เข้าข้างตัวเอง...
คงไม่มีมนุษย์สามัญคนไหนไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้ ผมคงเป็นคนนึงที่จะแอบยกมือทันที ถ้ามีใครมาถามว่า ใครเคยเข้าข้างตัวเองบ้าง ผมคงแอบยกอีกรอบ ถ้าถามว่าใครเคยหลงตัวเองบ้างยกมือขึ้น
      ผมนั่งคิดอยู่ว่า การเข้าข้างตัวเอง ใช่อย่างเดียวกับการเห็นแก่ตัวหรือเปล่า
     
      ถ้าเราอยู่ใรสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเลือก ระหว่างการกู้ชีวิตคนที่เรารัก กับคนที่เราไม่รู้จัก เราจะกู้ชีวิตใครไว้
      ถ้าเราเลือกกู้ชีวิตคนที่เรารัก
      เราเรียกว่าคนเห็นแก่ตัวรึเปล่า
      หรือเรียกว่าการเข้าข้าง(พวก)ตัวเองรึเปล่า
      ไม่ว่าจะเป็นยังไง
      แต่แง่คิดนึงที่เราได้มาและเมื่อเทียบตรรกกะจากสิ่งนี้ไปยังสิ่งอื่นๆ คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
      ว่าเราทุกคนที่ยังเลือกที่รักมักที่ชังก็คือคนเข้าข้างตัวเองโดยสันดาน และเป็นพวกเห็นแก่ตัวโดยสันดานเช่นกัน
      ผมพูดออกไปอย่างนี้คงมีคนผู้ภูมิใจในความเป็นคนดีของตัวเองด่าเอาแน่นอน ..เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่ใช่คนเข้าข้างตัวเอง...
      ..........
      มีคนอยู่ประเภทหนึ่งซึ่งก็คือคนส่วนใหญ่เลยล่ะ
      คนประเภทนี้จะมีความภูมิอกภูมิใจ ในสิ่งที่ตนมี สิ่งที่ตนทำ และเคยทำ ภูมิใจในหน้าที่การานของตน ภูมิใจในเกียรติต่างๆผลงานต่างๆที่ตัวเคยทำได้อย่างน่าภูมิใจ...
      มนุษย์ผู้ไดก็ตาม ที่รู้จักความรู้สึกที่เรียกว่าความภูมิใจ มนุษย์คนนั้นย่อมซึ้งดีกับสิ่งที่เรียกว่าปมด้อย ..ผมไม่อายที่จะบอกว่าผมเองก็เป็นมนุษย์สามัญที่มีปมด้อย
    มีมนุษย์กี่ประเภทเดียวที่กล้าบอกว่าเค้าไม่มีปมด้อย..
    1-มนุษย์ที่ไม่ยอมรับความจริง
    2-มนุษย์ที่หนีความจริง
    3-มนุษย์ที่ใจบอดสนิท ไม่รู้จักความจริง
    สมองผมตอนนี้คิดได้แค่นี้ แต่น่าจะพอที่จะอาศัยสิ่งเหล่านี้ว่าต่อไป
    คนจำนวนมากหรือแทบทั้งหมด พยามสร้างปมเด่น เพื่อลบปมด้อย บ้างก้เพื่อสรางความมั่นใจมากขึ้นที่จะยืนหยัดอยู่ในสังคมได้ บ้างก็เพื่อจะหาอะไรซักอย่างอวดกับใครต่อใครได้ และบ้างก็เพื่อปกปิดกลบเกลื่อนสิ่งที่อยากจะลืม
     
      คนบางประเภทพยามตะเกียกตะกายจากดินขึ้นสู่ดาว และเมื่ออยู่ในสภาพดาวโดยการแต่งตั้งของตัวเค้าเองนั้น สิ่งหนึ่งที่เค้ามักจะทำเป็นประจำคือ.....การรายงานสถานภาพ หน้าที่การงาน และผลงานที่ตัวเค้าทำไว้บ่อยๆ เหมือนกับกลัว่าถ้าเค้าไม่รีบพูดในการแนะนำตัว ถ้าเค้าตายไปตรงนั้น คนที่อยู่ตรงหน้าจะไม่มีวันรู้ถึงความเจ๋งของเค้า ...คนเหล่านี้มีความแนบเนียนอย่างร้ายกาจที่จะแทรกการรายงานผงานของเค้าไว้ในการสนทนาและแนะนำตัว ดวงตาเค้าเป็นประกาย จิตใจเค้าพองฟู
      ดังคำกล่าวว่า สูงสุดสู่สามัญ ยอดมือกระบี่ย่อมดูไม่เหมือนมือกระบี่
      คนที่กล่าวสิ่งต่างๆด้วยความภูมิใจ ก็คือคนที่เนื้อแท้แล้ว ไม่เคยมีความภูมิใจอะไรเลย ...การเยีวยารักษาปมในหัวใจด้วยความภูมิใจยังคงมีอยู่ ..เป็นหลักฐานชัดๆว่าปมในใจยังไม่หาย ยังต้องเยียวยาอยู่เรื่อยๆ ..ยิ่งเป็นคนที่อิ่มเอมกับความภูมิใจมากแค่ไหน ก็ยิ่งเป็นคนที่มีปมในใจมากเท่านั้น
      ถ้าใจหายดี ยังจะมีความจำเป็นอะไรที่ต้องแสวงหาความภูมิใจ
      พูดมาตั้งยาว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเข้าข้างตัวเอง....
      ก้แล้วการเข้าข้างตัวเองมีเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อการรักษาตัวเอง
      คนอกหักก็โทษฝ่ายตรงข้ามว่าไม่ดี โยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้ามหมด ตัวดีประเสริฐไร้ความผิด ..เพราะถ้ายอมรับความจริงว่าเค้าเองที่ไม่ดีเมื่อไหร่ เพราะโดยสันดานที่ชอบหนีความริงและไม่ยอมรับความจริง เค้าจะทนมีชีวิตอยู่ไม่ได้
      คนจน ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็โยนความผิดให้รัฐบาล โยนความผิดให้ครอบครัว โยนความผิดให้สังคม โยนให้ชาตกำเนิด โยนให้เจ้านายหน้าโง่ที่ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง...
      การเข้าข้างตัวเอง หนีความจริง ยอมรับไม่ได้ ปมในใจยากจะหาย รักษาเท่าไหร่ก็ยิ่งเรื้อรัง สุดท้ายก็ตาบอด ลืมไปกระทั่งว่าตัวกำลังทำอะไรอยู่ ...หลงไปกับการแสวงหาความสำเร็จ โดยไม่รู้เหมือนกันว่าตัวทำไปทำไม ลืมไปจนหมดว่าตัวเองแท้จริงเป็นคนป่วย ลืมไปจนหมดว่าตัวเองจริงๆแล้วแค่คนที่วิ่งหนีและไม่ยอมรับความจริงคนนึงเท่านั้น
      ความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่เพื่อรักษาชีวิตนั้นไว้ก็คือ ....ความภูมิใจเท่าที่ตัวจะนึกจะทำได้...
       
      มีคนมากมายทำความดีมากมายเพื่ออวดอ้างเครดิต เพื่อจะทำให้ตัวเองยังหน้าด้านพอจะเรียกตัวเองว่าคนดีได้ บ้างก็เพื่อจะกลบเกลื่อนมโนธรรมในใจที่ว่า ตัวเองไม่ใช่คนดีที่น่าภาคภูมิใจอะไรเลย บ้างก้เหมือนหาซื้อพรมราคาเรือนแสนเพียงเพื่อปูทับขยะโสโครกมากมายที่ตัวเองไม่มีปัญญากวาดออกไปทิ้งได้ ..บางคนหนักกว่า เป็นประเภทหลงไหลชื่นชมกับขยะโสโครกพวกนั้นทั้งที่รู้ว่ามันสกปรก แต่วิธีแก้ของเขาก็คือกาซื้อพรมราคาแพงที่สุดเท่าที่หาได้มาปูทับมันไว้ พอเวลาออกสังคมต่อหน้าคนอื่น ก็โชว์พรมราคาแพง ..พอลับตาคนก็รื้อพรมออก ลากเอาสิ่งโสโครกโสมมพวกนั้นออกมาสูดดมให้หายอยากสนองตัณหาตัว
      ความสัตย์ซื่ออยู่ที่ไหน?
      จะดีกว่ามั้ย
      แทนที่จะมัวเสียเวลากับการพยามเก็บอาการ กับการแสวงหาเสื้อผ้าดีๆมาปกปิดเรือนกายที่เน่าเฟะหนองเยิ้ม
      เป็นการยอมรับว่าตัวเองป่วย ไม่ต้องอาย เดินไปหาหมอ รักษาซะ
      ค่าอะไรมากมายที่ต้องใช้ในการปกปิดความจริง ใช้ไปในการรักษาจริงๆดีกว่ามั้ย
      แล้วประเด็นก็มาถึงความกล้าหาญ ความกล้าที่จะกล้ายอมรับความจริง
      เราจะหายป่วยได้อย่างไรถ้ายังดื้อที่จะไม่ยอมรับความจริงว่าเราป่วย สายตาคนรอบข้างไม่โง่พอจะมองไม่ออกว่าเราป่วย เว้นแต่ว่าเราจะโง่พอจะสร้างความจริงปลอมๆที่ว่าเราฉลาดพอ...
      ......
      นิสัยเข้าข้างตัวเอง ไม่เคยนำมาซึ่งตอนจบที่งดงาม ฉากจบที่ดีมันต้องเป็นของจริง
      ใครเคยดูหนังที่แม้แต่ถึงฉากจบแล้ว ความจริงคืออะไรยังไม่รู้คงจำความรู้สึกเหล่านั้นได้
      แม้จะแอบชมเจ้าคนเขียนบทบ้าง แต่อารมของคุณก็คือ อึดอัด และไม่กลมกลืมกับธรรมชาติ
      ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ ไม่มีมนุษย์ตัวไหนประพันธ์ธรรมชาติได้
      ศิลปินแท้ๆรู้กันดี ว่าธรรมชาตินั้นลงตัวงดงามสุดแล้ว ศิลปินรู้กันดี ว่าการทำให้งานออกมางดงาม ก็คือการเลียนแบบรูปแบบความกลมกลืนของธรรมชาตได้อย่างสมบูรณ์
      การเข้าข้างตัวเอง คือการฝึกหนีความจริง คือการหนีจากความกลมกลืนทางธรรมชาติ คือหนีจากความงดงาม คือการวิ่งเข้าหานิยายที่มีจุดจบที่น่าอึดอัด
      จะเป็นยังไงถ้าจุดจบของคุณคือความอึดอัด ไม่ใช่ความความกลมกลืนและงดงามตามธรรมชาติ
      หัดที่จะเลิกเข้าข้างตัวเสียแต่วันนี้
      สัตย์ซื่อที่จะมองสรรพสิ่งอย่างที่มันเป็น
      เราโง่ เราก็โง่ การสร้างความจริงว่าเราฉลาดไม่ได้ช่วยให้เราหายโง่
      เราสกปรก เราก็ต้องล้าง ไม่ใช่หาอะไรมาคลุมหรือหาอะไรมาประพรมให้มันไม่สกปรก
      อย่าดีไซน์ อย่าครีเอท อะไรๆเอาเองมากนัก มองทุกอย่างอย่างทีมันเป็น ยอมรับแต่ละอย่าง อย่างที่มันเป็นมากขึ้น
      เพื่อจุดจบ และจุดเริ่มที่ดีของตัวเราทั้งหลายเอง
      ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น