นิยายชีวิต - นิยายชีวิต นิยาย นิยายชีวิต : Dek-D.com - Writer

    นิยายชีวิต

    ปัญหามีไว้เพื่อแก้ไข ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราวิ่งหนี

    ผู้เข้าชมรวม

    253

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    253

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 ก.ย. 49 / 21:15 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      "จากวันนี้จะมีเรา เราและนาย...จดจำไว้ตลอดไป ไม่ทิ้งกัน..."

      เสียงร้องดังกระหึ่มขึ้น เป็นการร้องเพลงด้วยกันครั้งสุดท้ายของพวกเรา ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา น้ำตาแห่งความเสียใจและปลื้มปีติไหลลงมาจากดวงตาไม่ขาดสาย แม้แต่ผู้ชายที่ว่าจิตใจเข้มแข็งมากแค่ไหนก็ตาม

      หลังจากปัจฉิมนิเทศในครั้งนั้นแล้ว ฉันกับเพื่อนๆก็ไม่ค่อยจะได้พบกันบ่อยนัก อาจด้วยภาระหน้าที่ทางการศึกษาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ บ้างก็ติดสาว บ้างก็มีครอบครัวกันไปแล้ว

      จนในที่สุด ในช่วงเวลาปิดเทอมใหญ่ ฉันพยายามรวบรวมเพื่อนในกลุ่มทั้งหมดให้มารวมตัวกัน และตกลงกันว่าจะไปเที่ยวที่เกาะเสม็ด ในจังหวัดระยอง

      "ตกลงว่ามันไม่มาใช่มั้ย?" ฉันถามอย่างหัวเสีย เมื่อพบว่ามีเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งผิดนัด

      "โทรไปมันก็ไม่รับสายว่ะ" น้ำพูด

      "ถ้าไม่ไปก็น่าจะโทรมาบอก มันเสียเวลามากเลยนะเนี่ย" อิ๊บทำหน้าเซ็ง เพราะว่าคนเกือบครึ่งร้อย รอพวกเราอยู่ในเรืออย่างสงบ...

      "พวกเราไปกันเถอะ" ฉันพูดขึ้น สีหน้าแววตาเรียบเฉย จนเพื่อนคนอื่นๆแปลกใจ แต่ก็ทำตามด้วยดี

      พอก้าวขึ้นเรือมาได้ ฉันก็ต้องขอโทษขอโพยกับคนในเรือทุกคนเป็นการใหญ่ เพราะทำให้การเดินทางของพวกเขาล่าช้าไปเกือบ 1 ชั่วโมง

      แทบจะไม่มีการสนทนาระหว่างการเดินทางเลย อาจจะเป็นเพราะว่าฉันปั้นหน้านิ่ง ก็เลยทำให้คนอื่นไม่กล้าพูด จนกระทั่งเรือเข้าเทียบท่าที่เกาะ

      "ไปที่พักก่อนนะ แล้วค่อยว่ากันอีกที" ฉันพูดขึ้นแต่สีหน้ายังคงสุขุม

      "มึงเครียดมากเลยเหรอ ที่ทับทิมไม่มา" ดาถามขึ้นในขณะที่พวกเราเดินไปยังที่พัก

      "กูไม่ได้เครียดที่มันไม่มา แต่กูไม่ชอบที่มันโกหกกู" ฉันตอบสีหน้านิ่งเฉยกว่าเดิม ตอนนี้ทุกคนเข้าใจฉันแล้วว่าทำไมฉันถึงไม่พูดไม่จาเลย มันก็แน่นอนล่ะ เพราะทับทิมคือเพื่อนที่ฉันสนิทมากที่สุดในกลุ่ม เมื่อฉันรู้ตัวว่าโดนทับทิมโกหก เลยเสียความรู้สึกไปบ้าง

                      "เออนี่ กูได้ข่าวว่ามีเพื่อนเราคนนึงแต่งงานไม่ใช่เหรอ" ฉันเริ่มสนทนา เพื่อขจัดความตึงเครียดให้หายไป

                      "อือ เมื่อเดือนที่แล้วนี่แหละ แฟนเค้าหน้าตาดีนะ"

                      "สงสารแฟนมันว่ะ สงสัยผู้ชายคงหมดโลกแล้ว ถึงได้มาเอาไอ้นี่" แล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

      หลังจากที่พวกเราถึงที่พัก ยัยน้ำก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้ววิ่งลงหาดไป คนที่เหลือก็ไม่ยอมน้อยหน้า รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกไป โดยไม่สนใจเสื้อผ้าที่วางระเกะระกะในห้องเลยแม้แต่น้อย พวกเราเล่นน้ำด้วยกัน เดินเหล่หนุ่มๆทั้งวัน จนแทบจะไม่มีแรงทานข้าวเย็น แต่พวกเราก็มีความสุข และในคืนนั้นเราก็นอนตากยุงอยู่ที่ชายหาดนั่นเอง

                                                      .....................................................................

                      "ว่าไงจ๊ะสาวน้อย" ฉันรับโทรศัพท์เพื่อนอย่างอารมณ์ดี

                      "ไม่ว่าไงหรอกย่ะ แค่จะโทรมาถามว่ารู้เรื่องหรือยัง ว่าทำไมไอ้ทับทิมมันถึงไม่ไปเที่ยวกับพวกเรา" น้ำเริ่ม

                      "ยังเลย ตั้งแต่วันนั้น กูก็ไม่ได้ติดต่อกับมันเลยว่ะ ไม่ค่อยมีเวลา" ฉันตอบ

                      "อืม มีคนเห็นว่าวันนั้นมันไปเที่ยวกับแฟน"

                      "เหรอ..." ไม่มีคำใดต่อท้าย เราทั้งสองเงียบกันไปสักพัก

                      "อืม ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้วันหลังค่อยนัดเจอกันอีกก็ได้" ฉันพูดตัดบท

                      "อือ อย่าคิดมากนะมึง กูกลัวมึงคิดมาก แต่กูปรึกษาคนอื่นแล้ว ว่ายังไงต้องบอกมึงให้ได้" น้ำบอกเสียงนุ่ม

                      "เออน่า กูไม่ฆ่าตัวตายหรอก ฮ่าๆๆ ขอบใจที่โทรมาบอกนะ"

              "เออ งั้นแค่นี้ก่อนนะ กูไม่ค่อยมีตังค์" น้ำวางสายทันทีหลังจากพูดจบ โดนที่ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักคำ พอมาดูเวลาการสนทนาปรากฏว่า 5 นาทีเป๊ะไม่ขาดไม่เกิน...(เพื่อนกูงกจริงๆ)

                       ความรู้สึกเดิมๆกลับมาอีกครั้ง ไอ้เรื่องที่ว่าไม่มาเที่ยวด้วยกันก็ไม่คิดอะไรแล้ว แต่ไปกับคนอื่นได้นี่สิ มันน่าน้อยใจนัก ฉันหยิบโทรศัพท์โทรหาทับทิมทันที พูดคุยกันสักพักก็ได้คำตอบว่าทำไมถึงไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ

                      "เพื่อนน่ะ ไปเที่ยวตอนไหนก็ไปได้ แต่แฟนถ้ามีโอกาสต้องรีบไป มึงต้องเข้าใจกูนะ"

                      ฉันเข้าใจหมดทุกสิ่ง และหมดศรัทธาในตัวทับทิมตลอดมาตั้งแต่วันนั้น เราทั้งสองแทบจะไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ทับทิมก็มาหาถึงหอพักของฉัน

                      "ลมอะไรหอบเอามึงมาถึงนี่ล่ะเนี่ย" ฉันถามแบบงงๆ แต่ทับทิมไม่ตอบอะไร มันได้แต่ร้องไห้ ยิ่งถามมันก็ยิ่งร้องไห้หนัก พอเห็นว่าไม่ได้ความก็เลยพามันขึ้นห้องไป

                      "มึงไปทำอะไรมาเนี่ย ทำไมแม่งโทรมเงียะ?" คำถามยังไม่หยุดออกจากปากของฉัน

                      "เกด...กูท้อง..." บรรยากาศกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ฉันลุกขึ้นเอามือกุมขมับ เดินวนไปเวียนมา พอตั้งสติได้ก็ถามขึ้นอีกครั้ง

                      "มึงแน่ใจว่าท้อง แล้วมึงท้องกับใคร" ไม่มีคำตอบใดๆออกจากปากทับทิม นอกจากน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย

                      "ขอบใจที่ตอบ" ฉันพูดแบบกวนๆ ทั้งที่ทับทิมยังไม่ได้ตอบอะไรเลยสักคำเดียว

                      ฉันเปลี่ยนเรื่องสนทนา จนทับทิมรู้สึกดีขึ้น เราพูดคุยกันหลายเรื่อง นินทาชาวบ้าน ซุบซิบดารา ด่านักการเมือง เฟื่องเรื่องแฟชั่น สารพันปัญหาวัยเรียน ฯลฯ จากนั้นทับทิมก็หลับไปด้วยความเพลีย ฉันจึงเริ่มปรึกษาเพื่อนๆ พี่ๆผ่าน อินเตอร์เน็ต (MSN) แล้วเราก็ได้ข้อตกลงว่า จะต้องพามันกลับบ้าน แล้วบอกกับทางบ้านให้รู้ ส่วนเรื่องใครทำท้องนั้นค่อยว่ากันทีหลัง

                      ทับทิมตื่นขึ้นมาช่วงดึกเพราะความหิว ฉันเลยทำข้าวต้มให้กิน มันยังปากหวานว่าฉันทำอร่อย แต่ประทานโทษ ฝีมือระดับนี้ ไม่อร่อยก็บ้าแล้ว...

              "เกด มึงสัญญานะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับกู มึงจะไม่ร้องไห้" ฉันหันมามองหน้า สงสัยความอร่อยของข้าวตอมคงทำให้มันเพ้อไปเสียแล้ว

                      "เออ" ฉันตอบเสียงหนักแน่น แล้วก็กลับไปแชตอย่างเมามัน

                      หลังจากนั้น 3 วัน ฉันก็พาทับทิมกลับบ้าน เมื่อไปถึงคนที่บ้านก็ต่างดีใจกันเป็นยกใหญ่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ทับทิมไม่ได้กลับบ้าน

                      ถ้าคุณเป็นฉัน คุณคงรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยที่ได้เห็นภาพนี้ ทุกคนมีความสุขที่ทับทิมกลับมา ทุกคนมีความสุขที่ความหวังเดียวของครอบครัวได้มีโอกาสศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาที่ดีที่สุดในประเทศ ทุกคนมีความสุขที่เห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าทับทิม ถึงแม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มาจากข้างในจิตใจก็ตาม

                      คนที่บ้านทับทิมต้อนรับฉันเป็นอย่างดี ทั้งอาหารน้ำดื่มสารพัด พูดคุยกันเรื่องชีวิตในมหาวิทยาลัย แล้วก็เลยไปถึงเรื่องราวของบ้านเมืองในปัจจุบัน (ที่กลุ่มของประชาชนบางกลุ่มไม่มีความรักในประเทศชาติ จ้องที่จะทำลายตลอดเวลา) จนถึงเวลาค่ำ ฉันจึงขอตัวกลับบ้าน เพราะเห็นว่าทางนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว

                      เช้าวันรุ่งขึ้น คนที่บ้านทับทิมโทรมา

                      "หนูเกด หนูรู้มั้ยว่าทับทิมมันไปไหน" เขาถามอย่างรีบร้อน

                      "ไม่ทราบจ้ะ ทำไมเหรอคะ" ฉันเริ่มสงสัย

                      "ทับทิมเค้าหายตัวไปน่ะ ไม่รู้ว่าไปไหน ตามหาจนทั่วแล้วยังไม่เจอเลย"

                      "ถ้ายังไง เดี๋ยวหนูช่วยตามหาอีกแรงนะคะ พ่อไม่ต้องเป็นห่วง"

                      "จ้ะๆ ขอบคุณหนูมากนะ" ฉันวางสายและกำลังจะขับรถออกจากบ้าน ก็มีโทรศัพท์เข้ามา

                      "มึงอยู่ไหน" ฉันรับสายทำเสียงดุ แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย

                      "กูถามว่ามึงอยู่ไหน มึงรู้มั้ยว่าคนที่บ้านเค้าเป็นห่วงมึง" ฉันเริ่มเสียงดัง

                      "ก็ได้ มึงไม่ต้องบอกกู เดี๋ยวกูจะตามหามึงให้เจอเอง มึงอย่าหนีกูละกัน" ฉันถอยรถอย่างรีบร้อน แต่ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงลมพัดเข้ามาในโทรศัพท์

                      "มึงอยู่ที่ไหนเนี่ย ทำไมลมแรงนักวะ" ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงลมที่พัดดังขึ้นเรื่อย ตอนนี้ฉันเริ่มอารมณ์เสีย ในชีวิตเกิดมาไม่เคยเซ้าซี้ใครได้นานขนาดนี้มาก่อน

                      "มึงอยู่ทะ..."

      ทันใดนั้น เสียงผู้คนตะโกนโหวกเหวกฟังไม่ได้ศัพท์แทรกเข้ามา เสียงลมก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ฉันพยายามฟัง แต่เสียงลมดังเกินไป ไม่แน่ว่าพ่อของทับทิมจะเจอหล่อนเข้าแล้วก็ได้

                      "ลาก่อนเพื่อน" สิ้นเสียงทับทิม ฉันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้นอีกครั้ง แล้วเงียบไป เป็นช่วงเวลาเดียวที่พ่อของหล่อนโทรมาและวางไปโดยที่ฉันยังไม่ได้รับ

                      ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าพ่อของทับทิมยังไม่เจอหล่อน ฉันเหยียบคันเต็มแรง ที่แรกที่ฉันต้องไปคือ บ้านของทับทิม และในใจก็หวังว่าอย่าให้เกิดเรื่องร้ายกับเธอเลย

                      ในระหว่างทาง ฉันขับรถสวนกับรถมูลนิธิร่วมกตัญญู ก่อนจะถึงบ้านทับทิม และสังเกตเห็นความผิดปกติของอาคารพาณิชย์หนึ่ง มีผู้คนอยู่มากมาย ทั้งบนดาดฟ้าและตัวอาคารรวมไปถึงด้านหน้าอาคาร รถตำรวจประมาณ 2 คันจอดอยู่โดยที่ไฟไซเรนยังทำงาน ฉันขับรถผ่านไปช้าๆโดยไม่เอะใจแม้แต่น้อย

                      เมื่อไปถึงที่บ้านของทับทิม ฉันไม่พบใครเลยนอกจากปู่ที่เป็นอัมพาต ท่านนั่งร้องไห้อยู่บนรถเข็น ฉันรีบเข้าไปถาม แต่ท่านพูดไม่ได้นอกจากน้ำตาที่ไหลเป็นสาย

                      หลังจากนั้น อาของทับทิมก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาอย่างรีบร้อน ฉันไม่รอช้าที่จะถาม แต่อาชิงพูดเสียก่อน

                      "อีหนูโดดตึก ตอนนี้อยู่โรงบาล อามาเอาของ" พอพูดจบ อาก็วิ่งเข้าไปในบ้าน ค้นของกุกกักแล้วออกมาพร้อมกับเอกสารหลายใบ

                      "อาไปรถหนูนะ เอาปู่ไปด้วย" อามองหน้าแล้วตัดสินใจอุ้มปู่ขึ้นรถ แล้วจัดแจงวางรถเข็นในกระโปรงท้ายรถอย่างรีบร้อน

                      เรามาถึงโรงพยาบาลเป็นคนสุดท้าย ฉันค่อยๆเข็นปู่เข้ามา แต่ในใจมันร้อนรนจนอยากจะวิ่งไปเข็นไป

                      เมื่อฉันมาถึงหน้าห้องไอซียู ก็พบแค่เพียงพ่อของทับทิมเท่านั้นที่ยืนรออยู่

                      "สวัสดีค่ะพ่อ" ฉันยกมือไหว้ตามความเคยชิน ท่านรับไหว้แล้วเดินมาหา

                      "คนอื่นเค้าอยู่อีกห้องหนึ่ง พอดีแม่อีหนูเค้าเป็นลมชัก ก็เลยต้องไปดูแล" ท่านพูดอย่างใจเย็น แล้วนำทางไปยังห้องหนึ่ง

                      เมื่อเข้ามาในห้องก็เห็นแม่ของทับทิมนอนน้ำตาอาบแก้มอยู่บนเตียง ทุกคนร้องไห้และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฉันยกมือสวัสดีทุกคน และอาสาจะเฝ้าทับทิมให้ ซึ่งพ่อของหล่อนก็เห็นด้วย

                      อันที่จริงแล้วฉันไม่อยากอยู่ในห้องนั้นมากกว่า ฉันไม่อยากตอบคำถาม ที่สามารถเชื่อมโยงไปได้ว่าทำไมทับทิมถึงคิดฆ่าตัวตาย แน่นอนว่าฉันไม่กล้าที่จะบอกกับทุกคนว่าทับทิมท้อง เพราะฉันคิดว่าทุกคนบอบช้ำมากเกินไปที่จะรับรู้เรื่องราวใดๆ

                      ฉันอดทนรออยู่หน้าห้องไอซียูมาหลายชั่วโมงแล้ว พ่อของทับทิมก็เอาขนมกับน้ำมาให้ ซึ่งมันก็วางอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครสนใจ จนในที่สุดหมอก็ออกมาจากห้องไอซียู ฉันเดินเข้าไปหาเขาทันที

                      "คุณเป็นเพื่อนของคนไข้ใช่ไหมครับ" เขาถามพลางถอดผ้าปิดปากออก

                      "ค่ะ"

                      "ถ้าอย่างนั้นคุณคงรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนไข้"

                      "ค่ะ"

                      "ถ้าอย่างนั้นหมอก็คงไม่ต้องพูดอะไรมาก หมอพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่คนไข้เสียเลือดมาก ซ้ำสมองยังได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง..." เขาหยุดพูด มองมาที่ฉันที่ตั้งใจฟัง เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

                      "คนไข้เสียชีวิตแล้ว"

                      "คุณหมอคะ แล้วเด็กล่ะคะ"

                      "เธอยังอยู่กับแม่เธอ" หมอตอบ ก่อนเดินจากไป ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง

                      ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าทับทิมเสียชีวิตแล้วนอกจากฉัน นี่ก็ตี 2 กว่าแล้ว ทุกคนคงหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ฉันจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องไอซียู เพื่อพบหน้าเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย ฉันยืนมองร่างที่นอนนิ่งใต้ผ้าคลุมสีขาวที่มีรอยเลือดเลอะเกือบทั้งผืน ไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว ตามคำขอของเธอ

                      หลังจากที่ฉันบอกความจริงกับครอบครัวของทับทิมแล้ว ทุกคนก็ร้องไห้อีกครั้ง ส่วนแม่ของทับทิมก็เป็นลมอีก จนต้องเรียกพยาบาลกันมายกใหญ่ ฉันมองทุกคนที่กำลังร้องไห้ด้วยใบหน้าสงบ ไร้ซึ่งความรู้สึก ฉันได้แต่ยืนเฉยๆ รอให้ความเศร้าที่กัดกินหัวใจของคนเป็นพ่อ แม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนจางหายไป ถึงแม้จะรู้ว่าคงยากเต็มทีก็ตาม

                                                      .....................................................................

              เพื่อนๆเกือบทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้ ซึ่งเป็นวันฌาปนกิจศพของทับทิม พิธีการทุกอย่างดำเนินไปเป็นขั้นตอน จนถึงพิธีการสุดท้าย ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกเรามารวมตัวกันในวันนี้

      "จากวันนี้จะมีเรา เราและนาย...จดจำไว้ตลอดไป ไม่ทิ้งกัน..."

      เสียงร้องประสานเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนกับงานปัจฉิมนิเทศเมื่อหลายปีก่อน พวกเราร้องด้วยกันทั้งน้ำตา พวกเราร้องกันด้วยความเสียใจ แต่ที่ไม่เหมือนกันก็คือ มึงไม่ได้อยู่ร้องกับพวกกูด้วย.....ทับทิมเพื่อนรัก

                                                      .....................................................................

      เราเชื่อนะ....

      ว่ามีคนอีกหลายคนบนโลกกลมๆใบนี้

      ประสบกับปัญหาคล้ายๆทับทิม

      จะแตกต่างตรงที่ว่า...

      พวกเขาเหล่านั้นเลือกที่จะแก้ไขปัญหาอย่างไร 

                      แล้วเราก็เชื่ออีกว่า...

      ทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้

      รู้ว่าการแก้ปัญหาของทับทิมไม่ถูกต้อง

      เพราะฉะนั้น...

      ถ้าเกิดว่าพวกคุณเจอกับปัญหาแบบนี้

      ขอให้คุณมีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป

      อย่างน้อย คุณก็ยังมีพ่อแม่ของคุณ

      คุณเชื่อเถอะ...

      ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

      มีแต่เพียงพ่อแม่เท่านั้น ที่ช่วยเหลือเราได้

      แม้แต่จะต้องเอาชีวิตของท่านไปแลกก็ตาม...

      เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง แต่ชื่อของตัวละครอาจเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ส่วนเนื้อเรื่องเป็นการเรียบเรียงใหม่ให้เป็นภาษาเขียน เพื่อให้อ่านและเข้าใจได้ง่าย

      แด่  นางสาวทัศนีย์ รุ้งวรรณะ

      ชาตะ 12 สิงหาคม 2528

      มรณะ 8 สิงหาคม 2549

      จาก เพื่อนคนหนึ่ง....               



      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×