ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    น้ำตาซาตาน(อาริตา)

    ลำดับตอนที่ #2 : 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.07K
      2
      28 ม.ค. 53

     

    น้ำตาซาตาน1

    คุณนายปรางมองดูคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ร่างบางในชุดเสื้อสีดำกางเกงดำ ผมดำสนิทนั้นถูกรวบเป็นหางม้าข้างหลังเปิดให้เห็นดวงหน้าขาวที่ดูเย็นชา ดวงตาสีดำนิ่งนัก  คิ้วเรียวเรียบผ่านดวงตา...หากไม่มองพิศจะไม่เห็นเลยว่าดวงหน้าขาวนี้มีความงามอย่างไร อาจจะเพราะหน้ารูปไข่นี้มีกรามที่ค่อนข้างมีเหลี่ยมเล็กน้อยทำให้ดูดุ แต่เมื่อมองพิศ พิจารณา  ชลธิชาเป็นคนสวย คม...ดุดัน มีเสน่ห์ตรงนี้ทำให้หล่อนแตกต่างไปจากหญิงคนอื่น 

    ไม่สวยจัด แต่มีเสน่ห์  เว้นแต่ว่าเสน่ห์ทั้งหมดนี้มัดใจพันเดชไม่เคยได้  สักนิดหนึ่งไม่เคยได้รับ  แต่ส่วนหนึ่งนั้นพันเดชไม่ปรารถนาจะคบหากับคนของตระกูลหล่อน...

    เขาเกลียดชนะศักดิ์

    นั่นมากมายเพียงพอจะเผื่อแผ่ถึงเธอ  ความเป็นเพื่อนถูกปฏิเสธไม่สนใจไยดี

    และบัดนี้ถึงเวลาจากไกล  หล่อนจึงแวะมาลา “แม่นาย” หรือคุณนายปราง ผู้เป็นทั้งยายที่เคารพของพันเดช และเป็นภรรยาของปู่โชติ 

    แม่นายมีความสำคัญมากพอที่หล่อนจะต้องมาบอกลา  หล่อนไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาพบแม่นายอีกหรือไม่

    เพราะหล่อนจะไปไกลจากที่นี่

    สุดขอบฟ้าจะพอไหม สำหรับการหลบไปดูแลเยียวยาตัวเอง  สำนึกบาปที่ติดตัวอีกเล่า...สิ่งที่หล่อนเสียใจที่สุดคือหล่อนเองเป็นคนทำให้พี่ชายต้องตาย...

    เพียงแต่...หล่อนจะไม่ห่วงพันเดชจนเกินไป  จนถึงกับไปบอกเตือนภัยเขาและนั่นทำให้ชนะศักดิ์ถึงกับตาย

    หล่อนโทษตัวเอง...อย่างน้อยเวลาอยู่คนเดียว หล่อนอยู่กับความจริง...หล่อนเจ็บปวดมาก ที่พี่ชายมาจบชีวิต  มันทำให้หล่อนไม่สามารถทนอยู่กับสภาพแวดล้อมและความทรงจำเดิมๆ ได้อีก 

    ทั้งต้องลงโทษตัวเอง...

    หล่อนฆ่าพี่ชาย

    หล่อนเป็นคนบาป...ผิดนี้ยากจะลืมเลือน...

    ผู้ชายคนเดียว...ผู้ชายคนนั้น พันเดช เขาทำให้หล่อนคิดว่าจะไม่ขอมีผู้ชายคนไหนอีกแล้ว  หล่อนจะไปจากที่นี่

    คนเคยทำงานฟาร์มถูกบอกเลิกจ้าง...ยกเว้นแต่คนที่ไม่มีที่ทำกิน ไม่มีทางจะไป...ก็ยังสามารถทำกินได้...บนแผ่นดินแม่...แต่หล่อนจะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้...หัวใจหล่อนหมดแรง...พลอยส่งผลถึงร่างกายอีกด้วย  ตอนนี้ร่างกายเหมือนไม่แข็งแรงเท่าเก่า หล่อนมีอาการปวดหัวรุนแรง...หล่อนมีอาการกระตุกที่หัวใจ...มันรวมกัน และหล่อนรู้ถึงเหตุที่เป็น

    ความเครียด นั่นเพียงประการเดียวที่กำลังคุกคามตัวเองคุกคุก

    แต่ยังก่อน...หล่อนยังตายไม่ได้ เพราะหล่อนยังไม่อยากตาย...คนบาปยังตายเพราะการฆ่าตัวตายไม่ได้ มันง่ายดายเกินไป หล่อนรู้สึกว่าตัวเองได้รับการลงโทษ

    จากใครน่ะหรือ

    ก็จากผู้คนรอบตัว  คนแรกเลยคือพันเดช ผู้ชายคนที่ทำร้ายหล่อนมาเนิ่นนานและหล่อนก็ทำเพราะมีใจกับเขาจนพี่ชายต้องจบชีวิต

    วันนี้หล่อนลงโทษตัวเองเงียบๆ อยู่กับความสูญเสีย  ความชอกช้ำ หล่อนไม่โทษใครนอกจากโทษตัวเอง

    “ได้ยินว่าจะเลิกทำฟาร์ม”

    คุณนายปรางเอ่ยก่อน

    “ก็ไม่เชิงเลิกทีเดียวค่ะ แต่ตัวเองคงจะไปอยู่ที่อื่น”

    “หางานทำในเมืองใหญ่หรือๆ”

    “ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรค่ะ แต่เพื่อนก็ชวนไปคุมกิจการให้เขา”

    “เสียใจด้วยนะทั้งเรื่องปู่โชติและชนะศักดิ์”

    “ค่ะ” รับคำสั้นๆ ดวงหน้านั้นมีร่องรอยโดยรวมเรียกว่าแห้งแล้งเหมือนแผ่นดินที่ร้างฝน ให้ความชุ่มฉ่ำ ความแห้งแล้งนั่นทำให้ดวงหน้ายิ่งดูเย็นชา...ไร้ความอ่อนโยน...

    ดวงตาแห้งโหย...เหมือนต้องการหยาดฝนชะโลม

    ยิ่งหากเป็นหยาดฝนของความรักความไยดีคงจะยิ่งดี

    แต่ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เกี่ยวกับความสวยความงาม แต่เป็นภาพโดยรวมของดวงหน้านั้น  ดวงหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งยอมรับกับตัวเองและกับทุกคนในยามนี้ว่าหล่อนพ่ายแพ้กับเกมชีวิตทั้งที่วัยของหล่อนยังไม่มากนัก

    หล่อนเหมือนคนล้มละลาย...ทางใจ...

    กายยังอยู่  แต่จะหาใครเยียวยาใจของหล่อนให้กลับมาได้อีก ใครเล่าจะทำได้ คุณนายปรางรู้ว่าชลธิชาบอบช้ำมาเพราะใคร...

    หากไม่ใช่เพราะพันเดช

    ตอนนี้พันเดชมีความสุขกับแสงระวีแล้ว  มีหรือจะมีเหลือใจไปให้ชลธิชาอีก ตอนก่อนหน้าไม่มีแสงระวี พันเดชก็ยังไม่ไยดี

    “เจอพันเดชหรือยัง”

    “เจอแล้วค่ะ คำตอบยังเรียบ  “ไปบอกลาเขาแล้ว คิดว่าอาจจะลากันชั่วชีวิต  วันนี้ตั้งใจมากราบลาแม่นายเผื่อว่าจะไม่ได้พบกันอีก”

    คุณนายปรางยิ้มอ่อนโยน  “แน่ละ เพราะฉันอายุมากแล้ว”

    ไม่ใช่ค่ะ เธอแย้ง  “แม่นายยังดูแข็งแรง สุขภาพดี...”

    เธอถอนใจ   “ฉันผ่านอะไรมามาก ชีวิตมันแสนสาหัส พอฉันเริ่ม “นิ่ง” และยอมรับว่าบางอย่างมันหลุดลอยไปแล้ว การไขว่คว้าเอาคืนกลับมามันยาก  ฉันก็ทำใจ เหมือนคนใจดำไหม”

    เธอถามพร้อมกับหัวเราะเบาๆ แต่เหมือนเสียงหัวเราะเย้ยหยันเสียดสีไปในตัว

    “วันที่ฉันตามหาลูกสาวฉันไม่เจอ ทำให้ฉันรู้ว่าที่สุดแล้ว สิ่งทีรักก็พลัดพรากหลุดลอยไปได้  เงินที่หาได้มา  ก็เรียกเอาคืนมาไม่ได้”

    ก่อนจะมองชลธิชา

    ทุกอย่างมันถูกลิขิตไว้แล้ว โทษตัวเองไยกัน”

    “แต่เพราะหนู...พี่ชนะเลยต้องตาย หากหนูไม่มาบอกกับพันให้เขาระวังตัว  พี่ชนะอาจจะไม่มีจุดจบแบบนั้น”

    “แล้วนั่นเธอเฝ้าโทษตัวเองหรือ”

    “คนทรยศค่ะ แม่นาย  คำตอบเรียบนัก “โทษฑัณฑ์หนักหนานัก”

    “มองมุมไหนล่ะ  คำย้อนถามยังอ่อนโยน “หากมองจากมุมพันเดช เธอไม่ได้ทรยศ

    แล้วได้อะไรคะ  ชลธิชาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าเป็นอันมาก

    “เธอไม่ต้องการเยียวยาตัวเองหรือ” คำถามอ่อนโยน  “เธอโทษตัวเองทำไม”

    ไม่รู้เหมือนกันค่ะ

    คำตอบแห้งแล้งเหมือนแววตา

    แต่คงต้องไปไม่อยากอยู่ที่นี่อีก สิ่งแวดล้อมที่มีทำให้อดคิดไม่ได้และคิดไปคิดมาก็วนเวียนซ้ำซาก ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา...จะฆ่าตัวตายก็เหมือนเป็นคนไร้สติสิ้นคิดอีก  ก็อยู่ไปค่ะ

    ฝืนหัวเราะ แต่เสียงนั้นแหบโหย  หล่อนรู้ตัวว่าเกิดอะไรกับตัวเอง หล่อนเจ็บปวด ทรมาน สาหัสสากรรจ์นัก

    วันคืนหลังจากชนะศักดิ์ตาย ใครจะรู้ว่าหล่อนนั้นยากจะข่มตาให้หลับ  และเมื่อข่มตาหลับได้ หล่อนก็ฝันร้าย ผวาตื่น...หล่อนทำบุญตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัว หล่อนสวดมนต์ หล่อนทำใจให้ยิ่ง ให้ว่าง แต่หล่อนก็ยังโดนหลอกหลอนอยู่เสมอ

    ชนะศักดิ์ไม่เคยมาปรากฏตัวหลอกหลอนโดยตรง

    แต่สำนึกของหล่อนตะหาก

    หล่อนหลอกหลอนตัวเองด้วยความผิดที่มี

    หล่อนโทษตัวเอง พี่ชายคนเดียว และเขารักหล่อนโดยไม่ต้องมีข้อพิสูจน์  เขาอาจจะไม่จริงใจกับคนอื่นแม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียอย่างนิลุบล  แต่กับน้องสาว  ชนะศักดิ์เป็นพี่ชายแสนดีเสมอ

    สุดท้ายต้องเลือก

    อยู่หรือไป

    คำตอบคือไป!

    ไปจากอดีตที่หลอกหลอนหล่อน เมขลาให้โอกาสแก่หล่อนแล้ว

    ...ฉันรู้ว่าไปอยู่ไหนหากใจไม่นิ่งก็ไม่สุข แต่อย่างเธอ อาการหนักขนาดนี้ลองเริ่มต้นด้วยการย้ายที่ก่อนน่าจะดีเหมือนกัน...

    หล่อนจะเข้าเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ ไปดูแลธุรกิจให้กับเมขลา...ผู้ซึ่งประกาศว่าปีนี้จะเป็นปีเริ่มต้นลุยตลาดเสื้อผ้าในแบรนด์ Mekala หรือเมขลา...หลังจากที่ได้ทำเสื้อผ้าส่งออกตลาดในระดับหนึ่ง...เมขลาต้องการ  “ตัวตน”  บนเวทีของเสื้อผ้า ต้องการให้มีการนำเสนอผลงานของตัวเองออกไป แต่เมขลาขาดคนที่จะไว้ใจได้ ดูแลการเงิน ซึ่งเมขลาถือเป็นหัวใจสำคัญสุดของการทำธุรกิจ

    ชลธิชาไม่ได้รีรอที่จะรับงานนี้แม้หล่อนจะใหม่มากสำหรับธุรกิจเสื้อผ้า  แต่หล่อนคิดว่าการทำงานหนักและเป็นงานที่หล่อนไม่รู้จักมาก่อนจะช่วยทำให้หล่อนสามารถลืมเลือนลบางเรื่องราวได้เร็วขึ้น

    การทำงานหนักไม่เคยฆ่าคน มีแต่จะทำให้คนหลุดพ้นจากความคิดวนเวียนกับเรื่องเหลวไหลมากกว่า

    “ชล...ที่นี่คือบ้านของหนูมาแต่เกิดนะ”

    “หนูรู้”

    คำตอบยังแผ่วเบา

    “ไม่มีใครอยากทิ้งบ้านเกิดของตัวเอง...”

    “ถ้าอย่างนั้น ไปแล้วเมื่อเข้มแข็งขึ้น หนูคงจะกลับบ้าน”

    หล่อนส่ายหน้า แต่คุณนายปรางเอ่ยติงว่า

    “ยังมีโอกาส...อย่าเพิ่งสิ้นหวัง ท้อแท้...”

    “คงจะเป็นนกขมิ้นนะคะ”  เอ่ยแกมหัวเราะออกมาเหมือนเค้นเสียงที่ไม่เต็มเสียงนัก  

    นกขมิ้นเหลืองอ่อนจะนอนไหน

    ดั้นด้นไปสุดฟ้าหาฝั่งใน

    ค่ำนี้คำไหนในคืนวัน

    สำคัญมั่นเดียวดายตายทั้งเป็น

    หล่อนก้มลงกราบตรงหน้าคุณนายปราง ไม่มีน้ำตา แต่ขอบตาของหล่อนร้อนจี๊ด 

    หล่อนไม่ร้องไห้

    ไม่มีน้ำตา

    หล่อนคือคนใจร้าย...หล่อนเป็นนังซาตาน หล่อนมีส่วนฆ่าพี่ชายตัวเอง

    หล่อนจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว  วันที่ร้องไห้มากสุดผ่านไปแล้ว  นับจากนี้หล่อนจะเข้มแข็ง...ไม่มีหัวใจ ไม่มีความรัก...ไม่มีชายคนไหนจะเข้ามีในชีวิตหล่อนได้อีก...

    ผู้ชายคนเดียวที่หัวใจรู้จักเขา....พันเดช  คนที่ไม่เคยรักหล่อนเลยสักนิด

    “หนูทิ้งหัวใจไว้ที่นี่ กับเขา”

    หล่อนไม่กล้าออกชื่อพันเดช

    “หากจะกรุณาหนูสักนิด...ดูแลเขา...”

    มือของคุณนายปรางแตะบนศีรษะของชลธิชา 

    “เธอก็หลานของพี่โชติ... ใช่คนอื่นที่ไหน  ฉันรู้ว่าเธอรักเขาแค่ไหน  ฉันจะดูแลเขาตามที่เธอต้องการ

    “วันนี้หนูเหมือนปู่...ร่อนเร่....อาจจะคืนหลัง...เยือนรังอีกหนก็ต่อป่วยหนักใกล้ตาย...จะกลับมาตายรัง”

    “ฉันแก่แล้ว ชลธิชา อาจจะอยู่ไม่ทันเธอกลับมาตายรังที่เธอบอก แต่ฉันคิดว่าคำพรของฉันอาจจะทำให้เธอเป็นสุขได้บ้าง ไปเถิดนกขมิ้น...”

    แล้วเธอก็เชยคางของชลธิชาขึ้น

    “ดูเธอสิ้นหวัง กระด้าง เหมือนไม่มีหัวใจอีก”

    “ค่ะ หนูไม่มีหัวใจแล้ว หนูจะไม่มีน้ำตา จะไม่ร้องไห้”

    ชลธิชาประกาศเด็ดเดี่ยวเป็นอันมาก

    “หนูจะไม่เป็นเช่นนั้น...ไม่แน่นอนค่ะ”

    “จะไม่เสียน้ำตาอีกใช่ไหม”

    “หากหนูจะเสียน้ำตาอีกหน....กับผู้ชายอีกสักคน....ซึ่งหนูแน่ใจว่าไม่มีผู้ชายคนนั้น  หนูเสียน้ำตาอีกเมื่อไหร่ หนูคงจะหลุดพ้นจากทัณฑ์ทรมานนี้”


    มีคนมารายงานเขาแต่เช้าเรื่องฟาร์มชนะศักดิ์ พงษ์อนันต์ได้แต่ถอนใจเบาๆ...และหันไปมองพันเดชที่นั่งอยู่ด้วย  คนอ่อนวัยกว่ามีดวงหน้านิ่งเฉยจนเขาต้องออกปากถาม

    “ไม่คิดอะไรบ้างหรือ

    จะให้ผมคิดอะไร

    “ก็เรื่องที่ชลธิชาจุดไฟเผาบ้าน”

    พันเดชหัวเราะ...และแสงระวีจ้องมองเขาแล้วเอ่ยเบาๆ 

    “อย่าหัวเราะแบบนั้นสิ นายพัน”

    เธอยังเรียกเขาเหมือนเดิม นายพัน บ่งบอกความเป็นนายที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เธอยังคิดเหมือนเดิมเสมอ  เขาเป็น  นาย...เป็นนายของหัวใจเธอและเธอยอมยกให้เขาเดินนำไปข้างหน้าและเธอยินดีเดินตามเขาเสมอ

    “หัวเราะน่าเกลียดเหมือนพ่อมดเลย”

    “เปล่า”เขาปฏิเสธ  “แค่ไม่ประหลาดใจ”

    ไม่ประหลาดใจเลยหรือ พัน” พี่ชายเอ่ยถาม

    “ชลมันบ้า”

    พันเดชเอ่ย  เขารู้สึกหดหู่แกมเศร้าใจกับเรื่องนี้

    “บ้า?”  พงษ์อนันต์ทวนถาม

    “ไม่บ้าธรรมดา บ้ามาก” เขาเน้นเสียงตอบ “เห็นอย่างนั้น  อย่าคิดว่าอ่อนแอหรือบอบบาง”

    “ขนาดเผาบ้านนี่แปลว่าอะไร”

    “หมดสิ้นเยื่อใยกับบ้านนั้น”

    บ้านราคาเท่าไหร่”

    “คุณพงษ์ คนบ้ามีอะไรบ้างที่ทำไม่ได้”

    เขาท้วง และพงษ์อนันต์ก็เห็นคล้อยตามในที่สุด

    “ชลคงไปจากที่นี่”  เขาตอบ   “วันก่อนมาลา...”

    “บอกลานาย?”

    ครับ”

    เขาไม่ได้เล่ารายละเอียด ชายหนุ่มยอมรับเหมือนกันว่าได้ใจร้ายกับหล่อนมากเอาการอยู่

    แต่หัวใจ ไม่รักคือไม่รัก

    จะให้หักหาญใจตัวเองเขาย่อมไม่ทำ

    เขาได้แต่บอกว่า   “ผู้หญิงเก่งและบ้าแบบนั้นเธอสามารถเอาตัวรอดได้แน่นอนครับ”

    ไม่มีร่องรอยอาลัย หรืออาวรณ์   “ผมจะทำอะไรได้นอกจากเอาใจช่วย  แต่ใจของผมที่ช่วยคงไม่ช่าอย่างชลต้องการ”

    “เมื่อตอนนายเจอชล นายได้ทำหรือไม่

    ทำอะไรครับ”

    “ทำสิ่งที่นายเรียกว่าเอาใจช่วย”

    พันเดชนิ่งไปก่อนจะเอ่ยว่า

    วันนั้นผมอยากกอดชลสักหน กอดจากใจจริง กอดบนความเป็นเพื่อน”

    “แล้วไง

    “เค้าไม่ให้ผมกอด ก็จบ”

    พงษ์อนันต์ถอนใจดังๆ  “แล้วชลจะไปทางไหน...”

    พันเดชตอบไม่ได้ เขาหันไปดึงตัวแสงระวีออกมา...

    “ผมมีคนที่ผมรัก  ชลอาจจะรักผม แต่ผมรักชลไม่ได้...มีเรื่องหนึ่งที่ชลทำดี...และผมนึกขอบคุณคือการส่งข่าวที่ชนะศักดิ์จะเข้ามาทำร้ายเราคืนนั้น”

    “นั้นคือจิตสำนึกผิดของชลธิชาด้วยไหม”

    “อย่างไรครับ

    “เธอสำนึกผิด เธอเลยชดเชยความผิด  เผาบ้าน...ออกร่อนเร่ไร้บ้าน ไร้เรือน”



                คนบาป...คำนี้ติดตัวเอง ดังก้องในใจ ในสมอง ในสองหู...ไม่สามารถลบเลือนได้ การเผาบ้านที่เคยอยู่ร่วมกันกับพี่ชาย  และกระดูกของเขาก็อยู่ในบ้านนั้น หล่อนเผาเขาเป็นหนที่สองและคำขออภัยในใจ

    “พี่ชนะ ให้อภัยฉันด้วย จากเถ้าสู่เถ้า จากธุลีสู่ธุลี...เถ้าถ่านนั้นมีพี่อยู่ด้วย  ให้พี่ได้อยู่นิ่งๆ...พักผ่อน...ฉันอยากพักผ่อนเหมือนพี่เช่นกัน แต่ว่าฉันกลับทำไม่ได้  มันเป็นเรื่องเจ็บปวดมากสำหรับฉัน

    หล่อนกำลังจะไปจากที่นี่  เมขลารอหล่อนอยู่  หญิงสาวก้าวมาที่รถไม่หันกลับไปมองอีกแม้ตอนขึ้นมานั่งบนรถ ณรงค์ออกรถ และเมขลาจับมือหล่อนกระชับแน่น

    “ไม่เป็นไรนะ ชล”

    “ไม่เป็นไร...ยังไม่ตาย...ยังสบายดี  ยังมีลมหายใจ  แม้จะเป็นลม หายใจเน่าๆ ของนังซาตาน!

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×