เดียวในดวงใจ
เรื่องราวของหญิงสาวที่ชีวิตต้องมาตกอับเมื่อกิจการค้าของบิดาอัปปางลง ชีวิตที่เคยสุขสบายจำต้องเผชิญกับความลำบาก จนกระทั่งใครคนหนึ่งได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
ผู้เข้าชมรวม
166
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เดียวในดวงใจ
ดรัสวันต์
1
บริเวณริมสนามฟุตบอลด้านหน้ามหาวิทยาลัยเริ่มคราคร่ำด้วยนักศึกษาที่เพิ่งเลิกเรียนออกมา บ้างก็เดินไปยืนเข้าคิวรอมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ประตูทางออก บ้างก็ยังจับกลุ่มคุยกันและนั่งตามเก้าอี้สนามที่ตั้งห่างๆ กันรอบสนาม ที่กลางสนามมีนักฟุตบอลกลุ่มหนึ่งกำลังขับเคี่ยวกันอยู่ รอบๆ สนามมีทั้งนักศึกษาและบุคคลภายนอกที่มาใช้สถานที่อันกว้างขวางแห่งนี้ออกกำลังกายด้วยการจ๊อคกิ้ง
“เดียว จะกลับบ้านแล้วหรือ” ธีรณีถามเพื่อนสาวที่ทำท่าหอบตำราและคล้องกระเป๋าเข้าที่ไหล่
ครั้นเพื่อนพยักหน้ารับ ธีรณีก็ท้วงขึ้นว่า “อย่าเพิ่งกลับซิ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน รถยังไม่มารับไม่ใช่หรือ”
เดียว หรือ วทัญญา ขยับแว่นมองเพื่อนด้วยรอยยิ้มล้อเลียน
“จะอยู่ดูพี่บอยเตะบอล หรือ”
ธีรณียิ้มอายๆ “นะ อยู่ด้วยกันก่อน”
สองสาวนั่งลงที่ริมระเบียงชั้นล่างของตึกเรียนมองลงไปยังสนามฟุตบอลกว้างใหญ่ ที่มีทีมฟุตบอลประจำมหาวิทยาลัยกำลังวิ่งเหยาะๆ รอบสนามเพื่อวอร์มร่างกายก่อนลงเล่น
“พี่บอยหล่อจังเลย” ธีรณีทำท่าใฝ่ฝัน พี่บอย หรือ สราวุธอาจจะไม่ใช่ชายหนุ่มที่หล่อที่สุดในทีม แต่ธีรณีบอกว่าเป็นอะไรที่ตรงสเปค
แล้ววทัญญาก็หันไปเห็น ชายผู้หนึ่งในชุดกีฬาสีขาววิ่งผ่านประตูมหาวิทยาลัยมา หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกา หลายครั้งที่วทัญญาเลิกเรียนและกลับบ้านเวลานี้ เธอจะเห็นชายผู้นี้เสมอ
เขาเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน ที่อายุน่าจะประมาณสี่สิบต้นๆ เขามีบุคลิกบางอย่างที่ทำให้วทัญญาสะดุดใจ บ้านหรือที่ทำงานเขาคงอยู่แถวนี้ จึงมาวิ่งออกกำลังกายที่นี่เป็นประจำ
สุขุมวิทที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยตึกสูงของคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงาน เบียดบังบ้านพักอาศัยรุ่นเก่าให้ต้องย้ายออกไป อย่างไรก็ตาม สุขุมวิทก็ยังเป็นแหล่งที่พักมากกว่าสำนักงาน เมื่อเทียบกับสีลม
นั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้วยพักหนึ่ง วทัญญาก็เอ่ยปากขอตัวอย่างเกรงใจ
“คงต้องกลับแล้วล่ะฝ้าย วันนี้เดียวกลับเอง รถไม่ได้มารับ เดี๋ยวจะค่ำ”
“ฝ้ายก็ต้องกลับเหมือนกัน” เพื่อนสาวลุกขึ้น ทำท่าเสียดาย แล้วก็นึกบางอย่างได้ “รู้แล้ว ทำไมเราไม่มาวิ่งออกกำลังกายบ้างล่ะ” ดวงตาฝันนั้นหมายมั่นบางอย่าง
“วิ่ง ? ”
“ใช่ เราน่าจะออกกำลังกายแทนการอดอาหารรักษาหุ่นนะ ว่าไหม”
คราวนี้ วทัญญาหัวเราะออกมา
“ฉันล่ะเชื่อเธอเลยจริงๆ “
“พรุ่งนี้นะ เตรียมกางเกงขาสั้นกับรองเท้าวิ่งมาด้วย โอ เค้” ธีรณีกระดกนี้วชี้และหลิ่วตาให้ด้วยท่าทางเก๋ไก๋ แล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน
วทัญญาเดินใจลอยไปเรื่อยๆ ป้ายรถเมล์อยู่ไกลถึงปากซอย แต่เธออยากเดินแม้จะมีคิวมอเตอร์ ไซค์รับจ้างอยู่หน้าประตู แต่เวลาเช่นนี้กลายเป็นคิวของคนที่รอมอเตอร์ไซค์ยาวเหยียด วันนี้อากาศดี ฝนไม่ตก มิฉะนั้นเธอคงลำบากกว่านี้
นึกแล้วสะท้อนใจ เมื่อก่อนวทัญญาก็ไม่ต่างจากคุณหนูไฮโซ เท่าใดนัก ตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนจนกระทั่งปีสามในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ หญิงสาวมีคนขับรถมารับ – ส่ง ชนิดที่ไม่เคยลำบากเดือดร้อนแต่อย่างใด
แต่วันนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป
‘เดียว ไปมหาวิทยาลัยเองได้ไหม’ บิดาถามขึ้นเมื่อสองวันก่อน ‘พ่อ เอ่อ พ่อขายรถไปคันหนึ่งและเลิกจ้างประสิทธิ์แล้ว ลูกเข้าใจนะ’
‘เข้าใจค่ะ’ วทัญญาตอบรับ
พิษเศรษฐกิจเริ่มส่งผลกระทบต่อครอบครัวเธอแล้ว กิจการอิมปอร์ตเอ็กซปอร์ตของบิดามาถึงจุดวิกฤตเมื่อเศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย
‘เราต้องอดทนและประหยัดมากขึ้น ขอเพียงประคองให้กิจการของเราผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้’
แม้จะใจหายและมืดมนกับอนาคตข้างหน้า แต่วทัญญาก็ต้องอดทน เพื่อครอบครัว โดยเฉพาะเพื่อมารดาที่สุขภาพไม่แข็งแรง ในเวลาเช่นนี้เธอจะต้องเข้มแข็ง ไม่ฉุดรั้งกำลังใจของบิดามารดาให้ต่ำลง
แม้จะไม่เคยลำบากตรากตรำมาตั้งแต่เด็ก แต่วทัญญาก็ปรับตัวได้ เพราะเทวัญเลี้ยงลูกให้ติดดิน สอนให้รู้ถึงความลำบากในบางครั้ง เช่น เวลาที่รถเสียแทนที่จะนั่งแท๊กซี่ เขาพาวทัญญานั่งรถเมล์และบอกสอนให้เธอมองและเห็นใจคนอื่นที่ลำบากกว่า
เทวัญคุยกับลูกตลอดเพื่อให้เขารับรู้ความเป็นไปของครอบครัว ให้รู้ว่าธุรกิจมีขึ้นมีลง เมื่อใดที่มีปัญหาเขาจะบอก และพยายามช่วยกันประหยัดและเป็นกำลังใจแก่กันและกัน
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่สถานการณ์อาจจะเลวร้ายกว่าที่คาด
‘เดียวไม่ต้องห่วงเรื่องเรียนนะ ลูกต้องได้เรียนจบแน่ พ่อกันเงินไว้ส่วนหนึ่งแล้ว’
‘เดียวจะไปติดต่อขอทุน หรือสอบชิงทุนที่ไหนสักแห่ง’
เทวัญลูบศรีษะลูกสาวด้วยความตื้นตัน ‘เป็นโชคดีของพ่อที่มีลูกกตัญญูอย่างเดียว รู้ไหม’
วทัญญาซุกตัวลงกับอกพ่อ ความหนักอึ้งแห่งภาระนี้ เกินตัวหญิงสาวในวัยเริ่มยี่สิบนี้นัก
‘หรือบางที เดียวจะไปหางานพิเศษทำ”
‘อย่าเลย ตั้งใจเรียนให้จบเร็วๆ เถิด’
ใช่ วทัญญาเดินมาถึงเทอมสุดท้ายของปีสามแล้ว เหลือปีหน้าอีกเพียงปีเดียว สถานที่ฝึกงานที่ติดต่อไว้ ก็อาจจะเป็นช่องทางหนึ่งที่เธอจะได้งานเมื่อจบแล้ว เพราะรุ่นพี่บางคนได้รับการจองตัวให้ทำงานที่นั่น เธอจะต้องตั้งใจเรียน จะต้องเก่งและมีหน่วยงานจองตัวให้ไปทำงานอย่างนั้นบ้าง
วันรุ่งขึ้น วทัญญาไม่มีเรียนเช้าแต่ไปห้องสมุด ธีรณีตามมาหาที่นั่น
“เอาชุดมาเปลี่ยนหรือเปล่า” ถามพลางก้มลงมองใต้โต๊ะว่าเพื่อนสาวใส่รองเท้าอะไรมา เป็นรองเท้าสำหรับวิ่งจริงๆ
“เอามา”
“ต้องยังงี้ซิ เพื่อนรัก” ธีรณีกอดคอเพื่อนแล้วหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ ชีวิตของเธอไม่ต้องมีเรื่องวิตกกังวลกับอะไรมากนัก นอกจาก กิน นอน เที่ยว และเรียนให้จบ
วทัญญายังไม่ได้เล่าปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ให้เพื่อนฟัง เพราะหวังว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น และกลับไปเหมือนเดิม...อย่างที่เธอสวดมนต์ภาวนาไว้ทุกคืน
เลิกเรียนตอนเย็น สองสาวพากันไปเปลี่ยนชุดเตรียมวิ่ง พอออกมาจากห้องน้ำ
“ว้าว ! ฝ้าย” วทัญญาอุทานตาโตกับเพื่อนสาวที่มาในชุดกางเกงขาสั้น...สั้นมากชนิดที่วทัญญาไม่มีทางกล้าใส่ ส่วนเสื้อยืดสายเดี่ยวสีฟ้าสดที่ช่วยขับผิวขาวเนียนนั้นให้ผุดผาด ก็ตัวสั้นประมาณเอว แต่กางเกงขาสั้นที่เอวต่ำตามสมัยนิยม ทำให้เกิดช่องว่างมองเห็นหน้าท้องรำไร
ธีรณีผอมบาง ขายาวเรียว แม้ชุดนี้จะโชว์รูปร่างอย่างมาก แต่ก็ดูไม่น่าเกลียดสำหรับคนที่รูปร่างดี ส่วนวทัญญามาในชุดกางเกงวอร์มขายาวและเสื้อยืดตัวโคร่ง
“เราเหมือน ฝาแฝดมากเลยนะ” ธีรณีประชดให้ เธอยืนเท้าสะเอวมองเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้าสองตลบ รู้ดีว่าผู้คนจะมองและขำความแตกต่างนี้
“เมื่อไหร่จะเลิกขี้อายนะ เดียวน่ะสวยมากรู้ไหม แว่นกรอบหนาสีดำกับเสื้อผ้าหลวมโคร่งน่ะ เลิกใส่ได้แล้ว”
ธีรณีเป็นเพื่อนสนิทกับวทัญญามาตั้งแต่ชั้นมัธยม จนกระทั่งสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกัน เรียนคณะสังคมศาสตร์ด้วยกันก็ยิ่งใกล้ชิดกันมากขึ้น ฉะนั้นย่อมรู้จักตัวตนที่แท้จริงของวทัญญาเป็นอย่างดี และอยากเห็นเพื่อนแต่งตัวสวย ไม่ใช่ยายเชยอย่างทุกวันนี้ แต่ความพยายามไม่เป็นผล จนในที่สุดต้องยอมรับแบบที่เพื่อนเป็น
“ไม่ใช่อะไรหรอก กะว่าวิ่งเสร็จจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนชุด เดียวไม่กล้านุ่งกางเกงขาสั้นขึ้นรถเมล์หรอก”
“อะไร ขึ้นรถเมล์ วันนี้ต้องกลับเองอีกแล้วหรือ”
วทัญญาอ้ำอึ้ง ยังไม่อยากเล่าเรื่องทางบ้านให้เพื่อนฟัง
“คือ คนขับรถออกไปแล้ว คุณพ่อก็ยุ่ง” อ้อมแอ้มตอบเพื่อนไป
ธีรณี พยักหน้าเข้าใจ “งั้น เย็นนี้กลับด้วยกัน ฝ้ายจะไปส่ง ถ้าไม่รังเกียจนั่งรถเก่าๆ” ธีรณีมีรถมือสองขนาดกระทัดรัดขับมาเรียนหนังสือ
“ใครจะรังเกียจ แต่บ้านเรามันคนละทางเลยนะ กว่าจะส่งเสร็จ ขับกลับมาอีกค่ำมืดกันพอดี อย่าลำบากเลย ขอบใจนะฝ้าย”
“จะเอาอย่างนั้นหรือ” เสียงธีรณีอ่อนลงด้วยเหตุผลของเพื่อน
ทั้งสองออกไปที่สนาม ทีมฟุตบอลเริ่มวิ่งอุ่นเครื่องกันแล้ว ธีรณีชะเง้อมองหาหนุ่มที่หมายตา พอเห็นเขา ก็ยิ้มกับตัวเองอย่างสมใจ
“ทำไมวิ่งทางนี้หล่ะ ไม่ตามเขาไปหรือ” วทัญญาถามอย่างงงๆ เมื่อออกวิ่งรอบสนามตามเพื่อนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา ในขณะที่คนอื่นๆ วิ่งตามเข็มนาฬิกา
“เธอเนี่ย ไม่รู้อะไรเลย เราจะได้วิ่งสวนกับเขาไงล่ะ จะได้สบตากัน แล้วรอบต่อไป ฝ้ายจะยิ้มทักเขา นั่นไงเขากำลังมาแล้ว”
วทัญญาพลอยตื่นเต้นไปด้วย พอสวนกับหนุ่มๆ นักฟุตบอล ทุกคนจ้องมองธีรณีอย่างชนิดอ้าปากค้าง จนกระทั่งวิ่งเลยไปแล้ว ก็ยังไม่วายเหลียวหลัง วทัญญาใจเต้นแรงก้มหน้างุด อายแทนเพื่อน
คนอื่นๆ ที่วิ่งรอบสนามนั่น ก็พากันมองทั้งสองด้วยสายตาแปลกๆ แปลกหนึ่งคือวิ่งย้อนศรกับคนอื่นๆ แปลกสอง คือ คนหนึ่งใส่ชุดอวดรูปร่างส่วนอีกคนก็ปกปิดเสียมิดชิด
แล้วผู้ชายชุดขาวที่วทัญญาเห็นทุกวันก็วิ่งเข้าประตูมาและวิ่งไปตามทิศทางที่คนอื่นๆ เขาวิ่งกัน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องสวนกันกับเธอ วทัญญาตั้งใจมองเขาชัดๆ เมื่อเขาวิ่งใกล้เข้ามา
เมื่อสวนกัน วทัญญามองเขา เขาก็มองประสานสายตากับหญิงสาว พอผ่านกันไป วทัญญาหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ส่วนเขาก็ชะลอฝีเท้าแล้วหันกลับมามองทั้งสองเช่นกัน
แต่เขาคงไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษหรอก นอกจากมองความแปลกทั้งสองประการ
หลังจากวิ่งมาได้สามรอบ ประมาณว่าเป็นระยะทางกิโลครึ่ง
“เหนื่อยแล้วล่ะ” วทัญญาหอบ
“เดี๋ยวซิ รอบนี้ ฉันกะจะทักพี่บอยนะ”
“ไม่ได้ทักแล้วล่ะ เขาเริ่มลงสนามแล้ว” วทัญญาสะกิดให้เพื่อนดู
“งั้นเราก็นั่งพักเหนื่อยดูเขาอยู่ทางนี้” ทั้งสองทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้สนามที่เรียงรายอยู่ตามขอบสนามเป็นระยะๆ
ชายชุดขาว วิ่งวนผ่านมาอีกครั้ง คราวนี้ วทัญญาไม่กล้าหันไปมองเขาอีกกลัวเสียมารยาท ยามที่เขาวิ่งผ่านเลยไปนั่นแหล่ะ หญิงสาวจึงมองตาม
ธีรณีมองตามสายตาเพื่อนแล้วถามว่า
“ใครหรือเดียว”
“ใคร”
“เห็นเธอมอง นึกว่ารู้จัก”
“เปล่านี่”
ที่กลางสนาม นักฟุตบอลเริ่มเกมส์ของเขาแล้ว รอบตัวเริ่มเย็นลง วทัญญาเห็นว่าควรจะกลับได้แล้ว ยิ่งเย็นรถเมล์ก็ยิ่งแน่น
“เดียวกลับดีกว่า” ในขณะที่ธีรณียังเพลิดเพลินอยู่ เธอทำท่าอิดเอื้อน
“อยู่ต่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ”
“ฝ้ายอยู่ต่อซิ”
“ไม่ล่ะ กลับก็กลับ พรุ่งนี้มาวิ่งกันอีกนะ”
วันรุ่งขึ้น สองสาวกลายเป็นที่กล่าวขวัญเกือบจะทั้งมหาวิทยาลัยเพราะเหตุที่ไปวิ่งเมื่อวาน
ที่โรงอาหาร วทัญญารู้สึกว่าถูกจ้องมองอย่างผิดสังเกต และในทันทีที่ธีรณีเดินเข้ามา ทั้งโรงอาหารก็พลันเงียบกริบอยู่หนึ่งอึดใจ
แต่เพื่อนสาวของวทัญญา คือ สาวมั่น ธีรณีชะงักนิดหนึ่ง แล้วเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร จึงฉีกยิ้มเดินส่ายเข้ามาหาเพื่อนที่นั่งรออยู่ด้วยลีลานางแบบ
วทัญญาก้มหน้า เกือบจะเรียกว่ามุดโต๊ะ
“เป็นอะไรหึ เดียว”
ใบหน้าที่เงยขึ้นมามอง แดงก่ำและมีร่องรอยของการกลั้นหัวเราะ แล้วในที่สุดก็ขำกิ๊กออกมาจนได้ ธีรณีทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม แล้วชวนกันหัวเราะทั้งคู่
“ดูซิ เขามองเรากันใหญ่เลย” ธีรณีกระซิบ
“ก็ใครล่ะสร้างกระแส เขาคงนินทาแฝดผิดฝาที่จ๊อคกิ้งเมื่อวาน”
“คิดว่าคนที่นี่เขาคงเพิ่งรู้มั้งว่า ฝ้ายหุ่นดีขนาดไหน” ธีรณียิ้มปลื้มตัวเอง
“ไงจ๊ะ สองสาว เห็นว่าเดี๋ยวนี้มีกิจกรรมจ๊อคกิ้งกันหลังเลิกเรียนเหรอ” เสียงใสของสาวนางหนึ่งทักขึ้น
“ใช่จิ๊บ จะไปวิ่งกับเราไหมหล่ะ” วทัญญาชวน ส่วนธีรณียังสงวนท่าที
จิริสุดาเหลือบมองอีกคนที่ยังไม่ยอมชวน วทัญญาจึงแอบสะกิดเพื่อนใต้โต๊ะ
“ถ้าเธออยากวิ่ง ก็เชิญ ถ้าไม่กลัวผมเสียทรง ไม่กลัวหน้ามัน” ธีรณีสะบัดเสียง
“เย็นนี้เจอกัน” พูดทิ้งท้ายและยิ้มอย่างคนที่รู้ว่าเหนือกว่า
พอจิริสุดาพ้นไปแล้ว ธีรณีก็รีบหันมาต่อว่า
“ไปชวนทำไมก็ไม่รู้”
“จะแข่งกันไปทำไมนะ จิ๊บเขาชอบพี่วิทย์ เขาไม่ได้จะมาแย่งพี่บอยของเธอหรอก”
“ว่าได้เหรอ อึ๋มออกอย่างนั้น”
วทัญญาได้แต่ส่ายหน้า และนึกดีใจที่เธอไม่มีเรื่องปวดหัวแบบนี้
เย็นนั้น ที่ห้องน้ำของคณะ
“แหม สงสัยรีบบึ่งกลับบ้านไปเอาชุดมาแทบไม่ทันซิท่า” ธีรณีแซว ไม่คิดว่าคู่แข่งจะมีอุปกรณ์มาพร้อม
“เปล่า เพิ่งไปช้อปที่เอ็มโพเรี่ยมมา” พูดจบก็นวยนาดพาช่วงขาเรียวสวยในกางเกงขาสั้นสีขาวเสื้อ
สีแดงเด่นสะดุดตาออกไปจากห้องน้ำ วทัญญามองเพื่อนทั้งสอง ค่อยเป็นฝาแฝดถูกฝากันแล้ว
ทั้งสามเริ่มออกวิ่งด้วยความสามัคคีมากขึ้น วทัญญาวิ่งตามหลัง และมองเพื่อนทั้งสองที่เหมือนจะเป็นคู่แข่งกัน ด้วยทั้งสวยทั้งเด่นไม่เป็นรองใคร หญิงสาวคิดว่าทั้งสองมีอะไรที่คล้ายกันมากและน่าจะเข้ากันได้มากกว่านี้
ดูซิ ต่างพากันหัวเราะคิกคัก เมื่อวิ่งสวนกับหนุ่มๆ ทีมฟุตบอล
“พี่วิทย์”
“พี่บอย”
ต่างตะโกนทักทาย หนุ่มๆ ก็พากันเหลียวหลังจนแทบจะชนกันหกล้ม แม้แต่วทัญญาก็อดยิ้มขันไม่ได้ พอเงยหน้าขึ้น เธอก็พบกับสายตาของเขา ผู้ชายในชุดขาว
ไม่แน่ใจว่าจะยิ้มให้ดีหรือไม่ แล้วก็ผ่านเลยกันไป
พอผ่านไปได้แค่ 2 รอบ จิริสุดาก็บ่น
“ฉันเหนื่อยแล้ว ขอนั่งพักดีกว่า”
“บอกแล้วว่าเธอทนหน้ามันไม่ไหวหรอก”
“เอาเถอะน่า พักก่อนก็ได้ คนไม่เคยออกกำลัง ฉันยังเมื่อยล้าจากเมื่อวานไม่หายเลย” วทัญญาไกล่เกลี่ย
ทั้งสามเดินไปเก้าอี้สนามที่วางสัมภาระและขวดน้ำไว้ มองดูพวกผู้ชายที่วิ่งเสร็จแล้วและเข้าไปวอร์มในสนามต่อ
“ฉันมาคิดอีกทีนะฝ้าย เราต้องลงทุนเหนื่อยกันขนาดนี้ด้วยหรือ”
“ฉันไม่ได้เป็นคนชวนนะ จิ๊บ เธอขอมาวิ่งกับเราเอง”
“ใครบอก เดียวชวนฉันย่ะ ใช่ไหมเดียว เดียวใจลอยไปถึงไหน” ตอนท้ายหันมาถามวทัญญา ที่เพิ่งละสายตาจากชายชุดขาวที่กำลังวิ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของสนามฟุตบอล
“เธอมองใครน่ะ”
“ใคร” วทัญญาทวนถามงงๆ ไม่นึกว่าจะถูกเพื่อนจับจ้อง
“ฉันเห็นนะ เธอมองผู้ชายคนนั้น คนที่ใส่ชุดขาวนั่น”
“ใช่ มองตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ” ธีรณีสนับสนุน
“รู้จักเขาหรือ”
“เปล่าซะหน่อย” รีบปฏิเสธ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“เขาแก่แล้วนะ จะหลอกคนแก่หรือไง”
“บ้า ไปกันใหญ่แล้วจิ๊บ รู้ยังงี้ไม่ชวนมาหรอก” คนถูกกล่าวหางอน
วันรุ่งขึ้น วทัญญาขอตัวไม่ไปวิ่ง เพราะมีรายงานต้องรีบทำให้เสร็จ ซึ่งเป็นรายงานของวิชาเลือกที่เธอเรียนไม่เหมือนเพื่อนทั้งสอง
“ทำไมไม่ไปวิ่งล่ะเดียว โกรธจิ๊บเหรอ แกล้งล้อเล่นต่างหาก” จิริสุดาเข้ามากระเง้ากระงอด เธอไม่อยากไปวิ่งกับธีรณีเพียงสองคน
“ไม่ได้โกรธ มีงานจริงๆ เสร็จวันไหนจะไปวิ่งด้วย”
“ไม่อยากไปวิ่งกับเขาสองคน” เพื่อนสาวสารภาพออกมา
“ฝ้ายน่ะรึ “ วทัญญาถามแล้วยิ้มอย่างพยายามให้กำลังใจ “เมื่อไหร่จะเลิกแง่งอน แข่งดีแข่งเด่นกันซะทีนะ เราสามคนเป็นเพื่อนกันนะ คราวที่แล้วฝ้ายติวภาษาอังกฤษให้ ส่วนจิ๊บก็ติวจิตวิทยาให้เขา ผลสอบออกมาได้เอทั้งคู่” เธอพยายามชวนเพื่อนให้ระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่ทั้งสองเคยมีร่วมกัน
แม้จิริสุดาจะเพิ่งมารู้จักกับทั้งสองในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพื่อนสนิทมาตั้งแต่สมัยมัธยม
เหมือนธีรณีกับวทัญญา แต่ก็คบหาสนิทสนมกันไม่น้อย ด้วยชื่นชอบและมีความสนใจคล้ายกัน
“จิ๊บไม่ได้ตั้งแง่กับเขาซะหน่อย ฝ้ายต่างหาก”
“ก็ช่วยลดท่าทางน่าหมั่นไส้ลงหน่อยได้ไหมล่ะ”
จากวันนั้น สองสาวก็เริ่มกลมเกลียวกันดี ยิ่งไปวิ่งด้วยกันเพียงสองคนก็ยิ่งมีเรื่องคุยกุ๊กกิ๊กหัวเราะหัวใคร่กันได้ตลอด โดยเฉพาะเรื่องช้อปปิ้งและเรื่องความสวยความงามแล้ว คุยกันได้เป็นวันๆ
วทัญญาเดินกลับจากห้องสมุด เลาะสนามไปเรื่อยๆ เพื่อดูว่าเพื่อนทั้งสองยังคงวิ่งกันอยู่หรือเปล่า
“ระวังครับ ! ” เสียงนั้นดังใกล้ตัว วทัญญาก้มตัวหลบด้วยสัญชาตญาณ เป็นจังหวะเดียวกับที่มือของชายคนนั้นปัดลูกบอลที่พุ่งมายังเธออย่างแรง จนกระเด็นไปยังทิศทางตรงข้าม
“เกือบไป” เขาบอก
วทัญญาผงกตัวขึ้นและพบว่าแรงหลบเมื่อกี้ทำให้แว่นตากระเด็นตกลงกระแทกพื้น หญิงสาวหยิบมันขึ้นมา ขาแว่นข้างหนึ่งหักไปเสียแล้ว วทัญญาเสยผมที่มาปรกหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าคนที่ช่วยเธอไว้ แล้วก็พบว่าเขาคือชายชุดขาวนั่นเอง
พัฒน์มองเด็กสาวตรงหน้าด้วยอาการตื่นตะลึงไปชั่วขณะ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่ที่เคยถูกบดบังด้วยแว่นกรอบดำหนานั้น ช่างงดงามหวานซึ้งนักและเมื่อเส้นผมที่เคยปรกหน้าถูกเสยขึ้น เขาจึงมองเห็นดวงหน้าผุดผาดระเรื่อแดงได้ชัดเจน
“ขอบคุณนะคะ” เสียงหวานใสที่กล่าวพร้อมกับมือทั้งสองที่พนมขึ้นไหว้ขอบคุณเขานั้น ทำให้พัฒน์ได้สติ ยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
ชายหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งตามมาเก็บลูกบอลและเดินผ่านไปเฉยๆ
“คุณ จะไม่ขอโทษน้องเขาหน่อยรึ” พัฒน์กล่าวขึ้น ทำให้ชายผู้นั้นชะงักหันกลับมามองทั้งสอง
“ผมขอโทษแทนเพื่อนด้วย” ช่วยไม่ได้นี่ เขาไม่ได้เป็นคนทำ เขาแค่วิ่งมาเก็บลูกบอลเท่านั้น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” วทัญญาตอบ พอมองเห็นหน้าเขาชัดๆ ก็ต้องเบิกตากว้าง เขาคือ ปกรณ์วิทย์ หรือพี่วิทย์ของจิริสุดา นั่นเอง
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่เอาเรื่อง เขาก็วิ่งกลับไปเล่นต่อ ไม่อยากให้เกมส์หยุดชะงักนาน
“แว่นหักใส่ไม่ได้แล้ว จะทำอย่างไร พอมองเห็นไหม” พัฒน์มองดวงตาคู่สวยนั้นอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าถ้าขาดแว่นแล้ว เธอจะถึงกับต้องคลำทางหรือไม่
“เห็นค่ะ ไม่สั้นมาก”
“เดียว เกิดอะไรขึ้น” ธีรณีและจิริสุดาซึ่งวิ่งอยู่แถวนั้นพอดี รีบเดินเข้ามาหลังจากเห็นเหตุการณ์
เมื่อเห็นว่ามีเพื่อนเข้ามาดูแลแล้ว พัฒน์จึงพยักหน้าเป็นเชิงขอตัวแล้วออกวิ่งต่อ
“ไม่มีอะไร อุบัติเหตุนิดหน่อย ขาแว่นหักเลย”
ผลงานอื่นๆ ของ ดรัสวันต์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ดรัสวันต์
ความคิดเห็น