ศพใต้เตียง-โดย สรจักร
รวมเรื่อสั้นหักมุม-เขย่าขวัญชั้นดี จากผู้เขียน "ศพข้างบ้าน" "ศพท้ายรถ" และ "อำพรางอำยวน" ฆาตกร เหยื่อ อวุธ ยาพิษ ปมสังหาร และ..ความตายอันระทึกใจ
ผู้เข้าชมรวม
14,297
ผู้เข้าชมเดือนนี้
27
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
จ ริงๆแล้ว แล้วเชาว์คิดว่าตนเองไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าเธอ
ไม่รู้สิ ! อาจเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่ที่แน่ๆตอนนี้ คือ เธอนอนตัวซีดไม่หายใจอยู่บนเตียงไม้เก่าๆ
คนเราเมื่อตายแล้ว ไม่มีสิ่งงดงามใด ๆ ให้ชื่นชมเหลืออีก จากหญิงสาวผิวนวลเปล่งปลั่ง ปากแดงระเรื่อ กลายเป็นซากศพแข็งทื่อ ตาเหลือกค้าง ปากอ้าเห็นฟันสกปรก จินตนากาให้เห็นเชื้อโรคยุ่บยั่บกำลังกัดกินผิวซีดสีจิ้งจกของเธอ
“ชีวิต” เป็นเพียงกระแสชัยเล็กๆ ที่มีเป้าหมายสุดท้ายคือความตาย สัญชาตญานแห่งความตายพัฒนามากจากความก้าวร้าว และถูกกดไว้ด้วยขนบธรรมเนียม ศีลธรรม และข้อบัญญัติแห่งกฎหมาย เป็นเรื่องพ้นวิสัยที่มนุษย์ยังมีความต้องการที่จะลายล้างซึ่งกันและกันเพราะแนวโน้มของการทำลายล้างได้ฝังรากลึกลงในองค์ประกอบทางชีวภาพแล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่ง มนุษย์ก็ยังโหยหาการทำลายล้าง
ทำลายแม้กระทั่งตนเอง
เสียงคนเคาะประ ชายร่างผอมสะดุ้งเฮือก สิ่งแรกที่คิดถึงคือตำรวจ คนข้างห้องอาจได้ยินเสียงทะเลาะกันและแอบดูเห็นเขาเอาหมอนอุดจมูกดาริน ผนังห้องโรงแรมต่างจังหวัดเก่าและมีรรูให้แอบดูเยอะไป
เขาหันไปดูศพบนเตียง ถ้าตำรสจอยู่หน้าห้อง แน่นอน! คุกคือที่อยู่ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำพิพากษา
“ศาลได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยได้กระทำฆาตกรรมหญิงที่เคยเป็นคนรักของตน เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบการท้องบุตรสองเดือนของผู้ตาย เป็นการกระทำที่เหี้ยมโหด ผิดวิสัยมนุษย์ ไม่ควรที่จะได้รับการให้อภัย เห็นควรให้ได้รับโทษตายตกตมกันโดยการประหาร...”
เชาน์ปวดหัวหนึบ
เสียงเคาะประตูดังอีกครั้ง คราวนี้แรงขึ้นกว่าเดิม
ต้องทำอะไรสักอย่าง ใช่แล้ว... อย่างน้อยต้องไม่ให้ตำรวจเห็นศพตอนนี้ ใจเย็นไว้..ใจเย็นไว้ เอาศพซ่อนเสียก่อน ใช่...ใช่ เอาศพซ่อน แต่งที่นอนให้เรียบร้อย แล้วเปิดประตูให้ตำรวจเข้ามา อธิบายว่าไม่มีอะไร คงเป็นเสียงเปิดทีวีดังทำให้คนข้างห้องเข้าใจผิด ขออภัยด้วย ตอนนี้หรี่ทีวีแล้ว และสัญญาว่าจะไม่ทำอีกครับ ผมสัญญา
จริงๆนะ ผมสัญญาว่าจะไม่ฆ่าใครอีก
พระเจ้าช่วย ! อย่าเผลอหลุดปากออกไปเป็นอันขาดเชียวนะ ไอ้โง่บรมโง่
ชายผอมเกร็งลุกขึ้นยืน ร่างเซเหมือนจะล้ม เรี่ยวแรงหายหมดหน้าซีดเผือด มือสั่นขณะเอื้อมไปจับขาที่เย็นชืด รู้สึกขยะแขยง ความเครียดกดดันจนโก่งคออาเจียนเอาลมออกมาจากท้อง เขากลั้นหายใจใช้สองมือจับขาคนตายลากมาทางปลายเตียง ดึงเอาผ้าปูที่นอนหลุดลุ่ยตามมา
ไอ้โง่! อุ้มสิวะ อย่าลาก ที่นอนยับยู่ยี่ เดี๋ยวตำรวจก็สงสัย
อุ้มศพเรอะ ไม่มีทาง ให้ตายซะดีกว่า
เสียงเคาะประตูดังโครมๆ “มีใครอยู่มั้ยคร้าบ...เปิดประตูด้วย”
เชาว์กลั้นใจกระตุกศพหญิงที่เคยเป็นคู่รักเต็มแรง ร่างของเธอหล่นโครมกับพื้นดังตึง สองตาเหลือค้างเหมือนกำลังจ้องดูการกระทำของเชาว์ ชายหนุ่มขนลุกเกรียวว รีบถีบร่างเย็นชืดเข้าไปใต้เตียง
“เปิดประตูด้วยครับ ไม่เช่นนั้นผมจะไขกุญแจเข้าไป”
ชายกระโปรงยังโผล่
“เดี๋ยวครับ กำลังจะเปิดแล้ว” เขารีบใช้เท้าเขี่ยชายกระโปรงเข้าไป ไม่มีเวลาเก็บที่นอน
เชาว์วิ่งไปที่ประตู หันมาดูความเรียบร้อยอีกครั้ง
โอ พระเจ้า... เขาคงดันแรงเกินไป ขาซีดข้างหนึ่งเลยโผล่มาอีกฝากของเตียง
เสียงกรุ๊กกริ๊กเหมือนคนขยับพวงกุญแจ เชาว์เกิดความคิดฉับพลัน เขาปิดไฟในห้องทันที ถอดเสื้อกางเกงโยนไปปลายเตียงหยิบผ้าเช็ดตัวพันกาย สูดหายใจลึก ค่อยๆหมุนลูกบิดช้าๆ ลูกบิดทองเหลืองเย็นเยือกเหมือนจับก้อนน้ำแข็ง หนุ่มผอมพยายามทำหน้าเรียบขณะประตูแง้มออก แต่ก็ไม่อาจปกปิดเหงื่อโทรมหน้า
นอกห้อง บ๋อยหนุ่มร่างใหญ่ท่าทางรื่นเริงยืนถือพวงกุญแจขยับไปมา เขามองเชาว์อย่างพิเคราะห์
“โทษนะพี่ ทำอะไรอยู่เหรอ กลิ่นอะไรเหม็นๆในห้อง”
“ก้อ...” เชาว์เสียงแหบ ขาสั่น พูดไม่ออก บ๋อบมองแขกในชุดผ้าขนหนูผืนเดียว ยิ้มทะเล้น
“แหม ผมไม่น่ามากวนเวลาสุนทรีย์ของพี่เลย คือคนข้างห้องเขาโทร.ไปบอกว่า ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันแล้วเสียงเงียบหายไปกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดี ผู้จัดการเลยให้ผมขึ้นมาดู”
“เอ้อ...” เชาว์อึกอัก
“ถ้ามันจบด้วยความสุขสมก็ดี พี่อย่าหักโหมนักนะ ดูสิ มือไม้สั่นเสียงแหบไปหมดแล้ว เดี๋ยวหัวใจวาย จะพานเดือดร้อนกันอีก”
เชาว์นอนมือก่ายหน้าผากบนเตียงโดยมีศพหญิงสาววัยยี่สิบสี่ที่ปากอ้าตตาเหลือกค้างถูกหมกไว้ข้างใต้ หน้าของเธอที่เป็นสีม่วงเพราะขาดอากาศบัดนี้เริ่มกลายเป็นสีเขียว
เขาจะทำอย่างไรดี เชาว์รู้สึกหนาวจนต้องชักผ้าห่มคลุมกายเปลี่ยนท่านอนตัวงอมือกอดเข่า
เมื่อความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา เขาก็คิดได้ว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะนอนคร่ำครวญ ไม่มีอะไรดีขึ้นที่จะโทษตัวเอง สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือหาทางเอาตัวรอดให้ได้
หนีหรือ ? จะหนีไปได้ไกลสักแค่ไหน เชาว์ไม่ใช่นักเลงหัวไม้แค่เป็นพนักงานขายในห้างจังหวัดติดชายแดนเล็ก ที่ทำอะไรโง่ๆ ให้ผู้หญิงหลายชายคนนี้จับตัวไว้ได้ เขาไม่เคยเกลือกกลั้วกับงานผิดกฎหมาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฆ่าดารินได้อย่างไร คงเป็นเพราะความโกรธที่เธอไม่ยอมเอาเด็กออก พยายามผูกมัดเขาด้วยความรับผิดชอบ ตะโกนโหวกเหวกเหมือนพวกอีตัว เขาเพียงแค่เอาหมอนอุดปากเพื่อให้เธอหยุดร้อง อารมณ์ชั่ววูบเดียวเท่านั้นที่ทำให้สองมือยังคงกดหมอนไว้แม้จะไม่ได้ยินเสียงร้องแล้ว
ช่างมันเถอะ ไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่ต้องคิดตอนนี้คือจะหนีไปไหน ทำมาหากินอย่างไร หากกลับบ้าน ตำรวจต้องหาตัวเจออยู่แล้วหรือจะเข้ากรุงเทพฯ ไปตายเอาดาบหน้า
เชาว์รู้สึกมืดมน อนาคตดับวูบ ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังร่วงละลิ่วลงมาจากหน้าผาสูงชัน สองมือไขว่คว้าได้แต่อากาศ
เขาหนีไม่รอดแน่ สมัครงานที่ไหนก็ต้องมีแต่ประกาศจับฆาตกรเลือดเย็นติดอยู่ทั่วทุกสำนักงาน หนังสือพิมพ์ลงข่างเกรียวกราว มีทางเดียวคือไปเป็นพวกสัญจรร่อนเร่ ไม่มีชื่อ ไม่มีที่ซุกหัว หลบคดีนานถึงยี่สิบปีกว่าจะหมดอายุความ
หรือหนีเข้ากัมพูชา ประเทศเดียวที่เงินในกระเป๋าจะพาไปได้ขณะนี้
ไม่หรอก มันน่าจะมีทางอื่นที่ดีกว่านี้
เอาเธอไปฝังที่ไหนสักแห่ง อย่าให้ใครหาศพเจอ ถ้าตำรวจไม่พบศพก็เอาผิดตามกฎหมายไม่ได้ เพราะไม่มีหลักฐานว่าเธอตายแล้ว
แต่จะเอาศพไปฝังได้อย่างไร ? เอาผ้าปูที่นอนห่อแล้วแบกไปโท่งๆ?
ไม่มีทาง
หรือจะรอให้ดึกกว่านี้?
เชาว์นั่งคิดจนปวดหัว คล้ายๆจะได้กลิ่นอะไรเน่าเจือจางโชยจากใต้เตียง คนเราตายแล้วเหม็นเร็วจริง นานแค่ไหนกว่าเธอจะขึ้นอืด ถ้าขึ้นอืดท้องคงบวมขึ้นมาดันเตียงให้ลอยเหมือนมีแม่แรงยก ตนตายโสโครกสกปรกเหมือนกันหมดไม่ว่าจะสวยหรือขี้ริ้ว
ทำยังไงดีๆ ในสมองอึงอลไปด้วยคำถามซ้ำซาก รอให้ดึกแล้วค่อยแอบลากศพออกไป ก็ไม่ได้อีก เพราะต้องผ่านเค้าน์เตอร์แคชเชียร์ หรือจะแอบลงทางบันได้หนีไฟ
จริงสิ ! บันไดหนีไฟ เชาว์ผุดลุกขึ้นนั่ง ขนศพลงทางบันได้หนีไฟออกทางประตูด้านข้าง เอาศพไปหมกไว้ข้างกองขยะ แล้วค่อยกลับมาเช็กเอาต์ หายืมรอเพื่อนขนศพไปฝังที่ไหนสักแห่ง
เขาลุกใส่เสื้อผ้า เหมือนยกภูเขาออกจากอก คว้ากุญแจห้องเดินออกไป เห็นทางรอดรำไร
โน่นไง ป้ายสีแดงสัญลักษณ์บันไดหนีไฟอยู่ทางซ้ายมือ ทางเดินสงบไร้ผู้คน เชาว์กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามทาง เปิดประตูเล็กๆ บันไดเหล็กข้างตึกทอดยาวลงยังชั้นล่าง
เขาวิ่งโครมๆ ลงไป ใจเต้นตึ้กตั้ก มันจะพาออกไปนอกอาคารได้หรือไม่หนอ
คำตอบคือ ไม่.... ที่ชั้นล่างสุดเป็นห้องเล็กๆ ประตูห้องเปิดสู่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว แขกเหรื่อก็คงพากันหนีออกทางบันไดหนีไฟหมด
เชาว์ปีนบันไดกลับขึ้นมาด้วยความสิ้นหวัง ไม่กล้าเดินผ่านโต๊ะแคชเชียร์ไปขึ้นลิฟท์ สิ่งแรกที่รู้สึกเมื่อเปิดประตูห้องคือกลิ่นเหม็นเน่า ทำไมศพเน่าเร็วจัง เธอตายไม่ถึงชั่วโมง
เชาว์เดินไปเดินมาในห้องมืดๆ สมองใช้งานหนัก เขาต้องทำลายศพ นั่นเป็นทางรอด
เผาหรือ? หนังสือพิมพ์เคยลงข่าวฆ่าแล้วเผานั่งยาง แต่มันเป็นไปไม่ได้เลย ไม่เพียงแค่โทษฐานฆ่าคนตาย แต่จะโดนของหาวางเพลิงอีกกระทง
ทำยังไงดีๆ หัวจะระเบิดแล้ว
เชาว์ทรุดลงนั่งขอบเตียง กลิ่นเน่าเจือจางโชยมาจากใต้เตียง เขาต้องทะอะไรสักอย่างโดยเร็ว
เอาศพใส่อ่างอาบน้ำ แล้วใช้น้ำกรดราดดีไหม? ไม่หรอกนั่นมันนิยาย จะต้องใช้น้ำกรดเต็มอ่าง แล้วยังไม่รู้ว่าจะได้ผลจริงรึเปล่า
ชำแหละ...คำนี้แวบเข้ามาในสมอง แค่คิดก็ทำให้เชาว์ถึงกับโก่งคออาเจียน เขาเคยอ่านเจอในหนังสือเรื่องที่ฆาตกรโรคจิตชำแหละศพ นั่นมันพวกโรคจิต เขาไม่ใช่
แต่...นี่เป็นทางรอดเดียวไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้ปรารถนาจะทำแต่เขาต้องทำ
เชาว์หลับตาเห็นภาพตัวเองใช้มีดสับร่างของดารินออกเป็นชิ้นหัวกระเด็นไปทางหนึ่ง ตับไตไส้พุงหลุดผั๊ละออกมากองกับพื้น คาวเลือดคละคลุ้ง เขาต้อง สับ...สับ...สับ ตัดกระดูกข้อมือ ข้อนิ้วเป้นชิ้นเล็กๆ เอาใส่ถุงทยอยขนออกไป
เชาว์คลื่นไส้และอาเจียนอีก เปรี้ยงและขมในลำคอ หนักจนหัวคะมำตกจากโต๊ะ รีบตะกายขึ้นนั่ง เรี่ยงแรงหายหมด
ไม่...ฉันทำไม่ได้ มันโหดร้ายเกินไป
นั่นไม่ใช่การกระทำของมนุษย์
ต้องได้สิ มันเป็นทางเดียวที่เหลืออยู่เธอตายไปแล้ว ไม่ได้รู้สึกรู้สมอะไรด้วย ไม่ว่าแกจะทำอย่างไรกับซากศพนั่น จงลุกขึ้น ไปซื้อมีดคมๆ ทั้งเล็กและใหญ่
สำนึกแห่งการเอาตัวรอด และบรรทักฐานสังคมต่อสู้กันหหนักหน่วง
เชาว์หลับตานิ่ง รู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ทะลักออกจากสองตา ช่างมันเถอะให้ตำรวจจับไปเข้าคุก ยิงเป้าก็แล้วแต่เวรแต่กรรม เขาทำไม่ได้จริงๆ
ชายหนุ่มสะอื้นไม่มีเสียง ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
แต่...มันกระซิบข้างหู
อย่าเพิ่งยอมแพ้สิ แกยังมีทางรอดเหลืออยู่ ทำฆาตกรรมอำพรางสิ ถ้าทิ้งศพไว้ แพทย์ย่อมตรวจพบว่าเธอถูกอุดจมูกตาย
ทำไมไม่โยนศพลงไป แล้วบอกคนทั้งหลายว่าเธอกระโดดลงไปเองตำรวจคงไม่สงสัย แต่งเรื่องให้ใสมจริงสมจังหน่อย บาดแผลอื่นก็ไม่มีแกอาจรอด
ใช่ ! เชาว์ตาลุกโพลง เขาเด้งตัวขึ้นจากเตียง ทำไมเราโง่อย่างนี้นะ โยนลงไปเลย ความสูงของตึกแปดชั้นคงช่วยให้ร่างเธอแหลกเหลวจนไม่มีหมอคนไหนอยากชันสูตร ปีกตึกด้านนี้ก็เป็นลานจอดรถ ไม่ค่อยมีคน พอโยนเสร็จก็แกล้งมานอนหลับ ทำทีไม่รู้เองว่าเธอกระโดลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เชาว์เด้งตัวจากพื้น หนทางรอดปลุกความหวังและความกระฉับกระเฉงกลับคืน เขาวิ่งไปที่หน้าต่างกระจก ใช้กระดาษทิชชู่จับบานเลื่อนเลื่อนมันไปด้านข้างให้กว้างที่สุด ไม่ต้องการให้มีรอยนิ้วมือบนมือจับ
ลมแรงภายนอกพัดพรูเข้ามา อากาศบริสุทธิ์เข้าแทนที่กลิ่นเหม็นเน่าภายในห้อง เชาว์ชะโงกหน้าดูพื้นเบื้องล่าง ลานซีเมนต์กล้างและมือไร้คนป้อมยามอยู่ห่างไปเกือยร้อยเมตร เชื่อว่าเสียงศพกระทบพื้นคงไม่ถึง
โชคดีที่เชาว์ไม่ได้เปิดไฟในห้อง มิฉะนั้นหากยามมองขึ้นมาอาจเห็นว่าเค้าเป็นผู้เปิดหน้าต่าง
เมื่อสำรวจจนแน่ใจแล้วเชาว์ก็ถอยกลับมาทบทวนเรื่องราว เขาจะสร้างเรื่องว่ามีปากเสียงกันนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องหึงหวง คนข้างห้องช่วยเป็นพยานได้ หลังจากนั้นก็ได้พูดจาปลอบโยนจนเข้าใจแล้วจึงได้มีความสุขด้วยกัน ซึ่งบ๋อยช่วยเป็นพยานได้อีก หลังจากนั้นเขาก็เพลียหลับไป ฝ่ายหญิงอาจจะคิดมาก จึงแอบเปิดหน้าต่างโดดลงไป
ใช้ได้ เป็นเหตุเป็นผล มีพยานพร้อม
สิ่งสุดท้ายคือ โยนหล่อนลงไปซะ ศพไม่มีความรู้สึกร้อนหนาวอะไรแล้ว คนสิ ยังต้องทุกข์ทนอีกนานนักหนา
เชาว์เดินกลับไปที่เตียง ห้องมืดสนิท แต่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเอื้อมมือควานไปใต้เตียง
เขาจับถูกหัวเย็นชืดกับผมแห้งกรัง ช่างมันเถอะ คนตาย! จับตรงไหนก็เหมือนกัน ไม่ต้องพิถีพิถันมากความ เชาว์เอามือขยุ้มหัวลากร่างแข็งทื่อไปที่หน้าต่าง กลิ่นเหม็นโชยแรงขึ้นพร้อมกับศพหลุดจากใต้เยง ชวนสะอิดสะเอียนขนลุกเมื่อจับโดนเนื้อเย็นชืด พองเหมือนสูบลม
เชาว์กลั้นใจ นับ หนึ่ง สอง สาม หลับหูหลับตาทุ่มร่างที่ปราศจากวิญญาณออกไปทางหน้าต่าง มันลอยละลิ่วลงสู่ลานซีเมนต์ที่ปราศจากผู้คน มีเสียงตุ๊บดังขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่าง แล้วทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง กลิ่นเหม็นในห้องค่อยๆจางไป ลมยังพัดพรูเข้ามาเขาไม่คิดจะปิดหน้าต่าง เพราะจะเป็นพิรุธให้จับได้ คนโดดตึกตายจะย้อนกลับมาปิดหน้าต่างได้อย่างไร เขารอบคอบเสมอ
เชาว์ล้มตัวลงนอน หลับตา รู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยมันก็เป็นทางรอดที่มองเห็น ขอแต่ควบคุมอารมณืให้ดี แสดงละครให้สมจริงสมจัง
เมื่อมีคนพบศพ นั่นคือเวลาชี้ชะตา
เกือบชม.หลังจากนั้น เชาว์ได้ยินเสียงล้งเล้งจากด้านล่าง คงมีคนเห็นศพ พักหนึ่งก็มีเสียงรถหวอแล่นมาแต่ไกล อาจมีตำรวจตามมาด้วย เขาไม่กล้าลุกขึ้นดู
ไม่ถึงสิบนาที เสียงบู๊ตหนังอย่างน้อยสี่คู่เดินเป็นจังหวะรีบร้อนจากลิฟท์มาหยุดหน้าห้อง
”นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เปิดประตูด้วยครับ”
เชาว์รอให้เรียกครั้งที่สองจึงค่อยขานรับ ทำงัวเงียเปิดประตูกว้าง เปิดไฟในห้อง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ตำรวจสี่นายกับบ๋อยร่างใหญ่ยืนหน้าตาเคร่งเครียดอยู่หน้าห้อง
“มีอะไรหรือครับ” นัยน์ตาแดงกร่ำเพราะอดนอนดูสมจริง
“เราพบศพผู้หญิงตกที่พื้นซีเมนต์ตำแหน่งเดียวกับห้องของคุณและเห็นหน้าต่างห้องคุณเปิดอยู่ เชื่อว่ามีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นในห้องนี้ ต้องขอความร่วมมือใสอบปากคำและให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจหาร่องรอยการทำฆาตกรรมให้ห้องด้วยครับ
“ฆาตกรรม...” เชาว์หัวหมุนติ้ว มือไม้สั่น “ไม่ใช่กระมังครับ ผู้ตายเป็นคนรักของผมเอง เรามีปากเสียงกันนิดหน่อย เธออาจจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายตอนผมหลับก็ได้”
ตำรวจมองหน้ากัน “คุณแน่ใจหรือครับว่าคนรักของคุณกระโดดตึกตาย”
“แน่ใจครับเพราะก่อนผมหลับ ยังเห็นเธอนั่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่าง เธออาจคิดสั้น”
“คงไม่ใช่หรอกครับ มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน เธออาจไม่ได้ฆ่าตัวตายก็ได้ เธออาจโกรธคุณเลยหนีกลับบ้านไปแล้วก็ได้” เชาว์งง ตำรวจพูดอะไร
“แต่เมื่อครู่ หมวดบอกว่าเจอศพของเธอ หมายความว่ายังไงครับ?”
“อ๋อ ศพที่ผมกล่าวถึงเมื่อครู่เป็นศพของหญิงชราที่ตายจนศพเริ่มมีกลิ่นแล้ว สันนิฐานว่า เธอคงถูกฆ่าประมานหนึ่งวันก่อนที่คุณจะเข้ามาพัก มีรอยเชือกรัดรอบคอชัดเจน และศพอาจถูกซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง เช่น ใต้เตียง โดยคุนมาพักต่อจากฆาตกรไม่รู้เรื่อง และก็แปลกที่มีใครบางคนโยนศพจากหน้าต่างห้องคุณเมื่อประมานชั่วโมงก่อนหน้านี้”
เชาว์หรุดลงนั่งกับพิ้น คอแห้งผาก
“เอ๊ะ อะไรนั่น” ตำรวจนายหนึ่งชี้มือไปที่เตียง มีเท้าเล็กๆซีดเขียวโผล่แลบจากพื้นเตียงหน่อยนึง
“ใช่เท้าคนรักของคุณรึเปล่า?”
....................................
ผลงานอื่นๆ ของ ●•MAMABEAR•● ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ●•MAMABEAR•●
ความคิดเห็น