บ้านฉันนี่ล่ะมาตรฐาน
....
ผู้เข้าชมรวม
686
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บ้านฉันนี่ล่ะ มาตรฐาน
มีคนบางประเภทซึ่งก็ไม่รู้ทางจิตวิทยา จำแนกไว้ตรงไหน และระบุสาเหตไว้ว่าอย่างไร
คือประมานว่า
ชอบเอาตัวเอง บ้านตัวเอง สถาบันตัวเอง ครอบครัวตัวเอง ประเทศตัวเอง หรืออะไรๆของตัวเอง หรือแม้กระทั่งศาสนาของตัวเอง
วางปั้งลงไปบนฐานรากของสังคม
แล้วประกาศ หรือแอบๆประกาศอย่างภูมิใจว่า
นี่ล่ะเว้ย
..มาตรฐานล่ะ
............
คิดดูเล่นๆ
สมมุติมีบ้านๆนึง เป็นบ้านที่เป็นขี้กลากกันทั้งบ้านจนเป็นกรรมพันธุ์
เป็นไปได้มั้ยว่า
บางช่วงของสมอง ของจิตใจพวกเค้า
อาจจะกำลังหลอกให้ตัวพวกเค้าเชื่อ หรือคิดไปว่า
เอาเว้ย เป็นขี้กลากนี่ล่ะ มาตรฐานล่ะ ใครไม่เป็นอันนั้นผิดปกติ
หนึ่งในสมาชิกของบ้านที่เป็นขี้กลากกันทั้งบ้านคงจะมีความสุขดีพิลึกนะครับ ถ้าเค้าคิดและเชื่ออย่างนั้นได้จริงๆ
และไม่เพียงแค่มีความสุข แต่ยังเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอีกต่างหาก
......
การปลอบใจตัวเอง
ก้อาจจะเป็นเรื่องดีนะ แต่เป็นวิธีทีที่ดีที่สุดจริงหรือเปล่า
ถ้ามีคนคนนึงกำลังจมอยู่กับความผิดหวังหรือเสียใจบางอย่าง
เสร็จแล้วก็มีทางออกให้เค้าสองทาง
ทางแรก เค้าปลอบใจตัวเองได้ แล้วก็สู้ชีวิตต่อไป
ทางที่สอง เค้ายอมรับความจริงได้ แล้วก็สู้ชีวิตต่อไป
คนที่ยอมรับความจริงได้ จะไม่จำเป็นต้องปลอบใจตัวเอง
คนที่ต้องปลอบใจตัวเอง เพราะว่ายอมรับความจริงไม่ได้
เมื่อยอมรับความจริงได้ ก็จะสู้ด้วยสภาพความเป็นจริง และมาตรวัดต่างๆก็จะยังถูกตั้งค่าไว้ที่ค่าของความจริง
ในขณะที่ การปลอบใจตัวเอง ก็จำต้องสร้างปมเด่นเพื่อลบปมด้อย
บางทีการสร้างปมเด่นก็อาจจะมีประโยชน์เหมือนกัน คือเป็นแรงขับ ให้เราพัฒนาตัวเอง
แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นล่ะ แต่กลับเป็นการ"สร้างปมเด่น" จริงๆ คือสรางเอาเลย แบบว่าเสกปุ้บติดปั้บ เช่น
เกิดมาตรงส่วนนี้ของใบหน้าไม่สวยไม่เร้าใจ เป็นปมด้อย
เอางี้เลยละกัน ศัลยกรรม มันซะ เอาให้ตรงที่เคยเป็นปมด้อยกลายเป็นปมเด่นซะเลย
แต่สุดท้าย ไม่ว่าการสรางปมเด่นนั้นจะมาจากการพัฒนา หรือเสกปุ้บติดปั้บแบบหลอกๆอย่างการศัลยกรรมก็ตามที
สุดท้ายแล้ว เมื่อคนคนนั้นได้ปมเด่นนั้นมา
ปมเด่นนั้นมันก็จะกลายเป็นสิ่งยึดมั่นถือมั่น
อยากให้นึกภาพยาจก ที่พยามใส่แหวนทอง สร้อยทอง กำไลทอง เดินไปเดินมาตามตลาดเพื่อให้คนอื่นคิดว่าเค้ารวยดูละกัน ว่าเป็นอย่างไร
คนที่มีปมด้อยในอดีต จนเกิดแรงผลักดันให้พัฒนาตัวเองขึ้นมาจนเกิดปมเด่นเพื่อลบปมด้อยนั้นก็มีสภาพอย่างนั้นล่ะ ในสายของคนอื่น ไม่ว่าคนคนนั้นจะรู้ตัวหรือไม่
....คือก็คงไม่มีใครรู้ตัวอะนะครับ เพราะถ้ารู้ตัวคงเลิกทำไปแล้ว เพราะเชื่อเถอะ ...ไม่มีใครอยากให้ใครมองเค้าอย่างนั้นแน่
...เชื่อเถอะ ว่าถ้าวันนึงใครที่พยามใช้ปมเด่นลอยหน้าลอยตาอยู่ตามออฟฟิศต่างๆหรือตามที่ไหนก็ตามที เกิดมีความสามารถในการอ่านใจคนได้ขึ้นมาละก็
.....เค้าจะอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีเลยล่ะ
และทางเดียวที่เค้าจะกลับไปใช้ชีวิตในสังคมที่เค้าเคยอยู่ที่เค้าเคยภูมิใจ
ก็มีแค่ทางเดียวคือ
"ยอมรับความจริงซะ"
บ้านฉันนี่ล่ะ คือมาตรฐาน
ถ้าบ้านแต่ละหลัง สามารถวางมาตรฐานของแต่ละหลังได้จริง
ถ้าอย่างนั้น ก็แปลว่า มันมี"หลายมาตรฐาน"
ถ้ามีหลายมาตรฐาน ...มันยังจะเรียกว่ามาตรฐานได้อีกหรือเปล่า
หรือว่าถ้าถึงเวลานั้น จะถึงขนาดกับต้องบัญญัติศัพท์ใหม่อีกคำหรือเปล่า เพื่อทดแทนคำว่ามาตรฐาน ซึ่งได้กลายเป็น "แล้วแต่ชอบ" ...ไปซะแล้ว
............
สมมุติมีคนนึง คิดค้นแนวคิดขึ้นมาได้อย่างนึง
ซึ่งเป็นแนวคิดที่"โดนใจ" คนหมู่มาก"อย่างแรง"
และแบบว่า "มันถูกจริต" จริงๆเลยให้ดิ้นตาย
แนวคิดนั้นจะกลายเป็น "มาตรฐาน" รึเปล่า
และเมื่อมันถูกเรียกโดยคนบางคน บางกลุ่ม หรือกลุ่มใหญ่ก็ตามที ว่า "นั่นล่ะมาตรฐาน"
ก็แสดงว่า ...คำคำนั้นมันก็ได้กลายเป็น "แล้วแต่ชอบ" ไปแล้วเรียบร้อย
แต่แน่นอนว่า ....คนกลุ่มนั้นที่พอใจในแนวคิดนั้น และเห็นดีเห็นชอบและไตร่ตรองดีแล้วว่าใช่แน่ ก็ย่อมมั่นใจว่านั่นล่ะ "มาตรฐาน"
และเมื่อใช้คำว่า"มาตรฐาน" ไปนานๆเข้า มันก็กลายเป็นวิถีชีวิตจริงๆ
นานๆไป รุ่นลูกรุ่นหลาน หรือรุ่นบุกเบิกที่หนังเหนัยวยังไม่ตาย ก็พัฒนาความรู้สึกของแนวคิดนั้น
จาก"มาตรฐาน" สู่ "วิถีชีวิต" สู่ "ความจริง"
มันไม่ใช่"ความจริง สู่ ความจริง"
แต่เป็นมาตรฐาน สู่ความจริง
และก็อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่า
บ้านมันก็มีหลายหลัง และแต่ละบ้านก็ตั้งมาตรฐานของตัวเองขึ้น
ซึ่งนั่นก็แปลว่า
"ความจริง" มันได้เกิดขึ้น เป็นดอกเห็ด
....กลายเป็นหลายความจริง
บ้านแต่ละหลังคงแฮ้ปปี้ดี กับ"ความจริง" ของตัวเอง เพราะมันเป็นความจริงของบ้านนั้น และทุกคนในบ้านนั้นอยู่ใต้ความจริงนั้น ซึ่งจริงๆแล้ว มันพัฒนามาจากมาตรฐาน
แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นทันที
เมื่อบ้านเหล่านั้น รวมตัวกันเป็นหมู่บ้าน
เพราะมันจะเกิด หลาย"ความจริง"
อันเนื่องมาจาก การมี"หลายมาตรฐาน"
............
แล้วมันก็จะเกิดเหตุผลสนับสนุนมาตรฐานที่กลายเป็นความจริง หลาสยๆเหตผล หลายๆแนวคิด ....ที่หาข้อยุติไม่ได้
สุดท้ายก็คอนเวิส ทางใครทางมัน
บ้านฉัน ฉันก้พอใจอย่างนี้ บ้านแกมาตรฐานอย่างนั้นก็ทำไป ...แต่อย่ามายัดเยียดมาตรฐานแก ให้บ้านฉัน
บ้านฉันนี่โว้ยย "ของจริง"
ของบ้านแกแค่ "มาตรฐานทำมือ"
......
ถ้าเราลองย้อนเวลากลับไปก่อนที่บ้านแต่ละหลังจะมีมาตรฐานขึ้นมา
เราเชื่อจริงๆเหรอ ว่าก่อนหน้านั้นมันไม่มี "ความจริง"
จนถึงขนาดต้องมาสราง"ความจริง" กันเอง ไว้วางเป็น "มาตรฐาน"
-----------
มาตรฐาน
เคยมั้ย เวลาเราไปอยู่ในบ้านอื่นสังคมอื่น หรือวัฒนะธรรม อื่น...ซึ่งเราไม่คุ้นเคย
1-บางทีในความไม่คุ้นเคยนั้น เราก็พบว่า จริงๆแล้ว วัฒนธรรมที่เราเข้าใจและเชื่อมาทั้งชีวิตของเรานั้นผิด และเราพบว่าวัฒนธรรมแปลกๆที่พบใหม่และไม่คุ้นเคยนั้น..คือสิ่งที่ถูกต้อง
2-บางทีในความไม่คุ้นเคยนั้น เราก็พบว่า จริงๆแล้ว วัฒนธรรมที่เราเข้าใจและเชื่อมาทั้งชีวิตของเรานั้นช่างประเสริฐเสียจริงๆ..และวัฒนธรรมใหม่ที่เราไม่คุ้นเคยนั้นผิด ...และเราจะไม่เปลี่ยนวัฒนธรรมเด็ดขาด
บางทีเราอาจจะเริ่มพิพากษาว่าวัฒนธรรมใหม่นั้นผิด และวัฒนธรรมเก่าๆของเราประเสริฐ เหตุเพราะว่า ...
เราเหมือนกบในกะลา และไม่ยอมศึกษาวัฒนธรรมใหม่ให้เข้าใจรึเปล่า
.... เหมือนบรรดามือเก๋าลายครามทั้งหลายที่ไม่ยอมเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆหรือแนวคิดใหม่ๆด้วยเหตุผลเชิงดูถูก ...แต่สาเหตุจริงๆเพราะพวกเค้าไม่มีปัญญาเรียนรู้มันได้ ....หรือในทางตรงข้าม บรรดามือใหม่ไฟแรงทั้งหลายก็ดูถูกภูมิปัญญาโบราณว่ากระจอก เหตุเพราะว่าพวกเค้าชาชินกับ เทคโนโลยีใหม่เสียจนเคยตัวกับความง่าย และแล้วแต่ชอบ
มือเก๋าลายคราม ....จะเสียเวลาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทำไม
มือใหม่ไฟแรง ....จะเสียเวลาเรียนรู้สิ่งเก่าๆทำไม
แต่...
ทั้งบรรดามือใหม่ไฟแรงและมือเก๋าลายคราม ก็ไม่พ้น "กบในกะลา" ทั้งคู่
พวกเค้าจะพ้นข้อครหาเรื่องเป็นกบในกะลาก็ต่อเมื่อเค้าจะยอมรับความจริงว่า "ทำไม" เค้าถึงไม่ศึกษาศาสตร์ต่างเจนเนอเรชั่น
ความจริงมีอยู่เหตผลเดียว คือ "ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาศึกษามัน"
คงมีแต่ยอมรับความจริงข้อนี้ซึ่งมันเป็นความจริงเท่านั้น เค้าถึงจะพ้นความเป็นกบในกะลา
อย่าปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่าของข้าเจ๋งกว่าและเจ๋งอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องศึกษานอกเจนเนอเรชั่น
มาตรฐานคืออะไร? ..แล้วแต่ตั้งรึเปล่า
เช่น โรงเรียนหลายแห่งมาตรฐานไม่เท่ากัน ตัดเกรดต่างกัน หยวนๆต่างกัน?
.......
เป็นเรื่องอันตรายมาก ถ้าเรารู้สึกว่าเราเจอ "มาตรฐาน" และยิ่งชัดเจนว่าอันตราย ถ้าเรา "ภูมิใจ"
ความภูมิใจเกิดจากอะไร ถ้าความรวยเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นเมื่อรายรับมากกว่ารายจ่ายมากๆ แสดงว่าคนรวยที่ภาคภูมิใจ เค้าก็กำลังคิดว่าการรวยเป็นเรื่องไม่ปกติ แสดงว่าถ้าคนรวยคนไหนภูมิในในฐานะของตน ก็แสดงว่า "กำลังหลงตัวเอง" อย่าง "โง่ๆ"
ถ้ามาตรฐานคือเรื่องปกติ และมาตรฐานคือธรรมชาติ แสดงว่า คนที่เขาบอกว่าเขาเข้าถึงธรรมชาติแล้วด้วยความภาคภูมิใจ ก็แปลว่าเค้ามองว่าการเข้าถึงธรรมชาติเป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะถ้าปกติจะภูมิใจไปทำไม
และแน่นอน ถ้าเค้ารู้สึกภูมิใจ เค้าก็ไม่พ้น "หลงตัวเอง" อย่าง "โง่ๆ"
และถ้าการเข้าถึงธรรมชาติมันไม่ปกติเพราะเขาเกิดความภูมิใจ ..งั้นแล้วตกลงเขาเข้าถึงอะไรกันแน่ หรือว่าธรรมชาติ คือความไม่ปกติ เหรอ?
ถ้าธรรมชาติ คือความไม่ปกติ งั้นการที่ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาลก็ไม่ใช่เรื่องปกติ ..แต่เป็นเรื่อง "ผิดปกติ"
เริ่มงง ....งั้นก็แสดงว่า ความงง เป็นเรื่อง ปกติ เหรอ?
.....ทุกอย่างอาจจะดูเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้นและงงน้อยลง ถ้าการเข้าถึงธรรมชาติไม่ได้นำมาซึ่งความภูมิใจและอวดตัวหรือหยิ่ง หรือความเหนือกว่าผู้อื่น
................
"ภูมิใจ" ...อาการของคนปกติ หรือคนไม่ปกติ?
เช่น มนุษย์ทดลองเพศหญิงเบอร์1สวยมากเลย สวยมาตั้งแต่เกิดเช้าวันนึงในวันที่เธออายุครบ28 เธอตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เต็มด้วยผมกระเซิงเป็นงูเก็งกอง คราบน้ำลายเป็นทาง ขี้ตาเกราะกรังปากเหม็นอีกตะหาก...แต่ เธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่สวยที่หัวกระเซิงมีคราบน้ำลาย ขี้ตาเกราะกรังและปากเหม็น ...เธอรู้สึกยังไงเมื่อมองดูกระจกแว้บแรกในเช้านั้น
มนุษย์ทดลองเพศหญิงเบอร์2... มีคนบอกว่าเธอขี้เหร่มาก ขี้เหร่มาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ จนเก็บไปเป็นปมด้อยในจิตใจเขียนขึ้นเป็นรหัสเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกว่า ฉันอยากสวย ฉันอยากสวย เช้าวันนึงในวันที่เธออายุครบ28 เธอตื่นขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ .....
.....ใบหน้าที่เต็มด้วยผมกระเซิงเป็นงูเก็งกอง คราบน้ำลายเป็นทาง ขี้ตาเกราะกรังปากเหม็นอีกตะหาก.
.......แต่ว่าสวย.... แบบว่าสวยมาก
.......เธอ รู้สึกยังไงเมื่อมองดูกระจกแว้บแรกในเช้านั้น
จากที่ว่ามา เราอาจจะเริ่มเห็นว่า
มาตรฐาน ไม่ได้แปลว่ามันได้มาตรฐานจริงๆ
มาตรฐาน อาจจะมีหลายมาตรฐาน
มาตรฐานนั้น บางอันก็ใกล้เคียงความจริง ในขณะที่บางอันนั้น ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อสนองความ "ถูกใจ"
และเพราะคนส่วนใหญ่ "ถูกใจแบบนั้น" เกณฑ์ที่คนพวกนั้นซึ่งคือคนส่วนใหญ่วางไว้ จึงกลายเป็นมาตรฐาน
และแน่นอน คนส่วนใหญ่พวกนั้น ซึ่งใช้ "มาตรฐานที่ถูกใจ" ก็ต้อง "ภูมิใจ" เพราะเพื่อที่พวกเค้าจะไม่รู้สึกว่า มาตรฐานที่พวกเค้าใช้อยู่เป็นแค่มาตรฐานที่สร้างขึ้นมาเพื่อสนองความถูกใจพวกเค้า แต่เป็นมาตรฐานจริงๆ
และเพื่อความชัวร์ที่เค้าจะสามารถภูมิใจได้โดยไม่รู้สึกกระดาก เค้าจึงต้องตั้งมาตรฐานนั้น ให้เป็น "ความจริง"
.............
เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่มนุษยชาติส่วนใหญ่ เลือกที่จะถือมาตรฐานอย่างที่ว่า
เพราะอะไร?
สาเหตก็เพราะพวกเค้าอยากปลอดภัยอยู่ในมาตรฐานนั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมาะกับพวกเค้า ซึ่งไม่อยากยอมรับความจริง
เพราะอะไร?
ทำไมเค้าถึงต้องสร้าง "ความจริง" เพื่อหลีกหนี "ความจริง"?
ฟังดูเหมือนว่า "ความจริง" เป็นเรื่องที่รับไม่ได้.......
............................
มาตรฐานซึ่งมีอยู่แต่เดิมไม่มีมนุษย์คนไหนตั้งและเป็น "ความจริง"ที่มนุษย์รับไม่ได้......
จึงต้องเกิด "บ้านฉันนี่ล่ะมาตรฐาน"ขึ้นมา
และเมื่อเกิด "บ้านฉันนี่ล่ะมาตรฐาน" ขึ้นมา ก็เกิดการสร้างระบบรักษาความปลอดภัยในความเชื่อนั้น ให้รู้สึกจริงๆว่ามันคือ "ความจริง" เพื่อให้พวกเค้ารู้สึก "ภูมิใจ" พวกเค้าจำเป็นต้องอาศัยความภูมิใจ เพราะพวกเค้าหลีกหนี "ความจริง" มาสร้าง "ความจริงของตัวเอง"ขึ้นมา ก็เพราะความอับอายที่พวกเค้าไม่กล้าสู้หน้า "ความจริง" หรือเพราะพวกเค้าแสวงหาความ "ถูกใจ" มากกว่า "ถูกต้อง" ....และการจะรู้หรือยอมรับความรู้สึกนี้ในตัวของพวกเค้าก็เป็นเรื่องเจ็บปวด .....จะรักษาและกลบเกลื่อนความเจ็บปวดนั้น ก็ต้องอาศัย "ความภูมิใจ"
และ
พวกเค้าจะภูมิใจได้อย่างไร ถ้าพวกเค้ายังคิดกัน หรือยังรู้กันว่า สิ่งที่พวกเค้าเรียกว่ามาตรฐานหรือความจริงนั้นที่พวกเค้าถืออยู่ มันเป็นแค่ "ทำมือ"
แน่นอน ว่าพวกเค้าก็ต้องพยามทำ สร้างหลักการ สร้างหลักปฏิบัติ สร้างตำนาน สร้างสารพัดจะสร้าง หรือแม้แต่พยามสร้างพลังที่จะเหนือกว่า "ความจริง" ที่พวกเขาไม่ยอมรับ เพื่อประกาศว่า ความจริงที่พวกเค้าค้นพบหรือจริงๆแล้วเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้น มันคือ "ความจริง" จริงๆ.... ที่เหนือกว่า "ความจริง" แล้วพวกเค้าก็พัฒนาตัวเองไปสู่จุดที่กล้าท้าชน "ความจริง" เพื่อจะล้มล้าง "ความจริง" และตั้งมาตรฐานที่พวกเค้าสร้างขึ้นมา เป็น "ความจริงทดแทน"
.......................
.....ฟังดูแล้ว อาจจะเริ่มเห็นว่า ลักษณะของบุคคลที่จะสร้างหรืออยู่ในบ้านฉันนี่ล่ะคือมาตรฐานได้ ค่อนข้างฉลาดมากๆ แต่ลักษณะนึงที่เด่นมากเช่นกัน คือ "ไม่ยอมรับความจริง" และ แสวงหา "ความถูกใจ" มากกว่าถูกต้อง
ซึ่งตรงข้ามกับคนที่อยู่แบบเดิมๆตามธรรมชาติ และไม่ได้มีบ้านฉันนี่ล่ะคือมาตรฐาน เพราะพวกเค้าสร้างมันไม่เป็น
ทำไม?
อาจไม่ได้หมายความว่าเค้าโง่กว่า ..แต่เค้าจะหัดสร้างทำไม ถ้าเค้า ยอมรับความจริงอย่างที่มันเป็นอยู่แล้วแต่แรกได้ และที่เค้ายอมรับความจริงได้ไม่ต้องไปตะเกียกตะกายสร้างหรือหาบ้านฉันนี่ล่ะคือมาตรฐานไว้อยู่ก็เพราะลักษณะที่เด่นของเค้าคือ "กล้ายอมรับความจริง" และ "แสวงหาความถูกต้อง" มากกว่าถูกใจ
และก็คงจะเริ่มเห็นว่า จริงแล้ว ประชากรบ้านฉันนี่ล่ะคือมาตรฐานนั้น ไม่ว่าเค้าจะเชื่อหรือคิดอย่างไรกับมาตรฐานหรือความจริงของเค้า แต่ความจริงก็คือว่า ...เค้าออกห่างจากธรรมชาติมากขึ้นทุกที
ยกตัวอย่างอย่างนี้ ร่างกายคนเราที่เซลและเนื้อเยื่อต่างๆปกติดีตามธรรมชาติ จะมีสุขภาพดีที่สุด ในขณะที่การออกห่างจากธรรมชาติจะเป็นความพินาศลงเรื่อยๆของร่างกาย และแน่นอน มันจะนำ "ความทุกข์ทรมาน"มา ...ในที่สุด... ไม่ว่าเค้าจะอยากรับมันหรือไม่ก็ตาม
เป็นเรื่องดีที่ลูกหลานซึ่งเกิดในบ้านฉันนี่ล่ะคือมาตรฐานซักคนนึงจะเริ่มรู้สึก....ว่า บ้านของพ่อแม่เค้าที่เค้าเกิด วัฒนธรรมทั้งสิ่งที่เค้าเคยรับรู้ ..มันใช่ "ความจริง" หรือเปล่า มันเป็นมาตรฐานจริงๆหรือ? มันเป็นแค่ความถูกใจของบรรพบุรุษที่ฝังเข้ามาในตัวเค้ารึเปล่า
............... มันเป็นบ้านที่เหมาะกับคนแสวงหาความถูกใจและไม่ยอมรับความจริงหรือเปล่า......
....................เป็นจะนำเค้าไปสู่ความพินาศในที่สุดหรือเปล่า?.......
ขอพระเจ้าคุ้มครองครับ
ผลงานอื่นๆ ของ หญ้าโค้ง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ หญ้าโค้ง
ความคิดเห็น