ความสัตย์ซื่อในการมองตัวเอง - ความสัตย์ซื่อในการมองตัวเอง นิยาย ความสัตย์ซื่อในการมองตัวเอง : Dek-D.com - Writer

    ความสัตย์ซื่อในการมองตัวเอง

    อย่าดีไซน์ อย่าครีเอท อะไรๆเอาเองมากนัก มองทุกอย่างอย่างทีมันเป็น ยอมรับแต่ละอย่าง อย่างที่มันเป็นมากขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    880

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    880

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    3
    หมวด :  จิตวิทยา
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 พ.ย. 48 / 23:09 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เข้าข้างตัวเอง...
      คงไม่มีมนุษย์สามัญคนไหนไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้ ผมคงเป็นคนนึงที่จะแอบยกมือทันที ถ้ามีใครมาถามว่า ใครเคยเข้าข้างตัวเองบ้าง ผมคงแอบยกอีกรอบ ถ้าถามว่าใครเคยหลงตัวเองบ้างยกมือขึ้น

             ผมนั่งคิดอยู่ว่า การเข้าข้างตัวเอง ใช่อย่างเดียวกับการเห็นแก่ตัวหรือเปล่า
            
             ถ้าเราอยู่ใรสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเลือก ระหว่างการกู้ชีวิตคนที่เรารัก กับคนที่เราไม่รู้จัก เราจะกู้ชีวิตใครไว้
             ถ้าเราเลือกกู้ชีวิตคนที่เรารัก
             เราเรียกว่าคนเห็นแก่ตัวรึเปล่า
             หรือเรียกว่าการเข้าข้าง(พวก)ตัวเองรึเปล่า

             ไม่ว่าจะเป็นยังไง
             แต่แง่คิดนึงที่เราได้มาและเมื่อเทียบตรรกกะจากสิ่งนี้ไปยังสิ่งอื่นๆ คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
             ว่าเราทุกคนที่ยังเลือกที่รักมักที่ชังก็คือคนเข้าข้างตัวเองโดยสันดาน และเป็นพวกเห็นแก่ตัวโดยสันดานเช่นกัน

             ผมพูดออกไปอย่างนี้คงมีคนผู้ภูมิใจในความเป็นคนดีของตัวเองด่าเอาแน่นอน ..เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่ใช่คนเข้าข้างตัวเอง...

            ..........
            มีคนอยู่ประเภทหนึ่งซึ่งก็คือคนส่วนใหญ่เลยล่ะ
            คนประเภทนี้จะมีความภูมิอกภูมิใจ ในสิ่งที่ตนมี สิ่งที่ตนทำ และเคยทำ ภูมิใจในหน้าที่การานของตน ภูมิใจในเกียรติต่างๆผลงานต่างๆที่ตัวเคยทำได้อย่างน่าภูมิใจ...
            มนุษย์ผู้ไดก็ตาม ที่รู้จักความรู้สึกที่เรียกว่าความภูมิใจ มนุษย์คนนั้นย่อมซึ้งดีกับสิ่งที่เรียกว่าปมด้อย ..ผมไม่อายที่จะบอกว่าผมเองก็เป็นมนุษย์สามัญที่มีปมด้อย

           มีมนุษย์กี่ประเภทเดียวที่กล้าบอกว่าเค้าไม่มีปมด้อย..
           1-มนุษย์ที่ไม่ยอมรับความจริง
           2-มนุษย์ที่หนีความจริง
           3-มนุษย์ที่ใจบอดสนิท ไม่รู้จักความจริง
           สมองผมตอนนี้คิดได้แค่นี้ แต่น่าจะพอที่จะอาศัยสิ่งเหล่านี้ว่าต่อไป

           คนจำนวนมากหรือแทบทั้งหมด พยามสร้างปมเด่น เพื่อลบปมด้อย บ้างก้เพื่อสรางความมั่นใจมากขึ้นที่จะยืนหยัดอยู่ในสังคมได้ บ้างก็เพื่อจะหาอะไรซักอย่างอวดกับใครต่อใครได้ และบ้างก็เพื่อปกปิดกลบเกลื่อนสิ่งที่อยากจะลืม
            
            คนบางประเภทพยามตะเกียกตะกายจากดินขึ้นสู่ดาว และเมื่ออยู่ในสภาพดาวโดยการแต่งตั้งของตัวเค้าเองนั้น สิ่งหนึ่งที่เค้ามักจะทำเป็นประจำคือ.....การรายงานสถานภาพ หน้าที่การงาน และผลงานที่ตัวเค้าทำไว้บ่อยๆ เหมือนกับกลัว่าถ้าเค้าไม่รีบพูดในการแนะนำตัว ถ้าเค้าตายไปตรงนั้น คนที่อยู่ตรงหน้าจะไม่มีวันรู้ถึงความเจ๋งของเค้า ...คนเหล่านี้มีความแนบเนียนอย่างร้ายกาจที่จะแทรกการรายงานผงานของเค้าไว้ในการสนทนาและแนะนำตัว ดวงตาเค้าเป็นประกาย จิตใจเค้าพองฟู
            ดังคำกล่าวว่า สูงสุดสู่สามัญ ยอดมือกระบี่ย่อมดูไม่เหมือนมือกระบี่

            คนที่กล่าวสิ่งต่างๆด้วยความภูมิใจ ก็คือคนที่เนื้อแท้แล้ว ไม่เคยมีความภูมิใจอะไรเลย ...การเยีวยารักษาปมในหัวใจด้วยความภูมิใจยังคงมีอยู่ ..เป็นหลักฐานชัดๆว่าปมในใจยังไม่หาย ยังต้องเยียวยาอยู่เรื่อยๆ ..ยิ่งเป็นคนที่อิ่มเอมกับความภูมิใจมากแค่ไหน ก็ยิ่งเป็นคนที่มีปมในใจมากเท่านั้น
             ถ้าใจหายดี ยังจะมีความจำเป็นอะไรที่ต้องแสวงหาความภูมิใจ

             พูดมาตั้งยาว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเข้าข้างตัวเอง....
             ก้แล้วการเข้าข้างตัวเองมีเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อการรักษาตัวเอง
             คนอกหักก็โทษฝ่ายตรงข้ามว่าไม่ดี โยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้ามหมด ตัวดีประเสริฐไร้ความผิด ..เพราะถ้ายอมรับความจริงว่าเค้าเองที่ไม่ดีเมื่อไหร่ เพราะโดยสันดานที่ชอบหนีความริงและไม่ยอมรับความจริง เค้าจะทนมีชีวิตอยู่ไม่ได้
             คนจน ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็โยนความผิดให้รัฐบาล โยนความผิดให้ครอบครัว โยนความผิดให้สังคม โยนให้ชาตกำเนิด โยนให้เจ้านายหน้าโง่ที่ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง...

             การเข้าข้างตัวเอง หนีความจริง ยอมรับไม่ได้ ปมในใจยากจะหาย รักษาเท่าไหร่ก็ยิ่งเรื้อรัง สุดท้ายก็ตาบอด ลืมไปกระทั่งว่าตัวกำลังทำอะไรอยู่ ...หลงไปกับการแสวงหาความสำเร็จ โดยไม่รู้เหมือนกันว่าตัวทำไปทำไม ลืมไปจนหมดว่าตัวเองแท้จริงเป็นคนป่วย ลืมไปจนหมดว่าตัวเองจริงๆแล้วแค่คนที่วิ่งหนีและไม่ยอมรับความจริงคนนึงเท่านั้น
             ความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่เพื่อรักษาชีวิตนั้นไว้ก็คือ ....ความภูมิใจเท่าที่ตัวจะนึกจะทำได้...
              
            มีคนมากมายทำความดีมากมายเพื่ออวดอ้างเครดิต เพื่อจะทำให้ตัวเองยังหน้าด้านพอจะเรียกตัวเองว่าคนดีได้ บ้างก็เพื่อจะกลบเกลื่อนมโนธรรมในใจที่ว่า ตัวเองไม่ใช่คนดีที่น่าภาคภูมิใจอะไรเลย บ้างก้เหมือนหาซื้อพรมราคาเรือนแสนเพียงเพื่อปูทับขยะโสโครกมากมายที่ตัวเองไม่มีปัญญากวาดออกไปทิ้งได้ ..บางคนหนักกว่า เป็นประเภทหลงไหลชื่นชมกับขยะโสโครกพวกนั้นทั้งที่รู้ว่ามันสกปรก แต่วิธีแก้ของเขาก็คือกาซื้อพรมราคาแพงที่สุดเท่าที่หาได้มาปูทับมันไว้ พอเวลาออกสังคมต่อหน้าคนอื่น ก็โชว์พรมราคาแพง ..พอลับตาคนก็รื้อพรมออก ลากเอาสิ่งโสโครกโสมมพวกนั้นออกมาสูดดมให้หายอยากสนองตัณหาตัว
            ความสัตย์ซื่ออยู่ที่ไหน?

            จะดีกว่ามั้ย
            แทนที่จะมัวเสียเวลากับการพยามเก็บอาการ กับการแสวงหาเสื้อผ้าดีๆมาปกปิดเรือนกายที่เน่าเฟะหนองเยิ้ม
            เป็นการยอมรับว่าตัวเองป่วย ไม่ต้องอาย เดินไปหาหมอ รักษาซะ
            ค่าอะไรมากมายที่ต้องใช้ในการปกปิดความจริง ใช้ไปในการรักษาจริงๆดีกว่ามั้ย

            แล้วประเด็นก็มาถึงความกล้าหาญ ความกล้าที่จะกล้ายอมรับความจริง

            เราจะหายป่วยได้อย่างไรถ้ายังดื้อที่จะไม่ยอมรับความจริงว่าเราป่วย สายตาคนรอบข้างไม่โง่พอจะมองไม่ออกว่าเราป่วย เว้นแต่ว่าเราจะโง่พอจะสร้างความจริงปลอมๆที่ว่าเราฉลาดพอ...
            ......
            นิสัยเข้าข้างตัวเอง ไม่เคยนำมาซึ่งตอนจบที่งดงาม ฉากจบที่ดีมันต้องเป็นของจริง
            ใครเคยดูหนังที่แม้แต่ถึงฉากจบแล้ว ความจริงคืออะไรยังไม่รู้คงจำความรู้สึกเหล่านั้นได้
            แม้จะแอบชมเจ้าคนเขียนบทบ้าง แต่อารมของคุณก็คือ อึดอัด และไม่กลมกลืมกับธรรมชาติ
            ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ ไม่มีมนุษย์ตัวไหนประพันธ์ธรรมชาติได้
            ศิลปินแท้ๆรู้กันดี ว่าธรรมชาตินั้นลงตัวงดงามสุดแล้ว ศิลปินรู้กันดี ว่าการทำให้งานออกมางดงาม ก็คือการเลียนแบบรูปแบบความกลมกลืนของธรรมชาตได้อย่างสมบูรณ์
            การเข้าข้างตัวเอง คือการฝึกหนีความจริง คือการหนีจากความกลมกลืนทางธรรมชาติ คือหนีจากความงดงาม คือการวิ่งเข้าหานิยายที่มีจุดจบที่น่าอึดอัด
            จะเป็นยังไงถ้าจุดจบของคุณคือความอึดอัด ไม่ใช่ความความกลมกลืนและงดงามตามธรรมชาติ

            หัดที่จะเลิกเข้าข้างตัวเสียแต่วันนี้
            สัตย์ซื่อที่จะมองสรรพสิ่งอย่างที่มันเป็น
            เราโง่ เราก็โง่ การสร้างความจริงว่าเราฉลาดไม่ได้ช่วยให้เราหายโง่
            เราสกปรก เราก็ต้องล้าง ไม่ใช่หาอะไรมาคลุมหรือหาอะไรมาประพรมให้มันไม่สกปรก

            อย่าดีไซน์ อย่าครีเอท อะไรๆเอาเองมากนัก มองทุกอย่างอย่างทีมันเป็น ยอมรับแต่ละอย่าง อย่างที่มันเป็นมากขึ้น
            เพื่อจุดจบ และจุดเริ่มที่ดีของตัวเราทั้งหลายเอง

            ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×