ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    War and Sacrifice : Route to the War

    ลำดับตอนที่ #21 : Apart of medal. เศษเสี้ยวของเหรียญตรา

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 58


            เหรียญกางเขนเหล็กของเขา...
            มันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆหลังจากที่เขาได้มาไม่นาน....
            ...มันกลายเป็นชิ้นๆจากการที่เขาช่วยชีวิตใครคนหนึ่ง...
            ...คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา...และเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจ...
           .....
           ....
           ...
           ..
           .
           18 มิถุนายน 1939
            "แอดเลอร์! รอฉันด้วยสิ!"
           เสียงของนาตาชาร์ดังไล่หลังฉันมาหลังจากที่เดินเข้ามาในสุสาน วันนี้เป็นวันครบรอบวันของการจากไปของพ่อ แต่มันพิเศษก็ตรงที่ว่านาตาชาร์ขอมากับฉันด้วย เธออ้างเหตุผลต่างๆนานาเพื่อต้องการให้ฉันยอมพาเธอมาด้วย จนในที่สุดฉันก็ใจอ่อนแล้วพาเธอมาด้วยนี่แหละ 
             "พ่อของเธอเป็นคนยังไงเหรออยากรู้จัง!"เธอหันมาถามฉันอย่างยิ้มๆ ซึ่งฉันก็ยิ้มกลับให้เธอเหมือนกัน
            "เขาเป็นพ่อที่ดีที่สุดในโลก...ในความคิดของฉันอ่ะนะ"
          "เขาคอยฝึกเธอมาตั้งแต่เธอเด็กเลย
    เหรอเนี่ย โตขึ้นมาเธอถึงอัจฉริยะอย่างนี้น่ะ!"
           ฉันหัวเราะขบขันในลำคอกับคำพูดของนาตาชาร์ เธออายุเท่ากับฉันแต่ดูเหมือนว่าเธอเป็นเด็กยังไงอย่างนั้นล่ะ
           "พ่อฉันบอกฉันอยู่เสมอว่า..การจะเป็นอัจฉริยะน่ะ เราต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง"
            เมื่อได้ยินดังนั้น นาตาชาร์เบิกตาขึ้น"โอ้โฮ...นี่เธอเรียนรู้ด้วยตัวเองเลยเหรอ ว้าว..."
           "ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้นด้วย ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ"ฉันถามเธอด้วยความสงสัย
           "เปล่าจ้ะ"
           นาตาชาร์หัวเราะบ้างก่อนจะเดินเอาดอกกุหลาบสีขาวในมือไปวางหน้าหลุมศพพ่อของฉัน ฉันเดินเข้าไปวางดอกไม้หลังจากที่นาตาชาร์เดินออกมาแล้ว ทุกๆครั้งก่อนจะวางดอกไม้นั้น...ฉันจะยื่นมือไปแตะป้ายหลุมศพของพ่อแล้วหลับตาก่อนเสมอ มันเป็นเหมือนการสื่อสารกับบุคคลที่ล่วงลับประจำตระกูลของฉัน เพราะตอนที่แม่เสีย...พ่อก็ทำแบบนี้เสมอ
           "แล้วคาร์ลอยู่ไหนเหรอ"
           เธอพูดก่อนจะหันมองซ้ายขวาราวกับกำลังหานาซีคนนั้น ฉันไม่อยากจะพูดความจริงเลยนะเนี่ย...
           "เมื่อวานฉันกับเขาทะเลาะกันน่ะ เขาคงไปที่อื่นแล้วมั้ง"
           "มีอะไรรึเปล่าครีนัส  เธอทะเลาะกับเขาเหรอเนี่ย"นาตาชาร์พูดเสียงค่อยในขณะที่เดินเข้ามาหาฉัน
           "แค่เถียงกันน่ะ ไม่มีอะไรหรอก"
           "เธอควรจะไปคืนดีกับเขาน่ะ ที่สนามฝึกก็ต้องฝึกกับเขาประจำอยู่แล้ว เดี๋ยวก็มองหน้ากันไม่ได้หรอก"นาตาชาร์พูดก่อนจะยิ้มเป็นสิ่งสุดท้าย
           ที่นาตาชาร์พูดน่ะมันก็จริง...ฉันควรไปขอคืนดีกับเขา...แต่ทำไมฉันถึงไม่อยากทำแบบนั้นกันล่ะ คาร์ลก็เป็นเหมือนคนรู้จักนี่ เมื่อวานเขางคงจะเครียดละมั้งถึงได้ตะโกนใส่ฉันซะขนาดนั้นน่ะ...โอเค ฉันควรจะไปขอคืนดีกับเขานะ..แต่ว่า..เขาอยู่ไหนกัน
           "เหมือนเป็นข้ออ้างนะ แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนนี่"
           "เธอรู้อยู่แล้วล่ะว่าเขาอยู่ไหน"นาตาชาร์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ราวกับกำลังให้กำลังใจฉัน"ไปสิ...ตามหาเขา"
         ทั้งคำพูดและรอยยิ้มของนาตาชาร์ช่วยส่งกำลังใจให้ฉันมามากพอควร เธอคงอยากให้ฉันไปหาคาร์ลมากเลยสินะ...แต่ฉันก็ไม่แน่ใจมากเท่าไรว่าคาร์ลอยู่ที่ๆเหมือนกับในความคิดของเขาหรือเปล่า ถ้าไม่ ฉันก็คงต้องไปตามหาที่อื่นแล้วล่ะ...
           "ก็ได้--เดี๋ยวมานะ"
          ฉันตัดสินใจเดินออกมาจากเธอ อันที่จริงเรื่องที่ทำให้ฉันทะเลาะกับคาร์ลน่ะไม่ใช่เรื่องไหนอื่นใดหรอก มันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยก็เท่านั้นเอง เมื่อวานฉันเครียดมากส่วนเขาเองก็เพิ่งได้รับเหรียญมา แถมยังมีเรื่องการฝึกของฉันอีก เรื่องทั้งหมดนี้เป็นต้นเหตุให้เรามีความคิดไม่ตรงกัน ฉันยังคงจดจำภาพใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วยความโกรธที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ดี ตอนนั้นเขาลุกขึ้นยืนในระหว่างที่ฉันกำลังอารมณ์เสียสุดๆแล้วเดินออกไปด้านนอกโดยไม่ใส่ใจฉันเลยด้วยซ้ำ สงสัยฉันจะใจร้อนเกินไปหรือเปล่า...
           ในระหว่างที่ฉันก้าวเดินออกมาจากสุสานนั้น ความคิดบางอย่างก็เกิดแล่นวูบขึ้นมา...ฉันคิดถูกหรือเปล่าที่มากับคาร์ลน่ะ ทุกๆครั้งที่ฉันเดินตามรอยเท้าของเขาจะมีเรื่องเกิดขึ้นทุกครั้ง ดูราวกับว่าฉันไม่เชื่อใจความคิดของตัวเองเลย งงตัวเองชะมัด...
           ตึก...ตึก...ตึก...
            ในที่สุดฉันก็เดินมาถึงสถานที่นั้นจนได้ เมื่อวันก่อนแล้วหลายๆวันก่อนฉันมักจะเห็นคาร์ลมาที่นี่ประจำ มันดูคล้ายๆกับสโมสรอะไรสักอย่าง อาคารทรงโดมสีขาวขนาดย่อมที่มีหลังคาลายวิจิตรบ่งบอกความเป็นมาของทันให้ฉันได้หลายอย่าง ผู้คนเดินไปมารอบบริเวณนั้นเยอะแยะราวกับฝูงแกะ สมแล้วกับที่เป็นลอนดอน...มีตึกรามบ้านช่องมากกว่าต้นไม้ และมีคนมากกว่าฝูงแกะ
           ฉันเดินเข้ามาด้านในด้วยจิตใจวอกแว่กพิกล ที่นี่เป็นเหมือนกับสโมสรในความคิดของฉัน นั่นล่ะ แต่พอเข้ามาดูด้านในมันกับตรงกันข้ามเลย...นี่มันบาร์ดีๆนี่เอง ยามอัสดงแบบนี้เป็นเวลาที่นักเที่ยวราตรีทั้งหลายมาสังสรรค์กันอย่างสนุกสนานปลดปล่อยเต็มที่ มีเพลงเพราะๆบรรเลงกล่อมไปจนเกือบทำให้เคลิ้มได้เลย และที่สำคัญ... สาวเสิร์ฟนี่ก็ไม่ใช่คนพื้นๆอีกด้วย...สวรรค์ของนักเที่ยวกลางคืนนี่เอง...แต่หน้าอย่างเขาเนี่ยนะจะมาที่นี่นะ ตลกนะนี่..
          แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน...ผู้ชายก็เหมือนกันทุกคนล่ะ 
        "เอ่อ..ขอโทษนะครับ"
        "คะ?"
         ฉันหันกลับไปตามคำเรียกของใครสักคนที่ดังขึ้นด้านหลัง คงต้องเป็นไอ้พวกวัยรุ่นนิสัยเสียแถวนี้แน่นอนเลย ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้จักก็เถอะนะ แต่อย่างที่บอก...ผู้ชายมันก็เหมือนกันทุกคนนั่นล่ะ..
         "คะ มีอะไรรึเปล่า..."
           "ป..เปล่าครับ ผมเข้าใจอะไรผิดนิดหน่อย ขอโทษด้วยนะครับ"
         ชายคนนั้นยิ้มให้ฉันอีกครั้งก่อนจะเดินหันหลังไปทางอื่น เขาทักคนผิดงั้นเหรอ...คงงั้นมั้ง ตอนนี้ฉันอย่าเพิ่งไปสนใจอย่างอื่นเลย อย่าลืมสิว่ามาที่นี่เพราะอะไร
         ฉันตัดสินใจสาวเท้าก้าวต่อไปเรื่อยๆ เพื่อความหวังที่จะตามหาเขาให้เจอ สรุปที่นี่ก็คือสถานที่บันเทิงสำหรับนักเที่ยวกลางคืนสินะ ดูราวๆที่นี่มีแต่เด็กวัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่เสียอีก ฉันเห็นวัยรุ่นสองสามคนพากันออกไปนอกร้านด้วยสีหน้าท่าทางอย่างกับมีปัญหาอะไรแนวนั้นล่ะ พ่อแม่รู้รึเปล่าเนี่ยว่ามาเที่ยวที่แบบนี้ ให้ตายสิ...ไม่ได้เรื่องเลยฉัน นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องคนอื่นนะ
         ฉันถอนหายใจยาวพลางเดินตามหาคาร์ลอีกครั้งอย่างมีสมาธิ เขาอยู่ไหนกันละเนี่ย ร้านก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรมากนักแต่ทำไมกลับเป็นอุปสรรคกับฉันกันนะ การเดินหาไปเรื่อยๆแบบนี้มันทำให้ฉันรู้เลยว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันเสียเวลามากๆ ฉันเริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะ!
         ยิ่งเดินก็ใช้เวลาไปมากเหลือเกิน ให้ตายสินี่ฉันมาทำบ้าอะไรที่นี่กันเนี่ย!? ฉันถอนหายใจออกมาอีกพลางสงบสติอารมณ์ที่กำลังจะเดือดของตัวเองให้คงที่ สายตายังคงกวาดมองรอบๆเพื่อตามหาคาร์ล ฉันเพ่งมองไปยังมุมห้องเป็นพิเศษ เผื่อว่าบางทีเขาอาจจะนั่งจิบเบียร์อยู่นั่นก็ได้....
         และฉันก็เห็นใครบางคน...
         อ๊ะ...นั่นใช่...
         ฉันเพ่งมองไปยังชายในเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง เขานั่งจิบเบียร์อยู่คนเดียวพลางเพ่งมองไปยังสมุดโน๊ตเล่มเล็กในมือ ดูแววเดียวก็รู้ได้เลยว่าเขาเป็นใคร คนที่ฉันัามหาอยู่นั่นเอง...ฉันไม่รอช้า...รีบสาวเท้าเข้าไปหาเขาทันที
          ตึกๆๆๆ...
          "คาร์ล"ฉันเรียกชื่อเขา แต่ราวกับว่าคำพูดของฉันเป็นแค่อากาศ..เขาไม่สนใจมันเลย เอาแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับสมุดโน๊ตในมือ
          "..."
          ฉันตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตรงหน้าเขาก่อนจะยกมือขวาขึ้นวางบนโต๊ะ มองหน้าเขาอย่างพินิจ มันไม่ใช่นิสัยของฉันเลยด้วยซ้ำไอ้การมาตามหาคนที่เกลียดมากขนาดนี้เพื่อขอโทษน่ะ เฮ้อ...
          "นี่..."?
          ฉันลองเรียกเขาอีกครั้ง แต่ผลมันก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ เขาไม่สนใจฉันเลยสักนิด
          "..."เขาเปิดหน้ากระดาษต่อไป
          ไม่สนใจฉันถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย...
         "เบิร์ต"?
          ฉันเพิ่มน้ำหนักเสียงอีก พร้อมกับเรียกชื่อเขาไปด้วย น่าแปลกที่มันใช้ได้ผลนิดหน่อยนะ เขาละสายตาออกจากหนังสือแล้วส่งมันมาทางฉัน เหอะ...เริ่มจะสนใจฉันแล้วสินะเนี่ย
          "..."
          "...เรื่องเมื่อวันก่อน..."ฉันลากเสียงพลางปัดสายตาลง"...ฉัน.."
          "ถ้าคุณมาหาผมเพื่อเรื่องนั้นก็กลับไปซะ ผมไม่อยากจะฟัง"
           เฮ้อให้ตายสิ หยุดสักทีไอ้นิสัยพูดไร้เยื่อใยแบบนี้น่ะ! มันเสียกำลังใจนะเนี่ย!..
          "ฉันตั้งใจมาหาคุณเพราะเรื่องนี้นะคาร์ล"
          "งั้นเหรอ"เขากลับไปจดจ่ออยู่กับสมุดโน๊ตในมืออีกครั้ง"เคลเลอร์คงขอร้องให้คุณมาหาผมสินะ"
          ฉันถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เขารู้อยู่แล้วล่ะว่ายังไงฉันก็ไม่มีวันมาขอโทษเขาเพราะเรื่องนี้หรอก ไอ้ความรู้สึก"ไร้ค่า"แบบนี้มันเกิดขึ้นมาในใจฉันอีกแล้ว ให้ตายสิ...นี่มาเสียเที่ยวสินะ.     
          "มีอะไรก็พูดมาละกัน ผมรอฟังอยู่"
          คาร์ลหยิบปากกาออกมาจากแจ๊คเก็ตแล้วจดบางอย่างลงในสมุดโน๊ตในมือ เขาทำเหมือนกับไม่สนใจฉันเท่าไรนัก มาถึงที่นี่แล้วคงต้องพูดสินะ 
         "ขอโทษ"
          "อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย"
          ฉันถอนหายใจก่อนจะพูดคำๆนั้นอีกครั้ง"ฉันขอโทษ"
          เมื่อได้ยินคำนั้นแบบชัดๆ เบิร์ต คาร์ลก็เงยหน้าขึ้นมามองฉันอีกครั้ง น่าแปลกที่เขาไม่เคยมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นมาก่อนหมายความว่าเขาคงเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดออกไปอย่างกระจ่างแล้วสินะ แทนที่จะพูดอะไรสักคำออกมา คาร์ลกลับไปจมกับโน๊ตในมืออีกครั้ง จดข้อมูลแะไรของเขานะ แต่อย่างน้อยเขาก็พูดกับฉันแล้วนะ ต่อจากนี้ก็แล้วแต่เขาแล้วล่ะว่าจะทำยังไงกับฉันต่อ
          "เมื่อวันก่อน..คุณลืมทุกอย่าง ทั้งยศของผมและของคุณเอง คุณแทบจะไม่เรียกผมแบบที่ทหารคนอื่นเขาเรียกเลยซะด้วยซ้ำ"เขาพูดต่อในระหว่างที่จดบางอย่างอยู่"...คุณคิดว่าผมเป็นเพื่อนเล่นคุณรึไง"
         "จะให้ฉันทำยังไงล่ะ"
          "ใส่มารยาทลงไปในคำพูดหน่อยจ่า--อย่าลืมสิว่าคุณยศต่ำกว่าผมน่ะ"
          ฉันพยักหน้าตามคำพูดของเขาถึงแม้จะไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก โอเค..ถ้าขอมาก็จัดให้
         "ขออภัยค่ะท่าน"
          หลังจากที่หลับตาพูดประโยคนั่นออกไปจนหมด ฉันก็สังเกตเห็นว่าคาร์เงยหน้าขึ้นมามองฉันอีกครั้งด้วยสายตาที่เคยใช้กับฉันเหมือนเมื่อก่อน แล้วเขาก็เผยอยิ้มมุมปากนิดหน่อย ท่าทางจะพอใจแล้วสินะ 
           "นี่ของคุณ ไวน์แดง..."เขายื่นแก้วไวน์มาไว้ตรงหน้าฉัน เหอะ..มาไม้ไหนอีกล่ะ
         "ขอบคุณ แต่ฉันยัง..."
         "โธ่ผมเลี้ยงทั้งที...ไม่ต้องเกรงใจน่า"เขาเลื่อนมันมาใกล้มากขึ้นกว่าเดิม ฉันสงสัยจริงๆว่าเขาใส่อะไรลงไปหรือเปล่า..คงไม่มั้ง
         "งั้นก็ได้..."ฉันหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดู"หวังว่าคงไม่คิดอะไรแปลกๆหลังจากที่ฉันดื่มมันไปนะคะท่าน"
          เขายิ้มอีกครั้ง
         "ผมไม่วางยาคุณหรอก...แอดเลอร์"
          "อย่างน้อยคุณก็ยังมีน้ำใจนะ"ฉันขยิบตาให้เขาก่อนจิบไวน์ในแก้วไปนิดหน่อย
          เขามองฉันครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงไปมองสมุดโน๊ตของตนเองอีกครั้ง ตอนนี้บรรยา กาศในบาร์เริ่มจะไม่เหมือนเดิม เด็กวัยรุ่นชายกลุ่มหนึ่งที่นั่งดื่มอยู่ตรงเคาเตอร์บาร์เริ่มจะมีปากเสียงกันแล้ว บาร์เทนเดอร์เห็นอย่างนั้นก็รีบไล่พวกเขาออกไปทันที ถ้าเกิดอะไรขึ้นในนี้ฉันคิดว่าบาร์เทนเดอร์น่าจะเป็นคนจัดการเองนะ 
          นาฬิกาพกถูกฉันหยิบออกมาจากกระเป๋า เข็มสั้นเดินไปชี้ที่เลขเจ็ดเมื่อราวๆสามสี่นาทีที่แล้ว ฉันมาอยู่นี่จนค่ำเลยเหรอเนี่ย ไม่ได้การแล้ว! ฉันต้องรีบกลับ นาตาชาร์รอฉันอยู่ที่สุสานนะ!
          "ฉันกลับล่ะนะ ขอบคุณสำหรับไวน์ละกัน"ฉันทำท่าจะลุกขึ้นยืนแต่ก็ต้องชะงักเพราะมือที่ฉุดข้อมือของฉันไว้
          "คุณยังกลับไม่ได้"
          ฉันขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย"ทำไมล่ะ นาตาชาร์รอฉันอยู่นะ"
          "คุณยังกลับไม่ได้ เข้าใจมั้ย"
          ฉันกัดฟันก้มหน้าลงมองมือของตัวเอง มันกำหมัดแน่นเหมือนกับอยากจะชกหน้าใครสักคนเนี่ยละ ทำไมเวลาฉันรีบๆต้องมีคนมาขวางฉันทุกทีเลยนะ แล้วทำไมไอ้คนๆนั้นต้องเป็นทหารที่ยศสูงกว่าฉันด้วย ฉันยังคงเห็นเขาจมอยู่กับการจดบันทึกบางอย่างลงไปในสมุดโน๊ตนั่น การกระทำของเขาทำให้ฉันเกิดความสงสัย...เขาบันทึกข้อมูลอะไรกันนะ...
          ...แต่ถามไปก็คงไม่ได้คำตอบหรอก...
         ฉันมองหน้าปัดนาฬิกาพกในมืออีกครั้ง คราวนี้เข็มยาวเดินไปชี้ที่เลขสาม...ผ่านมาสิบห้านาทีแล้วยังไม่มีทีท่าว่าเขาจะเงยหน้าขึ้นเลยด้วยซ้ำ นี่ฉันต้องนั่งเฉยๆแบบนี้อีกนานเท่าไรเนี่ย!? เฮ้อ...ฉันรีบอยู่นะคาร์ล!
          "ฉันรีบนะคาร์ล นาตาชาร์รอฉันอยู่นะ"
          "..."เขายังคงเงียบ ทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของฉันยังไงอย่างนั้นล่ะ
          เฮ้อให้ตายสิ ไม่คิดจะพูดกับฉันเลยสักคำใช่มั้ย!?
         ในที่สุด หลังจากที่ฉันต้องเหนื่อยกับการบอกเขาว่า"ฉันรีบนะ"อะไรทำนองนี้ คาร์ลก็หยุดจดข้อมูลก่อนจะหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาดื่มจนหมดแล้ววางทิ้งไว้ที่เดิม เขาทำท่าจะจดต่อแต่เมื่อเห็นลักษณะอาการที่แสดงถึงความรีบของฉันแล้ว เขาก็หยิบสมุดจดนั่นใส่กระเป๋าเสื้อของเขาก่อนจะยกมือขึ้นกุมขมับ ท่าทางเขาจะเครียดแฮะ...เรื่องเมื่อวันก่อนเหรอ
         "..."เขายังคงเงียบอยู่ เครียดเรื่องอะไรกันนะเนี่ย
         "งั้นขอตัวก่อนละกัน"ฉันลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไปจากเก้าอี้ แต่ยังไม่เดินออกนอกร้านหรอกนะ
         ฉันสังเกตได้ว่าคาร์ลหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดูหลังจากที่ฉันลุกขึ้นยืนและหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง มันคือสิ่งที่ตอบแทนความกล้าหาญของเขายามอยู่ในสนามรบ...เหรียญตราแห่งเกียรติยศ...
    หรืออีกชื่อหนึ่งคือ"เหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวินประดับใบโอ้ค" 
          เขาเพ่งพินิจมองสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเอง ในดวงตาคู่นั้นฉายแววแสดงถึงความภูมิใจที่ได้รับมันมา ฉันได้แค่มองเขาและไอ้สิ่งที่อยู่ในมือของเขาเท่านั้นก่อนจะลากเก้าอี้ตัวเดิมมานั่งตรงหน้าคาร์ลอีกครั้งหนึ่ง...ฉันมีบางอย่างที่ต้องการคำตอบจากเขา
          "ยังไม่ไปอีกรึไง รีบไม่ใช่เหรอ"เขาพูดขึ้นราวกับกำลังประชดฉันยังไงอย่างนั้นล่ะ
          "...ฉันมีบางอย่างจะต้องถามคุณ..ก่อนไป"
          เขาละสายตาจากเหรียญกางเขนเหล็กในมือขึ้นมามองดูฉัน
          "มีอะไรก็ว่ามา"
          ฉันกำลังจะปริปากขึ้นถามคำคามคาร์ล แต่เผอิญว่าสายตาของฉันเหลือบไปเห็นรอยอะไรบางอย่างที่อยู่บนเหรียญกางเขนเหล็กของเขา...มันคือรอยร้าวที่พาดกลางเหรียญนั่น...ทำไมฉันเพิ่งเห็นกันนะ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันเปลี่ยนคำถามที่กำลังจะถามเขาอยู่พอดี
          "รอยนั่น...บนเหรียญกางเขนเหล็กของคุณ.."ฉันลากเสียง"...ทำไมมันถึงมีรอยนั่นได้"
          เขาก้มหน้าลงราวกับไม่อยากจะตอบคำถามของฉันยังไงอย่างนั้น สงสัยเขาคงอยากจะไม่นึกถึงมันละมั้ง
          "มันก็แค่รอยร้าว ไม่มีอะไรพิเศษสำหรับคำตอบของคุณเลย"
          "..."
        ฉันก้มหน้าลงบ้าง ภายในเวลาไม่กี่วินาทีฉันก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนอีกรอบ ตอนนี้ความรู้สึกอยากจะออกไปด้านนอกนี่มีมากเกินจะทนแล้ว ป่านนี้นาตาชาร์คงจะกลับไปที่พักแล้วล่ะ เธอก็คงรู้ละมั้งว่าฉันมีเรื่องที่ต้องคุยกับคาร์ล การกลับไปรอยังที่พักน่าจะเป็นสิ่งที่เธอตัดสินใจเลือก ฉันเดินออกจากโต๊ะที่คาร์ลนั่งอยู่มา ก่อนที่จะเดินออกมานั้นฉันเห็นคาร์ลยังคงก้มหน้าอยู่ แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอกว่าเขาจะไม่รู้ว่าฉันเดินออกมาน่ะ
         ฉันเดินออกมาด้านนอกร้านบาร์นั่นมายังด้านนอก ลมในตอนกลางคืนพัดมาปะทะที่ใบหน้าของฉันเมื่อฉันออกมายืนข้างนอกราวกับว่ามันเป็นคำทักทายของฤดูหนาวยังไงอย่างนั้น ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด...อากาศยามรัตติกาลแบบนี้เป็นสิ่งที่ฉันชอบที่สุด...มันทำให้ฉันรู้สึกสงบเสมอ...และมันก็ทำให้ฉันนึกถึงกวีบทหนึ่งของแม่..
         แม่ของฉันเป็นทนายความทำงานที่อเมริกาเมื่อตอนฉันยังเป็นเด็ก แม่ชอบบทกวีและการแต่งบทกวีขึ้นมาเองคือสิ่งที่เธอถนัด ทุกๆเช้าเมื่อตอนนั้นฉันมักจะเห็นแม่นั่งเขียนบทกวีในห้องอยู่เสมอราวกับว่ามันเป็นอาชีพที่สองของเธอ บทที่ฉันชอบที่สุดมีชื่อว่า"สายลมรัตติกาล"ซึ่งมันช่างเหมาะสมกับเวลาแบบนี้ยิ่งนัก
          ฉันหันมองไปรอบๆตัว ถนนที่ยังคงมีรถแล่นอยู่ไม่ขาดสาย ผู้คนเดินสัญจรยามราตรี เสียงลมพัดมาดังราวกับเสียงดนตรี...สวรรค์ดีๆนี่เอง...
          ในขณะนั้นฉันก็หันไปเห็นใครบางคนที่อยู่ตรงถนนฝั่งตรงข้ามของฉัน เมื่อเพ่งพินิจมองใกล้ๆแล้วมันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันเคยเห็น"เธอ"คนนั้นมาก่อน...ไม่ใช่นาตาชาร์แน่เพราะเธอมีผมสั้นสีน้ำตาลแดง ฉันพยายามคิดดูอีกทีอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น...เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงที่ฉันเจอว่าเธอยืนคุยอยู่กับคาร์ลเมื่อวันก่อนนี่...ใครกันนะ?
         ฉันถูกชายคนหนึ่งเดินชนจนเกือบจะล่วงไปยืนตรงถนน เขายังคงเดินไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนสมัยนี้นิสัยเสียชะมัดเลย ขอโทษสักคำก็ยังไม่มี...ในระหว่างนั้นฉันก็ยังคงมองไปยังเธอคนนั้นต่อไป ผู้หญิงผมน้ำตาลแดงนั่นเดินหันซ้ายขวาเหมือนกับระแวงบางอย่างก่อนจะเดินหายไปในซอกหลืบแถวนั้น สิ่งที่ฉันคิดตอนนี้มีแค่...ตามเธอไปซะ..
        ตึก...ตึก...ตึก...
        ฉันเดินมองตามหลังเธอคนนั้นราวกับโดนสะกดจิต จังหวะก้าวเดินของฉันช้าและเงียบ ในขณะนั้นฉันก็ไม่ทันสังเกตรถคันหนึ่งที่แล่นตรงมาอย่างรวดเร็ว ด้วยสายตาที่ยังคงจับจ้องไปยังผู้หญิงที่เดินหายไปในซอกหลืบนั่นทำให้ฉันลืมทุกอย่างไปหมดทั้งสิ้น แม้กระทั่วไม่รู้ว่า...ตัวเองกำลังจะโดนรถชนแล้ว...
         ฉันเรียกสติกลับคืนมาก่อนจะหันมองไปด้านข้าง รถคันนั้นวิ่งตรงมาเร็วมากจนไม่น่าจะเบรกอยู่...ฉันเบิกตาขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นป้องตัวเอง แสงไฟหน้ารถส่งมาที่ตาของฉันจนพล่ามัวจนมองไม่เห็น และ...ไม่มีทางที่รถจะหยุดวิ่งง่ายๆด้วย!
          และในวินาทีนั้น...
         ฟึ่บ!
          ราวกับบางอย่างกระดจนเข้ามาหาฉันด้วยความเร็วสูง สิ่งนั้นผลักตัวขอวฉันจนล้มลงไปกองกับพื้นส่วนเสียงที่ตามมาหลังจากนั้นคือเสียงเบรกรถที่ดังยาวแสบแก้วหู  ฉันเงยหน้าขึ้นแต่เหมือนกับมีบางอย่างมาทับตัวของฉันเอาไว้ ฉันรีบยกมือขึ้นดันมันออกไปแต่ก็ไม่ไหวเพราะมันทั้งหนักและฉันก็อ่อนแรงด้วย ฉันลืมตาขึ้นมา...สิ่งที่ฉันเห็นคือเสื้อเเจ็คเก็ตสีดำที่คลุมตัวเขาอยู่...อย่าบอกนะว่านี่...
          "ให้ตายสิ..."ฉันกล่าวขึ้นในขณะที่กำลังดันตัวเขาขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกตัวแล้ว
         คาร์ลมองตรงมายังใบหน้าของฉันด้วยสายตาเรียบนิ่งเหมือนกับที่เขาเคยมองฉัน ก่อนจะลุกขึ้นออกมา เขาส่งมือมาที่ฉันราวกับกำลังจะช่วยพยุงฉันขึ้นซึ่งฉันก็ส่งมือไปเจับมือเขาก่อนจะพยุงตัวเองขึ้นบ้าง รู้สึกปวดหัวผิดปกติ หัวคงจะกระแทกละมั้ง ไม่ถึงตายหรอก
         "ให้ตายสิ!อยากตายรึไงถึงมายืรกลางถนนเนี่ย!"นั่นคือเสียงของเจ้าของรถหรูราคาแพงที่เกือบจะชนฉันไปเมื่อครู่ ฉันมองมาทางเขาก่อนจะพูดบางอย่างออกไป..
          "ดิฉันขอ....."
          แต่ทว่าคาร์ลก็พูดขึ้นมาก่อน
          "ไม่ต้องจ่า"เขาหันกลับไปมองเจ้าของรถคันนั้น"...คุณกำลังจะฆ่าคนนะครับ คุณสุภาพบุรุษ"
         "อะไรวะ! ก็นังนี่มันมาขวางเองนี่หว่า นี่ฉันไม่ชนมันตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว! คุณน่ะต้องจ่ายเงินค่ารถผมมานะ!"
        ฉันหันหน้าหนีการเจรจาของพวกเขาก่อนจะเหลือบไปเห็นบางอย่างที่ตกบนพื้น....เหรียญตรากางเขนเหล็กของคาร์ลนี่...
          ฉันก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา มันหักเป็นสองส่วนเลยล่ะ...คงจะโดนรถทับละมั้ง 
          "หุบปากซะนะครับ ผมไม่สิทธิ์อะไรที่จะชดเชยค่าเสียหายอะไรให้คุณในเมื่อคุณน่ะขับรถมาเร็วเองนะครับ"
        "งั้นก็ได้ ครั้งนี้ฉันเห็นแก่แม่สาวนั่น คราวหน้าพวกแกไม่รอดแน่"
        คำพูดของชายคนนั้นกระทบจิตใจฉันเหมือนกับเป็นลูกตุ้ม สีหน้าของคาร์ลเริ่มแสดงถึงความอดทนที่กำลังจะหมดไป เขากำหมัดแน่นราวกับกำลังยั้งตัวเองไม่ให้ซัดหมัดไปหมอนั่นซะก่อน
          "แล้วแต่คุณเถอะครับ"
        เจ้าของรถยกนิ้วชี้หน้าฉันก่อนจะเดินขึ้นรถหรูราคาแพงของตัวเองไป ฉันหวังไว้ว่าเขาจะไม่กลายเป็นศพเร็วๆนี้ล่ะนะ จะว่าไป..ฉันนั่นแหละที่ผิด...
        ฉันก้มลงมองเหรียญกางเขนเหล็กที่แยกเป็นสองส่วนในมือ แล้วคาร์ลก็เดินเข้ามายังฉัน เขามองมาที่เจ้าสิ่งที่อยู่ในมือของฉันอย่างพินิจก่อนจะหยิบมันไปจากมือของฉัน
        "คุณไม่บาดเจ็บอะไรสินะ"
        "อือ..."ฉันก้มหน้าลง ก่อนจะมีสัมผัสอุ่นๆมาทาบบนใบหน้าของฉัน มือของเขานั่นเอง...
          คาร์ลมองตรงมายังฉันราวกับกำลังกล่อมให้ฉันหยุดโทษตัวเอง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาในยามที่เขามองมาที่ฉัน....
         "คุณไม่เป็นอะไรแล้วแอดเลอร์ หยุดโทษตัวเองเถอะ คุณไม่ผิด"
         "ฉัน.."ฉันลากเสียงในขณะที่ก้มหลบสายตานั่น
         "ไม่ต้องห่วง..."
          "..."
          "...ทุกอย่างมันจะดีขึ้น"
         ...
        เวลาปัจจุบัน
         
    แอดเลอร์มองครงไปยังเศษเสี้ยวของเหรียญตรากางเขนเหล็กนั่นด้วยสายตาแน่นิ่ง...
          เธอยังคงจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี...เธอคือต้นเหตุที่ทำให้เหรียญนี่หักเป็นสองส่วน ถ้าวันนั้นเธอไม่เผลอเดินออกไปกลางถนน...เรื่องมันก็ไม่คงเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะให้อภัยและบอกให้เธอหยุดโทษตัวเธอเองก็เถอะ...แต่เธอรู้ดีว่า เหรียญตรานี่มันสำคัญมากสำหรับเขาแค่ไหน...มันถือเป็นส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวชีวิตของเขาเลยทีเดียว...และเธอ...ได้ทำลายเศษเสี้ยวชีวิตอีกครึ่งของเขา...
           เธอไม่อาจลืมความผิดที่เธอทำได้...
          "ไม่ไปอ่านประวัติผมแล้วเหรอ"
          เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้น หญิงสาวละสายตาจากเศษเหรียญตราในมือแล้วมองไปยังเตียงผู่ป่วย...ตอนนี้เธออยู่ในโรงพยาบาลทหารนอกเขตสงคราม นั่นก็ผ่านมาสามวันแล้วที่เธอเห็นเขานอนแน่นิ่งอยู่อย่างนี้ คำถามเมื่อครู่นั่นเหมือนกับคำถามหยอกล้อที่เธอได้ยินจากปากของเขามาเป็นครั้งที่สองแล้ว และไม่แปลกเลยที่เธอไม่คิดจะตอบคำถามนั่นเลยสักครั้ง...แต่ครั้งนี้เธอไม่ทำอย่างนั้น
          "อ่านแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก"นั่นคือคำตอบ"...ฉันไม่อยากจะอ่านมัน...อีกแล้ว"
          "...งั้นเหรอ..."
          แอดเลอร์พยักหน้าขึ้นลงเป็นนัยว่าที่เธอพูดนั้นเป็นคำตอบที่ถูกที่สุด 
          ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาลุกขึ้นนั่งไม่ได้แน่...แผลแทบจะยังไม่หายไปเลยด้วยซ้ำ ท่าทางว่างานที่เหลือของเขาคงต้องให้คนอื่นจัดการแทนน่าจะดีกว่า...และคนๆนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล...
          "ฝากงานที่เหลือด้วยนะผู้หมวด ท่าทางผมจะไปทำไม่ได้แล้วล่ะ"
          หญิงสาวมองไปยังใบหน้าของเขาก่อนจะยิ้ม
          "ได้สิ"
          "ดีแล้วล่ะ...คุณควรจะทำงานอื่นที่ดีกว่านี้บ้าง"
          แอดเลอร์หัวเราะเบาๆในลำคอ เขาพูดอย่างกับว่างานที่เธอทำอยู่ทุกวันนี้นั้นเป็นงานที่ไม่ดีสำหรับเธอเลยสักนิดเดียว แต่มันอาจจะจริงก็ได้...ทุกๆวันเธอต้องนั่งหลังขดหลังแข็งเขียนรายงานอยู่ในห้องคนเดียวโดยไม่ได้ออกไปด้านนอกเลย ทั้งๆที่สงครามรุนแรงขึ้นทุกวัน...เธอยังคงทำงานเหมือนกับพนักงานในออฟฟิศ
          "ดีเหมือนกันนะ..."ท่าทางเธอจะเห็นด้วย"...แล้วงานอะไรล่ะ"
          "อัจฉริยะอย่างคุณต้องทำงานที่ไม่เกี่ยวกับกระดาษพวกนั้น"
          เธอขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
          "คงไม่ใช่พลซุ่มยิงอะไรพวกนี้สินะ ฉันยิ่งสายตาไม่ค่อยดีอยู่ด้วย"
          "วางใจได้...ไม่ใช่งานที่ต้องออกไปรบเลยสักนิด...คุณจะได้นั่งทำงานนั้นอยู่ในห้องเหมือนเดิม"
         เมื่อได้ยินดังนั้น เธอยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ หมายความว่าเธอจะได้ทำงานอยู่ในห้องเหมือนเดิมเหรอ...แต่อย่างน้อยก็คงไม่ต้องเขียนรายงานกระมัง
         "งั้นอะไรล่ะ..."
          เขาหัวเราะในลำคอราวกับกำลังขบขันใบหน้าของหญิงสาว
          "หึ...งานของคุณก็คือ...."
          ....
          ...
          ..
          .
          สวบ...สวบ...
          แฮนสันเดินพยุงตัวเองออกมานอกเขตของพวกนาซีนั่นด้วยท่าทางที่บ่งบอกได้เลยว่าเขาต้องบาดเจ็บแน่นอน เครื่องแบบทหารของเขามีรอยไหม้เล็กน้อยอันเกิดจากการที่เขาวิ่งสะดุดศพของนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่าฟองชัวส์คนนั้นที่นอนไฟลุกอยู่บนพื้น ถึงแม้ว่าเขาจะถูกฝึกมาให้ลืมความเจ็บปวด....แต่ภาพที่ไฟลามลุกไปทั่วร่างของนักวิทยาศาสตร์คนนั้นยังคงล่องลอยอยู่ในหัว มันแทบจะทำให้หัวสมองเขาแหลกเป็นชิ้นๆ
         ฟึ่บ...
          ในที่สุดเขาก็เดินต่อไปไม่ไหว การยิงปะทะกันระหว่างนาซีพวกนั้นกับสไนเปอร์คนหนึ่งที่อยู่บนตึกฝั่งตรงข้ามทำให้เขาโดนลูกหลงไปโดยปริยาย เท่าที่จำได้นั้น...สไนเปอร์คนนั้นขว้างระเบิดมือลงมาตรงที่เขาอยู่...ดังนั้นเขาก็คงโดนสะเก็ดระเบิดสินะ
          เขานอนแผ่ลงบนพื้นทรายอันร้อนระอุ...สายตาแน่นิ่งนั่นดูเหมือนว่ากำลังจะดับ แต่เขาก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่ง....
          เสียงนั่นดังคุ้นเหมือนกับเสียงของหญิงสาว...
          "คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย"
          เธออยู่ในชุดสีขาว...ท่าทางจะเป็นเหมือนกับพยาบาล เธอวิ่งเข้ามาประคองเขาเอาไว้ก่อนจะร้องเรียกใครสักคน....
          แล้วเขาก็หลับไป...
          -----------------------------------


    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×