ไอ้เด็กเฮงซวย - ไอ้เด็กเฮงซวย นิยาย ไอ้เด็กเฮงซวย : Dek-D.com - Writer

    ไอ้เด็กเฮงซวย

    ผู้เข้าชมรวม

    134

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    134

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 มิ.ย. 56 / 13:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

                              " พี่ๆ ฝีมือพี่นูบมากเลย " เป็นเสียงของเด็กน้อยมัธยม 3 คนหนึ่ง ผิวโทนขาว ตัวเล็ก ผมเกรียน ซึ่งเป็นคู่เล่นแบตมินตันของผมในขณะนั้น

      " มึงเก่งนักรึไงไอ้น้อง "  ผมตอบกลับ

      " ผมชื่อเต้ยครับ " มันตอบกลับมาทั้งๆที่ผมไม่ได้ถามพร้อมทำหน้าทะเล้น และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักชื่อมัน อ้อ ผมลืมบอกไป ผมชื่อ บี กำลังเรียนปริญญาตรีที่มหาลัยแห่งหนึ่งที่กทม. พึ่งจะปี 2 ครับ แต่ช่วงนั้นผมปิดเทอมเลยได้กลับบ้าน (จริงๆ แล้วผมทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย) พอตกเย็นก็ไปเล่นกีฬาที่โรงเรียนแถวบ้านตามประสาเด็กวัยรุ่นชายทั่วไป โดยปกติแล้วสมัยมัธยมผมไม่ค่อยชอบออกไปเล่นกีฬาที่โรงเรียนแถวบ้านตอนเย็นๆ หรอกครับ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้จู่ทำไมจึงอยากไปขึ้นมา และสุดท้ายก็ไปจนได้ ผมไปเล่นติดต่อกันอยู่หลายวันจนวันหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะมืดแล้วผมขอตัวกลับ แล้วเดินไปที่รถมอไซต์ที่จอดอยู่หน้าโรงเรียน

      " รอด้วยครับพี่ ผมติดรถพี่กลับด้วย " แน่นอนครับ ไม่ใช่ใคร นั่นมันไอ้เต้ย  ในเวลาไม่กี่วิต่อมามันก็วิ่งมาประชิดตัวผม เพื่อที่จะเดินไปที่รถด้วยกัน ผมเลยได้มีโอกาสคุยกับมันอย่างจริงจังซักที

      " ไง อยู่ป. ไรแล้วมึง " ผมถาม

      " อยู่ม.3 ครับ กำลังจะขึ้นม." มันตอบผมด้วยหน้าตาขี้เล่นนิดๆ

      " ทำไมมึงตัวเล็กจัง ไอ้เปี้ยก "  ผมยิ้มแล้วถามมันไป

      " ทำอย่างกะพี่ตัวใหญ่นักแหละ ดูๆไปพี่ไม่ต่างกับผมเท่าไหร่เลยน่ะ ถ้าพี่่รุ่นเดียวกับผม ผมว่าพี่คงตัวเล็กกว่าผมแน่นอน 555 " มันแย้งผม

      " เออว้อย  ที่กูถามมึงเพราะเห็นว่ามึงตัวเล็กเหมือนกูนี่แหละ " ผมตอบกลับมันไป

      " ถ้าพี่เรียกผมว่า ไอ้เปี้ยก ผมจะเรียกพี่ว่า ไอ้พี่เปี้ยก เคป่ะ " มันพูดเชิงประชดประชัน

      " เรื่องของมึง "  ผมพูดเชิงตัดบท

      ผมคุยกับมันไม่กี่ประโยค เราก็เดินมาถึงรถผมที่จอดอยู่ ผมขับมันซ้อนท้าย ในขณะที่เรากำลังขี่รถกลับบ้าน หมาเฮงซวยมันวิ่งตัดหน้ารถ ทำให้ผมต้องเบรคกระทันหัน มันซึ่งเป็นคนซ้อนท้ายไถลมาข้างหน้า ผมรู้สึกเหมือนมีไรแข็งๆ มากระทบหลัง

      " โทษทีครับพี่ โทรศัพท์  " 

      และจังหวะนั้นผมก็หันไปหามันพอดี ปรากฎว่าหน้ามันแดง แฝงไว้ด้วยความเขินอาย ซึ่งผมก็ไม่ได้พูดอะไรหรอก แค่คิดว่าจะแกล้งมันเล่นๆ มันพูดดักไว้ขนาดนี้แสดงว่ามันคิดลึกอยู่เหมือนกัน ผมขับต่อไปอีกซักพัก เลยเลี้ยวเข้าซอยที่ไม่มีบ้านคน สองข้างทางมีแต่ทุ่งนา เมื่อสุดซอยผมจอดรถ แล้วถามมันว่า

      " มึงมันใจเหรอว่าไอ้ที่มันกระทบหลังกูเมื่อตะกี้มันใช่โทรศัพท์ "

      คำถามนี้ของผมเล่นเอามันถึงกับหน้าแดงอีกรอบ

      " แล้วอะไรละที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อมึง "  ผมถามต่อ พร้อมกับชี้ไปที่กระเป๋าเสื้อมัน มันเขินหน้าแดงครับ แดงจนจะเขียวล่ะ แต่มันก็แก้ตัวออกมา

      " ก็ผมพึ่งเอาใส่ตะกี้ "

      " จริงเหรอ แต่กูว่ากูเห็นมันอยู่ในกระเป๋าเสื้อมึงตั้งแต่มึงวิ่งมาขึ้นรถกูโน่นแล้ว "

      มันอายก้มหน้า พูดอ้ำอึ้งอยู่ในลำคอ

      " โธ่...พี่ คือ...คือ... จริงๆ ผมพึ่งเอาใส่ "

      ผมพยายามบีบมัน ด้วยหลายประโยค สรุปมันก็สารภาพออกมา

      " คร้าบ ผมชอบพี่อยู่ แต่เมื่อตะกี้มันเป็นโทรศัทพ์จริงๆ นะคับ " มันตอบด้วยสีหน้าแดงก่ำ เหมือนจำนนต่อความจริงที่ถูกเปิดเผย (จริงๆ แล้วมันเป็นโทรศัทพ์จริงๆ ครับ ผมแค่เล่นกับมันเท่านั้นแต่ไม่คิดว่ามันจะชอบผมอยู่จริงๆ)

      " เฮ้ยได้ไง กูไม่อยากเป็นชู้กับมึง กูมีแฟนแล้ว แฟนกูสวยด้วย " (แฟนสาวที่คบกับผมตั้งแต่ ม.5 ) แรกๆผมก็นึกว่ามันเล่นด้วย เลยเล่นไปกับมัน

      " พี่มีแฟนกะเค้าด้วยเหรอ ? ใครคนนั้นต้องโชคร้ายที่ซู้ด " มันพูดแนวปะเหลาะ

      " พี่ขอเบอร์หน่อย " มันถาม แสดงสีหน้าแนวคาดคั้น เมื่อเห็นว่าผมเล่นด้วย

      " เรื่องไร กูไม่ห้าย " ผมตอบ

      " งั้นพี่เอาเบอร์ผมไปแทนละกันน่ะ " พร้อมกับล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อผม ไปแมมเบอร์มัน แต่แทนที่มันจะแมมเบอร์มันอย่างเดียว มันกลับใช้เบอร์ผมโทรเข้าเบอร์มัน

      " 555 ผมได้เบอร์พี่แล้ว ว่างๆจะโทรไปจีบ ว่าแต่ตอนนี้เรากลับกันเหอะ "

      ผมไม่ได้คิดอะไรครับ ถ้ามันอยากได้ก็ให้มันเอาไป มันจะทำไรได้นอกจากโทรมา

      หลังจากนั้นผมจึงขับรถพามันกลับบ้าน เมื่อขับมาถึงบ้านผม ผมจอดรถแล้วบอกกับมัน

      " มึงเดินไปเองละกัน "

      " คร้าบ ก็ได้ เดินไปเองก็ได้ ขอบคุณที่ให้ผมติดรถกลับมาด้วยน่ะ 555 " มันทำความเคารพท่าลูกเสือสามัญ 3 นิ้ว แล้วมันก็เดินแกมวิ่ง...กลับไปทางเดิม

      จริงๆผมเอะใจอยู่นิดๆ ว่ามันวิ่งกลับไปทางเดิมทำไม สงสัยจะเลยบ้านมันมามั้ง และถ้าเลยมา ทำไมมันไม่บอกผมล่ะ แต่ช่างเหอะไม่อยู่ในความสนใจ

                  หลังจากวันนั้นมันโทรมาจริงๆ โทรมาบ่อยมาก ทุกวัน และยอมรับครับว่ารำคาญมาก โทรมาบ่อยกว่าแฟนผมซะอีก ตัดสายก็แล้ว ไม่รับก็แล้วก็ยังดื้อโทรมา แต่อย่างน้อยๆ มันก็คุยค่อนข้างสนุก โทรมาทีก็ชวนคุยเรื่องนั้น เรื่องนี้ เล่าเรื่องผี (ผมชอบเรื่องผีๆ) จนผ่านไปหลายอาทิตย์ มีอยู่ช่วงหนึ่งผมมีปัญหากับแฟน แฟนสงสัยว่าโทรมาทีไรสายไม่ค่อยจะว่างหรือบางครั้งก็ปิดเครื่องทุกที จนเมื่อมีปัญหามันบานปลายหนักขึ้น ๆ จนถึงขั้นแฟนบอกอย่าพึ่งมาคุยกันเลยในช่วงนี้ ซึ่งผมก็เข้าใจว่านี่มันเลิกกันดีๆนี่เอง วันนั้นทั้งวันผมนั่งร้องไห้ และในทันใด กริ้งๆๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมดีใจกระโดดไปรับโทรศัพท์ เพราะคิดว่าแฟนคงโทรมาขอคืนดี แต่ที่ไหนได้ ปลายสายกลับเป็นไอ้เด็กนั่น และด้วยความโมโห ผมเลยสาดเสียงใส่มันเต็มที่

      " มึงอะ มันไอ้เฮ็งซวย ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะมึง พังหมดแล้วทุกอย่างพังหมด ไม่ต้องโทรมาอีกแล้ว ไม่ต้องติดต่อมา ไม่ต้องเอาเบอร์อื่นโทรมาด้วย ไอ้เด็กเฮงซวย กูไม่น่าพบเจอมึงเลย " แล้วผมก็ตัดสายมันทิ้ง

      มันจะรู้สึกยังไงผมไม่รู้ มันยังไม่ทันได้พูดอะไรซักคำผมก็สาดโมโหใส่มันซะแล้ว มันคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ และแล้วเมื่อผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ มันไม่โทรมาหาผมเลย จะว่าไปก็ดี รำคาญเหลือเกิน แต่ผมมานั่งคิดอีกที หรือว่าที่เราด่ามันแรงไป มันไม่ใช่ความผิดมันเลย เลยคิดว่าจะโทรไปขอโทษมัน จริงๆไม่ใช่อยากให้มันกลับมาโทรหาผมเหมือนเดิม แต่แค่อยากขอโทษที่ด่ามันแรงไป

      " อะโหล " มันรับสายด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้ง

      " เสียงมึงแตกหนุ่มอีกรอบแล้วเหรอ " ผมหยอดมุขไป กะเอาตลกไว้ก่อน เผื่อขอโทษง่ายๆหน่อย

      " มึงอยู่ที่ไหน " ผมถามซ้ำ

      " ผมอยู่โรงบาลครับ " มันตอบ

      " มึงทำไรอยู่ ?? " ผมถามไปด้วยคำถามแบบสิ้นคิด

      " นอนป่วยอยู่ครับ " มันตอบ (ไม่รู้มันตอบแบบสิ้นคิดเหมือนกันหรือเปล่า)

      " นี่มึงคิดมากเรื่องที่กูด่า จนต้องเข้าโรงบาลเลยเหรอ " ผมถาม

      " ป่าวคับ ผมเป็นไข้เลือดออก " มันตอบกลับมา 

      " เออยังไงก็เหอะ กูต้องขอโทษที่ด่ามึงแรงไปวันนั้น " ผมพูดขอโทษมันไป

      " งั้นพี่มาหาผมหน่อยซิ ผมอยากเจอพี่อ่ะ อยากให้พี่อยู่ด้วย " มันถามแกมขอร้องให้ผมไปเยี่ยมไข้มัน

      " นะ ๆ นะ พี่น่ะ ผมกลัวหมอ " มันพูดอ้อนอีกครั้ง

      " กูไม่ไป เรื่องอะไร กูจะต้องไป หมอไม่ฆ่ามึงหรอก " ผมปฎิเสธมันไปอย่างเลือดเย็น

      ผมกับมันก็คุยกันอยู่ไม่กี่ประโยค ผมก็วางสาย มันขอร้องให้ผมไปเยี่ยมมันแต่ผมก็ปฎิเสธที่จะไป อย่าว่าแต่ปฎิเสธเลย แค่คำถามว่า เป็นยังไงบ้าง หายดีหรือยัง กลับวันไหน ผมยังไม่ถามมันซักคำ

                  สองวันต่อมามันกลับจากโรงพยาบาล มันโทรมาบอกว่าอยากเจอผม และจะรออยู่ที่ *ซอยนั้น (ซอยที่ผมเคยพามันเข้าไปจอดรถถามมันตอนนั้น) แต่ผมปฎิเสธมัน และวางสายมันไป จนกระทั้ง เกือบจะ 4 ทุ่มผมนึกขึ้นได้ ถ้ามันไปรอผมจริงๆ ละ เมื่อนึกได้เลยลองขับรถออกไปดู ที่ผมออกไปดูไม่ใช่ว่าเป็นห่วงหรือกลัวมันรอจนไม่กลับบ้านหรืออะไรประมาณนี้หรอก แต่ผมแค่อยากรู้ว่าผมปฎิเสธมันขนาดนั้นมันจะยังมาอยู่หรือเปล่า แต่เมื่อผมไปถึงปรากฎว่าสิ่งที่ผมเห็นคือ มันมารอผมอยู่จริงๆ ท่าทางมันซึมๆ นั่งอยู่ที่รถมอไซต์ จอดอยู่ใต้แสงนีออนส่องข้างทาง มองออกไปทางท้องทุ่งนา ทันทีที่ผมไปถึงผมจอดรถแล้วเดินไปหามัน เมื่อมันเห็นผม มันพูดแค่ว่า

      " ขอบคุณครับ ที่มา ผมคิดถึงพี่ ผมแค่อยากเจอพี่ "

      " มึงให้กูมาเพราะเหตุผลแค่นี้เองใช่มั้ย น้ำเน่า นี่มึงชอบกูจริงๆ เหรอ "   ผมถามมันกลับไป แต่มันไม่ตอบอะไรครับ เอาแต่ยิ้มเอื่อยๆ และผมสังเกตได้ว่าหน้ามันซีดๆ เหมือนร่างกายยังไม่ทรงตัวเท่าไหร่ ก็มันยังป่วยอยู่นี่

      " นี่มึงมารอกูนานแล้วหรือเนีย "  ผมถาม

      " ผมรอพี่ตั้งแต่โทรมาบอกพี่แล้วครับ " มันตอบ

      โหถ้าผมเดาเวลาไม่ผิด มันโทรมาหาผมตั้งแต่ 4 โมงเย็น ถ้างั้นก็แสดงว่า มันรอผมมาเกือบครึ่งคืนล่ะ และก็แหงล่ะจะไม่ให้ไข้มันขึ้นได้ไง ก็เล่นมานั่งตากน้ำค้าง ขนาดนี้ ขนาดเบาะรถยังเปียกไปด้วยน้ำค้างเลย

      " ปะๆ มึงกลับบ้านมึงไปป่ะ "  ผมพูดเชิงไล่ให้มันกลับ เห็นสภาพอย่างนี้แล้วคงคุยอะไรไม่ได้มากหรอก

      " คับ "  มันตอบรับโดยดี (มันคงรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วเหมือนกันมั้ง) พร้อมกับลุกขึ้นจะขับรถกลับ แต่จังหวะนั้นมันล้ม สงสัยหน้ามืด ผมเลยเดินไปพยุงมันให้ลุกขึ้น

      " นี่พ่อแม่มึงไม่ดูแลมึงบ้างเลยเหรอ " ผมถามหน้าเครียด

      " ผมไม่มีแม่ครับ ส่วนพ่อทำงานอยู่ต่างจังหวัด ผมไม่เจอพ่อมา 3 ปีแล้วแต่พ่อก็ยังส่งเงินให้ผมไปโรงเรียนอยู่ " คำตอบนี้ทำเอาผมอึ้งไปพักหนึ่ง

      " แล้วมึงอยู่บ้านกับใคร "  ผมถาม

      " คนเดียวครับ " มันตอบ

      " แล้วใครพามึงไปโรงพยาบาลตะกี้ " ผมถามซ้ำ

      " วันนั้นเวลาเย็นผมกำลังจะออกไปซื้ออาหาร แต่ผมเกิดหน้ามืดและล้มลงหน้าบ้าน ยายข้างบ้านเห็นอาการไม่ดีจึงให้ตาขับรถไปส่งโรงพยาบาลแล้วเขาก็กลับครับ "  มันตอบหน้านิ่ง แต่ความรู้สึกผมตอนนั้น สงสารมันจับใจ

      " แล้วทำไมมึงไม่โทรหากู "  ผมถามแบบโง่ๆ แต่มันกลับยิ้มไม่พูดอะไร ผมรู้ว่ามันจะพูดอะไร ถ้ามันตอบผม แต่มันไม่พูด

      " เออ เม้งช่างมัน ป่ะกลับบ้าน กูจะไปส่ง " แล้วผมก็พยุงมันขึ้นรถ(รถมัน) ให้มันซ้อนส่วนผมขับ แต่ผมไม่รู้ว่าบ้านมันหลังไหน ให้มันบอกทาง

      (แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ผมต้องแปลกใจคือ บ้านมันถ้าแยกออกจากโรงเรียนแล้ว มันไปคนละทางกับบ้านผม พูดง่ายๆคือ โรงเรียนอยู่กึ่งกลางทางระหว่างบ้านมันกับบ้านผม ซึ่งแสดงว่า วันนั้นที่ผมปล่อยให้มันวิ่งกลับบ้านเองนั่น มันต้องวิ่งเป็นระยะทางสองเท่า คือจากบ้านผมกลับไปที่โรงเรียน และวิ่งจากโรงเรียนไปบ้านมัน ซึ่งก็ไกลมาก และมันทำเพื่ออะไรทำไมมันถึงยอมทำแบบนี้ )

      เมื่อขับรถไปถึงบ้านมัน หายาพารายัดเข้าปากมันซักสองเม็ด แล้วก็จัดแจงพามันไปนอนที่ห้อง ผมให้มันนอนในสภาพนั้นแหละ ห่มผ้าให้แล้วหาน้ำมาเช็ดหน้า เช็ดตามแขนตามขาให้มัน ไม่นานมันหลับไป แต่แล้วยังไงผมก็ต้องค้างบ้านมันครับ ถ้าจะหนีมันกลับบ้านก็กลัวว่ามันเป็นไรขึ้นมากลางดึก เพราะมันไม่มีใคร มันอยู่บ้านคนเดียว น้ำผมก็ไม่ได้อาบ สรุปนอนมันอย่างนี้บนที่นอนมันนั่นแหละครับ ผ่านไปไม่นาน มันหันมากอดผมตัวมันร้อนมาก พร้อมละเมอ

      " พี่บี อย่าทิ้งผมไปน่ะ อย่าไป อย่าไป "  ละเมอเหมือนจะร้องไห้ จริงๆ ผมอยากแกะมือมันออก ไม่ชอบเลยเวลามีใครมานอนกอดแบบนี้ แต่เมื่อคิดไปแล้ว เด็กคนนี้เหมือนขาดความอบอุ่น นานแค่ไหน ที่มันไม่มีแม่ นานแค่ไหนที่มันไม่ได้เห็นพ่อ นานแค่ไหนที่มันต้องทำอะไรคนเดียว กินข้าวคนเดียว เมื่อคิดได้อย่างนี้น้ำตาผมแทบร่วง ดูๆไปแล้วมันน่ารัก นิสัยมันดี มันน่าทะนุถนอมขนาดนี้ ทำไมไม่มีใครอยู่เคียงข้างมันเลยทำไมทุกคนต้องทิ้งให้มันอยู่คนเดียวลำพัง ผมเลยตัดสินใจกอดมันกลับไป และพยายามปลอบมัน

      " กูอยู่นี้น้องชาย กูไม่ได้ทิ้งไปไหนเลย กูกอดมึงอยู่นี่ไง " และก็ครั้งแรกที่เห็นหน้ามันยิ้มแบบมีความสุข เป็นยิ้มมุมปาก ที่ไม่รู้สึกตัว เหมือนมันยิ้มอยู่ในความฝัน หรือบางทีมันอาจจะฝันอะไรซักอย่าง ส่วนผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก บอกไม่ถูกจริงๆ

      แต่สรุปแล้ว ผมแทบไม่ได้นอน เพราะ

       1. มันนอนละเมอทั้งคืน บ่นร้อน หนาว ต้องคอยปลอบคอยกอดมันไว้ ไหนจะเช็ดตัว

      2.มันฉี่รดที่นอนถึงสองครั้ง (จริงๆไม่ว่าอะไรหรอก เพราะมันป่วยมาก มันคงไม่รู้สึกตัว)

      ฉี่รดครั้งแรกในท่านอนกอดผมครับ มันกอดผมแน่นหลังจากที่ผมปลอบมันจนหลับไป มันทำที่นอนและกางเกงมันเปียกยังไม่พอ มันยังทำกางเกงผมเปียกไปด้วย (เพราะมันเอาขาก่ายผมไว้) ผมเลยต้องเปลียนกางเกงให้มัน และต้องเช็ดฉี่ ให้มันด้วย กลัวมันแสบ ไม่สบายตัว นี่เป็นครั้งแรกครับที่ผมเห็นของมัน ตัวมันเล็ก ผิวมันขาวเนียนทั้งตัวเหมือนผู้หญิง ผมเลยพูดลอยๆออกมา  " น้องมึงนี่จิ้มลิ้มเหมือนหน้ามึงเล้ย 555 "

      หลังจากที่ผมเช็ดฉี่ให้มันเสร็จ ก็หากางเกง boxer ในตู้เสื้อผ้ามันมาเปลียนให้ และผมก็ยังยืมกางเกงมันมาใส่ด้วย เพราะกางเกงผมก็เปียกฉี่มันเหมือนกัน นอกจากนั้นผมก็ยังหาผ้าหนาๆมารองที่นอนที่มันเปียก แล้วให้มันนอนต่อ ส่วนกางเกงทั้งของผมและของมันที่เปียกฉี่ ผมก็กองรวมกันไว้ข้างเตียงมันนั่นแหละ พอตกดึกผมนอนท่าไหนไม่รู้มือผมเผลอไปถูกเป้ามัน ซึ่งมันก็เป็นกางเกง boxer บางๆ เอ๊ะ มันรู้สึกเปียกๆ ผมเลยเอามือขยุ้มคลำเป้ามันไปอีกที ปรากฎว่า มันฉี่อีกแล้วเพราะมันเปียก สรุปมันฉี่รดที่นอนรอบสอง

      และก็เป็นหน้าที่ผมที่ต้องเปลี่ยนกางเกงและเช็ดฉี่ออกจากตัวให้มันอีกรอบ แต่ครั้งนี้ผมไม่ใส่กางเกงให้มันครับ แถมยังถอดเสื้อมันออก ปล่อยให้มันล่อนจ้อนอยู่อย่างนั้นแหละ สะใจดีนักแล แล้วผมก็ห่มผ้าทดแทนให้มัน 2 ชั้นไปเลย ทีแรกผมก็ว่าจะนอนกับมัน แต่ด้วยผ้าห่มสองชั้น กับที่มันนอนกอดผม (ผมขยับตัวไม่ได้เลย ขยับทีไรมันกอดผมแน่นขึ้นทุกที ซึ่งผมร้อนและอึดอัดมากเพราะ อุณภูมิร่างกายมันร้อน บวกกับผ้าห่มอีก 2 ชั้นและถึงแม้อากาศจะค่อนข้างหนาวก็ตาม) ทำให้คนปกติอย่างผมอยู่ไม่ได้ เลยต้องลุกนั่งเปิดทีวีห้องมันดู แล้วค่อยๆเอาหมอนข้างยัดให้มันกอดแทนตัวผม ปล่อยให้มันนอนกอดหมอนข้างยิ้มไปตามประสาของมัน จะว่าไปมันก็น่ารักน่ากอดดี เด็กคนนี้

      ผมนั่งดูทีวีอยู่ข้างๆที่มันนอนนั่นแหละ แต่ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีคือผ้าห่มมาอยู่ที่ผมทั้งสองผืน ส่วนมัน นอนล่อนจ้อนตัวงอ โอ้ย...ให้ตาย...ผมรีบห่มผ้ากลับให้มัน นี่ผมแย่งผ้าห่มคนไข้เหรอนี่ เกือบฆ่ามันทางอ้อมแล้วมั้ยล่ะ  แต่พอผมจับตัวมันดู ไข้มันหายแล้ว ตัวมันไม่ร้อนแล้ว ซึ่งผมก็โล่งใจไปด้วย

      พอรุ่งเช้ามันตื่นมันโวยวาย ว่าทำไมมันไม่ใส่เสื้อผ้า พร้อมกับทำท่าเหมือนผู้หญิงในละครนิยายน้ำเน่าที่พึ่งเสียตัวมาหมาดๆ ผมเลยต้องอธิบายให้มันฟังยกใหญ่ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องของเรื่องมันเป็นยังไง จนมันเข้าใจ แต่แล้วผมเลยแกล้งถามมันเล่นๆ ว่า ถ้าผมล่วงเกินมันจริงๆ ล่ะ มันกลับตอบว่า ผมยอมเป็นของพี่ครับ พร้อมกับทำเสียงเจ้าเลห์นิดๆ โห ไอ้..ห่...า...ทีตะกี้โวยวายแทบตาย นะมึง นางเอ้ก...นางเอก

      " ไอ้เต้ย ... ไหนมึงลองยื่นมือมาดิ "  ผมขอให้มันยื่นมือมา หลังจากที่มันหายออกไปจากห้องพร้อมกับกลับเข้ามาโดยมีเสื้อผ้าแล้ว

      " ทำไมเหรอคับพี่ "  มันถาม

      " เออ หน่า ยื่นมาเหอะ " ผมตอบมันไปพร้อมกับดึงมือมันมา

      " กูเคยได้ยินมาว่า คนไหน ที่นิ้วนางยิ่งยาวเท่าไหร่ แรงขับทางเพศยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น " ผมพูดกับมันพร้อมกับง้างนิ้วมันไปมา 

      " แต่ดูแล้วนิ้วมึงก็สั้นๆ ไม่ได้ยงได้ยาวอะไรเลยนี่หว่า " ผมพูดต่อ

      " นี่พี่คิดว่าผมเป็นพวก..." มันถาม

      " ป้าว ซะหน่อย " ผมพูดตัดหน้า

      " กูแค่สงสัย วันนั้นนนน...เออ " ผมพูดเสริม

      " กูหิวละ กูจะกลับบ้าน " ผมตัดบทพร้อมทำท่าจะลุกขึ้น

      " งั้นเราไปกินก๋วยเตี๋ยวกันน่ะ ร้านหน้าปากซอย อร่อย " มันชวนผม

      " กูจะไปได้ยังไง กูยังไม่ได้อาบน้ำ ชุดกูก็ไม่มีเปลี่ยน "  ผมตอบมันไป

      " พี่ใส่ชุดผมก็ได้ " มันตอบ พร้อมกับรนรานหาชุดมาให้ผมใส่

      สรุปแล้วผมต้องอาบน้ำที่บ้านมัน และใส่ชุดมัน (ชุดที่ตัวใหญ่ที่สุดของมันพอดีกับตัวผมเป๊ะ เพราะผมก็เป็นคนตัวเล็ก) ออกไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน และที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ผมสั่งเกาเหลา ส่วนมันสั่งเส้นเล็กน้ำตก ไม่เอาเส้นเยอะ ขณะที่แม่ค้านำชามก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟให้

      " กินเส้นเยอะๆ หน่อยซีหนู จะได้ตัวโตๆ " แม่ค้าพูดในขณะเสริฟชามก๋วยเตี๋ยว

      " บอกคนไม่กินเส้นให้กินเส้นด้วยซิคับ เค้าจะได้ตัวโตๆ " มันพูดพร้อมกับทำหน้าทะเล้น หันมาทางผม แล้วหัวเราะ ส่วนแม่ค้ายิ้มๆ แล้วเดินกลับไป

      จะว่าไปแล้วมันก็น่ารักดี มันนิสัยดี น่ารัก ไม่ว่ามันจะขี้เล่นยังไง นัยย์ตามันมักแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นเสมอ

      หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวกันเสร็จแล้ว ผมก็ขอให้มันไปส่งที่ซอย* เพื่อที่ผมจะไปเอารถผม และแยกย้ายกันกลับ

      น่าแปลกนะครับน้ำตาหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน ใจคนแข็งแค่ไหนเมื่อโดนสะกิดบ่อยเข้า เปลือกที่ครอบอยู่ก็แตกออก ผมรู้สึกชอบไอ้เด็กนี้เข้าแล้ว หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน ผมก็กลับมาหางานใหม่ทำส่งตัวเองเรียนเหมือนเช่นเคยพร้อมกันกับไอ้เต้ยมันเปิดเทอม ม.4 ไอ้เต้ยมันก็ยังโทรหาผมทุกวันเช่นกันมันยังคงคุยสนุกเหมือนเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือผมเอง ผมไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญมันเลย ผมกลับชอบในสำเนียงการพูดของมัน ในเรื่องที่มันเล่า ตลกกับมุขของมัน สรุปแล้วผมคงชอบมันมั้งครับ หรือแม้บางทีผมก็เป็นฝ่ายโทรหามัน ไม่ว่าทั้งงานทั้งเรียนจะหนักแค่ไหน ผมไม่เคยเลยที่จะลืมโทรหามัน หรือรับสายมัน

                  นับวันเวลาผ่านไปความสัมพันธ์ของผมกับมันก็มากขึ้นเรื่อยๆ มากจนขนาดที่เรียกว่าความรักก็ได้แม้จะต่างวัยก็ตาม และผมยังเอารูปมันในท่ายิ้มหน้าทะเล้นเป็นภาพพักหน้าจอโทรศัพท์ผมด้วย ไม่ว่าจะดูรูปมันกี่ครั้งก็รู้สึกดีเสมอ แม้มันจะทำหน้าทะเล้นแต่แววตามันกลับเป็นประกายแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

      เวลาผ่านไปปีกว่า ผมกลับบ้านอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้บอกมันว่าจะกลับ ผมโทรไปแกล้งถามมันว่าปกติไปเล่นกีฬาที่โรงเรียนหรือเปล่า มันตอบว่า ไม่ไปหรอก ม.ปลายแล้วงานเยอะ โน่นนี้เต็มไปหมด ผมเลยทิ้งปริศนาให้มันประโยคหนึ่ง

      "ถ้ามึงไม่ไป งั้นกูไปเล่นกับคนอื่นๆ ก็ได้ กูแค่จะโทรมาชวน"  แล้วผมก็วางสายไป

      ผมคิดว่ามันคงไม่โง่พอที่จะไม่รู้ ว่าผมกลับบ้านหรอก แต่วันนั้นผมไม่ได้ไปโรงเรียนเพื่อเล่นกีฬานะ ผมไปที่ซอย*  นั้น ยืนดูทุ่งนาต้นกล้าสีเขียว พักเดียวมีรถขับเข้ามา ไอ้เต้ยมันมาครับ และในที่สุด ผมกับมันก็เจอกันอีกครั้ง ผมตัวสั่นสะท้านด้วยความดีใจ ส่วนมันน้ำตาไหลพร้อมกับวิ่งมากอด

      " พี่บีครับ ผมคิดถึงพี่มากเหลือเกิน " มันพูดพร้อมร้องไห้ เหมือนเด็กน้อย

      " ที่ผ่านมามึงอยู่คนเดียวมาตลอด มึงบอกตัวเองให้เข้มแข็ง และมึงก็เข้มแข็งจริงๆ หลายเรื่องที่ถาโถมเข้ามามันไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับมึงเลย อาจเพราะเท้ามึงที่มันแข็งกว่าหนาม แต่มึงกลับร้องไห้ฟูมฟายเพียงเพราะเรื่องแค่นี้เองเหรอ "

       ผมพูดพร้อมกับโอบกอดมันไว้แน่นแต่ในขณะนั้นผมก็ร้องไห้เหมือนกัน ผมจับมันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับจูบเบาๆที่ริมฝีปากแดงๆของมัน มันหลับตาครับ ส่วนผมลืมตา มันทำให้ผมเห็นหน้าเด็กน้อยที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เป็นสาย สะอื้นเบาๆ

      มันขึ้นม.ปลายแล้วแต่ยังคงตัวเล็ก เหมือนเดิม ด้วยน้ำเสียง ใบหน้า ท่าทาง น่ารักน่าทะนุถนอมของมันยังคงชวนให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนเช่นเคย  จริงๆแล้วผมคิดว่ามันไม่ได้เป็นเด็กขี้แยไรนักหรอก มันออกจะเป็นเด็กที่เข้มแข็งด้วยซ้ำ

      สรุปแล้วเย็นนั้นผมกับมันนั่งคุยกันทั้งเย็นจนมันหลับไปในท่าพิงไหล่ผม ผมจ้องใบหน้าเล็กๆ กลมๆของมัน พร้อมกับเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้ เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากที่มันหลับไป บรรยากาศมันก็เริ่มสลัวแล้วแสงไปนีออนหลอดสุดท้ายที่อยู่สุดซอยติดขึ้นโดยอัตโนมัติ ผมเลยปลุกให้มันตื่น และมันก็ตื่นมาด้วยท่าทางสลึมสลือ ตาบวม เนื่องจากที่มันหลับไปพร้อมน้ำตา

      ผมพามันนั่งดูดาวซักพักและชวนมันกลับบ้าน และทุกวันผมจะชวนมันไปที่ซอยนั้น คุยกันสนุกสนาน เวลาผ่านไปอาทิตย์หนึ่ง ผมก็ต้องกลับไปทำงานกลับไปเรียนเหมือนเดิม ซึ่งวันก่อนที่ผมจะกลับ ผมกับมันก็ไปคุยไปเล่นกันที่ซอยนั้นเหมือนเดิม ดูๆแล้ววันนี้มันไม่ค่อยสนุกเหมือนทุกวัน อาจเป็นเพราะมันรู้ว่าพรุ่งนี้ผมต้องกลับแล้ว

      " พี่ บีครับ พี่กลัวผีมั้ย " มันถามผม

      " ถามอะไรแปลกๆ กูก็กลัวซี กูกลัวทุกคนที่ตายแล้วกลายเป็นผี " ผมตอบ

      " ถ้าวันหนึ่งผมตายแล้วกลายเป็นผี พี่จะยังกลัวผมอีกมั้ย " มันถามซ้ำ

      " กลัวมั้ง " ผมตอบมัน แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะถามมันกลับบ้าง

      " แล้วถ้ากูตาย กลายเป็นผีล่ะ มึงจะกลัวกูมั้ย " ผมถาม

      " ผมไม่กลัวหรอก เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้น ผมเชื่อว่าพี่คงไม่ทำไรผมหรอก เพราะผมรู้ว่าพี่รักผม 555 "

      " คิดไปเองนะมึง แต่... กูก็รักมึงจริงๆ ด้วยแหละ 55 "  ผมตอบกลับไป

      " พี่บี ยื่นมือมาหน่อยดิ " มันถามพร้อมกับดึงมือผมไป

      " แฮะๆๆ จะดูว่านิ้วดูยาวแค่ไหนอะเหรอ กูไม่ใช่พวกที่มีแรงขับทางเพศสูงนะเว้ย 55" ผมตอบมันไป เพราะนึกว่ามันจะขอดูนิ้วผม เหมือนที่ผมขอดูนิ้วมันตอนนั้น แต่หลังจากที่ผมตอบมันไป มันไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยิ้มๆ แล้วมันก็ล้วงเอาสิ่งหนึ่งในกระเป๋ากางเกงออกมา มันเป็นแหวนครับ แหวนเงินธรรมดา ไม่มีราคาอะไรหรอก แต่แหวนนั้นถูกสลักชื่อไว้ว่า  " TOEY "  มันสวมลงมาที่นิ้วผม น่าแปลกที่แหวนนี้มันเข้ากับนิ้วผมได้พอดี

      " เต้ยเป็นของพี่แล้วนะ แหวนนี้แทนตัวเต้ย ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ไหน เต้ยจะอยู่กับพี่เสมอ " มันพูดพร้อมกับทำหน้าทะเล้นแล้วอมยิ้ม

      " น้ำเน่า " ผมพูดออกมา พร้อมกับน้ำตา ผมไม่ได้ต้องการจะร้องไห้ แต่ผมกลั้นไว้ไม่อยู่

      ไอ้เต้ยมันยิ้มพร้อมจับมือผมยกขึ้นแล้วเอาหน้ามันแนบติดกับมือผมไว้ ตอนนั้นน้ำตาผมใหลเป็นสายแล้วครับ มันซึ้งเหลือเกิน ซึ้งกับคำพูดของมัน ซึ้งกับทุกการกระทำของมัน

      เด็กตัวเล็กๆที่บริสุทธิ์เสมอในสายตาผม

      จากนั้นมันเงยหน้าขึ้นพร้อมเขย่งเท้ายืดตัวขึ้นมาเพื่อหอมแก้มผม แต่จังหวะนั้นผมกะจะล็อกตัวมันไว้ โดยการกอดมันแน่นติดกับตัวผม เลยทำให้ทั้งผมและมันล้มลงครับ และท่าล้มก็ไม่ได้น้ำเน่าเหมือนในนิยายด้วย ผมล้มทับตัวมัน หัวมันกระแทกหินดังป๊อก แต่ยังโชคดีที่ผมเอามือรองหัวมันไว้ข้างหนึ่ง ไม่งั้นหัวมันอาจแตก

      " โอ๊ะ..โอ้ย.."  มันร้องออกมา

      " พี่ขอโทษ " นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพูดคำว่าพี่กับมัน แต่มันก็ยิ้ม

      และหลังจากที่ลุกขึ้น

      " ผมเชื่อแล้วว่าพี่รักผมจริง ๆ " มันพูดพร้อมกับเป่าหลังมือผมที่ถลอก เนื่องจากที่ผมเอามือรองหัวมันไว้

      " พี่บี เรากลับกันเถอะ ผมจะทำแผลให้ "

      หลังจากนั้นผมก็พามันกลับบ้าน (บ้านมัน) เต้ยมันยกกล่องยามาทำแผลให้ผม ส่วนผมก็เอาน้ำแข็งประคบหัวให้มัน

      วันต่อมาผมต้องกลับไปทำงานแล้ว (ผมลางานมา แต่มหาลัยยังปิดอยู่) มันไม่ได้มาส่งผมครับ มันไปโรงเรียน ทีแรกมันจะขาดเรียน แต่ผมไม่ยอม เมื่อผมกลับมาทำงานได้สองมันไม่ได้โทรหาผมครับ และผมก็เหนื่อยจากงานไม่ได้โทรหามันเหมือนกัน วันนั้นผมเช็คข้อความมีข้อความที่ถูกส่งเข้ามาแล้วตั้งแต่ 3 วันที่แล้ว (วันที่ผมกลับ) ใจความว่า " ผมคิดถึงพี่จัง วันนี้พี่กลับแล้ว เมื่อไหร่พี่จะกลับมาหาผมอีกน่ะ กลับมาเร็วๆนะครับ .... Toey " เมื่ออ่านแล้วก็ทำให้ผมยิ้มได้ จากนั้นผมกดโทรศัพท์โทรไปหามัน แต่ไม่ติด คิดว่าแบตมันคงหมดมั้ง

      วันที่สามมีสายเข้าแต่ไม่ใช่เบอร์มือถือที่โทรมา เมื่อผมรับสาย ปลายสายเค้าถามว่า ผมเป็นญาติของไอ้เต้ยหรือเปล่า ผมตอบว่าใช่ (ตอนนั้นผมเริ่มใจไม่ดี สั่นสะท้านไปทั้งตัว) ปลายสายเค้าพูดว่าเค้าโทรมาจากโรงพยาบาล เนื่องด้วยเด็กเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน อาการสาหัส ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล... เค้าพูดแค่นี้ ตัวผมอ่อนระทวยไปทั้งตัว นิ่งอยู่เกือบนาที เมื่อตั้งสติได้ ผมรีบสพายกระเป๋า(ประจำตัว) แล้วกลับต่างจังหวัดทันที ระหว่างทางผมคิดมาก คิดมากจนแทบไม่มีสติเลย

      เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ผมก็รีบไปที่โรงพยาบาลนั้นทันที ไอ้เต้ยมันอยู่ที่ห้องไอซียูครับ

      สภาพมันตอนนั้น ถูกสวมไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ หน้าอกถูกพันไว้ด้วยผ้าก๊อต ผมเดินเข้าไปนั่งข้างมันแล้วจับมือมันไว้ ผมร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสาย ผ่านไป 3 ชั่วโมง มันลืมตาขึ้นมามันพยายามจะถอดเครื่องช่วยหายใจออกเพื่อจะพูดอะไรซักอย่าง แต่ผมจับมือมันไว้ไม่ให้มันทำ ซึ่งมันน้ำตาไหลส่ายหัวเบาๆ เป็นนัยๆ ผมรู้ว่ามันหมายถึงอะไร มันคงไม่ไหวแล้ว

      สุดท้ายผมต้องยอมมัน

      " พี่ ผมรักพี่น่ะ ผมไม่ได้อยากปล่อยมือพี่ ผมไม่ได้อยากจากพี่ไปไหน " มันพูดเสียงเอื่อย เหมือนคนไม่มีแรง พร้อมกับที่มันจับมือผมไปแนบไว้กับหน้าอกมันตรงที่หมอพันผ้าก๊อตไว้

      " แต่พี่เห็นมั้ย มันไม่เป็นใจให้ผมอยู่ ผมไม่รู้ว่าพี่จะยังกลัวผมหรือเปล่า ถ้าผมตาย แต่พี่ไม่ต้องกลัวหรอก ผมจะไม่มาหลอกพี่ " มันพูดพร้อมกับทำท่าจะหัวเราะ แต่หัวเราะไม่ออก แล้วมันก็จับมือผมไปแนบไว้ที่แก้มมันอีกครั้ง

      ผมเอาแต่ร้องให้ พูดไรไม่ออก มันพยายามบอกให้ผมเข้มแข็งเหมือนที่ผมเคยสอนมัน

      ผ่านไปไม่กี่นาที ร่างกายมันกระตุก พร้อมละเมอเหมือนคนไม่มีสติ

      " พี่กลับมาหาผมเร็วๆน่ะ ผมจะรอ " มันพูดเหมือนตอนที่มันคุยโทรศัพท์กับผม

      มันละเมอพูดแค่ไม่กี่ประโยค ทุกอย่างก็แน่นิ่งไป พร้อมกับหน้าจอมอนิเตอร์ เส้นหัวใจกลายเป็นเส้นตรง แล้วมือที่มันจับผมไว้แน่นก็คลายลง

       พวกพยาบาลวิ่งกรูเข้ามาในห้อง พร้อมบอกให้ผมถอยไป ผมลุกขึ้นเดินถอยหลังไปไม่กี่ก้าว ผมเหมือนคนไม่มีสติ ยืนมองหมอที่พยายามช่วยชีวิตใครคนหนึ่ง แต่ก็ไร้ผล

      เด็กน้อยมันจากผมไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ มันเคยบอกผมว่ามันจะไม่จากไปไหน แต่ทำไมวันนี้มันกลับปล่อยมือผม มันเอาหัวใจมาแลกกับผมแล้วตัวมันก็จากไป

      ประมวลภาพทุกภาพมันผุดขึ้นมาในหัวผมอีกครั้ง เด็กน้อยคนหนึ่งที่เดินเข้ามาบอกผมว่า " พี่ ฝีมือพี่นูบจังเลย " ผมคงต้องยอมรับ ว่ามันเก่งกว่าผมจริงๆ มันเก่งกว่าผมในทุกๆเรื่อง

      เด็กน้อยคนหนึ่งขี้เล่น หน้าทะเล้น แต่นัยย์ตาแฝงไว้ด้วยประกายความอุ่น

      มันจะยังคงโกรธผมอยู่มั้ย ที่วันนั้นผมด่ามันแรงเกินไป มันจะยังคงโกรธผมอยู่มั้ยที่วันนั้น ผมปล่อยให้มันวิ่งกลับบ้าน ทั้งๆที่มันต้องวิ่งกลับไปอีกไกลมากโข

      มันโกรธผมมั้ยที่ผมปล่อยให้มันรอตากน้ำค้างจนไข้ขึ้น มันยังคงโกรธผมมั้ยที่ผมไม่ยอมไปเยี่ยมมันที่โรงพยาบาล ทั้งๆที่ไม่มีใครเฝ้าไข้มันเลย มันยังคงโกรธผมมั้ยที่ผมเคยด่ามันว่าไอ้เด็กเฮงซวย มันยังโกรธผมมั้ยในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมแทบไม่เคยพูดกับมันเพราะๆกับมันเลยเลย

      ตอนนี้ผมกลับเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ร้องไห้หามัน กลับเป็นผมที่ต้องพูดว่า อย่าทิ้งกูไป

      ลุกขึ้นมากอดกูหน่อยเหมือนที่กูเคยกอดมึง ซักครั้งยังดี ให้กูรู้ว่ามึงยังอยู่ข้างๆ เช็ดน้ำตาให้กูหน่อยเหมือนที่กูเคยเช็ดตัวให้มึงตอนที่มึงไม่สบาย ปลอบกูหน่อยเมื่อยามกูเหงา เหมือนที่กูเคยปลอบมึงว่า กูอยู่นี่ กูไม่ได้จากมึงไปไหนเลย  วันนั้นกูเฝ้าไข้มึงทั้งคืน กูไม่ได้หนีมึงไปไหน แต่ทำไมวันนี้มึงกลับหนีกูไปอย่างไม่มีวันกลับ เต้ยมึงปล่อยมือกูทำไม?

       

       

      by : facebook/blun.yood.com

       

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×