสียงหวาดใสกรอกตามคู่สายกลับมา
“สวัสดีครับพี่นิด พี่นิดช่วยดูบัญชีผมหน่อยได้มั้ยครับ”ผมพยายามไม่สนใจสิ่งที่คู่สนทนาเรียกผม
“บัญชีประธานใหญ่แห่งบริษัท DarkFate Security ปัจจุบันนี้มีเงินเข้าออกตลอดตามตำแหน่ง แต่เงินมั่นคงประกันของท่านคือ 50 ล้านค่ะ ส่วนบัญชีประจำตัวของคุณ รู้สึกว่าจะเหลือ 3 ล้านค่ะ หักจากงานบริจาคแล้ว เศษที่เหลือจะเป็นที่ได้จากงานรับจากจิปาถะ”พี่นิดตอบกลับมาหลังจากตรวจสอบข้อมูลให้แล้ว อืม เลขาของเจ้านายดีจริงๆแหะ มีข้อมูลบัญชีด้วย แต่ก็นะ ก็เธอเป็นคนในบริษัทนี้มานาน นานเสียจนผมกล้าไว้ใจให้เธอตรวจสอบบัญชี โดยไม่ต้องกลัวถูกหักหลัง
“งั้นช่วยโอนเงินจำนวน 2 แสนของบัญชีผม ไปยังหมายเลขบัญชีนี้ทีนะครับ ถ้าจะให้ดีส่งพนักงานแทนตัวไปเซ็นรับรองการผ่าตัดด้วยเลย แล้วแจ้งหมอไปว่าผมจะรับผิดชอบเองถ้าเกิดอะไรขึ้น รวมไปถึงค่ารักษาพยายามอื่นๆด้วยน่ะนะ”ผมกล่าวโดยไม่เสียดายเงินจำนวนที่เรียกว่าทำให้ขนหน้าแข้งร่วง
“ทำบุญอีกแล้วเหรอคะ”ปลายสายถามกลับมาอย่างรู้กัน
“ประมาณนั้นครับ”ผมเลี่ยงจะตอบ แต่ผมก็รู้ดีว่าพี่นิดต้องรู้ว่าจริงไม่จริง เพราะเขารู้ประวัติผมดีเนื่องจากเป็นคนสนิทของนายท่านและคุณนายนิภา
“งั้นต้องการให้นำเงินปันผลของตำแหน่งเข้าบัญชีเลยมั้ยคะ จะได้มีเงินเหลือพอใช้จ่าย”พี่นิดถามกลับ ซึ่งผมก็ตอบปฏิเสธไปอย่างรวดเร็ว หึ จะให้เอาเอาเงินหุ้นจากบริษัทของคุณสิริภพงั้นเรอะ ฝันไปเถอะ ยอดเงิน 50 ล้านอะไรนั่นถือว่ามากสำหรับลูกผู้ชายอายุเท่าผม แต่ถ้าพูดกันตามหลักตำแหน่งที่ผมนั่งแท่นอยู่ก็สมควรแล้วล่ะ
บริษัท DF มีสาขารับงานไปทั่วทั้งประเทศ และมีหุ้นกับทุกบริษัท ที่ธำรงพักตร์ ดิ คอปเปอร์เรชันเข้าช่วยเหลือ เอ่อ มันเป็นธุระกิจน่ะ ผมไม่ได้ลอบบี้ใครเลยสักคน ก็พวกเขาอยากจะได้มาตรฐานงานของบริษัท Security เองนี่นา
หลังจากตอบปฏิเสธไปแล้ว ผมก็ได้ยินพี่นิดเขาบ่นถึงว่าทำไมไม่เอาเงินเข้าบัญชีส่วนตัวบ้าง ผมก็เลยฟังต่ออีกสักพัก เมื่อเห็นว่ามันออกทะเลผมก็เลยเบรกด้วยข้ออ้างว่ามีงานต้องทำ
พอวางสายได้ผมก็ถอนหายใจ มันอะไรกันนักหนากับเงินของผม แค่ผมไม่เอาเงินของตำแหน่งมาใส่บัญชีของตัวเองมันแปลกนักเหรอ ถึงมันจะแปลกที่คน 2 คนเป็นบุคคลเดียวกัน แต่มันก็เป็นแค่หัวโขนชนิดหนึ่ง ตำแหน่งประธานบริษัทอะไรนั่นมันเป็นการร่วมมือสร้าง ถ้าผมเก็บเงินเข้ามาคนเดียว มันก็เหมือนกับคนโลภมากน่ะซิ ดังนั้น ผมจึงปล่อยไว้ให้มันเป็นเงินทุนของบัญชีกลาง เอาไว้ให้พวกพนักงานที่เดือดร้อนทั้งหมดในบริษัทได้กู้ยืม
ผมบ่นในใจไปพร้อมกับอ่านสมุดปกแข็งจนกระทั่ง สายตาผมเหล่ไปเห็นรถคันหนึ่งที่น่าจะมาจอดได้สักพักแล้ว แต่อารมณ์ในขณะนั้นไม่ค่อยดี จึงขี้เกียจเปิดให้อ่า (เพลินนั่นแหละ)
“ยาม เปิดประตูสิวะ นั่งหลับหรือไง”เสียงของบุรุษที่นั่งอยู่ในรถซีดานพูดอย่างไม่สบอารมณ์หลังจากมาจอดที่หน้าทางเข้าด่านประตูที่ผมคุมอยู่นานแล้ว
“ขอโทษครับ”ผมกล่าวขอโทษแล้วรีบเข้าไปเปิดประตูให้ ซึ่งรถแฟมิลี่คันนี้ก็วิ่งไปหาที่จอดที่สุดแสนจะโล่ง พอจะจอดได้เป็นร้อยๆคัน
“แหม คนรวยนี่ดีจังว่ะ มีรถหรูๆด้วย”หลังจากจอดแล้วลงรถเสร็จ ชายคนนั้นก็พูดอะไรคนเดียวพร้อมกับเดินมาหาผมที่ตู้ยามสีขาวนี้ “นายทำงานไม่ได้เรื่องเลยนะ ไม่รู้หรือไงว่าฉันรีบ”ชายหนุ่มเดินเข้ามาต่อว่าทันที ทำให้ผมต้องปรายตามอง แล้วคิดย้อนถามมันกลับไปว่า ถ้าเมิงรีบแล้วจะเดินกลับมาด่าตรูทำไม
“เดี๋ยวก่อน รอให้ฉันได้คบกับคุณหนูริน (ชื่อเล่นริเรียน่า) ก่อน แล้วฉันจะปลดยามที่ไม่ได้ความอย่างพวกแกออกไปให้หมด คนอะไรจ้างไปก็เปลืองตัง เขาให้มาเฝ้ายามดันมานั่งหลับ”เอ้า ไอ้นี่ ไม่รู้จักยามหลับยามนอนซะแล้ว แต่ผมก็ฟังเฉยๆนะ โดยปล่อยให้ชายคนนี้ยืนด่าต่อไป ซึ่งเขาก็ดูจะชอบใจแหะ เล่นด่าซะไม่เกรงใจใครเลย ส่วนพวกพนักงานที่พึ่งเข้ามาก็ทำความเคารพชายผู้นี้กันใหญ่
“สวัสดีครับ คุณประสิทธ์”ชายวัยกลางคนที่พึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้าสบายใจทักทายชายผู้นี้ด้วยน้ำเสียงนอบน้อม แต่สักพักก็เหงื่อออกหน้าซีดๆ พร้อมกับยืนตรงทำความเคารพ
“นี่ลุง ลุงเอาคนใหม่เข้ามาแล้วทำไมไม่สั่งสอนให้ดี ปล่อยให้มันนั่งหลับ”ชายหนุ่มที่ชื่อประสิทธ์ยังคงยืนว่าอย่างไม่เกรงใจใครเช่นเดิม
“เขาไม่ใช่ยามแบบผมหรอกครับ ผมแค่ให้เขามาช่วยแทนผมชั่วคราวน่ะ พอดีผมท้องเสียนิดหน่อย เมื่อเช้าเมียทำกับข้าวผิดผีไปนิดนึง”ชายวัยกลางคนพยายามพูดให้ขำ แต่ชายตรงหน้ากลับทำหน้าปูเลี่ยนด้วยความรังเกียจ ทำให้ผมนึกออกมาจากใจว่า คนในเมืองที่เจริญแล้ว เขาทำกันแบบนี้เหรอ แต่เมื่อนึกดูอีกทีก็รู้สึกว่าเหมือนพี่หมีหรั่งอะไรนั่นเลย บ้าอำนาจกันทั้งนั้น
ชายที่ชื่อประสิทธ์ประสาทอะไรนี่ตามที่ผมอ่านเจอเมื่อตะกี้รู้สึกว่าจะเป็นผู้ช่วยผู้จัดการที่พึ่งจบใหม่จากนอก ไฟจึงแรงเป็นธรรมดา ส่วนข้อมูลการทำงานโดยรวม ผมยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะข้อมูลเขาไม่ได้ให้เป็นเชิงลึกขนาดนั้น
“นี่ลุงหนีเวรยามเหรอ เขาจ้างให้ลุงมาเฝ้ายามนะ ดันแอบหนีไปนู่นไปนี่ได้ยังไง”ชายที่ชื่อประสิทธ์ยังคงด่าอย่างเมามันส์ในอารมณ์ คนอารมณ์ขึ้นแล้วยังไงมันก็ไม่สนใจใครหน้าไหนหรอก ผมฟังชายคนนี้ด่าพร้อมกับหันไปมองพวกพนักงานที่เดินเลี่ยงๆไป แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยืนฟังเฉยๆ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือเกิน
“พอได้แล้วมั้ง ลุงเขาไม่ได้หนีสักหน่อย แค่ร่างกายไม่พร้อม”ผมเอ่ยออกมาหลังจากทนฟังจนเริ่มรำคาญ
“แล้วก่อนเข้าทำงานทำไมไม่เตรียมตัวให้พร้อม พอเข้ามาทำงานเราต้องพร้อมทุกอย่าง”ประสิทธ์ยังคงไฟแรกแบบคนหนุ่มรุ่นใหม่จนผมคิ้วกระตุก
“คุณลองมาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าร่างกายพวกเขาไม่ใช่แบบพวกเรา การเตรียมตัวอะไรล้วนแล้วแต่ผิดแผนจากธรรมชาติทั้งนั้น”
“แกกล้าพูดกับฉันแบบนี้ได้ยังไง”ประสิทธ์พูดพร้อมกับพับแขนเสื้อคล้ายกับจะเอาเรื่อง จนพนักงานที่อยู่รอบๆต่างหันไปซุบซิบกัน ซึ่งเท่าที่ผมได้ยินแว่วๆมาเหมือนชายคนนี้จะเป็นคาราเต้สายดำ
“ก็คนๆหนึ่งที่เกิดได้ เจ็บได้ ตายได้ เหมือนกับคุณนั่นแหละ โด่เอ๋ย มีตำแหน่งนิดหน่อยดันกร่าง ถ้าอยากกร่างมากไปต่อยบนสนามมวยเลยไป”ผมสวนกลับอย่างไม่สนใจ ซึ่งแน่นอน ฝ่ายตรงข้ามคิ้วกระตุกพร้อมกับซัดอาวุธเข้าหาผม
“ไอ้พนักงานต่ำต้อย”ปลายเท้าของนายประสาทวิ่งตรงเตรียมจะเสยเข้าปลายคางผม แต่น่าเสียดาย ที่กาตรโจมตีนี้มันช้ากว่าที่พวกรุ่นพี่ในหน่วยเขาทำกัน ผมจึงเอี้ยวหัวหลบได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งก็มีตามมาอีกเท้า ประสาทหนุ่มเล่นหมุนตัวเตะตามมาด้วยน่ะซิ แต่ไม่มีปัญหา สบายมาก ผมเอนกายหลบลูกการโจมนั้นอย่างง่ายดาย พร้อมกันนั้นก็ใช้วิชาบ้านเรา สวนกลับไปด้วย
‘จระเข้ฟาดหาง’นั่นคือวิชาที่ว่า ชายหนุ่มนามประสาทเซไปเล็กน้อยแต่ยังไม่สลบบ่งบอกว่าร่างกายถูกฝึกมาจริง ดังนั้น ผมจึงเข้าคลุกวงใน ใช้สองมือกุมท้ายถอย ลากเข้ามากระทุ้งเข่าเสยเข้าที่ลิ้นปี่ ยัง แค่นี้ยังไม่พอ ผมซัดเข่าลอยไปอีกหลายครั้ง จนคนในมือรู้สึกจะแรงอ่อนลง ผมจึงปล่อยเขาออกไป
แต่ทว่า ตีงูอย่าตีให้หลังหัก ผมเลยหมุนตัวเตะถึงสองรอบ ซัดเข้าที่ซอกคอเต็มๆ จนชายคนนี้ลงไปนอนนับดาวอยู่ที่ปลายรองเท้า
“อืม เป็นคาราเต้จริงๆแหะ แต่เสียดาย ยังไม่ถึงขั้นนั้น”ผมรับรู้ได้จากการโต้ตอบของฝ่ายตรงข้าม ถ้าเป็นระดับสูงจริงไม่ถูกผมโจมตีได้ง่ายๆแบบนี้หรอก เมื่อผมมายืนได้ท่าปกติก็หันไปเห็นพวกพนักงานอ้าปากค้างอยู่ ซึ่งผมก็เสริมให้คนพวกนี้ได้คิดว่า
“ถึงยามจะเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ แต่พวกเขาก็ถือว่าเป็นอาชีพที่สุจริต คนเราอย่าวัดกันที่อาชีพ แต่วัดกันที่ความดีดีกว่านะครับ เงินทองได้มาเดี๋ยวก็ไป แต่มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมงานต่างหากที่สำคัญ”หลังจากกล่าวจบก็มีบุรุษพยายาบออกมารับศพ เอ่อ ร่างอันไร้สติของพี่ประสาทออกไป ส่วนพวกพนักงานที่พึ่งเข้ามาก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ นี่ถ้ามีการกดไลค์ ผมคงดังไปแล้ว
“น้องชายแย่แล้ว ไม่รู้เหรอว่าเขาเป็นใคร”ชายวัยกลางคนพูดกับผมอย่างตื่นเต้นปนแตกตื่น
“รู้แล้วครับ เขาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ผมอ่านเจอพอดี”ผมชี้นิ้วไปที่สมุดนั้นเล็กน้อย จากนั้นก็ถอดเสื้อยื่นไปให้“ไม่มีอะไรผมขอตัวนะครับ”ผมกล่าวลาพร้อมกับเดินเข้าไปในตึกท่ามกลางสายตาของพนักงานของบริษัทนี้ ที่พากันออกมาตั้งกระทู้ถามว่าเหตุการณ์เป็นยังไง ซึ่งแน่นอน คนโพสต์อย่างผมไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้น นอกจากรอฟังคำเมนต์ต่างๆนาๆ -..- จากผู้ชม
“แหม ใครนะไปล้มเจ้าขี้โอ้ บ้าอำนาจนั้นได้”นั่นคือเสียงแรกที่ผมได้ยินหลังจากมีพนักงานเข้าลิฟต์ตามมา
“ไม่รู้นะ เขาบอกกันว่าเป็นยามใหม่ เก่งถึงขนาดล้มเจ้าบ้าอำนาจได้ภายในครั้งเดียวด้วย”พนักงานที่อยู่ข้างๆกล่าวอย่างยินดีที่รู้ว่าคนที่เกลียดโดนเตะสลบ ส่วนผมนั้นขอค้านว่า ลงขัดไปตั้งหลายทีเถอะ ก็นี่แหละน้า ลมปากคน เปลี่ยนหมาให้กลายเป็นแมวยังได้
“สงสารยามใหม่จังเลย ถ้าคุณหนูรู้ว่าแฟนถูกเตะสลบมีหวังโมโหแน่ๆเลย”พนักงานหญิงอีกคนที่อยู่ชั้นนอกพูดเสริมเล็กน้อย จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงการแตกกระทู้กล่าวถามอีก ว่าจริงแท้แค่ไหน
“แต่จะเป็นจริงเหรอ เธอก็รู้ว่าเจ้านั่นขี้โม้ขี้โอ้ขนาดไหน เรื่องที่เขาเคยเล่าว่าเคยไปกินข้าวกับคุณหนูจะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้”เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆกันเมนต์เพียงครั้งเดียวก็เกิดเสียงวิภาควิจารณ์ไปต่างๆนาๆ จนผมรู้สึกว่าการขึ้นลิฟต์มานี่ มันช่างน่ารำคาญจังเลย ถ้าขอวิ่งบันไดขึ้นไปเองจะทันมั้ยเนี่ย
การพูดคุยกันยังยาวนานอยู่เรื่อยๆ จนเฟตได้ยินคำพูดคุยที่เขารู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
“เห็นเขาเคยเล่าว่ากำลังรวบรวมสินสอดกะจะไปขอคุณหนูแต่งด้วยนะ”
“ถ้ามันได้เป็นคุณชายของบริษัทนี้ล่ะก็ มีหวังพวกเราต้องรีบทำเรื่องย้ายไปที่อื่นซะแล้ว”พนักงานหนุ่มอีกคนค้านพร้อมกับหัวเราะ แต่เพื่อนที่มาด้วยไม่ได้หัวเราะตามเพราะต่างทำหน้าเครียดเหมือนกับจินตนาการณ์ภาพแล้วเห็นอนาคตอันลิบหรี่
“มันรุนแรงถึงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”ผมถามด้วยความสงสัย แค่เจ้าประสาทอะไรนั่นขึ้นแท่นถือเป็นประธานอีกคน ไม่น่าจะน่ากลัวถึงขนาดนี้นี่นา
สิ้นคำถามผม รู้สึกได้เลยว่าลิฟต์สั่น ซึ่งผู้โดยสารทั้งหมดต่างหันขวับมามองคล้ายกับเห็นผมเป็นผี อืม..... สงสัยจะเงียบนานไปจนลืม
“น้องชายไม่รู้อะไร เจ้านั่นแค่ตอนนี้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการยังจิกหัวใช้พวกเราซะยังกับเป็นบอสใหญ่ นี่ถ้าเกิดมันเกิดเป็นคู่หมั่นกับคุณหนูล่ะก็ พวกเราที่ไม่เลียขาเขาคงโดนปลดกันหมดแน่”ชายคนหนึ่งตอบเสร็จก็หันไปมองเพื่อนทีพยักหน้าเห็นด้วย อ้อ.... คุณประสาทเขาเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วซินะ นอกจากจะบ้าอำนาจแล้ว น่าจะบ้าเห่อตำแหน่ง ดูเหมือนผมจะคิดถูก เมื่อรายการความเห็นแก่ตัวต่างๆนาๆ ของชายผู้นั้นหลั่งไหลอกมาจากปากของพวกพนักงาน จนผมไม่ต้องจินตนาการณ์ก็รู้แล้วว่า ชีวิตพวกเขารันทดขนาดไหน
“อ้าว ใครกดไปชั้น 36 อ่ะ”พนักงานคนหนึ่งพึ่งเอะใจถาม ซึ่งเพื่อนๆที่มาด้วยกันก็พากันส่ายหน้าจนหมด
“ผมครับ พอดีผมจะไปหานายของผม”ผมยกมือตอบออกมาแทนเมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังมองหาตัวต้นเหตุ หรือถ้าหาไม่เจอจะบอกว่าลิฟต์เป็นลิฟต์ผีสิงอีก
“อ้อ พวกเราก็นึกว่ามีจะใครอาจหาญขึ้นไปในเขตหวงห้ามของบอสซะแล้ว”พนักงานหนุ่มหัวเราะร่วนขณะเดินออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้น 28 ทิ้งให้ผมกระพริบตาปริบๆ นี่ตรูหน้าด้านทีจะขึ้นไปงั้นเหรอ อืม ช่างมัน ไม่แคร์สื่อ
ผมโบกมือลาพวกพนักงานเล็กน้อย ซึ่งพวกเขาก็ยิ้มแล้วโบกมือลาอย่างอารมณ์ดีแบบผู้ที่ได้ข่าวถูกหวยยามเช้า นี่ท่านประสาทถูกคนเกลียดมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เฮ้อ...... รู้งี้เตะเจาะยางแถมดีกว่า เผื่อจะเจอไลค์บ้าง ผมคิดเล่นๆขณะกดปิดลิฟต์
“ไปนานจัง”คุณชิออนที่นั่งดูทีวีรอถามขึ้นทันทีหลังจากผมเปิดประตูห้องรับรองแขกเข้ามา
“ผมไปเอาของชั้นล่าง ก็เลยช่วยงานพวกเขามาเล็กน้อยครับ อ้อ ทำบุญเพื่อคนทั้งบริษัทด้วยครับ”ผมตอบขณะเอาชุดสำรองมายื่นให้เจ้านายผม ซึ่งทำหน้าบึ้งตอนที่เห็นชุด
“จะใส่ชุดตัวเก่าเหรอ”ผมถามเมื่อเห็นเขาคิ้วขมวด
“ไม่ใช่หรอกพี่ แต่พี่เป็นพี่ชายผมนะ ไหงต้องลงไปเอาเองด้วย”เจ้านายผมกล่าวจบก็รับผ้าไป จากนั้นก็ถือผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำหายไป สงสัยจะอาบน้ำแหง
ถามว่าทำไมผมต้องลงไปเอา ก็เพราะผมเป็นเพียงคนๆหนึ่งในบ้านน่ะซิ ผมอยู่ในครอบครัวนี้มานานมากแล้ว การจะช่วยเหลือพวกเขาก็เป็นหน้าที่หน้าที่หนึ่งของคนที่มาอาศัยเขาอยู่แบบผม แม้จะเป็นการมาอยู่อาศัยที่นานมากแล้วก็ตาม
แต่ก็นะ พวกเขากลับไม่ได้มองแบบที่ผมมอง คนในบ้านนี้มองแต่ว่าผมเป็นลูกชายเพียงคนหนึ่งในบ้าน จนผมรู้สึกอึดอันใจ จนต้องสร้างหน้าที่อันถือเป็นเกราะป้องกันตัวไปด้วย ผมจึงอยู่กับครอบครัวนี้ได้อย่างสนิทใจ
“เออ พี่ ผมลืมไป พี่จะลงทะเบียนเวลาเพิ่มเปล่า”คุณชิออนที่เข้าห้องน้ำไปได้สักพักเปิดประตูโผล่หัวออกมาถาม
“เวลา?”
“ก็เวลาเพิ่มในการเล่นเกมนั่นไง ผมได้ยินว่าพี่ยังไม่ได้ลงทะเบียนน่ะ”
“แล้วเจ้านายล่ะครับ”
“ของผมนี่ ได้ฟ้าใสลงให้แล้วครับ น่าจะหลังจากที่บอกเธอไป เธอก็เลยลงให้แล้วมั้ง มิน่าเมื่อวานถึงได้เล่นเกินเวลามากกว่าที่พวกพนักงานนั่นบอก ฮ่าฮ่าฮ่า”หลังจากสนทนาแบบให้ผมนึกอิจฉาจบ เขาก็เข้าห้องน้ำไปโดยเสียงฮัมเพลงนั้น ดังลั่นออกมาจากห้องน้ำ อืม น่าจะส่งไปออกเทปแหะ เทปสารคดีสัตว์ถูกเชือดน่ะ
ในขณะที่นั่งรอเจ้านายร้องเพลงอยู่ ผมก็คิดเรื่องต่างๆนาๆไปเรื่อยๆ
“เฮ้ยพี่ จะเอาไปยิงใคร”เป็นคำถามที่ดังจากหน้าห้องน้ำ พอผมหันไปมองก็พบว่าคุณชิออนเดินออกมาด้วยชุดใหม่เอี่ยม เมื่อผมมองมาที่มือตัวเองก็พบว่ากำลังยัดกระสุนใส่แม็กกาซีนอยู่
“ฆ่าเวลาไงครับ”เป็นคำตอบที่ทื่อมาก แต่เจ้านายผมก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ชีวิตผมมีอะไรแค่นี้จริงๆ
“ว่าแต่ ตกลงแล้ววันนี้จะกลับบ้านที่นู่นเลยมั้ยครับ”ผมถามในตอนที่เจ้านายเดินมานั่งที่ฝั่งตรงข้าม
“เดี๋ยวผมต้องไปบ้านของฟ้าใสก่อนน่ะ พ่อของเธอเรียกตัวแล้วเมื่อคืนนี้”คุณชิออนยิ้มกล่าว ซึ่งผมก็เข้าใจดี เพราะรู้ว่าพ่อของฟ้าใสจะเรียกคุณชิออนให้ไปเยี่ยมที่บ้านพักทุกครั้งเสมอ ถ้าเกิดรู้ว่าเขามาที่เมืองหลวงนี้ แต่จะว่าไป เรื่องบางเรื่องที่น่าจะลืมก็ดันจำได้แหะ แปลกดีจัง
ผมเกาหัวให้กับตัวเอง ส่วนเจ้านายนั้นก็มองผมใส่กระสุนต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงนาฬิกาข้อมือเตือนเวลา
“ไปกันเถอะครับ”ผมหันไปบอกเจ้านายขณะเสียบแม๊กกาซีนใส่ซองเก็บซึ่งอยู่ด้านในของเสื้อสูท เจ้านายของผมพยักหน้ารับพร้อมกับเดินนำออกไปก่อน ผมจึงไม่รอช้าเดินตามไปติดๆ เมื่อออกมาจากห้องก็ตรงไปยังลิฟต์ทันที
ผมเดินนำหน้าและกดลิฟต์ให้ตามความเคยชิน ซึ่งเจ้านายก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากพยักหน้าเล็กน้อย เป็นเชิงขอบคุณผม
ติ๊ง!!! เสียงลิฟต์ที่เปิดออก ทำให้ผมหันไปมองที่ลิฟต์ทันที แต่เมื่อเห็นว่าใครอยู่ข้างในก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
‘นายประสาทนี่หว่า’ผมพึมพำในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็มองผมด้วยสายตาเคียดแค้น ถ้ามันฆ่าผมได้คงจะเดินตรงเข้ามาบีบคอไปแล้ว
“แก”ชายตรงหน้าอุทานอย่างเคียดแค้นเหมือนสะกดอารมณ์ไม่อยู่ มือข้างหนึ่งของเขาชี้มาทางผม แต่เมื่อสังเกตเห็นมือที่สั่นเทา ผมก็รู้ได้เลยว่า เขากำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเอายังไงดี เพราะคนที่อยู่ข้างๆ เป็นถึงผู้จัดการ ที่มีศักดิต่ำกว่าผู้บริหารนิดหน่อย
“ฉันจะฟ้องแก ในข้อหาทำร้ายร่างกาย”นายประสาทเริ่มคาดโทษผมด้วยความอาฆาตมาดร้าย ผมที่มองอยู่ถึงกับโอ้ปากด้วยความแปลกใจ แต่ดูเหมือนคนที่อยู่ข้างๆจะหูตึงแหะ เมื่อหันไปทักเจ้านายผมก่อนที่ผมจะได้โต้ตอบอะไรกลับไป
“อ้าว คุณชิออน ผมไม่นึกเลยว่าจะได้เจอคุณแต่เช้าแบบนี้ผมนึกว่าจะออกไปสายๆซะอีก”ชายมีอายุที่ผมจำได้ว่าเป็นผู้จัดการหันไปทักทายเจ้านายผม จนนายประสาทโรคจิตขี้โอ้ต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ อืม นี่นายไม่รู้จักเจ้านายฉันจริงๆหรือไงฟะ
“แหม คนขยันก็ต้องออกแต่เช้าสิครับ คุณสมนึก ผมแปลกใจจังนะครับที่เห็นพวกคุณมาเข้างานไวขนาดนี้”คุณชิออนทักทายชายที่กำลังเดินออกมาจากลิฟต์ด้วยความคุ้นเคย อืม ผมไม่ได้ร่วมงานสังคมมาก จึงรู้จักคนไม่เยอะต้องขอภัยด้วย แต่ทว่า นายประสาทที่เดินตามคุณสมนึกออกมาด้วย ดันจ้องผมเขม็ง บ่งบอกถึงความเกลียดชังอย่างแรงกล้า
“วันนี้ท่านพอซจะมาดูงานตอนสายๆน่ะ ผมเลยต้องเข้ามาดูงานก่อน อ้อ ผมลืมแนะนำ นี่น้องชายผมเองครับ ชื่อประสิทธ์พึ่งกลับมาจากเมืองนอกเป็นผู้ช่วยผมเอง อาจจะมือใหม่ไฟแรงไปบ้างก็ขออภัยนะครับ”คุณสมนึกยิ้มแย้มในตอนแนะนำน้องชาย ส่วนไอ้คนที่ถูกแนะนำนั้นดันไม่ได้มองตามที่พี่ชายแนะนำเลย มัวแต่หันมามองผมจนผมรู้สึกรำคาญ
“อยากฟ้องใช่มั้ย ได้”ผมบอกพร้อมกับยื่นเงินให้ 500 บาท ซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็รับไปดูอย่างงงๆ
“นั่นไงค่าปรับ จะเอาค่าปรับนั้นไปจัดการผมก็ได้นะ ไม่ว่ากัน”อืม ถ้าคิดว่าจะจัดการผมได้เพราะไอ้การทำร้ายร่างกายล่ะก็ คิดผิดแล้วล่ะพี่ชายเอ๋ย
“รู้จักกันมาก่อนเหรอ”คุณสมนึกเอ่ยถามด้วยท่าทีงงๆ อืม ....นี่ผมเหมือนคนรู้จักกันมากขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
“อ้อ ผมก็ลืมแนะนำครับ นี่พี่ชายผมเอง เขาเป็นเจ้าของบริษัทดาร์กเฟต ซีคิวรีตี้ ดิ คอปเปอร์เรชันครับ”คุณชิออนที่ตามสถานการณ์ได้ดีกว่าเริ่มชิงออกตัวพูดออกมา ทำให้นายประสาทที่กำลังจะกระโดดกัดคอผมหันขวับไปมอง สลับกับมามองผม
“อ้อ ผู้บริหารเงาลึกลับ ผู้อยู่เบื้องหลังความมั่นคงในความลับของบริษัทชั้นนำของค่ายดิคอปน่ะเหรอ โอ้ ผมแปลกใจจริงๆที่ได้เห็นว่าเจ้าของบริษัทนั่นอายุน้อยขนาดนี้”คุณสมนึกเดินเข้ามาจับมือผมเขย่าทันที นี่ตรูน่าชื่นชมขนาดนั้นเลยเหรอฟะ
“นอกจากจะเป็นเจ้าของบริษัทนั่นแล้ว เขายังเป็นถึงคนสนิทผมด้วย เอ่อ ไม่ใช่ดิ เป็นพี่น้องที่รักกันดีสำหรับผมเลยล่ะ”คุณชิออนยิ้มแล้วทำท่าเข้ามากอด แต่ผมเห็นได้ชัดเลยว่าต้องการจะเลิกเสื้อผมชัดๆ ซึ่งก็แน่นอน ปืนที่ผมเก็บไว้ในซองปืนพกใต้เสื้อสูทก็ล่วงลงมาโชว์ตัวให้คนอื่นได้เห็น ปืนจำนวนมากออกมาแสดงตัวอย่างโจ่งแจ้ง ยังดีที่ผมเก็บซองกระสุนไปแล้ว ไม่งั้นมีหวังได้ปืนลั่นแหงๆ
“อ้าวพี่ โทษที”คุณชิออนรีบผงะตัวออกมา พร้อมกับหันไปยิ้มให้กับนายประสาท ที่ตาโตอ้าปากค้างด้วยความตกใจ คนที่พกปืนได้มาก แถมยังกล้าพกขนาดนี้ ไม่มีใครอื่นนอกจากผมอีกแล้ว
ส่วนจะแจ้งตำรวจมาจับเรอะ ก็ขอโทษด้วยละกันนะ ที่ผมดันมีใบอนุญาตพกพาปืนทั่วราชอาณาจักร ไม่เว้นสถานที่ราชการณ์ ซึ่งได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงกลาโหมโดยตรง
“จะว่าไปแล้ว คุณริเรียน่าจะมามั้ยครับเนี่ย แหม เมื่อคืนยังคุยกับพี่ผมได้ไม่ถึงไหนเลย เฮ้อ”เอาแล้วไง การแสดงละครแบบตีบท กระจุยของเจ้านาผมเริ่มต้นขึ้นแล้ว
นายประสาททำหน้าเอ๋อขึ้นทันตาเห็น เอ๋ แบบนี้มันไม่ใช่หึงนะ มันเหมือนกับตกใจเสียมากกว่า
เจ้านายเองก็คงจะเห็นเช่นกัน จึงรีบสาวไส้ให้กากินโดยมีผมยืนฟังพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ ไม่โต้ตอบอะไร แม้จะมีข่าวว่าผมถูกล็อคตัวเป็นว่าที่ลูกเขยแล้วก็ตาม
“จริงเหรอครับ”คุณสมนึกกล่าวถามพร้อมกับทำตาโต
“เอ่อ ประมาณนั้นครับ”ผมเองก็จำได้พอสมควร ว่าถูกฝากให้ดูแลคุณริเรียน่า แต่มันเป็นการฝากทีดูง่ายเหลือเกิน จนผมชักไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
ถึงจะตอบแบบกำกวม แต่บุรุษทั้ง 2 ตรงหน้าก็มั่นใจและฟันธงลงไปแล้วแน่ๆ ว่าผมต้องเป็นลูกเขยของบริษัทนี้ เพราะเห็นท่าทีที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดจากนายประสาทน่ะซิ
“อ้อ งั้นตอนนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ”เจ้านายผมชิ่งขอตัว ในขณะที่โจทฝ่ายตรงข้ามซึ่งเป็นผู้แจ้งความผม กลับก้มหน้าก้มตาไม่มอง ไม่แม้กระทั่งจะส่งสายตามาด้วยซ้ำ ผมจึงกล่าวลาคุณสมนึกอย่างคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี จากนั้นก็เดินนำเจ้านายเข้าลิฟต์ไป
“คนนี้สินะ ที่พี่บอกว่าทำบุญเพื่อบริษัท”คุณชิออนกล่าวถามทันทีที่ลิฟต์สำหรับผู้บริหารปิดประตูลง ซึ่งผมก็พยักหน้าให้กับคำถามนั้น
“อืม ฟังคำพูดคำจาแล้ว ก็สมควรอยู่หรอก”เจ้านายพึมพำตอบ ซึ่งผมก็พยักหน้าเห็นด้วยเต็มที่ นี่ถ้าเขาไม่โดนเจ้านายข่มขู่ (?) ไปล่ะก็ คงจะกระโดดกัดคอผมจริงๆแน่ อ้า...
สองหนุ่มเดินออกมาจากตึกพร็อกซี่ท่ามกลางสายตาของพนักงานที่กำลังเลิกงานและเข้างาน ซึ่งจำนวนที่ 2 หนุ่มกะไว้คร่าวๆ ก็คงไม่ต่ำกว่า 500 ชีวิต ที่เป็นพนักงานในบริษัทนี้
“แล้วคุณฟ้าจะมารับเหรอครับ”เฟตถามอย่างสงสัย เมื่อออกมารอที่หน้าประตูอาคารแล้วยังไม่เห็นใครมาเลย ยกเว้นแต่พนักงานที่กำลังเดินเข้าเดินออกอยู่
“เดี๋ยวผมไปเองน่ะ”ชิออนกล่าวจบก็ทำท่าจะเดินไปที่ถนน การไปบ้านของฟ้าใส ถ้าเจ้าของบ้านซึ่งก็คือพ่อของฟ้าใสไม่ได้อนุญาต ก็อย่าเสนอหน้าไปเด็ดขาด แต่ไอ้การขึ้นรถไปมันรันทดยิ่งกว่านะเฟ้ย
“แล้วทำไมถึงไม่เอารถไปล่ะครับ”ชายในชุดสูทชี้ไปที่รถสปอร์ตซึ่งจอดโชว์ฐานะอยู่กลางลานกว้างคันเดียว
“อ้าว!! แล้วพี่จะไม่เอาไปเหรอ”
“เดี๋ยวผมไปรอเล่นๆ ที่บ้านของนายท่านล่ะกันครับ”เฟตตอบอย่างเข้าใจ เนื่องจากระยะทางที่บ้านของฟ้าใสกับที่บ้านของสิริภพ มันห่างกันมาก การจะขึ้นรถไปๆมาๆมันลำบาก ส่วนตัวเขาถ้าเลือกว่าจะขับรถไปเองหรือนั่งรถไป เลือกอย่างหลังน่าจะสะดวกกว่าเยอะ
“แต่ดวงผมกับรถพ่อไปด้วยกันไม่ค่อยได้พี่ก็รู้นี่”
“ถ้าคุณไม่แกล้ง รถก็ไม่พังหรอกครับ เอารถไปเถอะ นายท่านมอบมาให้คุณใช้โดยเฉพาะนะครับ”เฟตเบรกก่อนที่ชิออนจะบ้าจี้เดินไปเรียกแท็กซี่จริงๆ
ชิออนเมื่อโดนรู้ไตก็รีบเนียนเดินถอยหลังกลับมารับกุญแจที่เฟตแล้วนำไปไขรถ พอรถพร้อมชายหนุ่มผมน้ำตาลในชุดเชิ้ตมีระดับก็นั่งลงที่ฝั่งคนขับด้วยท่าที่มาดเท่แบบสุดๆ คนรวย ทำอะไรก็ดูดี
“อย่าเอาไปแกล้งชนอีกล่ะครับ เดี๋ยวรอบนี้จะไม่มีรถกลับบ้าน”เฟตย้ำกับชิออนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เจ้าตัวแสบจอมชนจะเอารถไปซิ่ง
“ฮะฮะ ไม่ต้องห่วง”ชิออนกล่าวจบก็สวมแว่น เลแปนเพื่อเสริมความเท่ จากนั้นก็ใส่เกียร์ที่เป็นแบบแมนนวลเข้าล็อค แล้วขับออกไปพร้อมกับการฟรีล้อที่ทำให้เกิดเสียงเบียดถนนดังลั่นสนั่นบริษัทพร๊อกซี่
“ก็เล่นแบบนี่ไง รถถึงได้ชน ยังดีนะที่ตอนนี้ยังเช้าอยู่”เฟตบ่นพึมพำเบาๆ เมื่อเห็นท้ายรถสปอร์ตคันหรูส่ายไปซ้ายทีขวาทีตอนที่ออกตัว เนื่องจากแรงม้าของมันค่อนข้างสูงการออกตัวแบบกระชากจึงส่งผลให้เป็นแบบนี้
หลังชิออนออกไปได้ไม่นานเฟตก็รีบเดินกลับเข้ามาในบริษัทแล้วเดินวนดูสักพัก เมื่อพบว่ามันลงทะเบียนเมเวลาได้จริงก็รีบตรงเอไปลงทะเบียนตามที่ได้รับคำแนะนำทันที ซึ่งการจะลงทะเบียนได้จำเป็นต้องใช้เบอร์โทรศัพท์ที่เป็นไอพีและไอดีกลางในเวลาเดียวกัน
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”พนักงานสาวยิ้มกล่าวกับแขกรายแรกของวัน ซึ่งการเปิดทำการสอบถามหรือลงทะเบียน ส่วนใหญ่จะเริ่มตามเวลาราชการซึ่งเฟตก็ดันมาก่อนเวลาซะได้ แต่ก็ช่างเถอะ ขอแค่มา ยังไงก็ให้บริการอยู่แล้ว
“เอ่อ เสร็จแล้วเหรอครับ”เฟตทวนอีกครั้งเมื่อพนักงานบอกว่าเสร็จแล้วจริงๆก็เดินออกจากบริษัทไปด้วยความทึ่ง เดี๋ยวนี้เขาทำงานกันเร็วแหะ แค่ขอเบอร์โทรศัพท์ไป กับมีการลงชื่อเล็กน้อย มันก็เสร็จการทะเบียนซะแล้ว ทั้งๆที่ ระบบโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่ใช่สิ่งที่คุยกันได้ง่ายๆเพียงคำ 2 คำแท้ๆ อืม ..... หรือนี่เขาล้าสมัยไปแล้วเนี่ย
“ลงทะเบียนตามที่ขอแล้ว ต่อไปก็ตามใจฉันซินะ”ชายหนุ่มผมดำในชุดสูทพึมพำขณะยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ การยืนรอของเฟตดันเข้ากับคนรอบข้างได้อย่างกลมกลืน จนไม่มีใครรู้ว่าไอ้หมอนี่คือตัวอันตรายถ้าได้หยิบอาวุธใต้เสื้อสูทนั่นออกมา
เมื่อรถเมล์สายที่จะวิ่งเข้าโซนบ้านของเจ้านายมาถึง ชายหนุ่มผู้มุ่งมั่นที่จะขึ้นรถร่วมบริการก็รีบวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งในเวลาเช้าๆแบบนี้ย่อมแออัดเป็นธรรมดา เฟตจึงได้รับหน้าที่เป็นกระเป๋าโหนรถไปโดยปริยาย
ตำแหน่งเป็นเด็กกระเป๋าเฟตไม่ได้รังเกียจเท่าไหร่ ถ้ามันช่วยให้คนอื่นได้มีพื้นที่มากขึ้น เขาจึงทำหน้าที่เด็กกระเป๋าที่ดี ซึ่งคอยช่วยเหลือคนที่ขึ้นก่อนขึ้นหลัง เน้นบริการเด็กกับสตรี อ้อ คนชราด้วย ส่วนคนหนุ่มถ้าไม่พอใจ ก็จะถูกจ้องมองจนทำอะไรไม่ถูก
หลังจากเททำหน้าที่ได้ดีกว่าเด็กรถจริงๆ เฟตก็พบว่าสายตาของคนบนรถที่มองเขาไม่ใช่สายตาของการมองคนทั่วไป มันเป็นการมองที่แฝงความแปลกใจปนสนใจ เนื่องจากตอนนี้เขาอยู่ในชุดสูท แถมยังทำหน้าที่เด็กกระเป๋าได้ดี ใครไม่มองก็บ้าแล้ว
การเจอมองไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ชายหนุ่มจึงเลือกลงระหว่างทาง ซึ่งเหตุผลจริงๆก็คือ รู้สึกหิวนั่นเอง ในงานเมื่อกลางคืนเขากินได้เยอะที่ไหนกันล่ะ เจอแต่คนเข้ามาทักจนไม่มีเวลาเก็บเสบียงใส่ท้อง ทำให้ร่างกายร้องเรียกอาหารเช้าจนได้ยินมันคำรามเป็นพักๆ
หลังลงจากรถมาเฟตก็เจอกับสายตาชาวบ้านอีกแล้ว ชายหนุ่มในชุดสูทเดินเข้าร้านอาหารที่อยู่ตามรายทางทันที เมื่อที่นั่งพร้อม เขาก็สั่งของที่ต้องการอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าพี่พักอยู่แถวนี้นี่เหรอค่ะ”นิสิตสาวสวยคนหนึ่งที่เฟตเห็นมองมาตั้งนานแล้วอยู่ๆก็ตั้งกระทู้ถามที่ด้านหน้าของเขา ในตอนแรกเฟตก็แปลกใจอยู่หรอก แต่เมื่อคิดได้ว่าตนเองอยู่ในเขตนักศึกษาก็เลยพยักหน้าอย่างเข้าใจในตัวเอง
“เอ่อ เปล่าครับ พอดีผมมาพักกินข้าวก่อนเข้าบ้านนายครับ”ชายหนุ่มตอบยังไม่ทันสิ้นคำดี ก็เห็นกลุ่มของหญิงสาวคนนี้เดินเข้ามาสมทบ คล้ายกับเป็นแก๊งเพื่อนที่มีเขาเป็นศูนย์กลาง อืม น่าจะเมื่อยแหะ เห็นทำหน้าเครียด (เขิน) ซะขนาดนั้น เฟตเลยชวนนั่งอย่างไม่แคร์สายตาใคร
หลังจากสาวๆนั่งลงเสร็จ อาหารที่เขาสั่งไว้ก็มาพอดี เฟตเลยก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามพวกสาวๆเป็นพักๆ ความงามที่ตรงหน้าแพ้การดำรงชีวิต ชายหนุ่มจึงไม่แคร์เท่าไหร่ ดูเหมือนพวกหญิงสาวจะรู้ตัวจึงหันไปสนทนากันเบาๆ ซึ่งเฟตก็พอได้ยินว่าเกี่ยวกับวิชาการเรียนอะไรบางอย่าง
“พี่สนใจมาเป็นนายแบบให้คณะเรามั้ยค่ะ”สาวสวยที่มัดผมหางม้าถามด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้ม จนเฟตคิดว่าการสั่งของหวานมาเสริมคงเป็นความคิดที่ผิดแน่ๆ เลยในตอนนี้
“ไม่ดีกว่าครับ ผมคงไม่เหมาะกับการเรียนเท่าไหร่ ผมมันโง่น่ะครับ”เฟตตอบแบบทื่อๆ แล้วขอตัวไปจ่ยเงินพร้อมกับชิ่งหายไปเลย ส่วนพวกสาวๆที่ได้รับคำตอบก็ถึงกับอึ้งแล้วหันไปมองหน้ากันไปมา
“แหม หน้าตาก็ดีเนอะ แถมยังดูเหมือนจะรวยอีก แต่น่าเสียดาย ดันไม่ได้เรียนแบบพวกเรา”กลุ่มสาวสวยเกาะกลุ่มนินทาทันที กลุ่มนักศึกษาชายที่กินข้าวกันอยู่ข้างๆในตอนแรกก็รู้สึกอิจฉาที่เฟตมีผู้หญิงมาล้อมตอนกินข้าว แต่เมื่อพวกเขาได้ยินศัพท์เทคนิคการพูดเฉพาะกลุ่มเพื่อนแล้ว ก็พากันคิดในใจว่า มันทำถูกแล้วล่ะ
‘ไปยังไงดีหว่าเรา’เฟตที่เดินดุ่มๆออกมาโดยไม่คิดแผนพึมพำ ขณะมองดูกลุ่มคนที่เดินกันขวักไขว่ เขาเป็นเหมือนปลาน้อยในลำธารใหญ่ที่ต้องตามกระแสน้ำไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่เมื่อชายหนุ่มนึกได้ว่าตนมีอะไรต้องทำก็รีบเดินไปยังจุดจอดรถแท็กซี่ เมื่อรถพร้อมกับก็บอกจุดหมายแก่โชเฟอร์ทันที แม้จะมีการงงกันบ้างในตอนที่หาจุดหมาย แต่ชายหนุ่มก็ทำให้ตนรอดได้ ด้วยแผนที่ GPS ให้คนขับดู
หลังจากรถแท็กซี่คันเหลืองมาจอดประทับทางเข้าบ้านขนาดใหญ่แล้ว ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำก็เดินลงมาจากรถด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว ข้าวก็กินไม่ค่อยจะอิ่มใจ พอขึ้นรถมาก็โดนไอ้แท็กซี่บ้ามันกวนอีก เฮ้อ ชีวิตคนจนแบบเขา เดินไปไหนก็ลำบากแหะ
เฟตกดกริ่งออดหน้าบ้านสักพัก ก็เห็นคนในบ้านวิ่งเข้ามารับด้วยท่าทีตื่นตกใจ ทำให้ชายหนุ่มต้องทักทายอย่างเป็นกันเองแบบถึงที่สุด ซึ่งหลังจากหายตกใจกันแล้ว เขาก็เดินเข้าบ้านไปโดยมีจุดมั่งหมายอยู่ที่ห้องนอนของตัวเอง ที่อยู่ชั้นบนเช่นเดิม ทำไมบ้านทุกหลังถึงต้องมีห้องของเขาด้วยฟะ
บ้านของสิริภพที่อยู่ในเมืองหลวงเป็นบ้านที่มีบริเวณกว้างขวางมาก ถ้าทำสนามวิ่งเล่นให้เฟตก็คงจะได้หลายสนาม โซนการจัดสรรบ้านก็ดีมากด้วย บ้างหลังนี้ถูกสร้างอยู่ห่างจากเขตธุรกิจของตัวเมืองมาก ทำให้บรรยากาศโดยรอบนั้นเงียบสงบแบบสุดๆ ถ้าส่งคนมานั่งจำศีลก็คงจะใจโล่งพิลึก
หลังจากเฟตเข้ามาถึงห้องที่แม่บ้านทำให้ไว้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มก็จัดการต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์และเชื่อมต่อสายแลนระบบต่างๆในบ้านมาเข้าที่เครื่องของเขา ทำให้เขาสามารถมองเห็นได้ว่ารอบๆบ้านมีอะไรเกิดขึ้นบ้างด้วยกล้องวงจรปิด
นอกจากรอบบ้านแล้วยังมีรอบๆรถของสิริภพทุกคัน ซึ่งเป็นรถสปอร์ตที่ได้รับการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณ GPS ไว้ นี่คือมาตรฐานความปลอดภัยที่สิริภพคิดขึ้นมาโดยมีเฟตเป็นผู้ช่วยนำเสนอข้อมูลที่หาได้มาให้
“ปกติดีแหะ”เฟตพึมพำหลังจากสำรวจครบแล้วพบว่ารถทุกคันยังจอดอยู่ในโรงเก็บรถบ้านของสิริภพหมด จะยกเว้นก็แต่รถ BM ที่ให้ชิออนขับไป บ้านหลังนี้ถือเป็นบ้าหลักของสิริภพซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางแห่งบ้านทั้งหมด จึงไม่แปลกที่จะเก็บรถคันสำคัญๆเอาไว้
“คุณเฟตค่ะ มีพัสดุมาส่งค่ะ เขาแจ้งว่ามาจากบริษัท พร๊อกค่ะ”เสียงของแม่บ้านดังขึ้นทำให้เฟตต้องรีบลงไปหาด้วยความมึนงง ซึ่งเมื่อเขาไปเซ็นรับวัสดุมาก็พบว่ามันเป็นเครื่องเกมขนาดเท่ากับ CPU ขนาดมินิ
“คุณพอซ มอบให้เป็นของขวัญแก่นาย บาย ริเรียน่า”ชายหนุ่มอ่านการ์ดที่แนบมา จนเฟตได้แต่เกาหัวว่ารู้ได้ไงว่าเขาอยู่ที่นี่ แล้วทำไมถึงไม่บอกก่อน จะได้ไม่ต้องเสียตังรายเดือนไปลงทะเบียน แต่จะว่าไป จะส่งมาทำไมล่ะ ในเมื่อชิออนก็ส่งแล้ว
ซึ่งพอเฟตได้ตรวจสอบอีกครั้งก็ได้เข้าใจว่ามันพิเศษยังไง เพราะนี่มันคือรุ่น Limited Edition นั่นเอง
ชายหนุ่มเดินเล่นรอบบ้านสักพัก เมื่อไม่มีอะไรทำแบบสุดๆ ก็เลยกลับห้องนอนตัวเองมา
เมื่อเข้าห้องมาก็เช็คข้อมูลงานต่างๆ และข่าวสารที่ตนเคยได้รับ รวมไปถึงงานเก่าๆที่ถูกแคนเซิลยาว เนื่องจากฐานะที่แท้จริงแตกแล้ว จะมีใครหน้าไหนกล้าใช้บริการเขาอีก
ชายหนุ่มนั่งมองข้อมูลงานที่หายไปด้วยสายตาเศร้าสร้อย แม้จอ LCD อีกตัวหนึ่งจะบอกยอดเงินเข้าที่มีเป็นล้านต่อวัน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเลย เพราะเงินที่สำคัญสำหรับเขาที่สุด ก็คือ เงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
“อืม เมื่อไม่มีอะไรทำ ก็เข้าไปเล่นเกมหน่อยดีกว่า มันรู้สึกเหมือนมีอะไรคาใจแหะ”เมื่อเห็นว่าตนเองว่างแบบสุดๆแล้ว ชายหนุ่มก็เลยหันเหความสนใจไปที่เรื่องอื่น นี่ถ้าเขายังมีงานทำล่ะก็ คงไม่ได้มาเล่นเกมแบบนี้แน่
แต่ก่อนที่เขาจะออนไลน์เข้าเกมไป ก็ไม่ลืมที่ส่งข้อความฝากไปหาชิออน ซึ่งคู่กรณีก็ตอบกลับมาอย่างยินดี แถมยังบังคับว่าถ้าไม่ถึง 12 ชั่วโมงห้ามออฟไลน์อีก แต่ใครมันจะออนถึงตอนนั้นกัน บ้าเปล่า
“ออนไลน์”เฟตกล่าวพร้อมกับล้มตัวลงนอนหลังจากฝากแม่บ้านให้ดูแลงานคร่าวๆแทนแล้ว แต่จะว่าไป การสั่งคนอื่นแบบนี้ไม่เห็นจะได้ความเลย พวกเขารู้หน้าที่ของตนเองก่อนที่เขาจะมาเสียอีก ทำให้เฟตไม่ได้บอกอะไรมาก นอกจากว่าเขาจะนอนแล้วนะ แม้พวกแม่บ้านจะแปลกใจ แต่ก็จะว่าอะไรได้ เพราะชายคนนี้ต่อให้ไม่ต้องทำงานก็กินอิ่มอยู่ดีไปตลอดชีวิต
ครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งที่แล้วโดยเฟตออนไลน์เข้าไปพบกับ NPC ก่อนที่เขาจะโดนถีบส่งไปที่เตียงตัวเก่าซึ่งสุดจะคุ้นตา โลกและธีมก็เหมือนเดิมทุกประการ เครื่องรุ่นพิเศษไม่เห็นจะช่วยเสริมอะไรให้เลยแหะ นึกว่าจะบินได้ซะอีก
ความคิดเห็น