ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ZERO ZONE

    ลำดับตอนที่ #14 : [PEARCE] All I Want (2)

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 62


    1/1/2019

    All I Want (2)

    [ C A R T E L ]

     

    เช้าวันแรกในปี 2019 ของเขาเปิดฉากด้วยการไล่ล่าหัวขโมย

    คนทั่วไปอาจจะจินตนาการกิจกรรมที่อยากทำให้เช้าวันแรกของปีไม่ออก ถ้านึกย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน สิ่งที่ต้อนรับในวันแรกของปีคือรอยยิ้มของภรรยากับเสียงของลูกชาย แต่ทว่าในตอนนี้ แค่วันแรกของเขาคือการเตรียมปืนออกไปล่าคน ไม่อยากเชื่อเลยว่าปีใหม่จะพัฒนาไปเลยเถิดถึงขนาดนี้เสียแล้ว

    หลังจากเตรียมของเสร็จเรียบร้อย เพียร์สเช็คของอีกทีเพื่อความแน่ใจก่อนออกจากห้อง ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าเป้ขึ้นบนไหล่ แล้วหยิบปืนอันเป็นสัมภาระชิ้นสุดท้ายขึ้นมาถือ ในทันทีที่เปิดผ้าปิดเต็นท์ออกไปข้างนอก บุคคลแรกที่ยืนรออยู่กลับไม่ใช่บอริสอย่างที่คาด แต่กลับเป็นมาเรียแทน เมื่อเห็นหน้าของผู้หญิงคนนี้พลันเหตุการณ์เมื่อคืนก็ย้อนกลับมาในหัว ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย โชคดีที่เขาสลัดภาพนั้นไปได้ทัน ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังเลยว่าวันนี้จะมีสมาธิ

    “บอริสรอคุณอยู่ที่ประตู”

    เพียร์สไม่ตอบ เขาไม่รอช้าที่จะเดินออกไปสู่ด้านนอกที่พักของตนเอง สภาพภายในฐานทัพของคาร์เทลก็คืออดีตแคมป์ผู้ป่วย มีเต็นท์สีขาวขนาดใหญ่วางอยู่มากพอควร ตอนนี้สภาพของมันแตกต่างไปจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก พอบอริสมาเจอที่นี่ เขาก็จัดการสั่งให้ลูกน้องเปลี่ยนแปลงสภาพของที่นี่เสียใหม่ จากแคมป์ธรรมดาๆ ที่เอาไว้สำหรับรองรับผู้ป่วย ตอนนี้กลับกลายเป็นฐานปฏิบัติการที่เพียบพร้อมไปด้วยอาวุธและกำลังคน แถมยังคงความปลอดภัยขั้นสูงสุดเอาไว้อีกด้วย

    สองสมาชิกแนวหน้าแห่งแก๊งค์อาชญากรพากันเดินไปยังประตูลูกกรงเหล็ก ระหว่างทางก็เดินผ่านคนอื่นๆ ที่ยังเดินโซซัดโซเซไม่หาย ดูก็รู้แล้วว่าพวกนี้ยังไม่สร่างเมาเลยด้วยซ้ำ เขาเองก็คงสภาพไม่ต่างไปจากคนอื่นเช่นกันถ้าเมื่อคืนไม่เลือกที่จะเดินออกมาก่อน แต่นั่นก็ทำให้เขาไม่รู้ชะตากรรมของชายหนุ่มผู้โชคร้ายคนนั้น พวกคาร์เทลอาจจะสนุกอยู่ในเอเดนบาร์อยู่ทั้งคืน...แน่นอนรวมถึงมาเรียด้วย

    น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันที่เธอกลับไม่พูดถึงเรื่องเมื่อคืนเลยในเช้าวันนี้

    “เพียร์ส!”บอริสตะโกนเรียก ชายชาวรัสเซียยืนรออยู่ตรงทางออกอย่างที่มาเรียว่า”พร้อมทำงานรึยัง”

    “ครับบอริส”

    “ดีมาก ผมเดาว่าคุณคงจะรู้จักทางไปรังเสบียงสินะ ถ้าเสร็จแล้วก็ ว. กลับมาด้วยล่ะ”

    ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ทันใดนั้นเองบอริสก็ส่งสัญญาณให้กับคนเฝ้าประตู เสียงล้อเลื่อนเหล็กดังก้องไปในอากาศ เพียร์สสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะทำการเตรียมตัวครั้งสุดท้าย ตอนนี้ใบหน้าของเขาถูกปกปิดด้วยหน้ากากโม่งแล้ว เขาเพียงแต่สวมหมวกฮู้ดเอาไว้บนศีรษะเท่านี้ก็เรียบร้อย  แต่ก่อนที่จะได้ออกไปด้านนอกแคมป์ ฉับพลันเสียงของมาเรียก็ดังขึ้นเบื้องหลัง

    “เพียร์ส”

    เจ้าของชื่อหันกลับไป ดวงตาสีน้ำตาลเข้มซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ถูกเปิดเผยหลังจากสวมหน้ากากจ้องมองไปยังอีกฝ่าย หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกอีกครั้ง เรือนผมสั้นสีดำของเธอพลิ้วไสวตามสายลมพัด

    “ระวังตัวด้วย”

    มีความเป็นห่วงแฝงอยู่ในแววตาสีฟ้าสดใสคู่นั้นจริงๆ แต่บางอย่างกลับบอกให้เขาลืมมันไปซะ เพียร์สพยักหน้ารับ เขาไม่อยากเก็บเรื่องเมื่อคืนมาใส่ใจอะไรให้มาก แถมไม่อยากนึกถึงสภาพเมื่อคืนของอีกฝ่ายด้วย การทำงานในครั้งนี้จะต้องรอบคอบและระมัดระวังที่สุด มันคงจะดีกว่าถ้าหาก...เขาลืมๆ มันไปซะ

    ชายหนุ่มตัดสินใจก้าวเท้าออกไปด้านนอกประตูลูกกรง

     

    ท้องฟ้าสีหม่นยังคงมีหิมะโปรยปรายมาไม่ขาดสาย สายลมหอบอากาศอันแสนหนาวเหน็บมาปะทะเข้ากับใบหน้า กระดาษหนังสือพิมพ์รวมถึงเศษขยะมากมายปลิวว่อนเต็มท้องถนน รถยนต์ถูกจอดทิ้งเอาไว้จนแทบจะจมกองหิมะ ความเงียบงันของบรรยากาศภายในเมืองชิคาโกหลังเหตุโรคระบาดช่างเป็นอะไรที่ชวนขนหัวลุก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงจราจรหรือเสียงฝีเท้าของผู้คนเหมือนเมื่อก่อน มีเพียงความเงียบงันกับกลิ่นไอเหม็นเน่าจากซากศพเท่านั้น

    ถุงสีขาวถูกพบวางเรียงรายเอาไว้เป็นระยะๆ ตรงบนทางเดิน บางส่วนอาจพบว่าโดนเผาไปแล้ว เพียร์สยังคงไม่ไว้วางใจในสถานที่รอบตัว เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในการเดินทางครั้งนี้ ฉะนั้นเขาจึงต้องระวังตัวขั้นสูงสุด ร่างสูงย่างลงบนเส้นทางสีขาวที่แลดูจะยาวไกลไร้จุดจบ ดวงตาสีเข้มกวาดมองสภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างระมัดระวัง นิ้วชี้วางอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้กับโกร่งไกปืนมากที่สุด

    เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงเต็มนับตั้งแต่ออกจากแคมป์ เพียร์สตัดสินใจที่จะนั่งพักชั่วคราวอยู่บนฟุตบาตด้านหน้าธนาคารประจำเมือง ตอนนี้รอบตัวไม่ได้มีอะไรไปมากกว่ารถที่ถูกจอดทิ้งไว้หรือเศษขยะ ชายหนุ่มเลิกหน้ากากขึ้นพอประมาณก่อนจะยกขวดน้ำขึ้นมาดื่ม ความเงียบกลับกลายเป็นความกดดันไปโดยปริยาย เขาตัดสินใจดึงหน้ากากลงมาตามเดิม ก่อนจะก้มหน้าลงมองอาวุธปืนในมือของตนเอง

    พอนึกถึงหัวขโมยที่บอริสว่า มันก็ทำให้เขาเห็นสภาพของตนเองเมื่อสมัยก่อน

    จะว่าไปเขาก็เคยขโมยของเหมือนกัน ไม่ว่าจะเงิน อาวุธ แม้แต่บุหรี่เพียงแค่กล่องเดียวเขาก็เคยขโมยมันมาจากร้านสะดวกซื้อแล้ว และความเห็นแก่ตัวแบบนั้นเป็นอะไรที่...รับไม่ได้

    ใช่ เพราะภรรยาไม่ชอบให้เขาขโมยของใครเท่าไหร่

    เพียร์สถอนหายใจ เขาควรจะสลัดเรื่องราวพวกนั้นทิ้งแล้วอยู่กับปัจจุบันน่าจะดีกว่า พอคิดได้แบบนั้นชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากฟุตบาร์ต หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายเอาไว้แล้วเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง จนกระทั่งเสียงกัมปนาทปริศนาดังขัดจังหวะฝีเท้าของเขา

    ปัง!

    ปัง! ปัง! ปัง!

    ด้วยสัญชาตญาณพื้นฐาน ปืนถูกยกขึ้นมาเตรียมโดยอัตโนมัติ สายตากวาดมองรอบๆ เพื่อมองหาที่มาของเสียง แต่ก่อนที่เขาจะไหวตัวทัน ขณะนั้นเองรถฮัมวีคันใหญ่ก็ขับผ่านหน้าจุดที่ยืนอยู่ เพียร์สลดอาวุธลงขณะมองตามรอยล้อของยานพาหนะนั่น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มสะท้อนให้เห็นภาพของกลุ่มคนสวมเครื่องแบบลายพรางที่กำลังเข้าปะทะกับบางสิ่งอยู่

    เขารู้ในทันทีว่าคนพวกนั้นเป็นใคร ถ้าดูจากอาวุธประกายของแต่ละคนแล้ว ไม่ว่าใครก็ดูออกว่าคนพวกนั้นคือกองกำลังทหารที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ที่นี่...พวกแอตลาสต์

    “วางอาวุธ!

    “หมอบลงซะไอ้พวกชอบเผา! อย่าคิดเล่นตุกติกนะเว้ย!

    ท่าทางแอตลาสต์จะยังวุ่นวายอยู่กับภารกิจประจำวัน พวกสวีปเปอร์กลุ่มนั้นคงจะโดนจับได้ตอนที่ออกมาเผาศพคนอื่นเล่น น่าขำเหมือนที่เห็นผู้เก็บกวาดกำลังถูกทหารไร้สังกัดต้อนเสียจนมุมขนาดนั้น บางคนถ้ารักชีวิตมากพอก็จะยอมแพ้แล้วทิ้งอาวุธ แต่บางคนก็อาจจะคิดโต้ตอบกับทหารพวกนั้น ซึ่งนั่นคงเป็นอะไรที่โง่แบบสุดๆ แอตลาสต์เป็นทหารก็จริง แต่พวกมันไม่ได้ทำงานอยู่ในซีโรโซนเพราะรับใช้ชาติ

    ...อันที่จริงแล้วทหารพวกนั้นก็ไม่ต่างไปจากผู้เก็บกวาดเสียเท่าไหร่

    เพียร์สยืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ตอนนี้เชลยกำลังถูกต้อนให้ไปอยู่มุมเดียวกัน มือทั้งสองข้างชูขึ้นไปบนอากาศ คงไม่มีใครกล้าพอที่จะวิ่งหนีแน่ เพราะปืนแต่ละกระบอกที่อยู่ในมือของทหารพวกนั้นก็เตรียมพร้อมที่จะเหนี่ยวไกอยู่ตลอดเวลา เสียงตะโกนออกคำสั่งฟังชัดเจนและได้ผลอย่างมากกับคนที่ไร้ทางสู้ นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพวกสวีปเปอร์ดูท่าทางเป็นไก่อ่อนแบบนั้น

    ไม่นานนักแอตลาสต์ก็ทำงานที่พวกมันถนัด

    เสียงปืนดังขึ้น บัดนี้ร่างของผู้เก็บกวาดทั้งหมดล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรง คราบเลือดสาดกระเซ็นลงบนหิมะสีขาวใต้รองเท้าบูท ทหารพวกนั้นตะโกนดีใจกันใหญ่

    “ปล่อยศพไว้งี้แหละ”หนึ่งในกองกำลังนั่นร้องขึ้น”ให้พวกแม่งมาเผาฌาปนกิจกันเอาเอง”

    “เจ๋งไปเลยครับจ่า!

    หลังจากที่พวกมันขับรถออกไปจากลานประหาร เพียร์สก็ตัดสินใจเดินไปที่นั่นดู อย่างที่บอกว่าพวกแอตลาสต์ก็ไม่ต่างไปจากสวีปเปอร์ พวกมันฆ่าทุกคนที่คิดว่าเป็นภัยต่อกองทัพตนเอง แม้แต่พวกผู้ติดเชื้อก็ไม่เว้น แต่ถึงกระนั้นสำหรับตอนนี้...ชายหนุ่มก้มตัวลงไป เขาพลิกดูร่างไร้วิญญาณของอดีตเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อมองหาสิ่งของที่อีกฝ่ายมี คงต้องยกความดีความชอบให้กับทหารพวกนั้นแล้วล่ะ

    ของที่ได้มาจากศพของพวกสวีปเปอร์ก็ไม่ได้มีอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็คงเป็นของเล็กๆ น้อยๆ แบบกระสุนหรือไม่ก็ขวดน้ำ แต่เพียร์สเจออะไรบางอย่างตอนค้นศพสุดท้าย ไฟแช็คซิปโปสีเงินแกะสลักอย่างดีที่เหมาะจะเป็นของสะสมมากกว่าการเอามาเผาศพคนอื่น ชายหนุ่มจ้องมองสิ่งของดังกล่าวในมือเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋า ตอนนี้ระยะทางไปรังเสบียงคงจะไม่ไกลเท่าไหร่แล้ว เขาคงต้องเร่งฝีเท้าหน่อยถ้าไม่อยากเจอเรื่องอะไรอีก

    ...พวกแอตลาสต์อาจจะอยู่แถวนี้ การที่พวกมันขับรถผ่านไปโดยไม่สนใจเขาคงเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง เพราะปกติทหารพวกนั้นก็ไม่เคยไว้ชีวิตใครอยู่แล้ว 

    เพียร์สลุกขึ้น เขาตัดสินใจสาวเท้าออกไปยังท้องถนนอีกครั้ง



    ในที่สุดเขาก็ถึงรังเสบียงของคาร์เทลจนได้

    การเดินทางที่กินเวลาเกือบสามชั่วโมงเต็มทำให้ชายหนุ่มเริ่มอ่อนล้า แม้แต่รองเท้าสนีกเกอร์ที่สวมอยู่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บมากกว่าเดิม เพียร์สถอนหายใจอย่างโล่งอก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปทั่วทางเข้าโกดังเก็บของอย่างระแวดระวัง ไม่มีใครอยู่แถวนี้...อย่างน้อยก็แค่เฉพาะตอนนี้ล่ะนะ 

    รังเสบียงอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญของคาร์เทลเลยก็ว่าได้ เพราะทุกสิ่งที่หามาได้ไม่ว่าจะมาจากการปล้นหรือด้วยวิธีใดก็ตาม จะต้องถูกนำมาเก็บเอาไว้ในรังเสบียงเพื่อเป็นของใช้สำหรับส่วนรวม แม้แต่รถบรรทุกเสบียงที่พวกเขาพากันไปปล้นมาจากทหารเมื่อวันก่อนก็ยังถูกจอดแอบเอาไว้ใกล้ๆ เพียร์สเดินเข้าไปยังประตูโกดัง ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่นี่จะถูกล็อกเอาไว้ด้วยแม่กุญแจตัวเบ่อเริ่ม และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปเอาของด้านในได้ แต่ทว่าในตอนนี้ไอ้กุญแจตัวใหญ่นั่น...กลับจมกองหิมะอยู่บนพื้นอย่างน่าฉงน แถมที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือมีรอยเท้าปริศนาเดินเข้าไปด้านหลังประตูด้วย

    ...ใครมันโง่ถึงขนาดคิดจะขโมยเสบียงของคาร์เทลกัน

    มือใหญ่วางลงบนแผ่นไม้เปื้อนหิมะก่อนจะออกแรงผลัก เมื่อประตูโกดังถูกเปิดออก เสียงบานพับก็ดังสะท้อนไปในความเงียบ แสงสลัวจากโลกภายนอกสาดส่องเข้าไปด้านใน สิ่งของจำนวนมากตั้งแต่อาหารกระป๋อง น้ำดื่ม แม้แต่อาวุธปืนบางส่วนก็ยังถูกเก็บเอาไว้ในที่แห่งนี้ ร่างสูงก้าวเท้าอย่างใจเย็น ความมืดทำให้มองเห็นสภาพรอบตัวไม่ชัดเจนเท่าไหร่ เพียร์สหยิบไฟฉายพกพาขนาดเล็กขึ้นมาเปิด เขาสาดแสงไปยังความมืดเบื้องหน้าของตนเองอย่างใจเย็น ซึ่งในขณะนั้นมือก็ถือปืนแน่นและเตรียมพร้อมใช้งานทุกเมื่อ

    แสงไฟฉายสาดส่องออกไปเป็นเส้นตรงยาว ด้านในรังเสบียงเต็มไปด้วยชั้นวางของจำนวนมาก รวมถึงกล่องกระดาษขนาดน้อยใหญ่อีกหลายสิบกล่อง ทุกสิ่งตั้งวางเรียงกันโดยแบ่งระหว่างน้ำกับอาหาร ถ้าเป็นอาวุธจะถูกเก็บเอาไว้บนชั้นที่พวกคาร์เทลไปขนมาจากร้านค้าใกล้ๆ นอกจากสิ่งของที่ถูกเก็บเอาไว้ในห้องแล้ว เขากลับมองเห็นความผิดปกติอย่างหนึ่งเมื่อเดินเข้าไปด้านในสุด กล่องเก็บอาหารกระป๋องถูกรื้อกระจุกระจาย ยิ่งไปกว่านั้นคือยังมีหลักฐานที่ทำให้รู้ว่าของด้านในนั้นถูกขโมยไปด้วย

    ถ้าอ้างอิงจากรอยเท้าที่เห็นอยู่ข้างนอก เขาอาจไม่ได้อยู่ในโกดังนี้แต่เพียงลำพัง

    ชายหนุ่มเพิ่มความระมัดระวังตัวจนขั้นสูงสุด ฝีเท้าค่อยๆ ย่างทีละก้าวโดยพยายามไม่ให้เกิดเสียงขณะเดิน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอาศัยแสงสว่างกวาดมองรอบตัวราวกับเรดาร์...เขาเริ่มรู้สึกว่าถุงมือที่สวมอยู่กำลังชื้นไปด้วยเหงื่อ เพียร์สเคยทำงานอะไรแบบนี้มามากพอที่จะไม่ตื่นเต้น แต่ทำไมสถานการณ์ในตอนนี้กลับแตกต่างจากเมื่อก่อนนัก เขาเก็บคำถามนั้นเอาไว้ในใจระหว่างอยู่ในการตรวจสอบ 

    ทันใดนั้นเองปลายเท้าก็ไปสะกิดเข้ากับอะไรบางอย่าง เสียงเหมือนกับขวดแก้วกลิ้งกังวานในความเงียบก่อนจะดับหายไป ชายหนุ่มสาดแสงไฟฉายไปยังจุดล่าสุดที่ได้ยินเสียงก่อนจะย่อตัวลงบนพื้น 

    อาหารกระป๋อง?

    ใครมันมาทำร่วงเอาไว้ตรงนี้กัน

    ...เพียร์สทำได้เพียงตั้งคำถามอย่างฉงน เขาตัดสินใจยืนขึ้นแต่ยังไม่ละสายตาไปจากอาหารกระป๋อง...และทันใดนั้นเอง พลั่ก! ร่างของชายหนุ่มก็ถูกแรงกระแทกเข้าอย่างจังจนล้มลงบนพื้น มือเผลอทำกระบอกไฟฉายกระเด็นหลุดออกไปไกล แสงสว่างจากอุปกรณ์นั่นปะทะเข้ากับเงาดำปริศนาที่กำลังวิ่งไปยังทางออกอย่างรวดเร็ว เมื่อรวบรวมสติได้เพียร์สจึงลุกขึ้นวิ่งไล่ตามมันไปโดยไม่ลืมหยิบไฟฉายติดมือมาด้วย

    หัวขโมยปริศนาวิ่งหน้าตั้งออกไปด้านนอกที่เก็บเสบียง มันพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปิดประตูขังคนที่อยู่ด้านในเอาไว้ เพียร์สเพิ่มความเร็วให้กับฝีเท้าของเขา ก่อนที่ประตูจะถูกปิดสนิทในช่วงเวลาอันสั้นนั้น ชายหนุ่มก็กระแทกหัวไหล่ด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาลจนสามารถกระโจนออกไปด้านนอกได้ในที่สุด เพียร์สมองไปตามร่างของไอ้หัวขโมย มันดูท่าทางตื่นตระหนกกว่าเก่าเมื่อรู้ว่าตนเองถูกจับได้ ไม่ทันที่จะได้ตั้งสติ ร่างของหัวขโมยตัวดีก็วิ่งออกไปไกลจนตามองแทบไม่ทัน

    เพียร์สเก็บไฟฉายเอาไว้ในเสื้อแจ๊คเก็ตขณะออกตัววิ่ง สายตายังคงไม่ละไปจากเป้าหมายเบื้องหน้า ชายหนุ่มประคับประคองปืนเอาไว้ในมือ เมื่อถึงระยะยิงแล้ว นิ้วจึงเหนี่ยวไกยิงสกัดจังหวะฝีเท้าของเจ้าตัวดีนั่นไปสองสามนัด หัวขโมยโซเซเล็กน้อย อาจจะเพราะน้ำหนักของกระเป๋าที่สะพายอยู่ด้านหลังด้วย แต่กระสุนแค่เท่าให้มันชะลอช้าลงเพียงเท่านั้น เขาจะต้องไล่ตามไปติดๆ ก่อนที่มันจะละสายตาไป

    เสียงฝีเท้าเหยียบย่ำลงบนพื้น เกล็ดหิมะกระเด็นไปทั่ว ความเหนื่อยล้าเริ่มเข้ามาถ่วงความเร็วในการหนีเอาไว้ เพียร์สกระตุกยิ้มภายใต้หน้ากากเมื่อเห็นอีกฝ่ายชะลอช้าลง เขาเองก็ควรเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่านี้ก่อนที่เจ้าหัวขโมยจะเล่นตุกติกอะไรอีก ทั้งสองวิ่งลัดเลาะกันไปตามซอกตึกแคบๆ โดยที่ฝ่ายหนึ่งต้องการล่าแต่อีกฝ่ายต้องการหนี เขาเองก็จะขอวิ่งไล่ตามไอ้หัวขโมยนั่นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจับมันได้ หลังจากนั้นก็เป็นอันจบงานนี้ซะ

    และแล้วชัยชนะก็ตกเป็นของเขา

    ร่างของผู้ถูกล่าชะงักเล็กน้อยเมื่อเผลอไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง สองขาประคับประคองไม่ทันเพราะความเร็วในการวิ่ง ด้วยเหตุนั้นเองจึงส่งผลให้ไอ้หัวขโมยลื่นล้มจมกองหิมะไปทันที เพียร์สอาศัยจังหวะนั่นกระโจนตัวเข้าไปตะครุบอีกฝ่าย อาวุธปืนบัดนี้ถูกเก็บเอาไว้ก่อนเพราะเขายังไม่ต้องการปลิดชีพเจ้าหัวขโมยตอนนี้

    ตอนนี้ร่างที่ใหญ่กว่าขึ้นคร่อมอยู่ด้านบนและมันเป็นไปไม่ได้ที่จะหนี แต่ถึงกระนั้นมันพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต สองมือไม้ปัดตีชายหนุ่มไปทั่วอย่างกระวนกระวาย กระเป๋าบรรจุเสบียงที่ไอ้หัวขโมยนั่นเอามาด้วยตอนนี้กระเด็นหายไปไหนแล้วก็ไม่ทราบ เพียร์สใช้มือทั้งสองข้างของเขาในการยึดร่างที่เล็กกว่าเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้หญิง เขาคิด นัยน์ตาจับจ้องไปยังลูกไก่ในกำมือพร้อมกับคิดแผนการต่อไปในหัว เรื่องจะจัดการกับเธอยังไงต่อควรต้องเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้แม่นี่ชักจะดิ้นไม่หยุดเสียแล้ว

    เพียร์สใช้มือทั้งสองตรึงร่างอีกฝ่ายเอาไว้ได้ในที่สุด ด้วยความเหนื่อยล้าจากการวิ่งทำให้เธอไม่สามารถขัดขืนได้อีกต่อไป เสียงหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้าของขโมยนิรนามดังไปทั่ว หมวกแก๊ปที่เคยสวมอยู่บัดนี้หลุดออกจากศีรษะไปแล้ว เผยให้เห็นเรือนผมสีบลอนด์สว่างซึ่งซ่อนอยู่ภายใน แต่ใบหน้าของเธอยังคงถูกปกปิด

    ...เขาตัดสินใจกระชากผ้าปิดปากนั่นออก

    และนั่น...ทำให้เขาได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าหัวขโมย

    ก่อนหน้านี้เขาเคยตั้งคำถามว่า "ใครมันจะบ้าพอถึงขนาดต้องขโมยของของคาร์เทล" ตอนนี้เขาได้รับคำตอบแล้ว แถมยังเป็นคำตอบที่ค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายอีกด้วย ดวงตาสีมรกตคู่งามที่เคยถูกซุกซอนเอาไว้บัดนี้จับจ้องมาที่เขา ริมฝีปากที่แดงระเรื่อปล่อยไอเย็นสีขาวออกมา ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ มือเล็กที่ถูกตรึงเอาไว้แน่น 

    หญิงสาวขมวดคิ้ว ความรู้สึกโกรธเคืองส่งผลให้ใบหน้าของเธอแดงกว่าเก่า อีกนิดเดียวเธอก็จะทำสำเร็จ...อีกนิดเดียวเธอก็สามารถช่วยเขาเอาไว้ได้แล้ว แต่ตอนนี้การกระทำโง่ๆ กำลังจะนำมาซึ่งจุดจบ หัวขโมยสาวหลับตาปี๋ขณะรับรู้ได้ถึงสัมผัสเย็นยะเยือกจากมือของชายคนนั้น เกล็ดหิมะซึ่งติดแน่นอยู่บนถุงมือของเขาบัดนี้ประทับอยู่บนแก้มของเธอ ทันใดนั้นเองร่างบางก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ไอ้เลวนั่นกำลังจะถอดหน้ากากออก

    คราวนี้ทั้งสองก็ได้มองเห็นใบหน้าของแต่ฝ่ายชัดเจน นัยน์ตาสีมรกตคู่สวยเบิกกว้างขึ้น แววความสับสนปะปนอยู่ในนั้น หญิงสาวส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อตนเอง ในขณะเดียวกันเธอก็ระลึกถึงชื่อของอีกฝ่ายขึ้นมาในหัว

    "...พ..เพียร์ส?"

    ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไร เหมือนกับริมฝีปากจะรู้สึกแห้งทั้งที่เขาก็เพิ่งจะดื่มน้ำไปเมื่อครู่นี้ เขากลืนน้ำลายลงคอ มือยังคงวางประทับอยู่บนใบหน้าสะสวยของหญิงสาวใต้ร่างตนเอง นิ้วลูบไล้แก้มเปื้อนหิมะนั่นอย่างอ่อนโยน ในหัวนึกถึงภาพความทรงจำอันแสนเลือนลางจนเขาแทบจะคิดว่า...นั่นเป็นเพียงแค่ความฝันที่ถูกหลงลืม

    เพียร์สตัดสินใจเอ่ยชื่อของเธอ

    ชื่อ--ที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินอีกครั้งหลังเกิดเหตุการณ์นรกแตกนี่


    "เอเดล"

           
    Z Y C L O N
       
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×