ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #19 : [PEARCE] Live On

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 62


    1/3/2019

    Live On

    [ C A R T E L ]

     

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองไปยังกระจกเงา

    ใบหน้าเคลือบแฝงความตะลึงงันเอาไว้เล็กน้อย เพราะนั่นอาจจะเป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวได้มองเห็นสารรูปจริงๆ ของตนเอง ชายหนุ่มวางมือลงบนรอยแตกร้าวซึ่งสะท้อนตัวเขาอยู่ นิ้วมือลูบไล้เบาๆ บนพื้นที่อันไม่สม่ำเสมอของกระจกนั่น ในหัวหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาไม่เคยคาดฝันว่ามันจะกลายเป็นจริง

    ...เหตุการณ์ที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอกับ ครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง

    แสงสว่างยามเช้าสาดกระทบเข้ามา แม้ในฐานะมือขวาของผู้นำคาร์เทลจะทำให้มีห้องพักที่แลดูจะส่วนตัวกว่าผู้อื่น แต่ถึงกระนั้นห้องของเพียร์สก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเต็นท์ด้านล่างนัก มันยังคงเงียบและติดอยู่ในมุมมืด

    ชายหนุ่มยังคงไม่ละสายตาจากเงาสะท้อนของตนเอง

    นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้สวมเสื้อแจ๊คเก็ตมีฮู้ดตัวเดิม แต่กลับกลายเป็นเสื้อสเวตเตอร์ที่เขาไม่เคยสวมใส่มาก่อน ซึ่งก็ไม่คิดจะสวมมันด้วย...นับตั้งแต่เหตุการณ์ในตอนนั้น ในครั้งที่ถูกพรากจากครอบครัวไปเพื่อเตรียมขึ้นลานประหาร ข้าวของทั้งหมดของชายหนุ่มก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ถูกหลงลืม แต่ทว่าในครั้งนี้...เขากลับมาแล้ว กลับมาในฐานะ อัลเดน กอนซาเลส และเสื้อสเวตเตอร์นี่ก็คือหนึ่งในตัวตนของเขา

    มันอาจจะหมายถึงตัวตนที่อยู่บนประกาศจับ แต่ถึงกระนั้นมันก็คือของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่ได้รับมาจากครอบครัว...ครอบครัวที่เขาเอาแต่คิดว่าได้สูญเสียมันไปแล้ว

    แต่ไม่ใช่

    วันนี้คาร์เทลมีงานครั้งใหญ่ที่ต้องจัดการให้เสร็จ แม้การทำข้อตกลงกับพวกผู้เก็บกวาดอาจจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตราย แต่การตัดสินใจของบอริสก็ยากที่จะมีใครมาคัดค้าน ซึ่งในปกติแล้วถ้ามีงานสำคัญเช่นนี้ เขาในฐานะมือขวาของผู้นำจะต้องเดินทางไปด้วย ทว่า...เพียร์สสูดลมหายใจ การนึกย้อนไปถึงเรื่องการตัดสินใจเมื่อคืนทำให้เขาคิดได้ ต่อให้เรื่องข้อตกลงนั่นจะสำคัญมากเพียงใดก็ตาม เขากลับมีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำ

    ร่างสูงสันทัดเดินสะพายกระเป๋าเป้ที่แลดูจะหนักกว่าปกติ ฝีเท้าเหยียบย่างผ่านหน้าสมาชิกคาร์เทลที่นั่งรวมกลุ่มกัน พวกนั้นเอาแต่คุยเรื่องการตัดสินใจของบอริส บ้างก็เห็นด้วยบ้างก็ไม่ คนที่ไม่เห็นด้วยก็เอาแต่อ้างเหตุผลที่ว่าผู้เก็บกวาดเป็นพวกที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจ บางทีการทำข้อตกลงนี่อาจจะเป็นแค่แผน พอสบโอกาสพวกมันก็จะเข้ายึดครองคาร์เทลเอาไว้ ว่ากันไปตามเรื่องราวจนฟังดูเพ้อเจ้อ แต่เขาไม่สนใจเรื่องพวกนั้นเลย

    หิมะตกโปรยปรายลงมาอีกครั้งหนึ่ง เขาไม่ได้เห็นเกล็ดสีขาวบริสุทธิ์นี่ร่วงลงจากฟากฟ้ามาสองวันแล้ว แต่ถึงกระนั้นชิคาโกก็ยังคงจมอยู่ภายใต้พรมสีขาว เพียร์สยื่นมือออกจากลำตัวเล็กน้อย หิมะค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนถุงมือหนังที่เขาสวมอยู่ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหรี่ลงยามจ้องมองไปยังสิ่งที่อยูบนมือ

    “ไม่ไปแน่เหรอ”

    ในที่สุดมาเรียก็รู้เรื่องนี้ ในความเป็นจริงแล้วคนเดียวที่รู้ก็น่าจะเป็นบอริสเสียมากกว่า ชายหนุ่มหันกลับไป มือกระชับสายกระเป๋าสะพายขึ้นบนไหล่ สีหน้าภายใต้หน้ากากทำให้เธอเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่ถึงกระนั้นมาเรียก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ

    “ใช่”เพียร์สตอบสั้นๆ

    “คุณจะไปไหนล่ะ”

    “ผมมีธุระที่ต้องไปทำ”

    นัยน์ตาสีฟ้าของหญิงสาวฉายแววสงสัย เธอมองเขาอย่างจับผิดเป็นครั้งแรก มือทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมากอดอกเอาไว้ เพียร์สมองไปยังมือข้างหนึ่งที่ถูกปกปิดของมาเรีย เขาเห็นมันขยับอยู่เล็กน้อยในยามที่เธอกำลังใช้ความคิด

    “กระเป๋าท่าทางจะหนักนะ”มาเรียตั้งข้อสังเกต”ให้ช่วย—“

    “ไม่ต้อง ขอบคุณ”

    “เหอะ—นั่นสิ ขอโทษด้วย”

    ก่อนที่บทสนทนานี้จะยาวเกินไป เขาจึงตัดสินใจเดินจากมาก่อนจะตรงไปที่ทางออกจากค่าย สมาชิกคาร์เทลผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูตอบรับคำสั่งของเพียร์สเป็นอย่างดี พวกนั้นเปิดประตูลูกกรงให้ แต่ยังไม่ทันที่เท้าข้างหนึ่งจะได้ก้าวออกไปด้านนอก พลันมือเรียวอันแสนคุ้นตาก็ยื่นมาขวางหน้าเอาไว้เสียก่อน ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กๆ แล้วหันไปมองเจ้าของมือนั่น

    สายตาของหญิงสาวแสดงออกให้เห็นถึงความสนใจอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเป็นเพราะกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลัง มันแลดูหนักจนผิดสังเกต และคนอย่างเพียร์สก็ไม่ใช่พวกบ้าหอบฟางเหมือนดังในตอนนี้ ร่างสูงสันทัดถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง ไม่บอกก็รู้ว่าเขากำลังรำคาญกับนิสัยจุ้นจ้านของเธอ แต่ในทันทีที่หันไปมองใบหน้าสะสวยนั่น บุคคลที่เขาเห็นกลับไม่ใช่ มาเรียที่เคยรู้จัก

    “ฉันเพิ่งจะเคยเห็น...สเวตเตอร์นั่นนะ”เธอคงหมายถึงเสื้อที่เขาสวมอยู่ ใช่ล่ะ ปกติคนที่นี่มักจะเห็นเพียร์สสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีเทามากกว่า”ตัวใหม่เหรอ”

    “ใช่ คราวนี้ให้ผมไปได้หรือยัง”

    “อ้องั้นเหรอ? ฉันคงทำคุณเสียเวลาน่ะสิ?”

    “ก็ไม่เชิง”

    ต้องไป...เพียร์สกัดฟันแน่น ยิ่งอยู่นานพฤติกรรมน่าสงสัยก็จะยิ่งแสดงออกมา ชายหนุ่มพยายามเดินเบียดร่างของคู่สนทนาไป คราวนี้คนที่เข้ามาขวางเขากลับไม่ใช่แค่มาเรียคนเดียว แต่กลับเป็นพวกเฝ้าประตูด้วย ปลายลำกล้องปืนไรเฟิลจู่โจมทั้งสองกระบอกยื่นเข้ามาขวางทางไว้ ชายหนุ่มหันมองไปยังเจ้าของของมัน แน่นอนว่าสองคนนี้เองก็ได้รับคำสั่งมาจากมาเรีย

    เห็นได้ชัดเลยว่าเธอรู้ รู้ว่าเขากำลังทำอะไร รู้แม้กระทั่งของที่อยู่ในกระเป๋าเป้ แต่เขาจะไม่มีวันบอกเธอ...ไม่มีวันเด็ดขาด

    “ช่วงนี้ฉันได้รับรายงานเรื่อง...การเข้าออกรังเสบียงอยู่บ่อยๆ จากสมาชิกบางคน”

    “แล้วไง”

    “เปล่าหรอก”หญิงสาวคลี่ยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงความร้ายกาจเอาไว้”จะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันขอดูกระเป๋าสักหน่อย”

    เพียงได้ยินคำพูดนั้นเขาก็นิ่งไป แม้หน้ากากสีดำนั่นจะช่วยปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้ได้ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะช่วยปกปิดสิ่งที่ซ่อนอยู่ในแววตาได้ มาเรียมองออก เธอรู้จักเพียร์สมานานและคิดว่าน่าจะรู้จักเขาดีที่สุด เท่าที่จำได้ เธอไม่เคยเห็นท่าทีแบบนี้ของอีกฝ่ายมาก่อน เหมือนกับเขากำลังจนมุมกับอะไรสักอย่าง หญิงสาวกระตุกยิ้มมุมปาก เธอยกมือขึ้นเสยเส้นผมสีดำก่อนจะส่งสัญญาณบอกผู้เฝ้าประตู ให้สองคนนั้นนำกระเป๋าเป้ของเพียร์สลงมาตรวจ

    สิ่งที่ทำได้มีแค่การยืนนิ่ง นัยน์ตาของชายหนุ่มเหลือบมองพฤติกรรมของร่างบางในชุดสีดำเป็นพักๆ ในหัวเริ่มคิดแผนการอะไรบางอย่างขึ้น แม้จะพยายามหลอกตนเองว่าเขาไม่ได้รู้สึกประหม่ากับการโดนตรวจสัมภาระ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถห้ามหยาดเหงื่อบนใบหน้าได้ เพียร์สกำหมัดแน่น ชายหนุ่มหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจคู่นั้น สองสมาชิกคาร์เทลรูดซิปกระเป๋าเป้ ก่อนจะเทสิ่งของทั้งหมดซึ่งถูกเก็บเอาไว้ด้านในลงบนพื้น

    นัยน์ตาคู่สวยเบิกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มบนริมฝีปากหุบหายไป

    ผิดคาด...ที่อยู่ในกระเป๋าของเพียร์สกลับไม่ใช่สิ่งที่เธอคิด แต่เป็นแค่หมวกไหมพรม ผ้าพันคอ ขวดน้ำเพียงหนึ่งขวดกับอาหารกระป๋อง ดูยังไงเขาก็ไม่น่าใช่ไอ้คนที่เข้าๆ ออกๆ รังเสบียงที่กำลังตามหาอยู่แน่ หญิงสาวหน้าเสียเล็กน้อย ในใจสาปส่งตนเองเบาๆ ที่เผลอคิดเลยเถิดไป มาเรียตัดสินใจโน้มตัวลงก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าเป้ จากนั้นจึงคืนกลับให้เจ้าของของมัน 

    เพียร์สยกมือขึ้นกอดอก ในตอนนั้นเองที่สายตาเหลือไปเห็นเครื่องประดับของอีกฝ่ายในขณะที่เธอก้มตัวลง มาเรียสวมป้ายชื่อเอาไว้ คล้ายๆ กับป้ายชื่อของทหารแต่ทำจากแก้ว มีสัญลักษณ์ประหลาดบางอย่างสลักอยู่

    "ขอโทษด้วยนะ"มาเรียถอนหายใจแล้วคืนกระเป๋ากลับมา"ฉันนึกว่าที่เสบียงของเราหายไปจะเป็น--"

    "ก็อย่างที่เห็น ไม่ใช่ผม"

    "อืม--ไม่ใช่คุณ"

    "ขอตัวก่อนนะ"

    มาเรียยังคงรู้สึกอับอายในสัญชาตญาณของเธอ หญิงสาวถอนหายใจอย่างเอือมละอาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า เป็นสัญญาณให้เพียร์สสามารถเดินออกไปด้านนอกค่ายได้ เขาแน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอีกแน่  เรื่องเสบียงที่หายไป...บอริสคงจะมอบงานนี้ให้เธอจัดการ และวิธีจัดการของมาเรียก็คือการไล่ตรวจกระเป๋าสัมภาระของคนในค่ายทั้งหมด ซึ่งนอกจากจะไม่เจอแล้ว มันยังเป็นการเสียเวลาแบบสุดๆ ด้วย

     เพียร์สชายตามองหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้ายขณะที่เธอเดินกลับไป เขาสะพายเป้ขึ้นแล้วเดินตรงไปยังเส้นทางสีขาว เบื้องหน้ายังคงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ในหัวชายหนุ่มก็ยังขบคิดเรื่องของเธอผู้นั้น มาเรียก็เป็นแบบนี้เสมอ เป็นคนขี้ระแวง...และรอบคอบจนเกินไป สำหรับผู้หญิงคนนี้แล้ว สัญชาตญาณคือสิ่งเดียวที่เธอไว้ใจ แถมอาจจะยังไว้ใจเสียยิ่งกว่าคนรอบตัวด้วย

    ...แต่สัญชาตญาณของเธอยังดีไม่พอ

    ร่างสูงหยุดชะงักอยู่ข้างรั้วเหล็ก เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าทางสะดวก ข้างๆ ค่ายของคาร์เทลมีกองขยะที่ถูกเอามาทิ้งตั้งสุมกันอยู่เต็ม แต่ใครจะไปรู้บ้างว่าในกองขยะนั่นจะมีกระเป๋าอีกใบวางซ่อนอยู่ เพียร์สคว้ามันขึ้นมาสะพายบนไหล่ ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่ไร้ผู้คนในช่วงนั้นในการเร้นกายหลบไปในมุมมืด


    โชคดีที่ไม่มีคนลาดตระเวนอยู่แถวนี้ เพียร์สใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงเต็มไปกับการเดินทาง แม้ว่าโดยรอบจะยังคงไว้ซึ่งสภาพเมืองร้างอันแสนเงียบสงัด แต่ทว่ากลับมีบ้านเพียงหลังเดียวที่ผู้คนยังอาศัยอยู่ และนั่นคือเป้าหมายของเขา ชายหนุ่มยังคงสาวเท้าต่อไป มือกำสายสะพายเป้บรรจุเสบียงบนบ่าเอาไว้แน่น ในการเดินทางนี้เขายังคงหยิบอาวุธคู่ใจติดมือมาด้วย แต่ก็ยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าจะไม่ได้ใช้งานมันในเร็ววันนี้

    ร่างสูงกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังบ้านหลังเล็กตรงหน้า ลานหิมะสีขาวปกคลุมทั่วสวนหย่อม ต้นสนยังคงถูกประดับด้วยไฟหลากสีถึงแม้ว่ามันจะใช้งานไม่ได้แล้วก็ตาม บนบานประตูมีกระดิ่งวันคริสต์มาสติดเอาไว้ เมื่อหันมองลาดเลาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตามหลังมาแล้ว เพียร์สจึงค่อยยกมือขึ้นเคาะประตู เพียงสามครั้ง...รอให้คนด้านในเปิดด้วยไม่กี่อึดใจ ระหว่างที่ยืนรอความกังวลก็ยังแสดงขึ้นในสายตาอยู่ทุกขณะ

    และแล้วประตูก็ถูกเปิดออก หญิงสาวร่างเล็กจนแลดูผอมคือบุคคลที่อยู่ด้านหลังนั้น เอเดลเองก็ดูกังวลไม่ต่างไปจากสามีของเธอ ดวงตาสีมรกตคู่งามกวาดมองทัศนียภาพอันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะ ก่อนจะรีบพาอีกฝ่ายเข้ามาด้านในบ้าน

    บรรยากาศแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไอหนาวจากถนนแทบจะไม่มีอยู่ด้านหลังประตูนี้เลย แน่นอนว่านี่ไม่ใช่บ้านของพวกเขาจริงๆ เอเดลเล่าว่าเธอมาเจอบ้านหลังนี้หลังจากถูก 'พวกถือปืนไฟ' ไล่ล่ามา โชคดีที่พวกเวรนั่นค่อนข้างจะตาบอดในทัศนวิสัยอันย่ำแย่กลางดงหิมะ แถมบ้านหลังนี้ก็แลดูจะปลอดภัยพอสมควร ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจทำให้มันกลายเป็นที่พักพิง...ที่พักพิงแห่งสุดท้ายของตนเองและครอบครัว

    "ยา อาหาร น้ำ"เพียร์สกล่าว เขาทิ้งกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะกินข้าวแล้วเอาสัมภาระข้างในนั่นออกมา"ผมเตรียมมาหมดแล้ว"

    "พระเจ้า--อัลเดน นี่มัน..."

    เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ขมวดคิ้ว ต่อให้จะรู้สึกดีใจที่อีกฝ่ายนำเสบียงมาให้มากเสียขนาดนี้ แต่ก็อดห่วงความปลอดภัยของเขาไม่ได้เช่นกัน เพราะแต่ละอย่างที่ถูกนำออกมาจากกระเป๋า มันมากกว่าที่เธอจินตนาการเอาไว้ในช่วงแรกเสียอีก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านิยามของ 'แค่นิดเดียว' ระหว่างเธอกับสามีจะแตกต่างกันถึงขนาดนี้

    "ทำไมล่ะ? เยอะไปเหรอ?"

    "ใช่น่ะสิ!"

    "ก็ดีแล้ว คุณจะได้ไม่ต้องไปขโมยของของผมอีกไง"

    "ใครบอกว่านั่นของคุณ? ไม่ใช่คุณไปขโมยมาจากคนอื่นอีกทีเหรอ"

    ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม จนกระทั่งเขานึกได้ว่าตอนนี้ตนเองไม่ได้อยู่ในค่ายอาชญากรพวกนั้นแล้ว เพียร์สก็ตัดสินใจถอดหมวกฮู้ดลงจากศีรษะ ตามมาด้วยหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าของเขาอยู่ เอเดลถอนหายใจเฮือกใหญ่ หญิงสาววางมือลงบนโต๊ะซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยน้ำ อาหาร รวมถึงยาจำนวนมาก แววตาของเธอแอบแฝงไว้ซึ่งความเป็นกังวล จนกระทั่งร่างกายเริ่มสัมผัสได้ถึงไออุ่น

    มืออันแข็งแกร่งคู่นั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง แทบ..จะไม่เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่เธอได้รับอ้อมกอดจากเขาเลย เอเดลยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา หญิงสาวพยายามหันหน้าหนีอีกฝ่ายเพียงเพราะแค่ไม่อยากให้เขาเห็นความโศกเศร้า สถานการณ์ในตอนนี้ย่ำแย่พอควรแล้วสำหรับเธอ แต่ก็ยังโชคดีพอที่อัลเดนยังคงยืนอยู่เคียงข้าง แม้ตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของแก๊งค์อาชญากรพวกนั้นก็ตาม

    "อัลเดนได้โปรด--"เสียงสะอื้นเอ่ย"หยุด...เอาของพวกนี้มาให้ฉันได้แล้ว"

    "คาร์เทลไม่รู้หรอก ไม่ต้องห่วง"

    เขาพยายามปลอบ ทำยังไงก็ได้ให้อีกฝ่ายรู้สึกปลอดภัยยามที่อยู่ในอ้อมอกนี้ ชายหนุ่มซุกใบหน้าลงบนต้นคอของเธอ สูดกลิ่นหอมที่ตนเองไม่ได้สัมผัสมานานแสนนาน มือทั้งคู่ยังคงโอบกอดร่างบางเอาไว้แนบกาย เอเดลค่อยๆ หันมาสบดวงตาสีเข้มนั่น ยอมรับเลยว่าเธอคิดถึงเขามากเกินจะอธิบาย ในตอนที่ครอบครัวขาดผู้เป็นพ่อไปมันดูเคว้งคว้างและว่างเปล่า จนกระทั่งความฝันตลอดหลายวันนี้ได้กลับกลายเป็นความจริง

    ในที่สุดอ้อมกอดนั่นก็ค่อยๆ ถูกคลายออก เพียร์สไม่อยากทำแบบนี้ แต่นอกจากคนที่เขาคิดถึงอยู่เสมอจะเป็นเอเดลแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง...คนที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องมาที่นี่ ทิ้งเรื่องการทำข้อตกลงระหว่างคาร์เทลกับผู้เก็บกวาดไปอย่างไม่ลังเล

    "ชาร์ลส์เป็นยังไงบ้าง"ชายหนุ่มเอ่ยถาม

    สิ่งที่ตอบกลับมาคือสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขารู้จักกับผู้หญิงคนนี้มานานจนแทบจะอ่านแววตาของเธอออก และคำตอบของคำถามนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าประทับใจเสียเท่าใด 

    เอเดลไม่ตอบอะไร แต่กลับเรียกให้เขาเดินตามหลังมา เพียร์สเดินออกจากห้องครัวไปยังทางเดินแคบๆ ในตัวบ้าน เขาไม่รู้ว่าเธอจะนำพาไปที่ไหนจนกระทั่งได้เดินขึ้นบันไดชั้นสอง หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกหลวมๆ ฝีเท้าเหยียบย่างลงบนแผนไม้กระดานช้าๆ เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง พวกเขาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูด้านในสุด เพียร์สก้มลงไปมองสิ่งของที่ติดไม้ติดมือมาด้วย เป็นเสื้อกันหนาวตัวเก่าๆ กับผ้าพันคอ...สิ่งที่มาเรียตรวจเจอในตอนนั้น

    "คุณ--"หญิงสาวสูดลมหายใจ น้ำตานั่นเริ่มไหลล้นเบ้าอีกครั้ง"คุณน่าจะไปหาเขาเอง"

    "ได้สิ"

    "แล้วก็..อัลเดน สวมหน้ากาก...ด้วยล่ะ"

    คำพูดนั้นทำให้รู้สึกชะงักไปพักใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองไปยังใบหน้าซูบซีดนั่นเล็กน้อย เขาพยักหน้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะทำตามที่หญิงสาวพูดอย่างไร้ทางเลือก นี่ไม่ใช่การพบเจอหน้าแบบที่เขาต้องการ ไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ลูกชายไม่สมควรเจอกับผู้เป็นพ่อที่อยู่ภายใต้หน้ากาก แต่ถึงกระนั้น...เพียร์สสูดลมหายใจ พยายามทำให้หัวโล่งปราศจากความคิดเห็นแก่ตัว มือใหญ่เอื้อมไปหมุนลูกบิด

    เสียงบานพับเสียดสีกันทำให้เด็กชายลืมตาขึ้นช้าๆ ชาร์ลส์ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงตัวเล็กพร้อมกับผ้าห่มผืนหนา ร่างเล็กนั่นซูบผอมลงอย่างน่าใจหาย เขาไม่รู้เลยว่าคนที่เดินเข้ามาในห้องวันนี้จะไม่ใช่แม่อย่างที่เคยเป็น แต่ทว่าเด็กน้อยก็พยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อจะได้มองเห็นอีกฝ่ายชัดเจน

    แสงอาทิตย์สีทองส้มสาดกระทบผ่านเข้ามา บานเกล็ดห้องปรับเปลี่ยนรูปร่างของแสงนั่นให้กลายเป็นเส้นยาวๆ พาดลงบนพื้น เศษฝุ่นขนาดเล็กปลิวว่อนไปทั่วผืนอากาศ เสียงลมหายใจผ่านฟิลเตอร์ของเพียร์สดังกึกก้อง ชายหนุ่มเริ่มรับรู้ได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ในอก ครั้งก่อนที่เขาได้พบเจอกับเอเดล...มันเต้นแรงก็จริง แต่ทว่าในวันนี้เขากำลังจะได้เจอหน้าลูกชาย แม้จะยังเป็นลูกชายคนเดิมที่รู้จัก แต่ทำไมเขาถึงยังอดตื่นเต้นไม่ได้กันแน่

    ร่างเล็กเริ่มดึงผ้าห่มผืนหนาออก นัยน์ตาสีใสกระพริบสองสามครั้งเพื่อปรับทัศนะโดยรอบ ชาร์ลส์ค่อยๆ หันไปทางเงามืดที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาตนเอง เด็กน้อยยกมือขึ้นขยี้ตาด้วยท่าทางงัวเงีย เสียงฝีเท้าหนักๆ นั่นดังเข้ามาใกล้จนในที่สุด...

    "...พ่อ...?"

    เพียร์สเบิกตา รู้สึกอยากจะเข้ากอดลูกชายเอาไว้เสียเหลือเกิน แต่เขาทำไม่ได้ อยู่ๆ บางอย่างก็ผุดขึ้นมาในจิตใจอันอบอุ่นนั่นโดยไม่ทันตั้งตัว ฝีเท้าเกือบจะก้าวถอยหลังไป มือของชายหนุ่มสั่นระริกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาจับจ้องไปยังทายาทในสายเลือด ปากสิ้นคำพูดไปโดยปริยาย

    ร่างของชาร์ลส์ในตอนนี้แตกต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เด็กน้อยทรมานกับอาการป่วยของโรคที่ไร้ทางรักษา มือทั้งสองข้างปรากฏให้เห็นตุ่มพุพองสีเข้ม เดาว่าผิวหนังส่วนอื่นที่อยู่ใต้เงาเสื้อก็คงอาการไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือ...ใบหน้าของเด็กชาย ตอนนี้เพียร์สแทบจะไม่เห็นเค้าโครงเดิมอีกแล้ว ริมฝีปากที่เคยแสดงรอยยิ้มออกมาเสมอบัดนี้กลับปิดเรียบสนิท เสียงลมหายใจดังติดขัดฟังดูทรมาน แม้แต่สองขาก็ยังไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะก้าวเดิน

    "ชาร์ลส์"ผู้เป็นพ่อเอ่ยชื่อนั้นเบาๆ"...ลูก.."

    "พ่อ...จริงๆ ด้วย--"

    ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าปูดโปนนั่น ชาร์ลส์พยายามจะลุกจากเตียง แต่ไม่ทันไรก็ต้องล้มลงไปอีกรอบหนึ่ง เพียร์สต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

    ชายหนุ่มค่อยๆ วางมือลงบนศีรษะเล็กนั่นแล้วลูบไล้อย่างอ่อนโยน เขาไม่ต้องกลัวอีกต่อไปว่าตนเองจะติดโรค เพราะถุงมือที่สวมอยู่ก็พอจะป้องกันได้ในระดับหนึ่ง ชาร์ลส์ตัวน้อยคลี่ยิ้มอย่างสบายใจอีกครั้ง ในที่สุดความฝันเพ้อเจ้อนี่ก็เป็นจริงสักที ในที่สุดลูกก็ได้มองเห็นใบหน้าของผู้เป็นพ่ออีกครั้ง...แม้อีกฝ่ายจะสวมหน้ากากอยู่ก็ตาม

    เพียร์สยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงจนกระทั่งชาร์ลส์ผล็อยหลับไป ก่อนออกมาจากห้องก็ได้วางของขวัญคริสต์มาสเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ข้างตัวลูกชาย หวังว่าเมื่ออีกฝ่ายตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ของขวัญนั่นจะช่วยทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้บ้าง


    ใบหน้าอันนิ่งสนิทจับจ้องไปยังมือเปล่าทั้งคู่อย่างเลื่อนลอย เพียร์สยังคงสลัดภาพใบหน้าของลูกชายออกไปจากหัวไม่ได้ ไม่ใช่ในฐานะที่เขาเป็น..ลูกชาย แต่เพราะใบหน้านั่นสยดสยองจนยากที่จะลืมเลือน ถึงแม้จะเป็นพ่อแต่มันก็ต้องมีความรู้สึกด้านลบปรากฏขึ้นมาบ้าง และนั่นทำให้เขากลายเป็น 'พ่อ' ที่แย่ในสายตาของครอบครัว โดยเฉพาะในสายตาของเอเดลผู้เป็นภรรยา

    ทั้งสองนั่งสนทนาอยู่ในห้องครัวตามเดิม ตอนนี้เสบียงอาหารทั้งหมดถูกเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดีแล้ว เพียร์สต้องรีบไปจากที่นี่ อย่างน้อยเขาก็น่าจะยังมีเวลาไปหาบอริสที่ค่ายของพวกผู้เก็บกวาด มาเรียจะได้ไม่ต้องสงสัยที่เขาหายไปนานเพียงนี้

    "ฉันขอโทษ"

    ใครคนหนึ่งเอ่ยทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเอเดลยังคงรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าและสิ้นหวัง แม้คำขอโทษเมื่อครู่นี้จะไม่ทำให้อาการของชาร์ลส์ดีขึ้น แต่อย่างน้อยเธอก็อยากจะทำให้พ่อของลูกชายรู้สึกสบายใจ เพียร์สเหลือบไปมองหญิงสาว มือข้างหนึ่งเอื้อมไปแตะแขนของเธออย่างอ่อนโยน ให้ความอบอุ่นที่เขามีส่งไปถึงจิตใจอันหนาวสั่นของเธอ

    "ไม่ต้องขอโทษหรอก คุณไม่ผิด"

    "ที่ชาร์ลส์เป็นแบบนั้น--"เอเดลนึกโทษตนเอง"ก็เพราะ..."

    "ไม่เป็นไร"

    เพียร์สคลี่ยิ้มบางๆ บนใบหน้า มือถูกยกขึ้นไปเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มของหญิงสาว เอเดลยังคงห้ามเสียงสะอื้นของเธอไม่ได้ มันเหมือนกับยิ่งห้ามความรู้สึกเศร้านี้ก็ยิ่งกระทบจิตใจมากขึ้น เธอหวนกลับไปนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้น ตอนที่เธอพาชาร์ลส์ไปสนามเด็กเล่น ก่อนที่เด็กชายจะเผลอสัมผัสกับโซ่ชิงช้าด้วยมือเปล่า เป็นเหตุทำให้ติดเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว พอมาในตอนนี้มันก็สายเกินแก้แล้ว

    "ฉันน่าจะ...เชื่อคุณ ฉันน่าจะหนีไปตอนที่คุณมาบอกในวันนั้น!"เอเดลสะอื้น เธอพยายามกัดฟันพูดอย่างยากลำบาก"คราวนี้ชาร์ลส์กลับต้องมา--ตกนรกทั้งเป็น"

    "ผมจะปกป้องคุณกับลูก ผมสัญญา"

    "คำสัญญาวันนี้ใช้กับวันพรุ่งนี้ได้ไม่เสมอไปหรอกนะ..."

    ชายหนุ่มตัดสินใจโอบกอดร่างบางนั่นอีกครั้ง"ได้สิ ก็บอกแล้วไงว่าผมทำได้ทุกอย่าง"

    เวลาผ่านไปเพียงแค่ชั่วขณะ แต่ดูราวกับว่าอ้อมกอดนั้นจะเป็นนิรันดร์ ความเงียบเข้ากลืนกินบรรยากาศภายในห้อง แสงอาทิตย์อบอุ่นสาดผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามา เสียงนาฬิกาข้อมือของเพียร์สยังคงดังคลอต่อไป จนกระทั่งเข็มยาวเคลื่อนไปหยุดอยู่ตรงเลขเก้าพอดี ได้เวลาแล้ว ชายหนุ่มคิด มือค่อยๆ คลายอ้อมกอดของตนเองอีกครั้ง ร่างสูงลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายบนไหล่

    "จ..จะไปแล้วเหรอ"

    เพียร์สพยักหน้า แม้ในใจเขาจะยังอยากอยู่ที่นี่ก็ตาม

    "ดูแลตัวเองด้วยล่ะ"

    "แล้ว...คุณจะกลับมามั้ย?"

    กลับมาแน่

    เขาต้องกลับมา

    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นครอบครัวสำคัญที่สุด นั่นคือสิ่งที่เขายึดมั่นเอาไว้เสมอและจะยังคงยึดมั่นต่อไป เพียร์สบอกลาผู้เป็นที่รักด้วยรอยจูบ ก่อนที่เขาจะเดินออกไปด้านนอกบ้าน...นึกถึงเวลาที่จะได้หวนกลับมาที่นี่อีก

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยังคงเหลือบมองไปยังหน้าต่างห้องชั้นบนสุด เขาเชื่อว่าชาร์ลส์กำลังมองมาจากตรงนั้น ซึ่งมันก็จริง ใบหน้าปูดโปนของเด็กหนุ่มจ้องมองผู้เป็นพ่อพร้อมกับมือที่วางอยู่บนกระจก เด็กน้อยค่อยๆ โบกมือลาพร้อมกับรอยยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มอันแสนเศร้าแต่ก็เต็มไปด้วยความเข้มแข็ง ชาร์ลส์เข้มแข็งเหมือกับพ่อ..และอ่อนโยนเหมือนผู้เป็นแม่ เด็กน้อยรู้ดีว่าสักวันหนึ่งชายคนนั้นจะกลับมาหาตนเองอีก

    ...และเขาก็สัญญาจะรอผู้เป็นพ่ออย่างอดทน



    การทำข้อตกลงระหว่างคาร์เทลกับสวีปเปอร์ ยังไงเรื่องนี้ก็ฟังดูเพ้อฝันพอควรแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกที่ทั้งสองฝ่ายนี้จะขอเจรจาไม่ยุ่งเกี่ยวกันและกัน จนกระทั่งหัวหน้าของพวกเขาดันทำข้อตกลงนี้ขึ้นมาจริงๆ

    มาเรียยืนกอดอกอยู่ข้างๆ ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าของแก๊งค์อาชญากรคาร์เทล ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอก็รู้สึกเบื่อกับการที่จะต้องมายืนเฝ้าแบบนี้โดยไม่ได้ทำอะไร แถมมันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองชั่วโมง แต่นี่มันปาเข้าไปสามชั่วโมงครึ่งแล้ว เธอไม่ใช่พวกที่ชอบเอาเวลามาทิ้งไร้ค่าแบบนี้ บอริสเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ในทันทีที่ได้จับมือกับหัวหน้าพวกผู้เก็บกวาด การรอคอยนี้ก็สิ้นสุดลง

    ...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะจบลงโดยสมบูรณ์

    เหตุการณ์ต่อไปที่กำลังจะดำเนินขึ้นถือเป็น 'ไฮไลต์สำคัญ' ของวันนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าที่มาเรียยอมยืนรออยู่ก็เพราะมัน หญิงสาวกระตุกยิ้มเล็กๆ นัยน์ตาสีฟ้าสดใสฉายประกายบางอย่างขึ้นมา ในที่สุดช่วงเวลาที่รอคอยก็มาถึง ผู้เก็บกวาดสองคนลากร่างที่แทบจะสิ้นชีพของใครคนหนึ่งขึ้นมาบนลานกว้าง ดูจากสภาพปางตายนั่นแล้วก็เดาได้ไม่ยากว่าชายคนนั้นคงจะผ่านอะไรหนักๆ มาแน่

    หิมะยังโปรยปรายลงมาไม่หยุดในตอนที่เพียร์สเดินเข้าไป โชคยังดีที่การทำข้อตกลงยังไม่สิ้นสุดดังที่คาด ชายหนุ่มกระชับหน้ากากบาลัคคลาวาขึ้น พยายามทำตัวให้เป็นปกติ บุคคลแรกที่เห็นตอนเข้าไปยังลานกว้างนั่นก็คือมาเรีย ไม่รู้ทำไมแต่เธอคงจะหันมาเห็นเขาพอดี หญิงสาวคลี่ยิ้มอย่างเป็นปริศนา ก่อนจะกวักมือเรียกให้เขาเข้าไปยืนใกล้ๆ

    "ดีใจนะที่คุณกลับมาเร็ว"น้ำเสียงนั่นฟังดูเหมือนกับการประชด"ดูสิ"

    เพียร์สเม้นปากเป็นเส้นตรง เขาตัดสินใจหันไปมองเหตุการณ์เบื้องหน้าตามคำพูดของหญิงสาว บรรดาผู้เก็บกวาดเกือบสิบคนยืนเต็มไปหมดรวมทั้ง แบร์รี เบอร์กินส์ ผู้นำของพวกเขา ซึ่งนอกจากนี้แล้ว เขาก็มองเห็นใครอีกคนหนึ่งที่กำลังถูกคุมตัวอยู่ ชายหนุ่มเผลอขมวดคิ้วภายใต้หน้ากาก สายตาจับจ้องไปยังร่างอ่อนปวกเปียกที่เต็มไปด้วยรอยแผลนั่น ดูจากเครื่องแบบและปลอกแขนที่สวมอยู่ ชายคนนั้นคงจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกผู้เก็บกวาดอย่างแน่นอน แต่ทำไมครั้งนี้พวกมันถึงปฏิบัติกับคนของตนเองแบบนั้น?

    "คุณรู้มั้ยว่าสวีปเปอร์ทำยังไงกับ...ผู้ทรยศ"

    น้ำเสียงของมาเรียเอ่ยขึ้นจนทำให้ต้องหันไปมอง ใบหน้าของหญิงสาวยังคงไว้ซึ่งความรู้สึกบางอย่าง มันไม่ใช่สีหน้าที่ควรจะแสดงออกกับสถานการณ์ตรงหน้าเลย เพราะดูจากทรงแล้วหมอนั่นจะชะตาขาดในไม่ช้านี้ และชายคนนั้นคงจะเป็นคนทรยศที่เธอว่า

    "ไม่"

    "คุณไม่รู้หรอก ไม่มีใครรู้จนกว่าจะได้สัมผัสด้วยตัวเอง"

    ทันใดนั้นเสียงประกาศก็ดังขึ้น เป็นเสียงจากหนึ่งในพวกผู้เก็บกวาดนั่นล่ะ

    "พี่น้องทั้งหลาย! วันนี้เรามารวมกันเพื่อเป็นสักขีพยาน...ในพิธีสำคัญครั้งนี้!"

    พิธีสำคัญ? สักขีพยาน? ชายหนุ่มแอบนึกขำในใจ ทำไมพวกสวีปเปอร์ถึงต้องรับบทเป็นสาวกของพระเจ้าแบบนี้ด้วย มันคงทำให้พวกนั้นรู้สึกมีอำนาจเหนือชีวิตของผู้อื่น แต่ยังไงซะ การไล่เผาคนไม่เลือกหน้าแบบนี้คงจะไม่ใช่ประสงค์ของพระองค์เป็นแน่

    "อย่างที่พวกท่านเห็นกัน...ชายผู้นี้! ดาร์วิน แมคครี! มันคือผู้ทรยศ!"ชายคนนั้นกล่าวต่อ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องที่กำลังดังขึ้นมาเรื่อยๆ"มันทำลายสายเลือดของเรา เอาเราไปขายให้กับพวกกองกำลังชาติชั่วแอตลาสต์!! ทำให้พี่น้องเราต้องตาย!"

    "ใช่!!"

    "...และเพื่อการลงโทษอย่างสาสม มันจะต้องตกนรกทั้งเป็น!"

    ทันใดนั้นเองหนึ่งใน 'เบิร์นเนอร์' ก็ชโลมร่างของชายผู้ทรยศด้วยของเหลวบางอย่าง น้ำมันหนึ่งแกลลอนหมดเกลี้ยงไปในเวลาไม่กี่วินาที ดาร์วินเหนื่อยล้าเกินจะขัดขืน เขายอมให้ร่างทั้งร่างอาบไปด้วยเชื้อเพลิงนั่นโดยไม่อาจต้านทาน เสียงโห่ร้องดังกว่าเก่า เพียร์สยังยืนดูสถานการณ์ตรงหน้า เขารู้สึกสิ้นคำพูด ไม่รู้เหมือนกันว่า ดาร์วิน แมคครี เอาข้อมูลอะไรไปบอกกับแอตลาสต์ แต่นั่นคงจะทำให้กองกำลังทหารมาตามไล่ล่าพวกมัน มาเรียดูไม่มีทีท่าตกใจเลย ตรงกันข้ามหญิงสาวกลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า

    ที่นี่กลายเป็นลานสำเร็จโทษไปโดยปริยาย แบร์รี เบอร์กินส์ หัวหน้าของผู้เก็บกวาดก้าวขึ้นมาบนแท่น เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่กำยำ สวมหน้ากากกันแก๊ส พกปืนลูกซองแฝดปลายลำกล้องสั้น แถมไม่ค่อยพูดอะไรมาก แบร์รีหยิบไฟแช็กออกมาจุดก่อนจะโยนใส่ร่างอันบิดเบี้ยวตรงหน้า ภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเปลวเพลิงก็ลุกลามไปทั่ว เสียงกรีดร้องดังลั่น ร่างที่จากเดิมไร้ซึ่งเรี่ยวแรงบัดนี้ดิ้นเร้าไปมาอย่างเจ็บปวด 

    และแล้ว...ดาร์วิน แมคครีก็สิ้นชีพ ขาดใจตายอย่างทรมานทั้งที่กองเพลิงก็ยังลุกไหม้อยู่ทั่ว เหลือไว้เพียงร่างไร้วิญญาณของชายผู้ทรยศที่ไหม้เป็นตอตะโก ทั้งที่ควรจะเป็นเหมือนเมื่อก่อนแท้ๆ แต่ครั้งนี้เขากลับ...รู้สึกอะไรบางอย่าง บางอย่างที่อาชญากรอย่างเขาไม่ควรจะรู้สึก

    บางอย่างที่เรียกว่า--ความสงสาร

    "สำหรับคนทรยศ"

    เสียงของมาเรียเอ่ยขึ้น ใบหน้าของหญิงสาวยังคงไว้ซึ่งความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย 

    แล้วเธอก็หันมาสบตากับเขา

    "...ไม่มีจุดจบใดสาสมไปกว่าการตายอย่างน่าสมเพชของมัน"

           
    Z Y C L O N
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×