รักคร้งสุดท้าย ที่ท้องทะเล - Miracle Love of Navy
แม้กายของฉันจะแหลกสลาย ... แต่หัวใจของลูกประดู่คนนี้ จะอยู่เคียงข้างเธอเสมอ ... ตลอดไป
ผู้เข้าชมรวม
266
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เสียงหวูด ที่บ่งบอกถึงเวลา หกโมงเย็น ณ ฐานทัพเรือสัตหีบ ดังขึ้น เสียงเพลงชาติ ที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ในขณะนี้ ถึงเวลาที่จะเชิญธงชาติ ลงจากเสาในตอนหกโมงเย็น ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ลมทะเลที่พัดผ่านเข้ามายังชายฝั่ง พร้อมด้วยเกลียวคลื่นที่โถมเข้ากระทบกับตัวท่าเรือ ที่ยื่นออกไปในทะเลของฐานทัพเรือสัตหีบ และแสงแดดจากพระอาทิตย์ยามเย็น ที่ส่องกระทบท้องทะเลสีเงิน นั่นคือสิ่งที่สายตาของ นายทหารเรือหนุ่ม อย่าง เรือเอกนาวี พิทักษ์สมุทร กำลังมองดูอยู่
ฐานทัพเรือสัตหีบ และเรือหลวงจักรีนฤเบศร์ เปรียบเสมือนบ้านอีกหลังหนึ่งของนาวี ดูเหมือนว่า โชคชะตา ฟ้าลิขิตกระมัง ที่ทำให้นาวี ได้ เข้ามาสู่ การใช้ชีวิตในฐานะลูกประดู่ ทั้งชื่อ นามสกุล และต้นตระกูลของนาวี มีความหมายถึง ทหารเรือ และท้องทะเลทั้งนั้น นับตั้งแต่ จบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ นาวีก็ได้มาประจำการอยู่ที่นี่ตลอดมา
หมวกทหารเรือ อินธนูอันทรงเกียรติ แหวนรุ่น รวมถึง เข็มกลัดโรงเรียนนายเรือ และเครื่องแบบนายทหารเรือชั้นสัญญาบัตรที่ภาคภูมิ ที่นาวีสวมใส่อยู่ในตอนนี้ และการได้มายืนมองดูท้องทะเลยามเย็นแบบนี้ กำลังจะกลายเป็นเพียง ความทรงจำ ที่นาวีจะไม่มีวันลืมเลือน ตลอดชีวิต
“ฉันนึกอยู่แล้วว่านายจะต้องมาอยู่ที่นี่ นาวี” เสียงเรียบๆของ นายทหารเรือหนุ่มอีกคนหนึ่ง ที่ดังออกมา ให้นาวีตื่นจากภวังค์ และหันหน้าไปหาเจ้าของเสียงที่อยู่ด้านหลัง
“นายเองเหรอวัชระ”
เรือเอกวัชระ สิงห์ทอง เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหาร และ นักเรียนนายเรือ ของนาวี ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน และได้ถูกส่งให้มาประจำการอยู่ที่ ฐานทัพเรือสัตหีบแห่งนี้ พร้อมๆกับนาวี วัชระเป็นลูกชายคนเดียวของ นายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ ที่กรุงเทพฯ เหมือนกับนาวี
“นายตัดสินใจเร็วไปหน่อยรึเปล่านาวี”
“วัชระ ถ้านายเป็นฉัน นายจะรู้ ในเมื่อรักษาเท่าไหร่ ก็ไม่หายขาด คนที่เป็นนายทหารน่ะ ไม่ควรจะมาเป็นแบบนี้” นาวีตอบคำถามเพื่อนรักด้วยเสียงเศร้าๆ
“อย่าพึ่งรีบร้อนสิ มันต้องค่อยเป็นค่อยไป พวกเรายังหนุ่มยังแน่น จบมาก็ได้ไม่กี่ปี ใช้ชีวิตลูกประดู่ และรับใช้องค์เสด็จเตี่ยให้คุ้มก่อนสิเพื่อน”
นาวีก้มหน้านิ่ง แล้วเอามือไปกุมหน้าอก นาวีถอดหมวกทหารเรือออก และมองดูหมวกทหารเรืออันทรงเกียรติ ที่เขาตัดสินใจเอง ที่จะไม่ใส่มันอีกต่อไป
“ฉันอยากหลีกทางให้คนที่พร้อมกว่าฉัน เข้ามาทำหน้าที่แทน ในเมื่อสภาพของจิตใจและร่างกายของฉันไม่พร้อมแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเป็นทหารเรือต่อไปทำไม นายก็รู้นี่ ว่าที่ฉันอยากลาออกก็เพราะสิ่งนั้น”
“นาวีเพื่อนรัก เราเคยสาบานต่อหน้า รูปปั้นเสด็จกรมหลวงชุมพร ที่โรงเรียนนายเรือ ไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเราจะเป็นทหารเรือตลอดไปจนกว่าจะเกษียณ เราจะไม่ลาออกจากหน้าที่ก่อน ฉันว่านายอย่าพึ่งลาออกเลยนะ เอาแบบนี้ไหม นายน่าจะลาพักร้อนสักอาทิตย์ เพื่อไปพักผ่อนกายและใจ ให้นายได้คิดบ้าง เชื่อฉันเถอะนะ นาวี”
นาวีได้แต่ยิ้ม นาวีหันหน้ากลับไป และมองไกลออกไป ยังท้องทะเลยามเย็นที่กว้างใหญ่ไพศาล ชีวิตของคนเรา ไม่ได้กว้างใหญ่ และสดใสเหมือนกับท้องทะเล ชีวิตของนาวีเองก็เช่นกัน นับวัน เวลาในชีวิตของนาวี ก็เริ่มจะเหลือน้อยลงเต็มที ชายหนุ่มอายุ ยี่สิบแปด อย่างนาวี และ วัชระ อีกไม่เท่าไหร่ อายุ ก็จะเพิ่มขี้น เรื่อยๆ แต่สำหรับนาวีนั้น มันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็เป็นได้
“ขอให้ฉันได้มองดูท้องทะเลแห่งนี้ ไปอีกสักพักจะได้ไหม โชคชะตาเอ๋ย.......”
นาวีลองทำตามที่วัชระบอก นาวีได้ทำเรื่องขอลาพักผ่อนหนึ่งอาทิตย์เพื่อที่จะ พักผ่อนจิตใจของเขาให้เป็นปกติ นาวีอยากจะลองตัดขาดจากการเป็นทหารเรือดูสักสามวัน แต่ถึงอย่างไร แม้ว่ายากที่จะตัดขาด นาวีก็อดที่จะเอาชุดเครื่องแบบทหารเรือของเขา ใส่กระเป๋าเสื้อผ้าไปด้วยไม่ได้
“โชคชะตา กำหนดให้เราเป็นทหารเรือจนวันตายกระมัง” นาวีคิดเช่นนั้น นาวีไม่อาจจะที่จะฝืนโชคชะตาครั้งนี้ไปได้ นับแต่ตอนเด็กมา นาวีถูกปลูกฝังในการเป็นทหารเรือมาแต่ยังเยาวว์วัย จนกระทั่ง ความภาคภูมิใจในการเป็นทหารเรือ มีมากขึ้นเรื่อยๆ โรงเรียนเตรียมทหาร ในส่วนของกองทัพเรือ จึงเป็นบททดสอบแรกที่นาวี สามารถผ่านไปได้ และด่านสุดท้ายก็คือ โรงเรียนนายเรือ และที่สุดท้ายก็คือ ฐานทัพเรือสัตหีบแห่งนี้
นาวีเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้า เข้าไปในกองนาวิกโยธิน ใกล้ๆกับ ฐานทัพเรือสัตหีบ นาวี รู้สึกว่า นอกจากฐานทัพเรือสัตหีบแล้ว นาวียังมีความผูกพัน กับที่นั่นอีกที่หนึ่ง และเธอ ผู้ที่นาวีได้รู้จักตั้งแต่วันนั้น
หลายๆ คนใน นย. รู้จักนาวีกันทั้งนั้น ไม่ว่าใครที่เดินผ่านนาวี ก็มักจะทักทายนาวีเสมอ นาวีก็จะยิ้มตอบ และไหว้รับการทักทายจากพวกเขาเสมอ กลุ่มทหารเกณฑ์ ที่พึ่งเข้ารับการฝึก วิ่งออกกำลังช่วงเช้าเป็นกลุ่มๆ พร้อมกับร้องเพลงปลุกใจสำหรับทหารไปด้วย นาวีเห็นพวกเขาแบบนั้น ก็อดที่จะนึกถึงเรื่องราวสมัยที่เขาอยู่โรงเรียนเตรียมทหาร และโรงเรียนนายเรือไม่ได้
นาวีเดินผ่านเข้าถึง ผา วชิราลงกรณ์ และเดินไปตามทางที่ติดกับทะเล นาวีเดินผ่านบ้านพักทหาร และอ้อมต่อไปยังอีกด้านหนึ่งของเกาะ และได้มาถึง อีกด้านหนึ่งของ แหลมที่ยื่นออกไปในทะเล อีกด้านหนึ่งของผา วชิราลงกรณ์
เขาเดินย่ำไปกับหาดทราย อ่อนนุ่ม สายลมทะเล ที่พัดผ่านเข้ามาสู่ชายฝั่ง ทำให้นาวีรู้สึกเย็นสบาย เสียงกริ่งรถจักรยาน ดังแว่วๆ เข้ามาในหูของนาวี ภาพที่คุ้นเคย ที่นาวีมักจะได้เห็น เวลาที่เขามาที่นี่ ได้เกิดขึ้นอีกแล้ว
“สวัสดีค่ะ ผู้กองนาวี”
หญิงสาวหน้าตาละอ่อน ผมยาว ในวัย ยี่สิบกว่าๆ ที่ขับจักรยานสองล้อ มาตามชายหาด ได้หยุดแล่น และเอ่ยทักทายกับนาวีด้วยความคุ้นเคย
“สวัสดีครับไพลิน”
นาวีในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาวสีดำ กล่าวทักทาย ไพลิน หญิงสาวชาวบ้านแถบนั้น อย่างคุ้นเคย ไพลินเดินเข้าไปหานาวี และช่วยนาวีถือกระเป๋าเสื้อผ้าให้
“อย่าเลยไพลิน มันหนักนะครับ”
“อย่าเกรงใจเลยค่ะนาวี ไพลินเต็มใจค่ะ”
นาวีได้แต่ยิ้ม นาวีเลยเปลี่ยนไปเป็นจูงจักรยานของไพลิน และเดินไปตามหาดทราย และผ่านบ้านไม้ของชาวบ้านริมทะเล ที่มักจะตั้งอยู่ใต้ต้นมะพร้าวสูง มากมายในแถบนั้น ชาวบ้านริมหาด ต่างส่งเสียงทักทายนาวีกันอย่างร่าเริง
ถ้าเกิดว่า หากชะตากรรมของนาวีในวันนั้น ไม่ได้เกิดขึ้น นาวีก็คงไม่ได้มาพบที่นี่ และพบกับไพลิน และพบความรักที่แท้จริงหรอก เหตุการณ์วันนั้น มันเริ่มตั้งแต่ ในช่วงที่นาวีอยู่ ปีสี่นักเรียนนายเรือ และได้มาฝึกภาคทะเล แต่ในวันนั้น นาวีรู้สึกไม่ค่อยสบาย และมีไข้สูง แต่ก็ยังต้องทนการฝึก และในขณะที่นาวี อยู่ในทะเลนั้น นาวีเกิดเป็นตะคริว และว่ายน้ำไม่ไหว ในจังหวะเดียวกัน คลื่นใหญ่กลางทะเล ก็ได้โถมเข้าหานาวี และพาร่างของนาวีหายไป ท่ามกลางความตื่นตะลึงของเพื่อนๆ
ร่างไร้สติของนาวี ได้มาติดอยู่ที่หาดทรายแห่งนี้ และก็ได้รับการช่วยเหลือจาก ไพลิน ลูกสาวของผู้ใหญ่บ้านแถบนั้น นาวีรักษาตัวอยู่ที่นั่น จนความสัมพันธ์ ของนาวีกับไพลิน มีมากขึ้น จนเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก นาวีได้รับการช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้าน จนได้เดินทางกลับเข้าสู่ ฐานทัพเรือสัตหีบ และได้รายงานสู่ โรงเรียนนายเรือว่า นนร. นาวี พิทักษ์สมุทร นั้น ยังมีชีวิตอยู่
“ถ้าหากวันนั้น ผมไม่ได้เป็นตะคริว แล้วโดนคลื่นใหญ่เล่นงาน ผมคงไม่ได้มารู้จักที่นี่ แล้วได้พบกับไพลินหรอก”
“ไพลินเองก็เหมือนกันค่ะ ไพลินรู้สึกเหมือนกับว่า มีแสงสว่างที่อบอุ่น ที่ประทานจากฟากฟ้า และท้องทะเล ได้มายังที่แห่งนี้ และแสงนั้น ก็คือ นาวีนี่เอง”
นาวียิ้ม และเดินคู่ไปกับไพลินจนถึงบ้านของไพลิน บ้านของไพลินเป็นบ้านไม้ มีไต้ถุนสูง และมีระเบียงบ้าน ที่หันหน้าเข้าหาทะเล และพ่อของไพลิน ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านแห่งนี้ ก็ได้ออกมาจากบ้าน และลงมาต้อนรับนาวีด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดี ผู้กองนาวี”
“สวัสดีครับลุงผู้ใหญ่ ขอรบกวนหน่อยนะครับ”
“เชิญตามสบายเลย ยังไงซะ บ้านหลังนี้ ก็เหมือนกับบ้านของผู้กองอยู่แล้วนี่”
“นาวีคะ วันนี้หมู่บ้านเรา จะมีงานเลี้ยงแต่งงานของคนในหมู่บ้าน เดี๋ยวนาวีเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ตอนค่ำๆ เราไปร่วมงานกับพวกเขากันนะคะ ที่ชายหาด หน้าบ้านนี่แหละ” ไพลินกล่าว
“ก็ได้ครับ”
พระอาทิตย์ในช่วงห้าโมงเย็น สาดแสงส่องลงมากระทบกับท้องทะเลสีเงิน นาวีเดินลงไปในทะเลริมชายหาด และมองดูพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดิน นาวีชันตัวลง และเอามือกวักน้ำทะเลขึ้นมาและราดลงบนใบหน้าของเขา น้ำทะเลที่ใสสะอาด และเย็นชุ่มชื่น ทำให้นาวีรู้สึกดีขึ้น ทั้งกายและจิตใจ แม้จะมีไม่มากก็ตาม
“ผู้กองนาวีคะ”
เสียงหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่เสียงของไพลิน ดังขึ้นมา ทำให้นาวี หันกลับไปหาเจ้าของเสียง
“คุณใหญ่”
ใหญ่ พี่สาวคนโตของไพลิน ในชุดเสื้อสีฟ้า กางเกงขาสั้นถึงหัวเข่า เดินเข้ามาหานาวี และเริ่มพูดกับนาวี
“เดี๋ยวตอนหนึ่งทุ่ม เราจะมีงานเลี้ยงแต่งงานของ คนในหมู่บ้าน ผู้กองคงจะรู้แล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ยังไงก็เชิญด้วยนะคะ ผู้กองเป็นแขกพิเศษ ของหมู่บ้าน เลยอยากจะให้ช่วยเป็น ประธานในพิธีกับพ่อของฉันด้วยน่ะค่ะ”
“ก็ได้ครับคุณใหญ่”
ใหญ่เดินออกไปเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมไปร่วมงานตอนค่ำ ส่วนนาวีนั้น ยังไม่ได้ไปเปลี่ยน ในขณะเดียวกัน ภายใต้อกของนาวี นาวีรู้สึกปวดที่หน้าอกข้างซ้ายอย่างหนัก นาวีเอามือขวากุม และพยายามข่มความเจ็บไว้ และไม่ร้องออกมา
“นาวีคะ”
เสียงของไพลินดังเข้ามา นาวีพยายามข่มความเจ็บ และเอามือออกจากหน้าอก แต่ก็ยังมีอาการอยู่ นาวีพยายามทำตัวให้เป็นปกติ เพื่อไม่ให้ไพลินรู้
“นาวีไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกล่ะ ใกล้จะเริ่มงานแล้วนะ”
คราวนี้ ไพลินสังเกตว่า นาวีมีอาการหอบ และมีเหงื่อไหลมากกว่าปกติ นาวีก็ไม่ได้ออกไปวิ่ง หรือเล่นอะไรกับพวกเด็กๆในหมู่บ้าน ตั้งแต่นาวีมาถึงที่นี่ นาวีก็ได้แต่อยู่ตามชายหาด นั่งมองดูทะเลอย่างเดียว ไม่ได้ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเลย
“นาวี เป็นอะไรไป”
“เปล่าไพลิน ผมไม่เป็นไร ผมแค่รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นพระอาทิตย์สวยๆ ที่ชายหาดแถบนี้ แล้วก็” นาวีหันกลับไปหาไพลิน แล้วเอามือทั้งสองข้าง กุมมือของไพลินไว้ ก่อนที่จะพูดกับไพลินต่อ
“แล้วก็ได้อยู่กับหญิงสาวที่วิเศษสุด ที่คอยห่วงใยผม คอยแคร์ความรู้สึกของผมมาตลอด และผู้หญิงคนนั้นก็คือไพลิน ผมดีใจมากเหลือเกินที่ได้รู้จักกับคุณ”
“นาวี......”
ลมทะเลในช่วงพลบค่ำ และเสียงกลอง เสียงร้องเพลงอันรื่นเริง ของชาวบ้านที่มาร่วมพิธีแต่งงานของหนุ่มสาวชาวบ้านคู่หนึ่ง ดังไปทั่วบริเวณ กองไฟตรงกลางกลุ่มชาวบ้าน ที่มานั่งล้อมรอบ และเต้นไปมา ด้วยความสนุกสนาน นาวีลุกออกจากที่นั่งในงาน และเดินไปยัง ใต้ต้นมะพร้าว นาวีนั่งลงใต้ต้นมะพร้าว แล้วนึกถึงวันเวลาที่ผ่านมา ที่เขาได้ใช้ชีวิตทหารเรืออย่างน่าภาคภูมิใจ
“เราควรจะทำอย่างไรดี เราคิดไม่ออกเลยจริงๆ”
ไพลินเดินเข้ามานาวีอย่างช้าๆ และได้นั่งลงข้างๆนาวี ที่มีอาการแปลกๆไป ตั้งแต่เมื่อเย็น
“นาวี ไม่ไปร้องเพลงอะไรกับพวกคนในหมู่บ้านเหรอคะ”
“ไม่ดีกว่าครับ ผมอยากจะอยู่อย่างสงบๆ ท่ามกลางท้องทะเลที่สวยงามแบบนี้”
“ชีวิตทหารเรือนี่ ถ้าได้อยู่กับทะเลจริงๆ จะถือว่าได้เป็นทหารเรือของแท้นะคะ”
“ก็เพราะว่าผมรักทะเล ผมถึงได้มาเป็นทหารเรือไงล่ะครับไพลิน แต่ว่า.......”
“แต่ แต่อะไรเหรอคะ”
“ผมไม่รู้ว่าไพลินจะว่าอะไรผมรึเปล่านะ ถ้าผมอยากจะบอกว่า ผมกำลังจะลาออกจากการเป็นทหารเรือ”
“อ้าว ทำไมล่ะคะนาวี ไพลินว่า นาวีอย่าลาออกเลยนะคะ ไพลินชอบที่นาวีเป็นทหารเรือ และได้ใส่ชุดนายทหารเรืออันทรงเกียรติแบบนี้”
“ผมไม่อยากจะฝืนชะตากรรมของตัวเองอีกต่อไป ไพลินครับ ที่ไพลินเห็นผมมีการอาการแปลกๆ เมื่อตอนเย็น น่ะ ที่จริงแล้ว ผม.......”
ไพลินไม่อยากเชื่อในสิ่งที่นาวีพูดออกมา นาวีป่วยเป็นโรคหัวใจมานานแรมปี และผลจากการตรวจ หากนาวีไม่รีบรักษา นาวีจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน และอาการของนาวีก็ยิ่งกำเริบหนักขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยไว้แบบนี้ นาวีจะต้องจากไปแน่นอน
“ทำไมนาวีไม่บอกไพลิน ไพลินเป็นห่วงนะคะ”
“ผมไม่อยากให้คนที่ผมรัก ต้องมาเสียใจเพราะผม ในเมื่อผมกำลังจะตาย ก็อยากจะพูดอีกสักคำหนึ่ง กับคนที่ผมรักอย่างไพลินว่า ขอให้ไพลินลืมผมไปจากหัวใจซะเถอะ”
ไพลินตบหน้านาวีอย่างแรง ไพลินน้ำตาคลอเบ้าที่นาวีพูดกับเธอเช่นนี้ ไพลินร้องไห้ และเริ่มพูดกับนาวีต่อไปอีก
“นาวี นาวีอย่าพูดแบบนี้ให้ไพลินได้ยินอีกนะ ไพลินน่ะ ชอบที่นาวีเป็นคนเข้มแข็ง และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค หรือโรคร้าย นาวีจะต้องอยู่ต่อไป ไพลินจะต้องรักษาให้นาวีกลับมาเป็นปกติให้ได้”
“ไพลิน......”
“บางครั้งนะ ผมยังอดสงสัยไม่ได้เลยว่า ทำไมผมถึงได้มาเป็นทหารเรือ มันเป็นเพราะชะตากรรม กำหนดมารึเปล่า”
นาวีโอบกอดไพลินที่ร้องไห้ไม่หยุด นาวีรู้ดีว่า เวลาของเขาเหลืออีกไม่มากแล้ว นาวีไม่อยากจะทำให้คนที่เขารัก ต้องมาเจ็บช้ำเพราะเขาอีก แต่ถึงอย่างไร เขาก็ดีใจที่ยังมีคนที่ห่วงใยในตัวเขาอย่างแท้จริง อยู่ที่นี่ อีกคนหนึ่ง......ไพลิน.......
วันเวลาผ่านไป จนกระทั่ง ถึงวันสุดท้ายของการลาพักผ่อน ตลอดสองคืน ที่ผ่านมา นาวีมีอาการเจ็บหน้าอก ถี่ขึ้น แต่ถึงอย่างไร ไพลิน ใหญ่ ก็ยังช่วยดูแลเขาอย่างเต็มที่ แม้จะช่วยอะไรไม่ได้มาก นาวีมองดูชุดทหารเรือที่ไพลิน แขวนไว้ให้เขา ที่ตู้เสื้อผ้า การตัดสินใจของนาวี จะสิ้นสุดที่เย็นวันนี้ ซึ่งนาวีจะต้องกลับฐานทัพเรือสัตหีบ
“นาวีคะ ไพลินอยากเห็นนาวีในชุดทหารเรืออีกสักครั้งนะ นาวี ช่วยให้ไพลินสมหวังสักครั้งหนึ่งเถอะ”
ไพลินกุมมือ อธิษฐาน ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอนับถือ และดวงวิญญาณขององค์เสด็จกรมหลวงชุมพร ในเวลาเดียวกัน รถกระบะสีขาวคันหนึ่ง ก็แล่นเข้ามาในชายหาดหน้าหมู่บ้าน ร่างของนายทหารเรือหนุ่ม ที่ติดเข็มกลัดนักเรียนนายเรือเหมือนกับนาวี ลงจากรถ และเดินตรงเข้ามาในหมู่บ้าน
“ผู้กองวัชระ” ใหญ่ พี่สาวของไพลิน ที่อยู่ตรงบริเวณนั้น วิ่งเข้าไปหาวัชระ ด้วยความสนิทคุ้นเคย
“สวัสดีครับใหญ่ ผมมารับนาวีกลับน่ะครับ”
ใหญ่ก้มหน้านิ่ง และมองตรงไปยังบ้านของเธอ ไพลินเห็นวัชระที่ใส่ชุดทหารเรือมา ก็รู้ว่า นั่นเป็นเพื่อนของนาวี และกำลังจะมารับนาวีกลับ ไพลิน หันกลับไปมองบ้านของเธอ
ร่างของนาวีในชุดทหารเรือ ได้ปรากฏตัวขึ้น และเดินลงมาจากบ้านของไพลิน นาวีสวมใส่หมวกทหารเรือเต็มรูปแบบ ไพลินยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้เห็นนาวี ใส่ชุดทหารเรืออีกครั้ง วัชระเห็นเพื่อนเดินออกมา ก็ได้รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมๆกับใหญ่
“นาวี ฉันดีใจทีได้เห็นนายใส่ชุดทหารเรืออีกครั้ง” วัชระกล่าว
“สุดท้ายฉันก็ตัดขาดจากทหารเรือไม่ได้ ฉันขอทำหน้าที่นี้ไปจนกว่าจะถึงที่สุด” นาวีกล่าว
“วัชระ ขอเวลาอีกสักนิดจะได้ไหม ฉันอยากจะพูดกับไพลินอีกซักนิด”
“ได้สิ”
นาวีเดินจูงไพลิน ไปยังใต้ต้นมะพร้าวริมทะเล ที่ทั้งสอง เคยมานั่งดูทะเลด้วยกัน นาวี มองใบหน้าอันสะสวยของไพลิน และกุมมือของไพลินไว้
“ไพลิน ในที่สุด ผมก็ค้นพบคำตอบแล้วว่า ที่ผมได้มาเป็นทหารเรือ น่ะ คงมาไม่ได้เป็นเพราะชะตากรรมหรอก แต่มันเป็นเพราะ ความรู้สึกดีๆ ต่อท้องทะเล และความเคารพในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเช่น องค์เสด็จกรมหลวงชุมพร ความภาคภูมิใจในความกล้าหาญของเหล่าบรรพบุรุษราชนาวี ที่ได้ปกป้องแผ่นดินไทยเราไว้ และได้ ความรู้สึกดีๆ จากผู้ที่ได้ช่วยผม ได้ดูแลผม จนได้กลับไปเป็นนักเรียนนายเรือ จนได้จบออกมาเป็นทหารเรือ เหมือนเช่นทุกวันนี้ ก็คือ คุณนะ ไพลิน”
“นาวีคะ ไพลินน่ะ เชื่อนะ ว่านาวีจะต้องเป็นนายทหารเรือที่ยิ่งใหญ่ต่อไปได้แน่ ไพลินอยากจะบอกนาวีว่า ไพลิน รักนาวีที่สุด และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“ไพลิน...... ผมเองก็......รักไพลินเหมือนกัน”
นาวีโอบกอดไพลินไว้อย่างแนบแน่น ไพลินยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความสุข ที่สุด แม้แต่นาวีเองก็เช่นกัน แต่แล้ว อาการของนาวีก็ได้กำเริบหนักขึ้น จนนาวีมือไม้อ่อน แล้วทรุดฮวบลงกับพื้น นาวีร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เวลาสุดท้ายของนาวีได้มาถึงแล้ว
“นาวี!!”
ไพลินตกใจสุดขีด และพยายามตะโกนเรียกให้คนแถวนั้นมาช่วย แต่นาวีนั้น กลับร้องขอว่า อย่าเรียกคนอื่นมาช่วยเขา
“อย่าไพลิน ผมขอซักครั้งเถอะนะ ขอให้ผมได้อยู่กับไพลินสองต่อสอง เป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ”
“ไม่นะคะนาวี นาวีจะต้องไม่ตาย นาวีจะต้องหาย”
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ ผมคงจะต้องไปจริงๆแล้ว แต่ผมก็รู้สึกดี ที่ผมตัดสินใจกลับสู่การเป็นทหารเรืออีกครั้ง ได้ใส่เครื่องแบบทหารเรือนี้อีกครั้ง แม้จะเป็นครั้งสุดท้าย และได้อยู่กับคุณ”
“นาวี ไพลินรักนาวีนะคะ”
“ผมก็รัก ผมขอสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และท้องทะเลแห่งนี้ ผม ....... เรือเอกนาวี พิทักษ์สมุทร จะขอรักนางสาวไพลิน คนนี้ไปตลอดกาล.......”
เสียงของนาวีแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ไพลินน้ำตาไหล และโอบกอดร่างที่นั่งพิงต้นมะพร้าวของนาวีไว้ ไพลินร้องไห้ระงมไม่หยุด ในขณะที่วัชระกับใหญ่ ที่แอบดูอยู่ ก็อดน้ำตาไหลไม่ได้
“นาวี ฉันอยากให้นาย อยู่กับคนที่นายรักเป็นครั้งสุดท้าย ฉันจะไม่ขวางทางนาย เพื่อนรัก”
“ผู้กองนาวี คุณรักน้องของฉันอย่างแท้จริง คุณคือลูกผู้ชายแห่งสายน้ำตัวจริงค่ะ”
นาวีพยายามเอื้อมมือเข้าไปปาดเช็ดน้ำตาของไพลิน และพยายามยิ้มให้กับไพลินเป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่เอาน่าไพลิน ไพลินร้องไห้แล้ว ไม่น่ารักเลยนะ.......” นาวีพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“นาวี อย่าตายนะ.....”
ไพลินกุมมือของนาวีไว้แน่น ไพลินยอมทำตามที่นาวีบอก โดยไม่ยอมตะโกนให้ใครช่วย
“ไพลิน ผมดีใจที่ได้รู้จักกับคุณ ผมจะไม่จากไพลินไปไหน ผมจะอยู่ในท้องทะเลแห่งนี้ และจะคุ้มครอง......ไพลิน.....ตลอด.....ไป……และหากชาติหน้ามีจริง .......ขอให้ผม ได้พบไพลิน และได้อยู่ด้วยกัน ผมรักคุณ.....ไพลิน.......”
นาวีค่อยๆ หลับตาลง มือของนาวี ที่ไพลินกุมอยู่นั้น ค่อยๆถูกปล่อย ตกลงมาวางกับพื้นทราย ไพลิน พยายามเขย่าตัวนาวีให้ฟื้น ไพลินไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น คนที่เธอรัก นั้น ได้สิ้นใจคาอุ้งมือของเธอ เรือเอกนาวี พิทักษ์สมุทร ได้จากไพลินไปอย่างสงบ ณ ริมท้องทะเลสวยงามที่เขารัก เหมือนกับไพลิน นั่นเอง
“นาวี!!!!!”
อีกหลายวัน อัฐิของนาวี ได้ถูกนำไปลอยอังคาร ณ ท้องทะเลด้านหน้าฐานทัพเรือสัตหีบส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่ง ได้ถูกนำไปลอยที่ ท้องทะเลด้านหน้าหมู่บ้านของไพลิน ท่ามกลางความเศร้าโศกของ พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน และ ไพลิน...........
วันเวลาผ่านไปนาน จนกระทั่ง ล่วงเลยมาถึง อีกถึง หกสิบปีต่อมา............
หญิงชราคนหนึ่ง เดินลัดเลาะไปตามชายหาดที่เธอคุ้นเคย เธอเดินไปมา บนชายหาดนี่มาตั้งแต่ยังสาวๆ จนถึงทุกวันนี้ เธอมักจะมองไกลออกไปในทะเลที่สวยงาม ที่แม้เวลาจะผ่านไปนาน มันก็ยังเหมือนเดิม เธอเป็นหญิงชราที่อยู่ตัวคนเดียว แต่ก็ยังคอยดูแล และเลี้ยง หลานๆของเธอที่เป็น ลูกของลูกพี่สาวของเธอ
“คุณย่าไพลินครับ ผมขอไปเล่นน้ำตรงนั้นหน่อยนะครับ” เสียงของเด็กชายตัวเล็กๆ ในวัยใส ตะโกนออกมา
“จ้า อย่าไปไกลมากนะจ๊ะ”
ไพลินในวัยกว่าแปดสิบปี เธอยังดูแข็งแรง และไม่ได้แต่งงาน ในขณะที่ใหญ่ พี่สาวของเธอนั้น แต่งงานกับพลเรือเอกวัชระ จนมีลูกมีหลานออกมาเต็มบ้าน ให้เธอช่วยเลี้ยง แต่เธอก็รู้ว่า เวลาของเธอนั้นก็เหลืออีกไม่มากแล้ว ไพลินเดินอย่างช้าๆ ไปยังใต้ต้นมะพร้าวต้นเดิมที่เธอคุ้นเคย และหยุดพัก ตรงนั้น
ภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดทหารเรือ เดินผ่านร่างของไพลินไป และได้วางอะไรดอกไม้ที่พื้น ไพลินมองดูชายหนุ่มคนนั้น ด้วยความรู้สึกบางอย่าง และเมื่อชายหนุ่มคนนั้น ลุกขึ้นมา และหันมามองไพลิน
“คุณ.....”
ร่างของนาวีในชุดทหารเรือสีขาวบริสุทธิ์ ที่ยิ้มให้กับไพลิน นาวีที่ได้ตายไปเมื่อกว่าหกสิบปีก่อน ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และยิ้มให้กับไพลิน ก่อนที่นาวีจะค่อยๆหายตัวไป
“คุณยังคอยคุ้มครองฉันอยู่เสมอใช่ไหมคะ ....นาวี”
ไพลินนั่งลงใต้ต้นมะพร้าว ที่เธอรู้สึกอุ่นใจเหมือนกับ นาวีนั้น มานั่งอยู่ใกล้ๆเธอ และคอยคุ้มครองเธอ คอยดูแลเธอตลอดไป ไพลินค่อยๆหลับตาลง และสิ้นลม ณ ที่ตรงนั้น ที่ๆเธอได้พบรักและได้บอกว่ารักกับ นาวี นายทหารเรือที่เธอรักที่สุด นั่นเอง................
(จบบริบูรณ์)
ผลงานอื่นๆ ของ จ.ลูกนาวี ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ จ.ลูกนาวี
ความคิดเห็น