ความสัตย์ซื่อในการมองตัวเอง - ความสัตย์ซื่อในการมองตัวเอง นิยาย ความสัตย์ซื่อในการมองตัวเอง : Dek-D.com - Writer

    ความสัตย์ซื่อในการมองตัวเอง

    อย่าดีไซน์ อย่าครีเอท อะไรๆเอาเองมากนัก มองทุกอย่างอย่างทีมันเป็น ยอมรับแต่ละอย่าง อย่างที่มันเป็นมากขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    935

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    935

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    3
    หมวด :  จิตวิทยา
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 พ.ย. 48 / 23:09 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เข้าข้างตัวเอง...
      คงไม่มีมนุษย์สามัญคนไหนไม่เคยมีพฤติกรรมแบบนี้ ผมคงเป็นคนนึงที่จะแอบยกมือทันที ถ้ามีใครมาถามว่า ใครเคยเข้าข้างตัวเองบ้าง ผมคงแอบยกอีกรอบ ถ้าถามว่าใครเคยหลงตัวเองบ้างยกมือขึ้น

             ผมนั่งคิดอยู่ว่า การเข้าข้างตัวเอง ใช่อย่างเดียวกับการเห็นแก่ตัวหรือเปล่า
            
             ถ้าเราอยู่ใรสถานการณ์ที่จำเป็นต้องเลือก ระหว่างการกู้ชีวิตคนที่เรารัก กับคนที่เราไม่รู้จัก เราจะกู้ชีวิตใครไว้
             ถ้าเราเลือกกู้ชีวิตคนที่เรารัก
             เราเรียกว่าคนเห็นแก่ตัวรึเปล่า
             หรือเรียกว่าการเข้าข้าง(พวก)ตัวเองรึเปล่า

             ไม่ว่าจะเป็นยังไง
             แต่แง่คิดนึงที่เราได้มาและเมื่อเทียบตรรกกะจากสิ่งนี้ไปยังสิ่งอื่นๆ คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
             ว่าเราทุกคนที่ยังเลือกที่รักมักที่ชังก็คือคนเข้าข้างตัวเองโดยสันดาน และเป็นพวกเห็นแก่ตัวโดยสันดานเช่นกัน

             ผมพูดออกไปอย่างนี้คงมีคนผู้ภูมิใจในความเป็นคนดีของตัวเองด่าเอาแน่นอน ..เว้นเสียแต่ว่าเขาจะไม่ใช่คนเข้าข้างตัวเอง...

            ..........
            มีคนอยู่ประเภทหนึ่งซึ่งก็คือคนส่วนใหญ่เลยล่ะ
            คนประเภทนี้จะมีความภูมิอกภูมิใจ ในสิ่งที่ตนมี สิ่งที่ตนทำ และเคยทำ ภูมิใจในหน้าที่การานของตน ภูมิใจในเกียรติต่างๆผลงานต่างๆที่ตัวเคยทำได้อย่างน่าภูมิใจ...
            มนุษย์ผู้ไดก็ตาม ที่รู้จักความรู้สึกที่เรียกว่าความภูมิใจ มนุษย์คนนั้นย่อมซึ้งดีกับสิ่งที่เรียกว่าปมด้อย ..ผมไม่อายที่จะบอกว่าผมเองก็เป็นมนุษย์สามัญที่มีปมด้อย

           มีมนุษย์กี่ประเภทเดียวที่กล้าบอกว่าเค้าไม่มีปมด้อย..
           1-มนุษย์ที่ไม่ยอมรับความจริง
           2-มนุษย์ที่หนีความจริง
           3-มนุษย์ที่ใจบอดสนิท ไม่รู้จักความจริง
           สมองผมตอนนี้คิดได้แค่นี้ แต่น่าจะพอที่จะอาศัยสิ่งเหล่านี้ว่าต่อไป

           คนจำนวนมากหรือแทบทั้งหมด พยามสร้างปมเด่น เพื่อลบปมด้อย บ้างก้เพื่อสรางความมั่นใจมากขึ้นที่จะยืนหยัดอยู่ในสังคมได้ บ้างก็เพื่อจะหาอะไรซักอย่างอวดกับใครต่อใครได้ และบ้างก็เพื่อปกปิดกลบเกลื่อนสิ่งที่อยากจะลืม
            
            คนบางประเภทพยามตะเกียกตะกายจากดินขึ้นสู่ดาว และเมื่ออยู่ในสภาพดาวโดยการแต่งตั้งของตัวเค้าเองนั้น สิ่งหนึ่งที่เค้ามักจะทำเป็นประจำคือ.....การรายงานสถานภาพ หน้าที่การงาน และผลงานที่ตัวเค้าทำไว้บ่อยๆ เหมือนกับกลัว่าถ้าเค้าไม่รีบพูดในการแนะนำตัว ถ้าเค้าตายไปตรงนั้น คนที่อยู่ตรงหน้าจะไม่มีวันรู้ถึงความเจ๋งของเค้า ...คนเหล่านี้มีความแนบเนียนอย่างร้ายกาจที่จะแทรกการรายงานผงานของเค้าไว้ในการสนทนาและแนะนำตัว ดวงตาเค้าเป็นประกาย จิตใจเค้าพองฟู
            ดังคำกล่าวว่า สูงสุดสู่สามัญ ยอดมือกระบี่ย่อมดูไม่เหมือนมือกระบี่

            คนที่กล่าวสิ่งต่างๆด้วยความภูมิใจ ก็คือคนที่เนื้อแท้แล้ว ไม่เคยมีความภูมิใจอะไรเลย ...การเยีวยารักษาปมในหัวใจด้วยความภูมิใจยังคงมีอยู่ ..เป็นหลักฐานชัดๆว่าปมในใจยังไม่หาย ยังต้องเยียวยาอยู่เรื่อยๆ ..ยิ่งเป็นคนที่อิ่มเอมกับความภูมิใจมากแค่ไหน ก็ยิ่งเป็นคนที่มีปมในใจมากเท่านั้น
             ถ้าใจหายดี ยังจะมีความจำเป็นอะไรที่ต้องแสวงหาความภูมิใจ

             พูดมาตั้งยาว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเข้าข้างตัวเอง....
             ก้แล้วการเข้าข้างตัวเองมีเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่เพื่อการรักษาตัวเอง
             คนอกหักก็โทษฝ่ายตรงข้ามว่าไม่ดี โยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้ามหมด ตัวดีประเสริฐไร้ความผิด ..เพราะถ้ายอมรับความจริงว่าเค้าเองที่ไม่ดีเมื่อไหร่ เพราะโดยสันดานที่ชอบหนีความริงและไม่ยอมรับความจริง เค้าจะทนมีชีวิตอยู่ไม่ได้
             คนจน ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ก็โยนความผิดให้รัฐบาล โยนความผิดให้ครอบครัว โยนความผิดให้สังคม โยนให้ชาตกำเนิด โยนให้เจ้านายหน้าโง่ที่ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง...

             การเข้าข้างตัวเอง หนีความจริง ยอมรับไม่ได้ ปมในใจยากจะหาย รักษาเท่าไหร่ก็ยิ่งเรื้อรัง สุดท้ายก็ตาบอด ลืมไปกระทั่งว่าตัวกำลังทำอะไรอยู่ ...หลงไปกับการแสวงหาความสำเร็จ โดยไม่รู้เหมือนกันว่าตัวทำไปทำไม ลืมไปจนหมดว่าตัวเองแท้จริงเป็นคนป่วย ลืมไปจนหมดว่าตัวเองจริงๆแล้วแค่คนที่วิ่งหนีและไม่ยอมรับความจริงคนนึงเท่านั้น
             ความจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่เพื่อรักษาชีวิตนั้นไว้ก็คือ ....ความภูมิใจเท่าที่ตัวจะนึกจะทำได้...
              
            มีคนมากมายทำความดีมากมายเพื่ออวดอ้างเครดิต เพื่อจะทำให้ตัวเองยังหน้าด้านพอจะเรียกตัวเองว่าคนดีได้ บ้างก็เพื่อจะกลบเกลื่อนมโนธรรมในใจที่ว่า ตัวเองไม่ใช่คนดีที่น่าภาคภูมิใจอะไรเลย บ้างก้เหมือนหาซื้อพรมราคาเรือนแสนเพียงเพื่อปูทับขยะโสโครกมากมายที่ตัวเองไม่มีปัญญากวาดออกไปทิ้งได้ ..บางคนหนักกว่า เป็นประเภทหลงไหลชื่นชมกับขยะโสโครกพวกนั้นทั้งที่รู้ว่ามันสกปรก แต่วิธีแก้ของเขาก็คือกาซื้อพรมราคาแพงที่สุดเท่าที่หาได้มาปูทับมันไว้ พอเวลาออกสังคมต่อหน้าคนอื่น ก็โชว์พรมราคาแพง ..พอลับตาคนก็รื้อพรมออก ลากเอาสิ่งโสโครกโสมมพวกนั้นออกมาสูดดมให้หายอยากสนองตัณหาตัว
            ความสัตย์ซื่ออยู่ที่ไหน?

            จะดีกว่ามั้ย
            แทนที่จะมัวเสียเวลากับการพยามเก็บอาการ กับการแสวงหาเสื้อผ้าดีๆมาปกปิดเรือนกายที่เน่าเฟะหนองเยิ้ม
            เป็นการยอมรับว่าตัวเองป่วย ไม่ต้องอาย เดินไปหาหมอ รักษาซะ
            ค่าอะไรมากมายที่ต้องใช้ในการปกปิดความจริง ใช้ไปในการรักษาจริงๆดีกว่ามั้ย

            แล้วประเด็นก็มาถึงความกล้าหาญ ความกล้าที่จะกล้ายอมรับความจริง

            เราจะหายป่วยได้อย่างไรถ้ายังดื้อที่จะไม่ยอมรับความจริงว่าเราป่วย สายตาคนรอบข้างไม่โง่พอจะมองไม่ออกว่าเราป่วย เว้นแต่ว่าเราจะโง่พอจะสร้างความจริงปลอมๆที่ว่าเราฉลาดพอ...
            ......
            นิสัยเข้าข้างตัวเอง ไม่เคยนำมาซึ่งตอนจบที่งดงาม ฉากจบที่ดีมันต้องเป็นของจริง
            ใครเคยดูหนังที่แม้แต่ถึงฉากจบแล้ว ความจริงคืออะไรยังไม่รู้คงจำความรู้สึกเหล่านั้นได้
            แม้จะแอบชมเจ้าคนเขียนบทบ้าง แต่อารมของคุณก็คือ อึดอัด และไม่กลมกลืมกับธรรมชาติ
            ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ ไม่มีมนุษย์ตัวไหนประพันธ์ธรรมชาติได้
            ศิลปินแท้ๆรู้กันดี ว่าธรรมชาตินั้นลงตัวงดงามสุดแล้ว ศิลปินรู้กันดี ว่าการทำให้งานออกมางดงาม ก็คือการเลียนแบบรูปแบบความกลมกลืนของธรรมชาตได้อย่างสมบูรณ์
            การเข้าข้างตัวเอง คือการฝึกหนีความจริง คือการหนีจากความกลมกลืนทางธรรมชาติ คือหนีจากความงดงาม คือการวิ่งเข้าหานิยายที่มีจุดจบที่น่าอึดอัด
            จะเป็นยังไงถ้าจุดจบของคุณคือความอึดอัด ไม่ใช่ความความกลมกลืนและงดงามตามธรรมชาติ

            หัดที่จะเลิกเข้าข้างตัวเสียแต่วันนี้
            สัตย์ซื่อที่จะมองสรรพสิ่งอย่างที่มันเป็น
            เราโง่ เราก็โง่ การสร้างความจริงว่าเราฉลาดไม่ได้ช่วยให้เราหายโง่
            เราสกปรก เราก็ต้องล้าง ไม่ใช่หาอะไรมาคลุมหรือหาอะไรมาประพรมให้มันไม่สกปรก

            อย่าดีไซน์ อย่าครีเอท อะไรๆเอาเองมากนัก มองทุกอย่างอย่างทีมันเป็น ยอมรับแต่ละอย่าง อย่างที่มันเป็นมากขึ้น
            เพื่อจุดจบ และจุดเริ่มที่ดีของตัวเราทั้งหลายเอง

            ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×