ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #18 : [ANNA] Zero Point (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 76
      9
      21 เม.ย. 62

    Zero Point (2)

    [ R O G U E ]

     

    ทุกคนคงจำเรื่องเหตุการณ์นรกแตกที่เกิดในชิคาโกได้ดี

    ถ้าลองหวนนึกย้อนกลับไปในวันนั้น...วันที่ 21 ธันวาคม ข่าวทุกสำนักรายงานการแพร่ระบาดของโรคมหาภัย พร้อมกับคำสั่งฉุกเฉินของรัฐบาลที่แจ้งแก่ประชาชน เพียงแค่สี่วันต่อจากนั้น ชิคาโกก็กลายเป็นเขตแดนต้องห้าม มีการตรวจพบเชื้อโรคที่ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันคืออะไร ผู้คนที่ไม่ได้อพยพออกนอกเมืองยังคงยืนหยัดอยู่ใน ‘ซีโรโซน’ ต่อสู้กับโรคร้าย...และเอาชีวิตรอดจากมนุษย์ด้วยกันเอง

    ว่ากันว่าจุดที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้...คือต้นตอของเหตุแพร่ระบาดอันแสนน่าสะเทือนขวัญ

    พื้นที่ต้องห้ามของชิคาโกถูกห้อมล้อมไปด้วยซากปรักหักพังมากมาย รถฮัมวีทหารขนาดใหญ่ถูกจอดเอาไว้ด้านหน้า ทั้งกระสอบทรายและกล่องสรรพาวุธเปล่าๆ  อีกจำนวนมากถูกจัดตั้งขึ้นเสมือนกำแพง ป้ายไวนิลขนาดใหญ่แขวนอยู่บนผนังของตึกทั้งสองข้างอันเป็นทางเข้าไปสู่ 'ซีโรพอยท์มันอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดว่าบริเวณนี้เป็นเขตกักกัน ห้ามผู้ใดเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาต

    บรรยากาศโดยรอบซีโรพอยท์ดูราวกับฉากในหนังสยองขวัญ เสียงปริศนาดังสะท้อนออกมาจากประตูลูกกรงเหล็กที่ถูกปิดตาย ฟังคล้ายกับเสียงกรีดร้องของมนุษย์ ขยะและคราบเลือดที่กองอยู่ใต้ฝีเท้าช่วยเพิ่มความน่าสะพรึงกลัวได้เป็นอย่างดี ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด บางคนที่เคยอยู่ด้านหลังประตูอาจจะตายไปจนหมดแล้วก็ได้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ควรประมาท

    เช็คอาวุธบาร์ทเลทท์ส่งเสียงเรียก เขาหยิบปืนไรเฟิลจู่โจมขึ้นมาเตรียมพร้อมอย่าลืมสวมหน้ากากด้วยล่ะ ที่นี่คือเขตอันตราย

    แอนนาทำตามที่อีกฝ่ายบอกอย่างเคร่งครัด แม้อาวุธในมือจะมีเพียงแค่ปืนพกหนึ่งกระบอก แต่เธอมั่นใจว่างานนี้ตนเองจะต้องเข้าข่ายระวังแบบสุดๆ หญิงสาวยกหน้ากากป้องกันโรคขึ้นมาสวมก็เป็นอันเรียบร้อย ตอนนี้เจ้าหน้าที่โร้กทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก้าวต่อไปก็ไม่ต่างไปจากการเดินไปสู่ประตูนรก

    เฮ้หญิงสาวหันไปหาเจ้าของเสียง วูล์ฟฟ์ชี้นิ้วกลับมายังกล้องที่เธอสะพายอยู่บนคออย่าเก็บภาพอะไรไปล่ะ

    ทำไมเหรอ

    เขาเงียบ แต่ทว่าสีหน้ากลับจริงจังมากขึ้น วูล์ฟฟ์ยังคงไม่เห็นด้วยกับอาชีพนักข่าวของเธอ ยิ่งไปกว่านั้นคือหมอนั่นไม่ยอมไว้ใจเธอเลยสักนิด

    เชื่อผมเถอะ นักข่าวอย่างคุณต้องรู้จักเคารพสถานที่บ้าง

    แอนนาไม่เอ่ยอะไรตอบ หญิงสาวก้มลงมามองกล้องถ่ายรูปของตนเองอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองประตูทางเข้าของซีโรพอยท์...ข้างในนั่นซ่อนอะไรไว้นะ? เธอคิด

    แน่นอนว่าพื้นที่ต้องห้ามเช่นที่นี่จะต้องถูกคุ้มกันเอาไว้อย่างดี แม้แต่ด้ามจับประตูลูกกรงเหล็กยังถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยโซ่เส้นยักษ์ เธอหันไปหาวูล์ฟฟ์ ดูจากอุปกรณ์ตัดเหล็กในมืออีกฝ่ายแล้ว เธอก็พอจะรู้ได้ว่าตอนนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนถือกุญแจเข้าออกซีโรพอยท์ไว้เลย ร่างกำยำสาวเท้าเข้าไป คีมขนาดใหญ่ในมือจัดการกับเครื่องพันธนาการเบื้องหน้า แล้วเสียงโซ่เหล็กร่วงกระทบกับพื้นก็ดังสนั่นขึ้น

    เจ้าหน้าที่วูล์ฟฟ์ใช้มือเลื่อนเปิดประตูอย่างใจเย็น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วคนอย่างเขาควรจะเอาเท้าถีบเสียมากกว่า สมาชิกอีกสองคนเตรียมตัว โดยเฉพาะกับบาร์ทเลทท์ เขายกปืนขึ้นแล้วตั้งท่าโจมตีอย่างมั่นคง นิ้วมือขยับไปกดปุ่มเปิดไฟฉายที่ติดอยู่กับอาวุธของตนเอง เข่าทั้งสองย่อลงไปเล็กน้อยขณะเตรียมตัวสาวเท้าเหยียบหิมะเข้าไปด้านใน

    ชายหัวโล้นเดินนำเข้าไปก่อน แสงไฟใต้ลำกล้องปืนสัญชาติรัสเซียในมือกวาดไปทั่วทุกทิศทาง สายตาแหลมฉายแววความระมัดระวัง

    เคลียร์

    สัญญาณที่บอกกลับมาทำให้มั่นใจในระดับหนึ่ง แอนนาก้าวเท้าตามหลังเจ้าหน้าที่หนุ่มไป ความมืดมิดเข้าปกคลุมเส้นทางเบื้องหน้า เสียงสะท้อนก้องกังวานมาจากที่ใดสักแห่งในเขตต้องห้าม ร่างบางพยายามควบคุมความกลัว ลมหายใจเริ่มดังถี่ขึ้นมากกว่าปกติ ดวงตาคู่สวยปรับให้เข้ากับเงามืดโดยรอบ เธอเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูเหล็กนี่ไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ก็พอจะรู้ว่ามีแต่รถบรรทุกที่ถูกจอดทิ้งเอาไว้ ดูจากสภาพแล้วที่นี่อาจจะเคยเป็น...ค่ายทหารมาก่อน

    สยองเป็นบ้าแอนนาอุทานขณะกวาดสายตามองไปรอบๆ

    ไม่มีใครเข้าออกที่นี่ตั้งแต่เกิดเรื่องบาร์ทเลทท์ตอบกลับอย่างที่เห็น...ทุกอย่างถูกปล่อยทิ้งเอาไว้

    พวกเวรนี่ไม่เสียดายงบเลยแฮะ

    ชายหนุ่มน่าโหดหัวเราะเบาๆ ฝีเท้าย่างก้าวต่อไปบนพื้นที่ไร้เกล็ดหิมะ ตอนนี้พวกเขาเดินออกห่างจากประตูทางเข้ามามากโขแล้ว ไม่มีวันที่จะหันหลังกลับ มีแต่ต้องเผชิญหน้าเท่านั้น เสียงสะท้อนดังแว่วมาตามลมอีกครั้งหนึ่ง ทำเอาขนลุกได้ง่ายๆ กับบรรยากาศชวนสยองแบบนี้ แอนนารู้สึกเหมือนกับเธอกำลังถูกใครจ้องมอง ความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อเดินผ่านมุมอันมืดมิด หญิงสาวเล็งปืนไปทั่ว นิ้ววางอยู่ในตำแหน่งใกล้กับโกร่งไก

    เคร๊ง!

    เสียงปริศนาทำเอาเจ้าหน้าที่โร้กทั้งสามถึงกับสะดุ้งเฮือก ทั้งบาร์ทเลทท์และวูล์ฟฟ์หันปืนไปในทิศทางเดียวกัน แสงสว่างรูปวงกลมจากไฟฉายขนาดเล็กสาดส่องไปยัง...อะไรบางอย่าง กระป๋องน้ำมันถูกผลักลงมาด้วยแรงที่มองไม่เห็น นั่นน่าจะเป็นสาเหตุของเสียงเมื่อครู่นี้ สองเจ้าหน้าที่ค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปใกล้เพื่อทำการตรวจสอบ ในขณะนั้นสายตาก็ยังไม่ละไปจากแสงไฟเบื้องหน้าตนเอง

    อัตราการเต้นของชีพจรทวีเพิ่มมากขึ้น แอนนารับรู้ได้ว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นแรงจากความตื่นเต้น มันแทบจะทะลุออกมานอกทรวงอก หญิงสาวยังคงยืนคุ้มกันอยู่ห่างๆ ในระหว่างที่ปล่อยให้สองคนนั้นเข้าไปดูสถานการณ์ และทันใดนั้นสองเจ้าหน้าที่ก็หยุดนิ่ง ฝีเท้าไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว วูล์ฟฟ์ค่อยๆ ใช้ปลายปืนเขี่ยกระป๋องเหล็กเจ้าปัญหาอย่างระมัดระวัง

    แล้วอะไรบางอย่างก็ดังขึ้น จี๊ด เจ้าหนูตัวเล็กวิ่งออกมาจากด้านในวัตถุดังกล่าว ทำเอาความกังวลเมื่อครู่นี้หายไปจนหมดสิ้น สองเจ้าหน้าที่หนุ่มหันหน้ามาหากันก่อนที่วูล์ฟฟ์จะเป็นฝ่ายหัวเราะ ให้ตาย เขาเป็นถึงโร้กแต่กลับต้องมาตกใจเพราะหนูตัวเล็กๆ เนี่ยนะ ทว่าบาร์ทเลทท์ไม่ได้รู้สึกขำแต่อย่างใด ดวงตาของเขายังคงฉายแววความระมัดระวังไม่เปลี่ยนแปลง ฝีเท้าก้าวต่อไปตามเส้นทางที่ถูกปิดอีกครั้ง

    บรรยากาศดำดิ่งเข้าสู่ความเงียบงัน มีเพียงแสงสีส้มจากกองไฟที่พวกเขาจุดเอาไว้เต้นรำอยู่กลางวงสนทนา พวกเขาตัดสินใจนั่งพักก่อนจะเข้าไปในใจกลางของซีโรพอยท์ อันเป็นที่มาของสัญญาณขอความช่วยเหลือ หญิงสาวนั่งกอดเข่าพิงหลังกับกล่องเก็บของซึ่งถูกวางทิ้งเอาไว้ บาร์ทเลทท์เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไรมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แววตาบ่งบอกได้ชัดเจนว่าชายหนุ่มกำลังเคร่งเครียดอยู่กับภารกิจนี้ เพราะมันสำคัญกับทุกคนในชิคาโกเป็นอย่างมาก

    ไออบอุ่นจากเปลวเพลิงพอทำให้ร่างกายคลายความหนาวได้พอสมควร แอนนาถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอไม่ค่อยชอบความเงียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความเงียบที่อยู่ในดินแดนนี้ นัยน์ตาสีอำพันทองกวาดมองไปยังสรรพสิ่งรอบตัว ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอะไรมาโจมตีเราหรือเปล่า แต่ทุกคนก็ระวังตัวไว้เป็นอย่างดี

     “อยากรู้เรื่องชวนสยองของที่นี่มั้ย

    ไม่อยากจะเชื่อว่าครั้งนี้คนที่ชวนคุยกลับกลายเป็นชายหน้าโหดอย่างวูล์ฟฟ์ แน่นอนว่าคำถามนั้นกระตุกต่อมความสนใจได้เป็นอย่างดี แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเกลียดเรื่องสยองขวัญมากแค่ไหนก็ตาม แต่ด้วยความที่เป็นนักข่าว เธอต้องได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่..ไม่มากก็น้อย  แอนนาพยักหน้า เธอเตรียมตัวเตรียมใจฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายด้วยการนั่งเงียบๆ นั่นถึงกลับทำให้สีหน้าของวูล์ฟฟ์เปลี่ยนแปลง

    ชายหนุ่มหัวโล้นกระแอมครั้งหนึ่ง เรื่องเล่าชวนสยองขวัญกำลังจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้

    อย่างที่คุณเห็น...ที่นี่เคยเป็นค่ายทหารมาก่อน

    แล้ว?

    เคยมีเรื่องเล่านะ ตอนเกิดเหตุระบาดจนเกินควบคุมจากในซีโรพอยท์ รัฐบาลส่งกองกำลังแรกเข้าไปจัดการกับเรื่องนั้น...แต่ทุกอย่างมันกลับสายเกินแก้

    น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก หญิงสาวยังคงไม่เอ่ยอะไร เธอรอให้วูล์ฟฟ์เล่าเหตุการณ์ชวนสยองนั่นจนจบ บรรยากาศอันแสนมืดมิดโดยรอบก็ช่วยเพิ่มความสะพรึงกลัวให้กับเรื่องนั้นเป็นอย่างดี จนเธอคิดว่าตนเองเผลอหลุดเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเหนือธรรมชาติอะไรทำนองนั้น

    ชาวเมืองทุกคนติดเชื้อหมด บ้างก็ตายไปแล้ว บ้างก็ยังมีชีวิตรอดอยู่อย่างทรมาน แน่นอนว่ากองกำลังทหารช่วยอะไรคนพวกนั้นไม่ได้เลย

    เขาเว้นวรรค สีหน้าจริงจังกว่าเดิม

    คุณรู้มั้ยว่ารัฐบาลจัดการกับเรื่องนี้ยังไง

    หญิงสาวส่ายหน้า

    พวกนั้นตัดสินใจปิดตายที่นี่ซะ ถ้าคนจากที่นี่ออกไปไม่ได้ก็เป็นอันปิดจ๊อบเรื่องโรคระบาดน้ำเสียงของชายหนุ่มเริ่มชวนน่าสะพรึงกว่าเดิม ทำเอาบรรยากาศโดยรอบชวนให้ขนหัวลุกไปด้วยแน่นอนว่าพวกทหารที่ถูกส่งมา...ตายเป็นเบือ...บางคนที่ยังรอดก็พยายามหาทางออกไปจากที่นี่

    “...แล้วพวกเขาออกไปได้มั้ย

    คำถามของแอนนาเต็มไปด้วยความสงสัย เธอไม่เคยรับรู้เรื่องราวนี้มาก่อน แถมดันได้มารู้จากปากของวูล์ฟฟ์ ยอมรับเลยว่ามีบางส่วนที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับเรื่องที่รัฐตัดสินใจปิดพื้นที่นี้ซะ ปล่อยให้ทั้งชาวเมืองและทหารที่ตนเองส่งมาตายเหมือนสัตว์ ซึ่งมันแลดูเกินเลยไปหน่อยในสายตาของเธอ

    พวกเขาคงไม่โหดร้ายขนาดนั้น...หรอกมั้ง

    ไม่มีใครหนีออกไปได้น่าแปลกที่คราวนี้คนตอบดันเป็นบาร์ทเลทท์ สายตานั่นเหลือบมองกลับมาไม่ว่าใครก็ตามที่คิดหนีออกจากที่นี่จะโดนยิงตาย

    บ้าน่า

    เหอะไม่บ้าหรอกน้องสาว เห็นเลือดที่อยู่หน้าประตูมั้ยล่ะ?”

    งั้นเราก็ควรรีบหาคอร์เทซให้เจอแอนนาออกความเห็นแล้วออกไปจากที่นี่ซะ

    เห็นด้วย

    หมดช่วงเวลาสำหรับพักแล้ว ตอนนี้พวกเขาจะต้องเดินทางต่อไปให้ถึงใจกลางของซีโรพอยท์ วูล์ฟฟ์หยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาเปิดเป็นระยะๆ เสียงซ่าของมันจะทำให้พวกเขารู้ที่มาของสัญญาณ ถ้าคอร์เทซยังมีชีวิตอยู่ เสียงของเธอก็จะดังขึ้นจากเครื่องมือสื่อสารนั่น เจ้าหน้าที่โร้กทั้งสามคนยังก้าวเท้าต่อไปด้วยความระมัดระวังสูงสุด ยิ่งเข้ามาลึกมากเท่าไหร่ แสงจากดวงอาทิตย์ก็ยิ่งจางหายไปมากเท่านั้น แอนนาอาศัยไฟฉายกระบอกเล็กในมือของเธอ สาดส่องวงกลมสว่างไปตามทิศทางเบื้องหน้า

    แปลกประหลาดนักที่พวกเขาไม่พบเจออะไรเลยตั้งแต่เข้ามาในนี้ คงต้องโทษเรื่องชวนสยองของวูล์ฟฟ์ที่ทำให้เธอกลัว บางทีที่นี่อาจจะเป็นแค่จุดต้นตอของการระบาด เรื่องพวกนั้นอาจจะเป็นแค่...เรื่องหลอกเด็ก แอนนาปลอบตนเองแบบนั้น อย่างที่บอกว่าในความเป็นจริงเธอก็ไม่ค่อยชอบอะไรแนวนี้เสียเท่าไหร่ สายตาของหญิงสาวกวาดมองรอบตัว ความเป็นกังวลปรากฏออกมาให้เห็นอยู่ตลอด

    ทันใดนั้นเองอะไรบางอย่างก็บินตัดหน้าเธอไป พรึ่บ! หญิงสาวลื่นล้มลงบนพื้นแห้งๆ มือเผลอทำไฟฉายตกอย่างช่วยไม่ได้ เสียงของนกเจ้าปัญหาดังสะท้อนไปทั่วดินแดนมรณะ เพราะมันนั่นแหละเธอถึงเผลอล้มก้นจ้ำเบ้าแบบนี้ แอนนาหันไปมองตามทิศทางที่เจ้านกนั่นบินไปขณะสาปส่งมันเบาๆ มือเรียวเอื้อมไปยังทิศทางที่ไฟฉายตกอยู่ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา

    ...แล้วเธอก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง

    เป็นอะไรมั้ย

    บาร์ทเลทท์เดินมาสมทบ เธอได้ยินคำพูดแว่วๆ ของวูล์ฟฟ์ในระหว่างที่อีกฝ่ายยืนมองอยู่ ‘ให้ตายสิซุ่มซ่ามชะมัด แอนนาส่ายหน้าก่อนจะจับมือของชายหนุ่มเอาไว้ ในขณะที่เขากำลังพยุงร่างของเธอขึ้น แน่นอนว่ามือข้างหนึ่งได้คว้า ‘ สิ่งนั้น’ ติดกลับมาด้วย

    หญิงสาวก้มลงมองสิ่งที่เจ้านกตัวดีนั่นทิ้งเอาไว้ให้เธอ ขนนกสีดำสนิทที่เรียบละเอียดจนน่าสนใจ แอนนาขมวดคิ้ว เธอพลิกมองสิ่งของในมือของตนเองขณะตั้งข้อสงสัย คุ้นตาเสียเหลือเกิน แม้จะเป็นครั้งแรกที่เธอมาในซีโรพอยท์และอาจจะเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับนกนั่น แต่ทำไม...แอนนายังไม่หายสงสัย อาจจะเป็นเพราะว่าขนนกที่อยู่ในมือตอนนี้ดูคล้ายกับ...

    ...ของใครบางคน

    ดูนี่สิ สัญญาณมาแล้ว

    เสียงปี๊บๆ ของวิทยุในมือวูล์ฟฟ์ดังในความเงียบ นั่นคงจะเป็นโชคดีระดับหนึ่งของเจ้าหน้าที่ทั้งสามคน คอร์เทซยังไม่ตาย สัญญาณขอความช่วยเหลือของหล่อนยังคงถูกส่งมาไม่หยุด แต่หมอคนนั้นอาจจะปลอดภัยได้ไม่นานแน่ ดังนั้นพวกเขาคงต้องเร่งฝีเท้าเสียหน่อย

     

    ซีโรพอยท์กว้างขวางกว่าที่คิดนัก จากข้อมูลที่อ่านมา พื้นที่ต้องห้ามนี้กินอาณาเขตภายในเมืองอยู่พอสมควร แถมยังขึ้นชื่อเรื่องปริมาณเชื้อโรคมหาภัยที่มากกว่าด้านนอกเป็นหลายเท่า เสียงลมหายใจผ่านเครื่องกรองอากาศของเจ้าหน้าที่ทั้งสามดังประสานกัน บาร์ทเลทท์ต้องคอยดู 'อุปกรณ์ตรวจวัด' บนข้อมือของเขาเสมอ ถ้าเข้าไปในบริเวณที่มีระดับเชื้อโรคมากกว่าปกติ หน้าจอทัชสกรีนนั่นก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงและส่งเสียงเตือน นอกจากอุปกรณ์ระวังภัย ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะทุ่มทุนไม่อั้นเรื่องเทคโนโลยีล้ำสมัยแก่หน่วยแซค

    นัยน์ตาของวูล์ฟฟ์จับจ้องไปยังนาฬิกาข้อมือ ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นโหมดเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหวได้ ตอนเข้ามาในนี้ช่วงแรก สองเจ้าหน้าที่อาจจะยังพอคุ้นเคยกับบริเวณรอบนอกของซีโรพอยท์บ้าง เพราะเช่นนั้นจึงไม่มีใครหยิบอุปกรณ์หรือตัวช่วยอะไรขึ้นมาเลย แต่ทว่าในตอนนี้กลับต่างออกไป เงามืดคืบคลานมามากขึ้นจนทัศนียภาพโดยรอบกลายเป็นสีดำ ซึ่งเป็นอะไรที่ยากลำบากต่อการสำรวจวัตถุรอบตัว แอนนาต้องคอยอยู่ในเส้นทางเสมอ อย่างที่เคยถูกกำชับเอาไว้ว่าห้ามแตกแถวเด็ดขาด

    "หยุด"

    ทันใดนั้นเองชายหัวโล้นก็ส่งสัญญาณมือ ทุกคนชะงักนิ่งอยู่กับที่ บาร์ทเลทท์เตรียมปืนขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ ดูเหมือนว่าเซนเซอร์จะตรวจจับการเคลื่อนไหวบางอย่างได้ ชายหนุ่มหันกลับมาหาน้องใหม่แล้วกระซิบบอกเธอ 'อยู่นิ่งๆ' แอนนาทำตาม ปืนพกยังคงถูกถือในระดับที่เตรียมพร้อมจะเหนี่ยวไก แน่นอนว่าเธอได้ทำการปลดเซฟเรียบร้อยแล้ว ดวงตาสีอำพันทองปรับให้เข้ากับความมืดโดยรอบตัว หูเริ่มได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเหมือนกับที่ได้ยินกระป๋องน้ำมันเมื่อครู่นี้

    แต่ทว่ามันไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย กระป๋องน้ำมันคงกลิ้งไปไหนมาไหนแบบที่เจอในเซนเซอร์ไม่ได้แน่ จุดวงกลมสีขาวปรากฏอยู่บนหน้าจอ วูล์ฟฟ์หันทิศทางอุปกรณ์ของเขาไปรอบๆ เพื่อมองหาที่มาของการเคลื่อนไหว จุดสีขาวกระพริบหายไปครู่หนึ่ง เป็นอันรู้ว่าสิ่งนั้นได้หยุดนิ่งไปแล้ว จนกระทั่งมันเริ่มขยับอีกครั้ง โดยมีทิศทางตรงมายังสามเจ้าหน้าที่ เขายกมือบอกบาร์ทเลทท์ให้เตรียมเข้าปะทะ

    ...เพราะมันอยู่ตรงหน้านี้เอง

    แอนนาปิดปากเงียบ เสียงหายใจดังกึกก้องค่อยๆ เพิ่มความเร็วโดยอัตโนมัติ เมื่อเธอได้รับรู้ความหมายสัญญาณมือของเจ้าหน้าที่วูล์ฟฟ์ หญิงสาวก็เริ่มใจเต้นเร็วกว่าปกติ ลึกไปในความเงียบนั้นมีอะไรบางอย่างกำลังตรงมาหาพวกเขา ความเร็วอยู่ในระดับการก้าวเดินธรรมดา เมื่อสิ่งนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ในระยะที่พอสมควรแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งสามคนก็เริ่มได้ยินเสียงฝีเท้า..เสียงฝีเท้าหนักๆ ของบางสิ่ง 

    คนที่อยู่ด้านหน้าฉายแสงไปทางที่มาของเสียงนั่น และสิ่งที่เห็นก็ทำให้พวกเขาถึงกับสิ้นคำพูด

    "..ช..ช่วยด้วย"

    จุดสีขาวบนหน้าจอเซนเซอร์ในตอนนี้กระพริบถี่กว่าเดิม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้น ทั้งวูล์ฟฟ์และบาร์ทเลทท์สาวเท้าเดินเข้าไปขนาบข้างกัน เสียงครวญครางนั่นเอ่ยราวกับกำลังจะสิ้นชีพ ในตอนนั้นเองที่ไฟฉายสาดกระทบลงบนร่างสูงของใครคนหนึ่ง เครื่องแบบที่มันสวมใส่ทำให้เดาได้ไม่ยากเลย...

    ทหารเหรอ? ได้ไงเนี่ย? แอนนาขมวดคิ้ว

    "หยุดอยู่ตรงนั้น!"

    เสียงคำสั่งของวูล์ฟฟ์ดังก้องและดูเหมือนจะสะท้อนเหมือนอยู่ในถ้ำ ปลายกระบอกปืนสัญชาติรัสเซียชี้ไปยังนายทหารปริศนา แต่แทนที่จะทำตามคำสั่ง อีกฝ่ายกลับตัดสินใจสาวเท้าเข้ามาใกล้อย่างไม่ลดละ ปากพึมพำร้องขอความช่วยเหลือราวคนไร้สติ บาร์ทเลทท์พยักหน้าบอกกับเพื่อนร่วมทีมเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะคอยคุ้มกันให้ ชายหนุ่มชี้ปลายกระบอกปืนไปทางนั้นบ้าง ในขณะที่เป้าหมายก็ยังคงสาวเท้ามาเรื่อยๆ

    "ด...ได้...โปรด..."นายทหารคนนั้นโอดครวญ"ช...ช่วยพวกเรา...ที"

    "พระเจ้า--ดูหมอนี่สิ"

    หนึ่งในเจ้าหน้าที่อุทาน วูล์ฟฟ์เป็นคนแรกที่ตั้งข้อสังเกตได้จากการมอง 'สภาพ' อันน่าเวทนานั่น ร่างทั้งร่างของทหารคนนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด...หรือของเหลวอะไรบางอย่าง คราบสีดำเปรอะไปทั่วเสื้อเกราะแถมยังติดเต็มใบหน้า แขนทั้งสองข้างมีตะปุ่มตะป่ำขึ้น บางตุ่มพองจนแตกกลายเป็นของเหลวใสเหมือนหนอง แม้แต่ใบหน้านั่นก็ยังมีตุ่มลักษณะเดียวกันปรากฏขึ้น คำว่า 'ซากศพ' คงจะอธิบายสภาพของเขาได้ชัดเจนที่สุดในตอนนี้ แต่ถึงแม้ว่าตนเองจะกลายเป็นเช่นนั้นแล้ว นายทหารปริศนาก็ยังคงสาวเท้าเข้ามาไม่หยุด

    ไม่ต้องสงสัยเลย...เขาคือเหยื่อรายหนึ่งของ 'โรคร้าย' ที่ระบาดไปทั่วชิคาโก

    "สภาพอย่างกะผีแหน่ะ"วูล์ฟฟ์ออกความเห็น ชายหนุ่มเริ่มก้าวถอยออกมา"พวกผู้ป่วยนี่แม่งน่ากลัวฉิบหาย"

    "แค่ก--ด..ได้โปรด--"

    "ถอยออกมา"

    บาร์ทเลทท์ออกคำสั่ง แต่ถึงให้เขาจะไม่พูดอะไรทุกคนก็ต้องถอยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แอนนาพยายามห้ามไม่ให้มือหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย อาจจะเพราะว่าเธอยังคงยึดถืออยู่กับคำพูดของวูล์ฟฟ์ในตอนนั้น แต่ยิ่งดูสภาพอันน่าสยดสยองของชายหนุ่มสัญชาตญาณของนักข่าวก็เริ่มเรียกร้องกับเธอ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม...โลกควรได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในนี้ ช่างหัวมันสิ เธอไม่ยอมให้พวกแซคปิดเรื่องน่ากลัวนี่ไว้พ้นหูพ้นตาประชาชนแน่

    หญิงสาวตัดสินใจหยิบกล้องขึ้นมาก่อนจะกดชัตเตอร์ แชะ! แสงประกายวาบของแฟลชทำให้นายทหารคนนั้นแสบตา เขายกมือขึ้นมาป้องก่อนจะทรุดตัวลงบนพื้น ปากส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างทรมาน...

    "ทำบ้าอะไรเนี่ย!"วูล์ฟฟ์โวยวาย"บอกแล้วไงว่าอย่าถ่ายรูปน่ะ!"

    เขากระทืบเท้าเข้ามาแล้วผลักไหล่เธออย่างแรงจนหญิงสาวล้มลงบนพื้น ดีนะที่ไม่ได้เอาปืนมาขู่ด้วยแต่ถึงกระนั้นแค่หน้าโหดๆ ของเขาก็ทำเอาสะดุ้งได้เหมือนกันล่ะ แอนนาไม่ได้เอ่ยอะไร สองมือพยายามควานหากล้องที่ตนเองเผลอทำตกไปเมื่อครู่ 

    ...ทันใดนั้นเองหญิงสาวก็ไปสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่าง

    "อะไรเนี่ย--"

    ไฟฉายสาดแสงไปยังทิศทางนั้น นัยน์ตาของเธอเบิกกว้างขึ้นก่อนที่ร่างบางจะขยับถอยออกมาอย่างหวาดกลัว สิ่งที่เห็นอยู่บนพื้นทำให้สติแทบกระเจิง ทันใดนั้นนกสีดำพวกนั้นโผบินขึ้นสูอากาศเมื่อโดนคุกคาม เธอไม่รู้ว่านกเรเวนมาอยู่แถวนี้ได้ยังไง แต่มันก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า 

    มันคือ...ซากศพของคนตาย ซากศพของทหาร! เต็มไปหมดเลย! แถมแต่ละคนยังมีสภาพไม่ต่างไปจากบุคคลที่กำลังเข้ามาหาพวกเขาในตอนนี้ด้วย!

    "นี่มันสุสานชัดๆ!"

    ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม ทั้งสามคนก็เริ่มได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หน้าจอเซนเซอร์แสดงให้เห็นจุดสีขาวที่กำลังเคลื่อนที่มาจากทุกทิศทาง เสียงโอดครวญระงมขึ้นมาจากความมืดรอบตัว ด้วยความลนลาน วูล์ฟฟ์ใช้เท้าเตะร่างนายทหารคนนั้นจนล้ม แต่อีกฝ่ายเปราะบางเสียเหลือเกิน เพียงแค่ร่างกระทบลงบนพื้นเบาๆ ลมหายใจนั่นก็ขาดห้วง ดวงตาบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยตุ่มเปิดค้างเอาไว้ มือชักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนิ่งสนิท

    แอนนาแทบกรีดร้องเมื่อเธอรู้ว่าวูล์ฟฟ์ฆ่าเขาตายแล้ว

    ถ้าคิดว่านายทหารคนนั้นจะเป็นคนเดียวที่อยู่ในดินแดนแห่งนี้ พวกเขาคิดผิดมหันต์ ในที่สุดเจ้าของจุดสีขาวที่ปรากฏอยู่บนเซนเซอร์จับการเคลื่อนไหวก็เดินเข้ามา คนพวกนั้นคือบรรดาเหยื่อของโรคร้าย บ้างเป็นทหารบ้างก็เป็นชาวเมือง ท่าทางการเคลื่อนที่เซไปมาเหมือนคนเมา ร่างกายเต็มไปด้วยตุ่มกับคราบสีดำ ดวงตาไร้แววชีวิตแต่สติและความเป็นมนุษย์ยังพอมีเหลืออยู่ 

    ทั้งสามผู้มาเยือนถึงกับสะดุ้งเฮือก วูล์ฟฟ์หันมองทั่วทิศทาง 

    "ให้ตายสิ! มาจากไหนกันเยอะแยะวะ!"

    "ตั้งสติเอาไว้วูล์ฟฟ์--"หัวหน้าทีมสูดลมหายใจ สายตากวาดมองไปรอบตัว"เรามีงานที่ต้องทำ"

    "สัญญาณของคอร์เทซอยู่แถวนี้! เราต้องเดินหาเธอ!"

    แอนนาตัวสั่นเทา แล้วอะไรบางอย่างก็บอกให้หันไปด้านหลัง ปลายลำกล้องปืนชี้ไปยังเด็กชายคนหนึ่งที่กำลังยืนจ้องเขม็งเธออยู่เงียบๆ ร่างเล็กนั่นยืนนิ่งในความมืด ดวงตาสีฟ้าสดใสจับจ้องมาทางหญิงสาวเบื้องหน้า แล้วเด็กคนนั้นก็เริ่มย่างเข้ามาใกล้ มือยื่นออกไปราวกับต้องการไขว่คว้าบางอย่างจากเธอ

    "ไม่ๆๆ อย่า--"เธอไม่อยากเหนี่ยวไก โดยเฉพาะกับเด็กชายคนนี้"อย่าเข้ามานะ!"

    "เราต้องไปแล้ว!"

    "แอนนา! เร็วเข้า!"

    ใครคนหนึ่งเอ่ยเรียกเธอ แต่ไม่ทันที่จะได้หันไปทางต้นเสียงของอีกฝ่าย แสงไฟฉายในมือก็ดับสนิทไปเสียก่อน บ้าเอ้ย!! แอนนากรีดร้องในใจ ตอนนี้เสียงครวญครางของเหล่าผู้ป่วยดังอยู่รอบตัว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไฟฉายต้องมาดับตอนนี้ด้วย หญิงสาวพยายามหมุนตัวเพื่อมองหาเพื่อนร่วมทางอีกสองคนที่เหลือ ไฟฉายของพวกเขาก็ดับไปเหมือนกัน ตอนนี้มีเพียงความมืดที่ปรากฏอยู่ในสายตา 

    "เวรเอ้ย!"

    "วูล์ฟฟ์!!"

    ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!

    ใครคนหนึ่งเผลอลั่นไก แสงจากปากลำกล้องทำให้แอนนามองเห็นตำแหน่งของวูล์ฟฟ์ ตอนนี้เจ้าหน้าที่คนนั้นโดนผู้ป่วยจำนวนมากห้อมล้อมเอาไว้ ยากที่จะหลบหนีออกมา แต่เขาก็พยายามอย่างเต็มที่ในการฝ่าออกไป เสียงปืนดังขึ้นอีก ปัง! เธอเห็นบาร์ทเลทท์ สองคนนั้นกำลังจัดการกับผู้มาเยือนนับสิบ...หรืออาจจะร้อย พวกมันมาจากทุกทิศทางอย่างไร้ที่สิ้นสุด ปากส่งเสียงพึมพำขอความช่วยเหลือที่ไม่มีวันมาถึง

    ช่วยด้วย...

    คนพวกนั้น...ทิ้งเรา..ไป...

    ...ได้โปรด..

    หญิงสาวสับสน เธอต้องทำอะไรสักอย่าง! ใช่! ไม่งั้นไม่รอดจากที่นี่แน่!

    ทันใดนั้นก้อนหินแข็งๆ ก็ถูกทุ่มลงมาบนศีรษะ แอนนาหมดสติไปจากการโจมตีปริศนาในเงามืด เสียงสุดท้ายที่หญิงสาวได้ยินคือเสียงดังคล้ายกัมปนาทของปืนไรเฟิลจู่โจม เลือดอุ่นๆ อาบลงมาปิดบังวิสัยทัศน์โดยรอบ...นัยน์ตากระพริบสองสามครั้งอย่างเชื่องช้า เธอเห็นบาร์ทเลทท์กำลังจัดการอยู่กับผู้โจมตีพวกนั้น...

    เจ้าหน้าที่หนุ่มหันกลับมาหาเธอ

    ...ก่อนที่สติจะดับหายไป

           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×