คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 16 เตรียมตัว
“เฮ้ย”ชิออนอุทานลั่น เมื่อเห็นประตูห้องถูกเปิด แล้วนาฬิกาที่เขาปาไปกำลังพุ่งตรงไปยังคนที่เปิดเข้ามาด้วยพอดี
ขวับ! ตุบ! เคร้ง! เสียงนาฬิกาที่ถูกแรงหวดของเฟตพร้อมกับเสียงตกกระแทกพื้นจนแตกกระจายไปกันคนละทิศละทาง ทำให้คนที่เตะจ้องมองเท้ากับเศษนาฬิกาที่แตกกระจายอย่างงงๆ
“อ้าว นาฬิกาหรอกเรอะ”เฟตนั่งลงเขี่ยชิ้นส่วนนาฬิกาเบาๆแล้วหันไปมองตัวคนขว้าง
ครั้งแรกๆเขาจะเอาหัวหลบตามสัญชาตญาณ แต่นานๆวันสัญชาตญาณเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เฟตจึงเปลี่ยนจากการหลบธรรมดาๆ เป็นการตอบโต้ไปโดยปริยาย
“อ้าว ไงเฟต หวัดดีตอนเช้า”ชิออนทักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะถ้าเฟตเข้ามาเขาไม่ต้องเป็นกังวลอะไรเลย อย่างมากก็แค่ซื้อนาฬิกาใหม่ ไม่ใช่ต้องพากันไปหาหมอเพื่อซื้อยาทาแผลที่โน
“สวัสดีครับ เมื่อเช้าคุณแม่ของคุณโทรมาย้ำเรื่องงานน่ะ”
“อืม แล้วไง”ชิออนลุกขึ้นไปตู้เสื้อผ้า เพื่อเอาผ้าเช็ดตัว
“วันนี้ตอนเย็นให้ไปตรงเวลาหน่อย”
“อืม รู้แล้ว”ชิออนที่กำลังก้าวเข้าห้องน้ำตอบ และต้องชะงักเท้าหันมายิ้มแห้งๆให้เฟต
“พอดีฉันลืมบอกนายไป เพราะเห็นนายกำลังยุ่งและช่วงนี้ฉันต้องทำงานเยอะนายก็รู้นี่”ชิออนร้อนตัวรีบบอก เพราะเขาลืมบอกเฟตไปตั้งแต่ได้ยินข่าวครั้งแรกๆ จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นสายตาสุดเซ็งของเพื่อน
“ครับ ยุ่งกระทั่งลืมบอกเรื่องสำคัญๆอย่างงานเลี้ยงต่างเขตเนี่ยนะ”เฟตบ่นแบบตัดพ้อ แต่ใจจริงๆก็ไม่ได้คิดอะไรหยุมหยิมแบบนั้นหรอก
“โอเค งั้นตอนนี้ฉันอาบน้ำก่อนล่ะ”ชิออนพูดจบก็วิ่งจู๊ดเข้าห้องน้ำทันที เพื่อตัดปัญหาไม่ให้ถูกเฟตตั้งกระทู้ดักแก่ อย่างเช่นทำไมผู้บริหารมือดีอย่างชิออน ถึงลืมเรื่องงานใหญ่สำคัญๆแบบนี้กับเขาเสียสนิท
แม้เฟตจะเป็นเพียงลูกน้องเพียงคนหนึ่งที่สนิทกับชิออนที่สุด แต่ภาษีของเขาก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อบ้านที่ทำงานบ้านได้ห่วยแตกยกเว้นเรื่องการปรนนิบัติ (..) เพื่อนสนิทสุดซี้ ที่ทำผิดอะไรก็บอกว่าช่างมันเถอะ ทำดีแล้ว แม้เรื่องจะผิดมากแค่ไหนก็บอกช่างมันเถอะดีแล้ว
แต่เขาก็ถือว่ามีบทบาทที่สำคัญในครอบครัวของชิออน เรียกได้ว่าเป็นคนสำคัญของบ้านไม่ต่างกับชิออนเลยก็ว่าได้
เมื่อเห็นว่าเจ้านายตัดช่องน้อยหนีปัญหาด้วยการเข้าห้องน้ำไปแล้ว เฟตก็หันหลังออกจากห้องเพื่อไปเตรียมตัว การเตรียมตัวล่วงหน้าเรื่องเส้นทางและความพร้อมเป็นงานอีกอย่างที่เขาควรทำ แต่ก่อนที่เฟตจะปิดประตูห้องลงก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังลั่นในห้องน้ำ
โป๊ก! “อ้าก เป็ดน้อยของฉันกระโดดลงจากอ่างจากุตชี่มาอยู่ตรงเท้าได้ไงวะ หัวตูโนหมดแล้ว” ชิออนตระโกนลั่นออกมาจากในห้องน้ำ
เฟตเข้ามาถึงห้อง จึงเปิดตู้จัดของทันที เพราะเวลาไปไหนมาไหนเขาต้องเตรียมตัวพร้อมก่อนเสมอ แต่นี่เป็นงานที่ฉุกละหุกทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน แต่ก่อนที่เฟตจะยัดปืนพกเข้าซองเก็บในกระเป๋าสะพายปืนสั้นใต้เสื้อสูทของเขาได้ เสียงเคาะประตูห้องก็ทำให้ต้องกันไปมองทางต้นเสียงเสียก่อน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ใครครับ”
“แจ๋วเองค่ะคุณเฟต”แจ๋ว แม่บ้านตอบกลับมา ทำให้เฟตต้องเอียงคอเล็กน้อยแล้วมองไปทางประตูด้วยความสงสัย ปกติพี่แจ๋วจะไม่มายุ่งกับเขาถึงที่ห้องนี่นา หรือพี่เขาจะคิด พิศวาสอะไรเราวันนี้
ว่าแล้วก็ยกผ้าขึ้นมาคลุมตัวเหมือนกับผู้หญิงที่หวาดกลัวที่เห็นผู้ชายมาเจอเวลาโป๊ (…)
“มีข้อความเสียงของนายท่านสิริภพค่ะ”แจ๋วรีบบอกเหมือนกับรู้ความเปลี่ยนแปลงแปลกๆอะไรบางอย่างในห้องเฟต
“มีอะไรบ้างครับ”เฟตเปิดประตูออกมาคุยด้วยทันที เพราะสิริภพก็คือพ่อของชิออน นายใหญ่ของเขา
แจ๋วจึงยื่นจดหมายที่จดข้อความให้กับมือเฟต
‘ถึงลูกๆ นี่พ่อภพเอง ถ้าลูกได้จดหมายฉบับนี้ แสดงว่าพ่อคงไปสบายแล้ว’ เฟตที่อ่านจดหมายเสร็จเงยหน้ามองแจ๋วทันที
“มีอีกมั้ยครับ”เฟตถาม แจ๋วจึงรีบยื่นให้อีกฉบับเหมือนเตรียมตัวมาดีแล้ว
‘ถ้าลูกที่ถามหาอีกฉบับแสดงว่าคือลูกที่สุดแสนจะซื่อบื้อเฟต ดังนั้นสิ่งที่พ่อภพต้องการจะบอกจริงๆก็คือ พ่อคาดเดาว่า ทั้งคุณนายนิภาสุดสวยที่รักของพี่ กับชิออนที่น่าถีบของพ่อ คงจะรวมหัวกันแกล้งลูกเฟตเป็นแน่ ทำให้พ่อต้องแอบเตรียมการอะไรบางอย่างลับๆไว้ให้ นั่นก็คือ การเตรียมรถและคนเพื่อไปคุ้มกันลูกชายเพียงคนเดียวกับลูกชายอีกคน (ถึงตรงนี้เฟตชักอยากจะเลิกอ่านข้อความไปโดยพลันกับคำพูดที่ชวนวกวนของเจ้านายใหญ่) พ่อส่งรถของพ่อไปให้ลูกแล้ว คงจอดอยู่ที่โรงแรมแล้วนะเพราะฉะนั้นไปเอารถพ่อขับไปงานเลี้ยงตอนเย็นด้วยเพื่อหน้าตาของพ่อ และของต่างๆพ่อเตรียมไว้ให้แล้ว’
หลังจากเฟตอ่านจบ เขาก็ได้ยินเสียงตระโกนจากห้องของชิออน
“พ่อ! ทำไมถึงทำกับผมอย่างนี้ ผมจะอยู่อย่างไร แงๆๆๆ”
“พี่แจ๋วเอาไปให้ชินแล้วหรอครับ”เฟตถาม แจ๋วจึงพยักหน้า
“ผมยังไม่พร้อมกับการเป็นผู้บริหารนะ แล้วไหนพ่อสัญญาว่าจะซื้อเครื่องบินขับไล่และรถและบลา บลา”ชิออนยังตระโกนโหวกเหวก เฟตจึงหันไปมองแจ๋วคล้ายถามว่าทิ้งไว้แบบนั้นบ้านจะไม่แตกเพราะเสียงที่เป็นมลพิษเหรอ แจ๋วจึงพยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้องของชิออน เฟตที่ปรายตาสำรวจแจ๋วแวบๆมองเห็นจดหมายอีกฉบับถ้าเขาอ่านไม่ผิด มันขึ้นต้นหัวข้อคล้ายๆกับเขาว่า
‘ถ้าลูกที่ร้องไห้โวยวายพร้อมกับจะทำลายบ้านด้วยเสียง ห้าจุดหนึ่งดอบี้สเตอร์ริโอรอบทิศทางอยู่คงเป็นชิออน’ หลังจากแจ๋วไปเคาะประตูสักพักชิออนก็ออกมาเอาจดหมายอีกฉบับไปอ่านทันที
“อ้าก พ่อแกล้งฉาน”และก็ยังเป็นเสียงโวยวายลั่นบ้านของชิออนอีกเช่นเคย
‘โห นายท่านไม่อยู่ยังคิดแกล้งชิออนได้อีกแหะ’เฟตหัวเราะในจมูกเหมือนกับขำคนในครอบครัวนี้ ที่รักกันดีแม้ตัวไม่อยู่ แต่พยายามที่จะส่งมุขยิงตรงสดจากต่างประเทศมาให้แบบนี้เสมอๆ
“เฟต นายคงได้จดหมายเหมือนกันใช่มั้ย”ชิออนเปิดประตูมาถามเฟต ที่กำลังยืนคิดอะไรเพลินๆอยู่
ตอนแรกเฟตทำท่าจะตกใจที่ประตูถูกเปิดมาจนเห็นเขาในสภาพไม่พร้อม แต่ดูเหมือนเฟตจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นผู้ชายด้วยกันจึงไม่ดึงผ้าขึ้นมาปิดอก (เอ่อ)
“ใช่ครับ”
“ถ้างั้น นายไปเอาของที่พ่อสั่ง ส่วนฉันต้องเอาของที่อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน”
“ครับ”เฟตตอบรับสั้นๆ และคว้าเสื้อสูทมาใส่
จากนั้นก็เดินออกจากห้องตัวเองตรงไปยังโรงจอดรถ เพื่อหารถไปเอารถของพ่อของชิออนมาเตรียมไปงาน
แต่ก่อนที่เฟตจะขึ้นรถไป เขาก็เห็นรถ เอนกประสงค์จอดอยู่ 2 คัน เฟตจึงเดาว่าเป็นกลุ่มที่นายใหญ่บอกมาว่าจะส่งมาคุ้มกันเป็นแน่
“คุณเฟตจะไปเอารถหรอครับ”เสียงลอยคนขับรถประจำบ้านดังขึ้น เพราะถ้าเฟตออกไปข้างนอกด้วยรถเพียงตัวคนเดียว มักจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนรถสำคัญๆเสมอ
“ครับ พี่ลอย สงสัยผมคงต้องพาพี่ลอยไปด้วย”เฟตตอบ เพราะคนๆเดียวคงเอารถสองคันกลับมาบ้านไม่ได้แน่ๆ ซึ่งลอยก็พยักหน้าและขึ้นรถไปกับเฟตทันที
หายไปไม่กี่นาทีเฟตก็กลับมาอีกครั้งพร้อมรถ BMW คันหรูของสิริภพ หลังจากเฟตขับรถเข้าจอด ชิออนก็ลงมารับถึงที่ทันที
“โหย รถคันนี้ คันหวงของพ่อเลยนี่นา”ชิออนอุทาน เพราะพ่อเขารักรถมากแล้วยิ่งกับคันนี้ที่ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาพ่อด้วยแล้ว ยิ่งไม่ยอมให้เขาได้ขับเลย
“งั้นวันนี้ฉันขอขับนะ”ชิออนหันมาถามเฟตด้วยตาเป็นประกาย ส่วนเฟตก็ตอบด้วยท่าทีตาเป็นประกายเช่นเดียวกัน
“ไม่ได้ครับ”
“ทำไมอ่ะ”ชิออนทำหน้าเซ็งถามกลับทันที เมื่อใดที่เฟตตอบว่าไม่ด้วยท่าทีแบบนี้ เขาไม่ควรที่จะฝืนดื้อแพร่ง มิเช่นนั้นจะเกิดโศกนาตกรรมที่บ้านนี้ขึ้นได้
ยังไม่ทันที่เฟตจะได้ตอบ ลอยที่ขับรถมาอีกคันสามารถตอบคำถามแทนได้ทันทีแม้จะไม่ได้ยินหัวข้อสนทนา
“เพราะนายน้อยเวลาขับรถ ถ้าไม่ชนก็โดนชนครับ”
“เฮ้ย ใช่ที่ไหน ผมไม่เคยเลยนะพี่ลอย”ชิออนพูดด้วยหน้าตาใสซื่อ
“นายน้อยแค่ขับในบ้านยังถอยชนกำแพง หรือไม่ก็ถอยชนรั้ว ส่วนถ้าไม่ใช่ในบ้าน นายน้อยก็ไปชนตูดรถคันอื่น หรือไม่ก็ล้อหลังแซงล้อหน้า และบลา บลา”ลอยตอบด้วยความขำขันและไล่เรียงเหตุการณ์ตอนที่ชิออนขับรถออกมาเป็นหางว่าว คนทั่วไปคงไม่เป็นแบบชิออนแน่ ที่ชนวันล่ะครั้ง ครั้งล่ะรายการโดยที่ไม่ซ้ำกันเลย
ชิออนที่ได้ยินก็ยิ้มแห้งๆและไม่ตื้อเฟตที่จะขอขับรถอีกต่อไป เฟตที่เห็นชิออนหน้าเศร้าก็สงสารจึงตอบตกลงเพื่อไม่ให้มาร้องไห้ซบอกเขาทีหลังด้วยความน้อยใจในพรสวรรค์สุดแสลงที่ฟ้าประทานให้ของตัวเอง
ลอยจึงยืนกุญแจรถให้ทันที
“อะไรอ่ะ พี่ลอย”ชิออนถามงง นี่ไม่ใช่กุญแจรถที่เขาอยากจะพากันไปบู๊นี่
“ผมว่านายน้อยลองขับคันนั้นก่อนดีกว่าครับ”ลอยที่ยื่นกุญแจให้ ชี้มือไปที่รถอีกคันนึงซึ่งไม่ใช่ สองคันที่ลอยและเฟตไปเอามา ชิออนจึงมองรถคันนั้นงงๆ
“ผมไม่อยากให้นายน้อยและคุณเฟตไปงานเลี้ยงตอนเย็นไม่ได้ไงครับ”ลอยยิ้มตอบ เพราะรู้ว่าชิออนยังคงเป็นมือบรรลัยเรื่องรถในครอบครัวเขาอยู่
ชิออนทำหน้าเซ็งๆเดินไปเปิดประตูรถที่ลอยชี้ ขณะที่สตาร์ทเครื่อง ควันสีขาวก็ลอยออกมาจากใต้กระโปรง ลอยที่เห็นก็หยิบสมุดสีดำที่สิริภพมอบให้ขึ้นมาและจดอะไรบางอย่างลงไปอย่างรวดเร็วเหมือนทำเป็นประจำ
“เหตุการณ์ ที่ 54 ควันหม้อน้ำลอยออกจากใต้กระโปรง บลา บลา บลา”ลอยยังจดและพึมพำเหตุการณ์ลงไปในสมุดอีกต่อไป โดยไม่สนใจชิออนที่กำลังทำหน้าเซ็งๆ
“พ่อนะพ่อ ถึงกับทำแบล็กลิสไว้เลยเหรอเนีย”ชิออนพึมพำ
ส่วนเฟตไม่ได้สนใจเรื่องตั้งนานแล้ว เขาเดินเข้าบ้านไปเรียกแจ๋วให้มาเอาของที่หลังรถไปเตรียมให้ชิออน แล้วตัวเองก็จัดการสังหารมื้อเช้าที่ท้องโหยหารอเป็นการฆ่าเวลา
เฟตที่สังหารอาหารเช้าจนเรียบแล้วจ้องมองชิออนที่พึ่งแอบขึ้นไปงีบแล้วกลับลงมาพร้อมกับหน้าที่เคร่งขรึม เขาคงจะเชื่อว่าชิออนไปเตรียมตัวแล้วจริงๆ ถ้าไม่เห็นชุดที่ยับยู่ยี่ของเจ้านาย
“ไปกันเถอะ”ชิออนพูดเสร็จก็เดินนำไปที่รถทันที และเนียนไปนั่งฝั่งคนขับ เฟตที่เดินมาถึงก็ขยับกุญแจรถในมือให้ชิออนดู ชิออนจึงทำหน้าเซ็งๆ ที่ตนเองจะเนียนขับไปเองไม่ได้
“พ่อนะพ่อ บอกแล้วออกรถให้ถูกชะตากับลูกหน่อย”ชิออนพึมพำแล้วย้ายไปนั่งอีกฝั่ง เขาเชื่อว่าที่ตนจับรถคันไหนเจ๊งคันนั้นเป็นเพราะพ่อเขาออกรถไม่ถูกโหยวเฮ้งกับตนเอง
“ไปไหนครับ”เฟตถาม ขณะอยู่ในรถสปอร์ทคันงามของพ่อชิออน
“ไปร้านน้าพร”ชิออตอบ พร้อมกับเอนเบาะเตรียมนอน และหลับไปในทันทีที่หัวแตะที่พิงหัว
เฟตได้ยินดังนั้นก็ส่งเป้าหมายสถานที่ใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของรถสปอร์ท ซึ่งออนระบบร่วมกับรถผู้คุ้มกันอีกสองคันที่จอดรออยู่
เมื่อได้เป้าหมายรถคุ้มกันคันแรกก็วิ่งออกนำไปก่อน ตามด้วยรถของเฟตและรถคุ้มกันปิดท้าย
ชีวิตของชิออนมีค่าสำหรับครอบครัวนี้มาก จึงไม่เลือกวิธีที่จะให้ชีวิตลูกเพียงคนเดียวอยู่ยั่งยืนต่อไป
ร้านน้าพร เป็นร้านแต่งหน้าและชุดพิธีต่างๆ
หลังจากคณะคุ้มกันของชิออนเดินทางมาถึงร้านนี้ ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงเศษๆเท่านั้น
“สวัสดีค่ะ คุณหนูชิน”เสียงของพนักงานต้อนรับที่ชิออนคุ้นเคยดังขึ้นตอนที่ชิออนก้าวเท้าลงจากรถโดยมีชายชุดสูทคุ้มกันล้อมหน้าล้อมหลัง
ชิออนชินกับการที่ต้องถูกล้อมแบบนี้อยู่แล้ว จึงไม่ได้คิดอะไรมาก ต่างกับเฟตที่มักจะถีบตัวเองให้อยู่นอกวงคุ้มกัน เขาคิดเสมอว่าการอยู่ภายใต้กรอบของใคร คนๆนั้นมักจะขยับตัวได้ลำบาก จึงสร้างทางหนีของตัวเองไว้เสมอ
“ไงครับ น้าพร วันนี้มีงานให้ช่วยหน่อยครับ”ชิออนเอ่ยเสียงเป็นกันเองกับสตรีที่ทักทายเขาอย่างเป็นมิตร
“ค่ะ แล้ววันนี้ไปงานอะไรค่ะ ประชุม สัมมนา หรืองานแต่ง”น้าพรพูดอย่างเป็นกันเอง เพราะคุ้นเคยกับชิออนและครอบครัวดี แม้แต่กลุ่มที่มาคุ้มกันเธอยังคุ้นเคยกันเลย
“งานดินเนอร์ครับ สองที่นะครับวันนี้”ชิออนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูชินกับคุณเฟตเหรอค่ะ”น้าพรเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เพราะปกติเฟตจะไม่เคยมาแต่งตัวเลย นอกจากมานั่งรอชิออนพร้อมกับกลุ่มผู้คุ้มกันเท่านั้น
“ครับ”ชิออนตอบรับ และหันไปหาพนักงานชายในร้านให้มาช่วยลากตัวเฟตไปแต่งตัวด้วย
ทันทีที่มีคนมาแตะที่ไหล่ เฟตก็จัดการแผงฤทธิ์จนชายคนนั้นล้มไปกองกับพื้นแบบไม่บาดเจ็บ เพราะเฟตต้องเซฟตัวเองและคนรอบข้างไว้
“เฮ้ย แค่แต่งตัว ให้เขาถอดเสื้อสูทให้ดิ”ชิออนเห็นเช่นนั้นก็โวยแล้วหันไปมองทางชุดผู้คุ้มกัน ที่มองหน้ากันประมาณว่าใครจะเข้าไปช่วยชายคนนั้นดี
“เอ่อ ไม่เป็นอะไรนะครับ ทีหลังอย่ามาแตะกันแบบนี้นะครับ”เฟตเอ่ยกับคนที่อยู่ใต้เข่าการจับกุมของเขาด้วยความเป็นห่วงแบบสุดซึ้ง สัญชาตญาณของเขาไม่ใช่ของเล่น มันมักจะทำหน้าที่ได้ดีจนน่ากลัว นี่ถ้าเขาไม่เห็นไว้อยู่ก่อนแล้ว คงจะออกแรงกระทุ้งจนข้อต่อไหล่หลุดไปแล้วแน่ๆ (เรียกว่าสัญชาตญาณดิบก็ได้)
30 นาทีต่อมา
ชิออนเดินออกมาจากห้องแต่งตัวด้วยท่าทีเซ็งๆ แม้เขาจะเกลี่ยกล่อมเฟตขนาดไหน ผลสุดท้ายเฟตก็ค้านเรื่องชุดเขาจนไม่มีใครพูดอะไรเรื่องชุดเก่าๆนี้อีก
“นายจะใส่ชุดเก่าๆของฉันไปไม่ได้หรอก เพราะงานนี้เป็นหน้าเป็นตาของบริษัท ฉันจึงต้องเตรียมทุกอย่างให้เนี๊ยบ”ชิออนพยายามตะล่อม
“ขอโทษนะครับ งานนี้เป็นง่านของผู้บริหารแบบคุณ ไม่ใช่ของผมที่เป็นเพียงผู้ร่วมงาน”เฟตยังคงเอาตัวรอดได้เหมือนเดิม จนชิออนต้องยอมแพ้ไปโดยปริยาย
ชุดที่เฟตใส่เป็นชุดสูทธรรมดาๆ ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ด้วยใบหน้าที่นิ่งตายได้ทุกที่ทุกเวลาเหมือนยูโรคัสตาสครีม ทำให้ความนิ่งบวกกับสูทดำดูเข้ากันได้แบบไม่มีเหตุผล
ส่วนชุดที่ชิออนใส่เป็นชุดทักซิโด้สีเทา ติดหูกระต่ายสีดำ และแต่งหน้าทำผมพร้อมแรดได้ทุกที่ไม่ห่วงแม้วันมาไม่มา บวกกับหน้าตาลูกครึ่งสุดมั่นอย่างเขาทำให้ชิออนกลายเป็นจุดสนใจของลูกค้าในร้านได้ง่ายดาย แม้แต่ผู้ชายด้วยกันเอง
นี่ถ้าไม่เห็นผู้คุ้มกันหน้าเหี้ยมกว่าหกคนที่ร่ายล้อมอยู่ ลูกค้าพวกนี้คงจะเดินเรียงแถวเข้ามาขอเบอร์ไปทำลูกแล้ว
“ช่างเรื่องชุดของผมเถอะ อย่างน้อยผมก็ซักจนดูดียิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วก็แล้วกัน ว่าแต่ผมยังไม่รู้เลยว่าไปงานที่ไหน”เฟตถาม เพราะตั้งแต่ออกจากบ้านมาเขาถามว่างานจัดที่ไหนชิออนก็ไม่ยอมบอก บอกแต่ว่าเป็นที่ที่เชื่อใจได้
“อืม ไปก่อนเถอะ”ชิออนที่กำลังจ่ายค่าแต่งตัวอยู่ตอบ หลังจากจ่ายเสร็จชิออนก็เดินออกหน้าร้าน โดยมีรถที่ผู้คุ้มกันมาจอดรออยู่
เฟตเดินเลยไปนั่งฝั่งคนขับซึ่งชายคุ้มกันที่เป็นพลขับให้ก็ถอยออกไปอย่างว่าง่าย เพราะเฟตก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญในหน่วยคุ้มกันเช่นกัน
“เอานี่”ชิออนที่ขึ้นนั่งในรถกดสัญญาณระบบนำทาง NAVIGATION (เครื่องGPSดีๆนี่แหละครับ) ระบุพื้นที่ให้เฟตดู ซึ่งผู้คุ้มกันรู้กันหมดแล้วยกเว้นเฟต
“เมืองหลวงใหญ่”เฟตที่เห็นจุดที่เครื่องGPSบอกอุทานทันที ซึ่งชิออนก็พยักหน้าและยิ้มร่าขึ้นมาเพราะรู้ว่าเฟตกลัวเมืองหลวงมาแต่ไหนแต่ไร
เฟตขับรถตามจุดที่ GPS บอกไปแต่โดยดี เพราะตนไม่มีสิทธิปฏิเสธอยู่แล้วเมื่อขึ้นหลังเสือ ชิออนเห็นหน้าที่ซีดของเฟตก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะอย่างขำๆ เพราะเฟตกลัวเมืองหลวงมาก ไม่ใช่กลัวอะไร แต่กรุงเทพฯมีคนเยอะและเต็มไปด้วยการจราจรที่มั่งคั่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เฟตไม่ชอบและเกลียดที่สุด
เฟตขับรถประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงจุดที่เครื่องGPSบอก เมื่อมาถึงเวลาก็กินเข้าไปถึง บ่ายโมงครึ่งแล้ว
แต่จะว่ากินเวลาก็ไม่ได้ นี่พวกเขาออกมาก่อนเวลามากเกินไปจริงๆ
บริเวณจัดงานเป็นย่านธุรกิจของเมืองหลวงใหญ่ ที่มีตึกสูงเฉียดฟ้าเต็มไปหมด รวมถึงตึกๆนี้ก็ด้วย มันมีป้ายบอกว่าวันนี้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ที่คนทั่วประเทศจับตามอง เหมือกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าจัดงานอะไร
เมื่อถึงหน้างานก็มีพนักงานมาต้อนรับ และมีแขกที่มาล่วงหน้าอยู่หลายสิบคน รถที่ชิออนโดยสารมาเลื่อนเข้ามาจอดด้านหน้าบริษัทนี้อย่างช้าๆ และตามมาด้วยผู้คุ้มกันที่ตรวจสอบบุคคลโดยรอบและสถานที่อย่างดี ถึงจะยอมให้ชิออนลงจากรถมาตามแผนผู้คุ้มกัน
เฟตนั้นลงจากรถก่อนเมื่อผู้คุ้มกันส่งสัญญาณมา เมื่อเฟตก้าวลงมาผู้คุ้มกันที่มีหน้าที่เป็นพลขับอีกคนก็ขึ้นไปแทนที่ทันที
เมื่อเฟตลงมาแล้วตรวจสอบรอบๆด้านด้วยสายตา จนพบว่าที่บริษัทแห่งนี้มีความกว้างขวางและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีตามสายตาเขาก็จัดการดึงประตูเปิดให้ชิออนลงมาได้
ทันทีที่ชิออนก้าวเท้าลงมาก็ถูกจับตามองทันที ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่ดูดีสมชายหรือจะเป็นผลงานที่เคยสร้างชื่อเขา ล้วนเรียกเสียงฮือฮาได้จากแขกที่มาก่อนได้เป็นอย่างดี
ชิออนนั้นก้าวเท้าขึ้นบันไดสูงเยี่ยงเทพบุตร ซึ่งนักข่าวก็รุมถ่ายรูปของชิออนทันทีที่มีโอกาส เพราะบุคคลผู้นี้มีสิทธิ์ขึ้นเป็นเจ้าของบริษัทอันดับต้นๆของประเทศที่มีพ่อของเขากุมอำนาจในปัจจุบัน ซึ่งตำแหน่งประธานยักษ์ใหญ่คนต่อไปก็คงหนีไม่พ้นทายาทเพียงคนเดียวของนายสิริภพอย่างชิออนเป็นแน่
แต่ความฝันแห่งข่าวของนักข่าวต้องดับดิ้นเหมือนหนูตายในเล้าไป เมื่อติดที่ผู้คุ้มกันและเจ้าหน้าที่ของงานหลายคนป้องกันสิทธิ์เรื่องนี้เอาไว้ จึงอดกันไปตามระเบียบ
ท้ายที่สุด ด้วยความที่เห็นนักข่าวน่ารักสวยใส ชิออนจึงผละจากการคุ้มกันเดินตรงไปยังโซนนักข่าวที่ทางงานจัดเตรียมไว้ให้
จากนั้นก็จัดการหม้อนักข่าวสาวเพื่อแลกกับการถ่ายรูป
คนคุ้มกันของชิออนต่างทำหน้าหน่ายโลก เพราะต่างรู้กันดีว่า มีสาวสวยที่ไหน ชิออนเป็นต้องแรดหน้าตั้งเข้าหาทุกที่ ไม่สนเลยว่าสาวคนนั้นจะมีเจ้าของหรือไม่
ชิออนที่โดนรุมถ่ายรูปแลกกับการหม้อสาวนั้นปรายตาไปมองเห็นเฟตหาวด้วยความเบื่ออยู่ จึงคิดขึ้นได้ว่าต้องเข้างานเพื่อลงทะเบียนชื่อเสียก่อน จึงขอตัวกับทีมนักข่าวและผละตัวพาทีมบอดี้การ์ดของตนเองออกมา
ตลอดทางเดินที่ตรงไปยังโต๊ะประชาสัมพันธ์ ชิออนได้รับการทักทายจากตัวแทนหลายๆบริษัทเป็นอย่างดี เพราะพ่อของชิออนได้พาชิออนออกงานหลายครั้งทำให้เค้าเป็นที่รู้จักของบุคคลหลายที่ต่างบริษัท เขาจึงเกือบจะโดนรุมล้อมจากหลายๆฝ่ายเนื่องจากพวกเค้ารู้ว่าถ้าสามารถชักชวนชิออนให้เป็นมิตรได้ บริษัทของพ่อชิออนคงสนับสนุนพวกเค้าแน่ถ้าเพียงชิออนเอ่ยปาก
แต่ทีมงานบอดี้การ์ดกลับกั้นชิออนไว้อย่างดีทำให้ไม่มีใครเข้าหาตรงๆได้นอกจากจะได้รับคำอนุญาตกับชิออนก่อน
ขณะที่ชิออนกำลังสนทนาธุรกิจที่น่าเบื่ออยู่ เฟตก็สำรวจรอบๆไปด้วย แล้วเขาก็พบว่าจำนวนคนในตอนนี้ยังไม่มากเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะมาก่อนเวลามากไปก็ได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อหันกลับมาเห็นชิออนเรียกคุยแต่สาวๆเหมือนเดิม
ในตอนที่เฟตเริ่มเบื่อหน่ายจนอยากเอาหน้าไปซุกกับอะไรที่มันชวนให้เขาหายไปจากโลกใบนี้ได้ สายตาของเขาก็แหงะไปเห็นคนๆหนึ่งที่ค่อนข้างจะคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างมาก
หญิงสาวคนนี้ใส่เสื้อสูทกระโปรงสั้นสีดำ กับผมที่รัดเกล้ามา บ่งบอกได้อย่างดีว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่ของงาน
ฝ่ายตรงข้ามเองก็หันมาสบตากับเขาพอดี ซึ่งเธอก็ยิ้มแย้มและทักทายเขาด้วยภาษาปาก
‘เจอกันอีกแล้วนะ น้องรัก’อ่านได้แค่นั้นเฟตก็ถึงกับคนลุกสยิว นี่เขากะว่าจะไม่ไปที่สำนักงานอีกสักพักแต่ดันมาเจอเธอที่นี่ซะงั้น
เมื่อเขาสังเกตเห็นเธอคนนี้ ก็สังเกตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของที่นี่ดีๆ เขาจึงพบว่า เจ้าหน้าที่แทบทั้งหมด เป็นคนที่เขารู้จักทั้งนั้นแม้จะจำชื่อไม่ได้ก็ตาม
“บอสมาทำอะไรที่นี่ฟะ”เมื่อบ่นเสร็จก็หันไปเห็นสายตาของชิออนที่กรุ่มกริ่มมาทันที บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าชิออนรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
“สวัสดีเฟตคุง วันนี้ก็มาเหรอ”สาวสวยบอสของเฟตเดินตรงเข้ามาทักทันที แต่เธอยังคงสงวนท่าทีท่ามกลางสายตาคนที่มองอยู่
“เอ่อ ผมตามเจ้านายมาน่ะ”เฟตพยักหน้าไปทางชิออนที่ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้คุยกับสาวคนอื่นต่อไป
เยียนกับชิออนสบตากันและพยักหน้าให้กันเล็กน้อย เป็นเชิงว่าอนุญาตให้นำตัวไปได้ เยียนก็จัดการลากเฟตออกไปท่ามกลางสายตาของบอดี้การ์ดที่ลอบสวดมนตร์ล่วงหน้าให้เฟต
ของเล่นของเธอไม่เคยตายดี
ของเล่นของเธอคือสิ่งสนุก
ของเล่นของเธอคือสิ่งสุดท้ายที่โลกนี้จะทำลายได้
และของเล่นชิ้นนี้ของเธอก็อันตรายพอๆกับเจ้าของมันเสียด้วย
ผมไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ ที่เยียนสามารถดึงผมออกมาจากงานคุ้มกันชิออนได้ เพราะเยียนนั้นรู้จักกับตระกูลชิออนดี หรือจะพูดให้ถูกจริงๆ ก็ตระกูลชิออนนี่ล่ะ ที่ทำให้เขาได้เยียนเป็นครูฝึกในตอนที่เธอเป็นเพียงเจเนรอลใหม่ๆ
ในตอนที่อายุเพียงสิบห้าสิบหก ผมก็หยุดเรียนแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าการเรียนช่วยอะไรชีวิตให้รอดพ้นไปจากอันตรายไม่ได้ จึงเลือกที่จะทำงานเลย
แต่สำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลยนอกจากสัญชาตญาณแบบผม จะให้ทำงานที่ชอบอย่างบอดี้การ์ดเลยก็คงดูไม่ได้ ทางเจ้านายใหญ่อย่างสิริภพที่ยังติดต่องานประเทศอยู่ในขณะนั้นจึงติดต่อกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง
จากนั้นไม่นาน ผมก็ถูกส่งไปฝึกที่ศูนย์แห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมารู้ว่าเบื้องหน้าของศูนย์นั้นเป็นสนามยิงปืน ที่ใช้ชื่อว่าอย่าเหลิง
การพบเจอของผมกับบอสในตอนแรกๆนั้น ต้องบอกว่าเหมือนหมากับแมว เจอกันทีไรผมเป็นต้องถูกเธอขู่ตลอด แม้ตอนนั้นเธอจะอายุห่างกับผมไม่เท่าไหร่ แต่ความเก่งของเธอเป็นของจริงจนผมต้องยอมรับว่าเธอคืออาจารย์ที่เหมาะสมกับผมที่สุด
และแล้วการตื้อของผมกับบอสก็เป็นผล เมื่อเธอถูกสั่งให้มาเป็นพี่เลี้ยงผมโดยตรง แบบไม่มีใครกล้าสอดด้วย ทำให้ตั้งแต่นั้นมาผมเริ่มที่จะยิงปืนได้ดี ดีมาก และดีมากๆ อ้อ ผมลืมบอกไป บอสของผมเคยเป็นแชมป์ยิงปืนมาหลายสนาม ซึ่งปืนนี่ล่ะคือสิ่งที่ผมชอบมากกว่าการต่อสู้ใดๆในโลกนี้เลย
แม้ตอนนั้นผมจะเป็นลูกศิษย์ที่น่าถีบที่สุดของเธออย่างที่เธอว่าแล้ว ผลสุดท้ายความสัมพันธ์ตอนเจอหน้ากันก็ไม่ต่างกับตอนแรกๆที่เหมือนกับแมวเจอหมาอยู่ดี อ้อ ผมไม่เคยกัดเธอนะ เพราะผมถือหลักผู้ชายไม่ทำอันตรายผู้หญิง มีแต่เธอที่ชอบขู่ผม
เมื่อมองย้อนจากวันนั้นมาวันนี้ มันกลับกลายเป็นสิ่งที่แตกต่างจากอดีตโดยสิ้นเชิง จากหมาเจอแมว กลายมาเป็นแมวเจอของเล่นไปได้ยังไงก็ไม่รู้
“ทำไมบอสถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ”ผมถามเธอ แต่เธอไม่ตอบยังคงจูงมือผมเดินต่อไป
“พี่เยียนทำไมถึงมาที่นี่พร้อมกับทีมงานได้ล่ะครับ”รอบนี้ทั้งเรียกชื่ออย่างที่เธอต้องการและดึงรั้งเธอไว้ ทำให้บอสต้องหันมามองผมตรงๆ
หญิงสาวมองหน้าผมนิ่งๆสักพักก็ยิ้มออกมาน้อยๆที่มุมปาก อ้า ทำไมผมถึงเห็นนรกรำไรแล้วนะ
“ไม่รู้เหรอ ว่างานนี้ใหญ่ขนาดไหน”เธอถามแทนคำตอบที่ผมต้องการ
“ก็ พอจะรู้คร่าวๆครับ แต่ไม่นึกว่าจะใหญ่ขนาดจ้างบริษัท BDM ของพี่ด้วย”
“คร่าวๆนี่ แค่ไหนล่ะ”เธอยังคงรุกผมต่อไป เพื่อให้ผมจนแต้มสินะ
“ก็น่าจะเป็นคนสำคัญระดับประเทศครับที่จะร่วมมางานนี้ เพราะเท่าที่ผมสังเกตดูจากมุมทั่วๆไปแล้ว เหมือนกับงานนี้ถูกเตรียมการมาเป็นอย่างดี ถ้ามีผลซุ่มยิงด้วย ผมคงนึกว่าประธานาธิบดีมาแน่ๆเลย”ผมตอบตามที่เห็น ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่ค่อนข้างสูงมาก สูงเกินกว่าที่เขาจะสั่งการได้เลยล่ะ
“คิกๆ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”บอสหัวเราะน้อยๆอย่างน่ารักในแบบของเธอ แต่บทสนทนาของเราต้องจบลงเพียงแค่นี้ เมื่อเธอใช้มือแตะที่ใบหูที่มีเครื่องมือสื่อสารอยู่
จากนั้นบอสก็ทำหน้าสุดเซ็ง เหมือนกับต้องลาขาดจากของเล่นสุดหวง
“แล้วเจอกันนะ”ว่าแล้วเธอก็ทิ้งให้ผมยืนมองรอบๆตัวอย่างงงๆ ผลสุดท้ายก็ไม่รู้จนได้ว่าเธอจะพาผมไปไหนกันแน่
ช่างเถอะ ออกจากงานได้ก็ไม่เป็นอะไร ปกติผมไม่ชอบงานที่วุ่นวายนั่นอยู่แล้ว การพูดคุยกันของชิออนกับคนพวกนั้นล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจทั้งสิ้น คนหัวสิ้นคิดแบบผมคงไม่มีทางฟังเข้าใจได้หรอก จากนั้นผมก็เลือกที่จะเดินเล่นฆ่าเวลาไปพลาง
ผมเดินชมรอบนอกของงานเรื่อยๆ แวะอ่านป้ายที่บอกกำหนดการต่างๆแล้วเดินต่อไปเรื่อยๆฆ่าเวลาที่น่าเบื่อหน่าย เพราะเห็นว่าเวลาที่จะเริ่มงานอีกตั้งนาน ชิออนดันชวนผมออกมาแต่วันซะได้
ผมเดินไปจนถึงป้ายที่เขียนไว้ว่าพื้นที่ ‘ชวนชม ชมวิว’จึงลองเดินขึ้นไปดูเพราะดีกว่าเดินไปตามทางเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายแน่
ตามทางที่เดินมา ผมพบว่าทีมงานนี้จัดพื้นที่ได้สวยงามมากเลยทีเดียว ด้วยขนาดพื้นที่ที่กว้างใหญ่ การจัดสวนจึงมากตามและยิ่งใหญ่สวยงามมากสุดๆ
อึกๆ! ผทที่เดินตามทางมาเรื่อยๆได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังเสียใจและรำพึงรำพัน จึงเดินตามทางไปอย่างไม่รีบร้อนแม้อยากรู้ว่าเป็นอะไรแต่ก็ไม่ควรทะเล่อทะล่าเข้าไป หลังจากเดินตัดมุมตึกไป ผมก็เห็นผู้ชายใส่สูทสีดำแบบผมนั่งเช็ดม้านั่งตรงจุดชมวิวอยู่ จึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”ผมถามชายคนนี้ทันที มองจากด้านหลังชายคนนี้น่าจะเป็นพนักงานของบริษัท เพราะเขาใส่ชุดสูทแบบผม ที่ปกติพนักงานบริษัทเขาใส่กันทั้งหมด ส่วนแขกส่วนใหญ่จะใส่ชุดทักซิโด้หรือไม่ก็ชุดสุภาพอื่นๆที่ไม่ใช่สูทธรรมดาขาวดำแบบผมหรือพนักงานทั่วๆไป
“ขอโทษครับ”ชายคนนี้สะดุ้งตกใจเล็กน้อยแล้วหันมามองผมอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”พนังงานชายถามผมทันที อืม พนักงานที่นี่พูดถามได้ไพเราะดีแหะ
“ผมไม่มีอะไรให้ช่วยหรอกครับ และผมก็ไม่ใช่คุณผู้ชายอะไรด้วย คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ เพราะผมเห็นแววตาเจ็บปวดจากตาคุณ”ผมถามตรงๆ เพราะเรื่องที่ทำให้ผู้ชายเจ็บปวดจนออกมาทางสายตาได้ต้องเป็นเรื่องที่สะเทือนใจมากแน่ๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณ เพราะยังไงซะนี่ก็เรื่องของผม ผมพอจะจัดการเองได้ครับ”ชายตรงหน้าผมตอบด้วยรอยยิ้ม ซึ่งผมรู้ดีเลยว่านี่เป็นรอยยิ้มที่ไร้ความยินดีหรือดีใจ
“เรื่องบางเรื่องถ้าเราเก็บมันไว้โดยไม่ระบายออกมา จะทำให้เราอึกอัดมากนะครับพี่ชาย”ผมพยายามเกลี่ยกล่อม การคุยกับชายคนนี้คงฆ่าเวลาได้ดีกว่าการเดินเล่นคนเดียว
ชายตรงหน้าแค่เพียงสะอึกเล็กน้อยและหันมามองผม จากนั้นก็ทำหน้าครุ่นคิดเหมือนกำลังชั่งน้ำหนักว่าจะระบายดีหรือเปล่า สักพักจึงพูดออกมา
“คุณพอรู้จักเกม Proxy War ใช่มั้ยครับ เกมนี้พนักงาน NPC ส่วนใหญ่เป็นคนจริงๆ ครับ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นผมด้วย”ชายคนนี้พูดจบ ผมก็พยักหน้าเล็กน้อยด้วยความทึ่ง มิน่าล่ะ ทำไมคนในเกมถึงโต้ตอบเราได้เหมือนจริงนัก
เพราะเกมต้องการให้การเล่นเกมดูสมจริงสมจัง และ NPC สามารถโต้ตอบและตอบรับสิ่งที่ต้องการได้มากกว่าคอมพิวเตอร์ จึงได้ส่งคนจริงๆเข้าไปเป็นพนักงานเพื่อเสริมความสมจริงเข้าไปอีก ทำให้เกมๆนี้ตีตลาดขึ้นมาภายในประเทศนี้ได้ ภายใน 2 เดือนเท่านั้น
“ปกติพนักงานจะได้เงินเดือน เป็นปกติครับ แต่ถ้าครั้งใดขายได้มากหรือดีหน่อยพนักงานก็จะได้เปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้น ตอนนี้ผมประจำการอยู่เมืองเริ่มต้นครับ เลยพอขายได้บ้าง”ชายคนนี้ยังคงพูดรำพึงรำพัน โดยไม่ใส่ใจว่าผมจะที่ยืนฟังหรือนั่งฟังหรือเปล่า ขณะที่พูดตัวเขาก็เช็ดม้านั่งไปด้วยเหมือนกับต้องการตัดโลกภายนอกออกไปจากชีวิตในปัจจุบัน
“ทุกๆเมืองก็จะมีหัวหน้า NPC ประจำเมืองล่ะคน ซึ่งหัวหน้าคนนั้นจะได้รับตำแหน่งเป็น GM ผู้ดูแลความผิดปกติของเมืองนั้นๆและส่งข้อมูลเข้าบริษัทแม่ และมีหน้าที่รวบรวมเงินทั้งหมดส่งเข้าบริษัท และทางบริษัทก็จะจ่ายเปอร์เซ็นต์กลับมาให้กับทีมงานที่ได้ดี หรือ ถัวเฉลี่ยกันนั่นล่ะ”
“แต่หัวหน้าของผมกลับไม่ทำตัวดีแบบนั้น เขาได้ค่าพิเศษอะไรมาก็ไม่ยอมจ่ายเพราะอ้างหักค่านู่นค่านี่ ทั้งที่ไม่จำเป็น”ชายคนนี้ยังคงรำพึงรำพันต่อโดยเดินไปเช็ดม้านั่งตัวต่อไป ซึ่งผมก็รีบตามไปฟังด้วย ไม่งั้นคงไม่ได้ยินเสียงแน่
“แล้วน้องชายรู้ป่ะ ว่าพี่เองก็ต้องมีแม่ให้เลี้ยง แม่พี่ปีนี้ก็จะ 50 และ พี่ต้องทำงานลำบากลำบนขนาดไหน”ชายหนุ่มพูดจบก็เขวี่ยงผ้าลงบนม้านั่งเหมือนโมโหแบบไม่มีที่พึ่งอีกต่อไป
ผมเห็นว่าปล่อยไว้แบบนี้จะไม่ดีแน่ จึงหยิบผ้านั้นขึ้นมาแล้วมองเขาสลับกับผ้า เมื่อเห็นว่าชายคนนี้ไม่สนผ้าอีกก็จัดการเช็ดให้เขาเสีย เพื่อให้เขาสามารถเล่าต่อไปได้อย่างเต็มภาคภูมิ อีกอย่างผมก็ไม่ชอบฟังอะไรที่ขาดๆหายๆซะด้วยซิ
“พอมาวันนี้ เป็นวันที่บอสกระจายข่าวว่าเงินออกแล้วด้วย น้องรู้มั้ย หัวหน้าพี่ดันถีบพี่มาเช็ดโต๊ะเช็ดเก้าอี้ โดยไม่ให้พี่มีโอกาสเจอคุณหนู ถ้าพี่ได้เจอนะ พี่จะบอกคุณหนูเลยว่าหัวหน้าคนนี้เป็นคนยังไง”ชายหนุ่มยังคงรำพึงรำพัน ทีแรกผมก็นึกว่าเขาสนใจผมขึ้นมาได้แล้ว ที่ไหนได้ดันมานั่งขวางการเช็ดของผมซะงั้น
“แล้วทำไม พี่ถึงต้องเสียใจเรื่องเงินด้วยครับ”ผมไม่สนใจเรื่องกระทำอยู่แล้ว จึงถามด้วยความสงสัยเรื่องที่ชายคนนี้ว่ามา สงสัยจะเสียใจที่ไม่ได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“น้องก็ต้องเข้าใจ พี่เป็นแค่คนจนๆ บ้านของตัวเองก็ไม่มี ไหนจะค่าเช่าห้อง ค่ากินค่าใช้ต่างๆอีก และไหนแม่พี่กำลังป่วยอีก”ชายพูดจบก็ซับน้ำตาที่ไหลออกมาและหันหน้าไปสะอึกสะอื้นซะงั้น
“อ้อ น้องชายตรงนั้นด้วนะ”ดูเหมือนเขาจะสังเกตเห็นผมแล้ว จึงร้องสั่งให้ผมไปเช็ดเก้าอี้นั่งตัวต่อไป
“ครับ”ผมคิดว่าเขาคงกำลังเสียใจที่มีเรื่องของบ้านมาเกี่ยวข้อง ผมเลยยอมทำตามอย่างว่าง่าย ก็แหม เห็นใครเดือดร้อนก็ต้องช่วย มันเป็นวิถีทางของผมนี่ ถ้าช่วยไม่ได้เพราะเกินแรงก็ไม่ช่วย แต่ถ้าช่วยได้ก็ช่วยไปเถอะ นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ล่ะ
หลังจากจัดการจนเก้าอี้เกือบจะหักคามือไปหลายตัว พี่ชายคนนี้ก็พาผมกลับมายังที่ๆหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นห้องพักของพนักงานของบริษัทนี้
เมื่อผมเข้ามาก็เห็นเหล่าพนักงานวิ่งวุ่นกันอยู่ ด้วยความที่ว่า ตอนนี้บริษัทกำลังจัดงานรองรับแขกใหญ่โตมากมาย ความพร้อมของงานก็สำคัญมากเช่นกัน พวกเขาเหล่านี้จึงต้องทำงานกันอย่างเร่งด่วนที่สุด
“ขอบใจน้องชายมาก ถ้าไม่ได้น้องชายพี่คงอึดอัดมากเลย”พนักชายหันมาพูดกับผมพร้อมกับนั่งพักที่เก้าอี้ยาว โซนนี้เป็นที่พักให้พนักงานที่เหน็ดเหนื่อยเจียนขาดใจซินะ เพราะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยพนักงานกล้ามโตที่ทำหน้าเคร่งเครียดทั้งนั้นเลย
“เอ้อ น้องชายว่างป่ะ”เขาถามผมขณะยื่นกระป๋องน้ำมาให้ ผมเดาว่าคงจะชวนพักให้หายเหนื่อยก่อนแน่ๆ จึงพยักหน้าเพราะยังเห็นว่าเวลามีเหลืออีกเยอะมาก
“เรียกน้องชายตลอดคงลำบากแย่ น้องชายชื่ออะไรล่ะ พี่ชื่ออิสนะ”ชายคนนี้แนะนำตัวยิ้มๆ
“ผมชื่อเฟตครับ พี่อิส”ผมตอบไป แล้วก็เห็นพี่อิสหันไปมองทางที่โรงอาหารตาละห้อย ผมจึงเดาว่าเขาน่าจะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงแน่ๆเลย เพราะท้องของเขาดังตอนมองไปทางโรงอาหารนั้น
“ไปกินข้าวกันครับ”ผมชวนแล้วพาเขาไปตรงทางนั้นทันที แม้จะไม่รู้ว่ามันเป็นโรงอาหารอย่างว่าหรือเปล่า
เมื่อมาถึงผมก็พบว่าพนักงานส่วนใหญ่เลิกทานและกลับกันไปหมดแล้ว ที่เหลือในห้องนี้ก็มีเพียงพนักงานทำความสะอาดเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ผมมองไปยังป้ายบอกเวลา ก็พบว่ามันเปิดตอน สี่โมงเช้าถึงบ่ายสอง ซึ่งนี่ก็บ่ายสองกว่าๆจะครึ่งแล้วด้วย
“ป้าครับ ขอข้าวสักที่ได้มั้ยครับ เขายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย”ผมเดินตรงไปถามหญิงมีอายุที่กำลังจะเก็บของเข้าที่พอดี ซึ่งเธอก็หันมามองผมงงๆ และชี้นิ้วไปที่ป้าย ที่บอกว่าผิดกฎถ้าใช้ผิดเวลา
“แต่กองทัพเดินได้ด้วยท้องนะป้า และเขาเองก็ยังไม่ได้อะไรเลย ถ้าให้กลับไปทำงานเลยคงร่วงไปก่อนแน่”ผมพูดอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือทหาร ก็ต่างใช้กฎเดียวกันทั้งนั้น
ดูเหมือนป้าจะเห็นใจผมนิดหน่อยแหะ แกยอมทำข้าวผัดแบบง่ายๆมาให้ พร้อมกับเหตุผลที่ว่ากับข้าวส่วนใหญ่หมดแล้ว แล้วตอนนี้กำลังจะขึ้นไปยังห้องอาหารใหญ่เพื่อเตรียมงานหลัก
ผมกล่าวขอบคุณเธอ เพราะถ้าเธอไม่ทำให้ คงต้องลากชายคนนี้ไปกินข้างนอก แล้วน่าจะผิดกฎกว่านี้แน่ๆเลย
เมื่อพี่อิสได้ข้าวก็มองผมด้วยสายตาซึ้งๆ แต่เมื่อผมชี้นิ้วไปนาฬิกาก็รีบจัดการสังหารข้าวจานนั้นอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนผมคาดว่าถ้าผ่าท้องยัดเข้าไปในนั้นยังช้ากว่าอีก
“อิ่มหรือเปล่าครับ ถ้าไม่อิ่มไปกินในห้องงานเลี้ยงก็ได้นะครับ”ผมบอกอย่างหวังดี แต่พี่อิสกลับส่ายหัวปฏิเสธ ปฏิเสธทั้งเรื่องอิ่มและปฏิเสธทั้งเรื่องเข้าไปกินในงานด้วย
“งานนี้มีแต่คนดังคนใหญ่คนโตทั้งนั้น พนักงานต่ำๆนอกจากหัวหน้าอย่างพวกเราทำได้แค่รออยู่ข้างนอกเท่านั้นล่ะ”พี่อิสบอกจบก็พาผมเดินออกจากห้องอาหารนั้นมา
ยังไม่ทันที่ผมหรือพี่เขาจะว่าอะไร พี่อิสก็ทำท่าสะดุ้งตกใจที่เห็นผู้ชายหัวโล้นตัวสูงๆยืนอยู่ ผมยังไม่ทันจะได้ถามว่าไฟดูดเหรอ ก็ถูกพี่อิสลากไปด้วยซะก่อน
หลังจากโดนพี่อิสลากมาถึงชุดพักผ่อนสำหรับสต๊าฟแล้ว
“เป็นอะไรครับ พี่อิส”ผมสงสัยจัดจนต้องถาม เพราะดูท่าทางแล้วอิสร้อนรนเหมือนมีไฟลามมาติดก้นมาก
“พอดีพี่เจอโจทก์เก่าน่ะ”อิสพูดด้วยเสียงเบาๆ ผมจึงพยักหน้าให้แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะไม่รู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว จากนั้นก็เดินไปชงกาแฟตรงจุดบริการที่พี่อิสเขาชี้บอกจุดที่พึ่งไปเอามา
ขณะที่ผมคนกาแฟปรับเปลี่ยนรสชาติตามต้องการอยู่ หูก็ได้ยินเสียงพูดที่คล้ายตระโกนดังขึ้นก่อนที่ประตูจะเปิดซะอีก
“เฮ้ย อิส ทำงานเสร็จหรือยัง แล้วมาทำอะไรแถวนี้”บุคคลหัวโล้นที่ผมเห็นเมื่อสักครู่ คงจะเห็นพี่อิสด้วยจึงเดินเข้ามาถึงที่นี่ แค่การพูดผมก็รู้สึกไม่ชอบใจแล้วแหะ คนแบบนี้มนเป็นพวกบ้าอำนาจชัดๆ
แต่ดูเหมือนชายคนนี้จะวางอำนาจมานานแล้วแน่ๆแหะ เพราะพนักงานที่อยู่รอบๆต่างหุบปากเงียบไม่สอดอะไรเข้ามาเลยสักคำ ไม่แม้แต่จะมองหน้าชายหัวโล้นคนนี้ด้วยซ้ำ
“พอดี ผมพึ่งเสร็จงานตรงบริเวณจุดผักผ่อนของแขกทั้งหมดครับ พี่หรั่ง”พี่อิสตอบเสียงสั่นๆ ผมมองดูเฉยๆต่อไปยังไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยวเพราะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่แม้การพูดจะดูรุนแรงแต่อาจจะเป็นเรื่องปกติก็เป็นได้ เพราะพนักงานคนอื่นๆยังคงท่าท่าหูทวนลมอยู่
จนกระทั่งมีมือๆหนึ่งมาสะกิดและดึงผมให้ห่างจากจุดนั้นที่ใกล้จุดปะทะมากที่สุด
“น้องชายมาใหม่คงไม่รู้ พี่หลั่งเค้าไม่ชอบหน้าเจ้าอิสมาตั้งแต่เข้ามาใหม่ๆแล้ว”พนักงานที่ลากผมมาบอกเสียงกระซิบ อ้อคงจะเห็นผมเป็นพนักงานใหม่ซินะ แต่ก็คงว่าไม่ได้ ชุดผมเก่ากว่าพวกเขาอีก
ว่าแล้วก็สำรวจรอยปะของชุดทันทีว่าหลุดออกไปหรือยัง แต่เพราะเป็นงานที่แนบเนียนจึงมองไม่เห็นรอยมาก ผมจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อผมเห็นสายตาของชายที่จ้องอยู่ก็รีบถามตามที่คิดไป
“ทำไมถึงไม่ชอบหน้าล่ะครับ แค่ไม่ชอบหน้าไม่เห็นต้องกลั่นแกล้งกันเลยนี่”นี่คือสิ่งที่สงสัยเพราะฟังเรื่องคร่าวๆ จากพี่อิสแล้วก็พอรู้ว่าพี่เขามักโดนกลั่นแกล้งให้เสียหน้าเสมอ
“เรื่องนั้นพี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะพี่หรั่งดีกับพวกพี่ ต่างกับเจ้าอิสมากเลย”ชายคนนี้ตอบเสร็จ หน้าก็มีแววคล้ายกับหวาดกลัวคนที่ชื่อหรั่งอยู่เหมือนกัน
“แล้วทำไมถึงไม่มีใครจัดการเขาล่ะครับ จะปล่อยให้เขาแกล้งพี่อิสหรือคนที่อ่อนแอกว่าตลอดไปหรอ”ผมถามหาความยุติธรรมของบริษัทนี้ ที่ได้ยินมานักหนาว่าแน่ถึงขนาดมีสาขาย่อยๆทั่วโลก และที่นี่เองก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในนั้น หรือจะเรียกว่าปลายแถวดีนะ
“ไม่ใช่ไม่มีใครช่วย แต่คนที่เคยช่วยน่ะ ตอนนี้ไม่รู้โดนไล่ออกไปอยู่ไหนแล้ว ก่อนจะไปก็ไม่ล่ำลากันด้วย” ชายคนนี้ตอบขณะมองหรั่งหัวโล้นที่กำลังหาเรื่องว่าพี่อิสทำงานช้า และอู้มาพักผ่อนโดยพูดเสียงดังๆคล้ายกับจะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความน่าอายของชายผู้นี้
“ทำไมล่ะครับ”ผมถามอย่างสงสัย การจะไล่ใครออกมักจะมีการแจ้งเตือนเสมอ แต่การออกไปโดยไม่ล่ำลาน่าจะเป็นการข่มขู่หรืออะไรที่ดำมืดมากกว่านั้น ในขณะที่ถามสายตาก็มองพี่อิสที่หน้าเสียไปด้วยการโดยด่าว่าจากหัวหน้าท่ามกลางเพื่อนร่วมงานเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ หัวหน้าทุกคนรู้ดี แต่ชายที่ชื่อหรั่งก็ยังยิ้มว่าต่อไปโดยไม่สนใจใคร สงสัยจะมีความสุขหรือโรคจิตอ่อนๆแน่เลยแหะ
“เพราะหรั่งเป็นลูกน้องของคุณพอซโดยตรงน่ะสิ”ชายตรงหน้าตอบ เพียงแค่นี้ผมก็ร้องอ้อในใจ เพราะคนมีเส้นนี่เองถึงกล้าทำใหญ่ในพื้นที่ที่เป็นของเจ้านายตัวเอง สงสัยเพราะเชื่อว่ายังไงก็ไม่เป็นไรแน่ๆตราบที่ยังมีที่คุ้มกะลาหัว
“แกน่ะ ที่หลังหัดทำงานขยันๆหน่อยสิวะ อิส ทำเป็นขี้เกียจสันหลังยาวไปได้ ส่วนกาแฟไม่ต้องกงต้องกินมันแล้ว”หรั่งพูดว่าพี่อิสขณะที่มือก็ปัดแก้วกาแฟตกจากมือเขาไปด้วย อิสที่กำลังสั่นด้วยความหวาดกลัวก้มลงไปเก็บเศษถ้วยกาแฟด้วยความสั่นเทา แค่ตรงนี้ก็พอแล้วสำหรับผม
“คนเรานะครับ ไม่ว่าใหญ่โตขนาดไหนหรือมีเส้นขนาดไหน อย่ามาหยามคนที่ระดับตำกว่าให้เสียหน้ากันดีกว่าครับ เพราะลูกผู้ชายฆ่าได้แต่หยามไม่ได้หรอกนะครับ”แม้หลักการง่ายๆของผมก็คือ การไม่สนใจโลกภายนอก แต่สิ่งที่ช่วยได้ก็ต้องช่วย ถ้าช่วยได้ ซึ่งการกระทำนี้ผมว่าน่าจะช่วยได้ ปากก็เลยพลั้งออกมาก่อนใจคิด
เมื่อผมพูดจบก็มาหยุดข้างๆพี่อิสแล้วยื่นแก้วกาแฟที่ชงใหม่มาให้เขา ซึ่งพี่อิสก็รับไปอย่างงงๆ ผมจึงเก็บแก้วกาแฟแทนเขาและส่งสายตาให้คนมาช่วยด้วย มือผมแค่คนเดียวคงเก็บได้ไม่หมดเป็นแน่
“แกเป็นใครวะ ไอ้หน้าใหม่ ฉันเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมนะว้อย ไม่เกี่ยวถอยไปดีกว่า”เจ้าหมีควายหรั่งบ้ากล้ามที่โดนเบรก ตะคอกใส่ผมด้วยโทสะคงจะโมโหที่มีคนกล้าเบรกแน่ๆ
“ผมเป็นใครไม่สำคัญหรอกครับ แต่ผมแค่เห็นว่ามันไม่ถูกต้อง พี่อิสเขาทำงานคนเดียวตั้งหลายชั้นโดยคุณเหม่งดันไม่ให้ใครไปช่วยเลย ขนาดข้าวเที่ยงเขายังอด มันก็เป็นธรรมดาที่เขาควรจะได้รับการพักบ้างไม่ใช่โดนไล่ไปทำงานต่อเหมือนหมูเหมือนแมวอย่างนี้”ผมพูดสบายๆ โดยไม่สนใจท่าทางของพี่เหม่งหมีควายที่กำลังโกรธจนเห็นเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบตับๆ
“ช่างมันสิ แม้มันจะทำงานหนักให้ตายไปเลยฉันก็ไม่สนหรอก”หมีควายพูดกระแทกเสียง แบบไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น เพราะตนมีเส้นเป็นถึงลูกน้องเจ้าของบริษัทโดยตรง
ผมอ้าปากหาวอย่างเซ็งๆ คนประเภทนี้น่าเบื่อชะมัด บ้าอำนาจ บ้าเลือด และที่สำคัญ ก็โง่มากไปในตัว ผมยกโทรศัพท์ของตนขึ้นมาและเปิดเสียงของหมีควายที่พูดว่าพี่อิสออกมาทั้งหมด ทำให้หมีควายกลายเป็นหมีโคล่าไปโดยพลัน
“ถ้าผมเอาเสียงนี้ไปให้คุณหนูฟัง มันจะเป็นยังไงน่ะ”ผมพูดเล่นๆ แม้จะไม่รู้จักคุณหนูที่พวกนี้ว่าตรงๆ แต่ก็สวมรอยคำพูดของอิส ที่ว่าคุณหนูเป็นคนที่ไม่สนใจฐานะใครใดๆทั้งสิ้นผิดก็คือผิด
“งั้นแกก็คงต้องเข้าโรงพยาบาลก่อนล่ะกัน”หมีโคล่ากระโดดกลับร่างเป็นหมีควายตะคอกเสียงเหี้ยม และก้าวเท้าเข้าหาผมทันที
“โห้ สมกับเป็นหมีความจริงๆ แค่ท่าเดินก็บ่งบอกถึงความเถื่อนปนทุยแล้ว”ผมที่เห็นการตั้งท่าของหรั่งอุทานขึ้นด้วยความตกใจ สงสัยเขาจะโมโหมากจริงๆ เมื่อคำรามก้องอย่างบ้าพลังและพุ่งตรงเข้าหาผมอย่างรวดเร็ว
ผมจำเป็นต้องถอยหลังออกห่าง น้ำหนักตัวมักมีผลกับการต่อสู้ระยะประชิดตัว ผมถอยจนไปติดที่กำแพง ซึ่งพี่หมีควายก็เปลี่ยนร่างเป็นความตกมัน พยายามที่จะพุ่งกระแทกผมให้กระเด็นเข้าไปอัดกับกำแพง
แต่น่าเสียดาย ที่ผมมีดีกว่าการเป็นที่ซ้อมมือของสัตว์บางชนิด ทันทีที่หมีความเข้ามาประชิด ผมก็ย่อตัวลงและใช้เท้าของตัวเองกวาดถังขยะที่อยู่ข้างออกไป จนมันกระเด็นเข้าใส่หน้า
ควายที่ตกมันแล้วย่อมไม่สนใจสิ่งรอบข้าง มันเลือกเพียงเป้าหมายหลักของมัน โดยไม่สนใจว่าผมใส่กางเกงในสีแดงสมใจอยากหรือไม่
แต่เมื่อไม่สนใจอะไรนั่นก็เป็นทีของผม หลังจากการย่อตัว ผมก็ยืดตัวกระโดดขึ้นและเตะเข้าไปเต็มๆที่กกหูส่วนหลัง ซึ่งเป็นจุดอ่อนของมนุษย์ร่างใหญ่ หรือแม้แต่หมีความจริงๆมันก็ใช้ได้
ตูม!!! เสียงรองเท้าของผมที่ปะทะกับหัวทุยดังขึ้น พร้อมกับร่างนั้นวิ่งตรงเข้าไปกระแทกกับตู้ขายน้ำดื่มอัตโนมัติจนมันยุบตัวลงไปตามแรง
“ถ้าโดนเมื่อกี๊คงเจ็บน่าดูแหะ”แค่เห็นรอยผมก็ยอมรับแล้วว่ากำลังของหรั่งเป็นของจริง เพียงแต่เขาใช้ความมั่นใจของตัวเองมากเกินไปจนไม่ดูหลักความเป็นจริงของศัตรูก็เท่านั้นเอง
“น้องเฟตซวยซะแล้ว แต่ยังไงพี่ก็ขอบคุณนะ”พี่อิสที่เดินกลับมาหาผมพร้อมกับกาแฟในมือพูดขึ้น ขณะก้มหัวลงต่ำเพื่อขอบคุณ ผมเห็นมือที่จับแก้วกาแฟของพี่เขาเกร็งอยู่ก็รู้ได้ว่าพี่อิสนั้นกลัวแค่ไหนกับคนๆนี้
จริงๆแล้วผมก็กลัวนะ กลัวพลั้งมือกระทืบซ้ำนี่สิ เมื่อคิดแล้วก็เสียดายจริงๆ ถ้าได้ชายคนนี้ไปอยู่ด้วยคงเอาไปไถนาแทนควายแน่นอน
“ช่างเถอะครับพี่อิส คนดีๆต้องได้รับการช่วยเหลือ ส่วนคนพาลต้องได้รับผลตอบแทนแน่นอน”ผมเอ่ยด้วยรอยยิ้มแข็งๆ เพราะต้องการให้เขาเชื่อมั่นในตัวผมบ้าง แม้จะเป็นแค่คนหน้าแปลกแบบผมก็ตามที
“แล้วน้องเฟตจะไปไหนต่อหรอ เพราะงานนี้คงไม่ปลอดภัยสำหรับเฟตแล้ว หรั่งน่ะมีลูกน้องเยอะเหมือนกันนะ”พี่อิสกระซิบเสียงเบาให้ได้ยินแค่ผม เมื่อเห็นว่ามีพนักงานหลายคนเข้ามาช่วยพยุงหรั่งไปห้องพยาบาล
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดครับ ผมพลาดไปที่ไม่ได้ฆ่าเขาให้ตาย”ผมพูดด้วยความเสียดาย จริงๆนะ คนตายย่อมไม่มีปากไปสั่งให้ใครกลับมาแก้แค้น ยกเว้นแต่ไอ้คนที่แก้แค้นเกิดอุตริรักสัตว์ป่าสงวนอย่างแพนด้าหรั่ง เขาก็ช่วยไม่ได้
“เฮ้ย ถึงฆ่าเลยเหรอ”พี่อิสพูดตาโต ซึ่งคนในห้องก็สะดุ้งกันเหมือนกัน สงสัยจะเชื่อว่าผมทำได้ ถ้าจะทำ
จะว่าไปแล้วก็ไม่เถียงหนอกว่าผมทำได้ เมื่อกี๊ขอแค่ผมเข้าไปชกหมีความจนเข้าไปอัดกระป๋องได้แล้ว เขาก็จะตายสมใจอยากของผมเป็นแน่ แต่การฆ่าคนไม่ใช่สิ่งที่ผมฝึกมา ผมถูกฝึกมาเพื่อปกป้องชีวิตคนต่างหาก
“พูดเล่นครับ จะฆ่ากันไปทำไม เดี๋ยวเขาก็ต้องรับโทษของเขา ผมก็ต้องรับโทษของผม”ผมพูดแล้วพยายามที่จะยิ้มขึ้นมาบ้าง แต่ดูเหมือนคนรอบๆข้างจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะหน้าตาผมมันนิ่งได้ทุกเรื่องนี่สิ
หลังจากคุยกันแล้วช่วยเขาเก็บเศษผลงานได้ไม่นาน ผมก็ทราบข่าวว่าตอนนี้หรั่งเริ่มวิ่งเต้นเรื่องของผม ด้วยการแทงเรื่องตรงเข้าหาเจ้านายใหญ่ตัวเองแล้ว
“เป็นอะไรเหรอครับ”ผมเห็นพี่อิสมองไปที่ลิฟต์ทันทีที่ได้ยินข่าวของหรั่ง
“ถ้าทางนั้นแทงตรงถึงนายใหญ่ ทางเราก็ต้องแทงตรงหาบอสใหญ่เหมือนกัน”พี่อิสพูดพึมพำแล้วดันตัวผมเข้าไปในลิฟต์ จากนั้นก็กดขึ้นยังชั้น 40 ซึ่งมีป้ายบอกไว้ว่า ห้ามพนักงานขึ้นไป เพราะเป็นเขตบริหารระดับสูง
“ไม่เป็นอะไรเหรอครับ”ผมถามย้ำอีกครั้ง เรื่องน่าจะยุ่งยากขึ้นอีกนะ ถ้าผมเข้าหานายใหญ่ตรงๆแบบนี้
“เรามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับแล้ว”พี่อิสพยักหน้าด้วยสีหน้าที่มาดมั่น ต่างกับผมที่ชักรู้สึกหวั่นใจ ว่าคงจะดวงไม่ดีเท่าไหร่แน่ในวันนี้
ความคิดเห็น