คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #31 : Escape. หลบหนี
แผนที่ดีคือแผนที่ทำตามแล้วต้องไม่พลาด—
แต่แผนที่โง่ที่สุดก็คือแผนที่มีคนทำพลาดและต้องตายเพราะมัน...
-Kivanov Rudolff-
ซ่า—
อากาศค่อยๆเย็นลงทีละน้อย เสียงหยาดเม็ดฝนนับร้อยที่ตกลงมาจากท้องฟ้าในยามรัตติกาลประสานกลายเป็นเสียงน่าแสบแก้วหู ทันใดนั้นร่างเงาตะคุ่มก็เริ่มต้นเคลื่อนตัวออกมาจากหลังซากตึกอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ร่างนั่นเคลื่อนหลบแสงไฟของพวกทหารสาดลงมาอย่างคล่องแคล่วแล้วแนบเนียนไปกับความมืด แสงจากสปอร์ตไลท์สาดส่องไปปกระทบกับปลายกระบอกปืนไรเฟิลซุ่มยิงที่สะพายอยู่ด้านหลังจนเกิดแสงระยิบน้อยๆจนแทบไม่เป็นที่สังเกตเห็น
ร่างนั่นหมอบคลานลงไปยังพื้นที่แฉะไปด้วยน้ำฝนตรงไปยังอาคารหลังหนึ่งที่มีแสงไฟสว่าง มันลุกขึ้นยืนแนบกับกำแพงอย่างรวดเร็วพลางหันหน้าไปเข้าไปในอาคารนั่น..มือข้างหนึ่งล้วงหยิบปืนพกออกมาจากซองมาถือไว้เตรียมพร้อมว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นก็จะได้ตั้งตัวทัน
เบื้องหน้าคือทหารสี่คนที่นั่งล้อมโต๊ะกันอยู่ ทั้งหมดส่งเสียงเฮฮาดังลั่นจนเสียงกระจายออกมาด้านนอก บนโต๊ะเต็มไปด้วยขวดเหล้านับสิบและไพ่ ร่างเงามืดที่แนบชิดติดกำแพงค่อยๆถอนหายใจออกมาทีละน้อย มือใหญ่ที่สวมถุงมือหนังสีดำจับด้ามปืนไว้แน่นแล้วเดินผ่านประตูนั่นอย่างรวดเร็ว!
ฟึ่บ..
สำเร็จ...ไอ้พวกนั้นยังคงนั่งล้อมวงกันต่อไปโดยไม่สนใจเขาเลย ชายหนุ่มรีบเดินออกจากอาคารนั่นไปหลบหลังรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ใกล้ๆ ตรงนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีเงาของพวกทหารยามเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ประมาทไม่ได้ ฉะนั้น...เขาค่อยๆก้มลงเก็บลูกหินที่อยู่บนพื้นขึ้นมาก่อนจะขว้างมันไปด้านหน้า
ตุบ...
....
..
.
"ตรงนี้มียามสามคนเฝ้าอยู่...ตรงนี้..ตรงนี้...และตรงนี้"
หญิงสาวจิ้มนิ้วลงบนพื้นที่บัดนี้ได้กลายเป็นแผนผังของที่นี่ไปเสียแล้ว เธอเพิ่งจะใช้เศษตะปูที่ตกลงมุมห้องมาวาดแปนผังนี่ขึ้นมาตามในความคิดของเธอ เนื่องจากการที่เคยมาที่นี่มาก่อนจึงทำให้เธอเขียนแผนผังออกมาได้ละเอียดพอควร แถมยังจำตำแหน่งของยามได้อีกต่างหาก มันเป็นประโยชน์มากๆกับการเตรียมตัวหนีในขณะนี้
"เหอะ"คิวานอฟยักคิ้วขึ้น"แน่ใจเหรอว่ามันจะสำเร็จ"
"แน่นอน ไม่อย่างนั้นฉันก็คงไม่ต้องเสียเวลาร่างแผนผังนี่หรอกน่า"
แอดเลอร์พูดพลางทิ้งตะปูลงบนพื้น สายตายังคงจับจ้องไปยังรูปแผนผังสมมติที่อยู่บนพื้น ในหัวตีความประมวลผลความคิดต่างๆเกี่ยวกับแผนนี่ให้ถี่ถ้วน
"ข้างนอกฝนตกเหรอเนี่ย..."คิวานอฟพูดพลางเงี่ยหูฟังเสียงหยาดฝนที่ตกลงบนพื้นอย่างสบายใจ"เฮ้อ..ฟังดูสบายชะมัดเลยว่ามั้ย"
"ฝนเหรอ--ฉันไม่ค่อยชอบมันซะเท่าไหร่หรอกนะ"
เธอเงียบเสียงลงบ้าง หูทั้งสองยังคงได้ยินเสียงฝนอยู่ก้อง หล่อนยกมือขึ้นลูบหน้าของตนเองก่อนจะกลับเข้ามุมของตนไป เสียงหยาดฝนที่ดังอยู่ด้านนอกมันฟังดูน่าสบายอย่างที่คิวานอฟบอก แต่เผอิญว่าฝนกับเธอมันไม่ค่อยจะเข้ากันได้เลย
ตึก...ตึก..ตึก..
เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นหลังลูกกรง แอดเลอร์รีบขยับไปใกล้ลูกกรงเหล็กที่มีสนิมเขรอะทันที ฉับพลันสายตาของเธอก็เล็งเห็นใครบางคน...
ใบหน้าของเขาคุ้นตาเธอมาก...และที่สำคัญ เธอรู้จักเขา
"ไงวูลฟฟ์"เธอพูดพลางยกมือทักทาย"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"
"เช่นกันครีนัส.."
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเครื่องแบบสีดำเต็มยศย่อตัวลงนั่งตรงหน้าลูกกรงที่กั้นระหว่างเขาและเธอเอาไว้ เครื่องหมายบอกยศที่คอปกเสื้อของเขาบ่งบอกว่านั่นคือยศพันเอก..แอดเลอร์มองมันเล็กๆสลับกับการมองหน้าชายหนุ่มผู้มาเยือน วูล์ฟฟ์ยกมือของตนเองที่ถูกสวมทับด้วยถุงมือหนังสีดำขึ้นมาจับลูกกรงเอาไว้
"ผมไม่น่ามาเห็นคุณที่อยู่ในชุดเครื่องแบบของทหารอเมริกันเลย"
"ทำไมล่ะ--กลัวสินะ นั่นล่ะนิสัยของคุณ"
เขามองลอดหมวกออกมาจ้องใบหน้าของเธอ
"เลิกทำเหมือนกับว่าเราเป็นเพื่อนกันได้แล้วครีนัส.."เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา"มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้วนะ"
"งั้นคุณคิดว่าฉันกลัวคุณรึไง"
คิวานอฟได้แต่จ้องมองหน้าแต่ละฝ่าย เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านอกจากจะมีสงครามภายนอกที่ใช้ปืนเป็นอาวุธแล้ว ยังจะมีสงครามภายในที่ใช้น้ำเสียงเป็นอาวุธอีก
"ไอ้พวกลูกน้องโง่ของคุณมันทำฉันเจ็บ เห็นมั้ย ที่ขาเนี่ย!"
ทหารสองคนที่ทำท่าจะชักปืนออกมาแต่ก็ถูกชายในเครื่องแบบห้ามเอาไว้ เขาบอกให้พวกนั้นออกไปข้างนอกให้หมดราวกับว่าต้องการความเป็นส่วนตัวหน่อย..แต่คงจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ในเมื่อด้านในลูกกรงนั้นยังมีชายอีกคนนั่งอยู่กับแอดเลอร์ หากแต่ว่าเขาไม่ได้สนใจมันมากนัก
"พวกเขาไม่ได้โง่--คุณนั่นแหละที่เดินเข้ามาในกับดักของเราเอง"
"กับดักเหรอ งั้นคุณก็รู้อยู่แล้วสินะว่าฉันจะมา"
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก"แน่นอน"
แอดเลอร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นไม่ได้ฉายแววคนตายอีกต่อไป...มันกลับฉายแววนาซีขึ้นมาแทน
"ไหนลองบอกคำสาบานืี่คุณใช้หลอกพวกเราให้จมมาหน่อยสิผู้หมวด"
เธอเลิกตาขึ้น..."อยากรู้ก่อนตายงั้นเหรอ--"เธอเว้นวรรคสักครู่ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ
"เกียรติยศของฉันคือความภักดี"
ชายหนุ่มขมวดคิ้วขึ้นหลังจากที่ได้ฟังประโยคนั้นจากปากของเธอ เขาลุกขึ้นยืนแล้วก้าวถอยหลังออกจากลูกกรง วูล์ฟฟ์ยกมือขึ้นกอดอกพลางส่ายหน้าไปมา
"นั่นไม่ใช่เกียรติยศของคุณหรอกแอดเลอร์"
วูล์ฟฟ์กลับหลังหันแล้วเดินออกไปในขณะที่สายตาของแอดเลอร์ยังคงจับจ้องไปที่เขาอยู่ สายตานั่นมันเป็นสายตาที่ปนมากับความแค้น...เขาไม่ได้จะเปลี่ยนตัวเองหรอก..ต้องมีใครสักคนบังคับให้เขาเปลี่ยน
แต่ก็..ช่างเถอะ
"เป็นอะไรรึเปล่า"
ชายหนุ่มผู้ร่วมทางเดียวกับเธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงค่อย
"ไม่"นั่นคือคำตอบ"ฉัน..ไม่เป็นไร"
แอดเลอร์ค่อยๆหันกลับมา ใบหน้าของเธอไม่เป็นเหมือนที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย มันแทบจะไม่มีความเสียใจหรือเศร้าหมองปนอยู่ในใบหน้านั่นเลย มันยังคงแสดงถึงความแข็งแกร่งและมั่นใจในตนเองเสมอ...แต่ทว่ากับในนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นกลับไม่ใช่...
"ฉันจัดการกับยามเอง ส่วนคุณก็ทำตามที่คุณถนัด"
"ตกลง"
ทั้งคู่เงียบลงไปอีกครั้ง เสียงหยาดฝนข้างนอกยังคงทวีความแรงขึ้นเรื่อยๆราวกับต้องการที่จะชะล้างเลือดของเหล่าทหารที่เปรอะเปื้อนอยู่บนแผ่นดินเยอรมนีนี้ หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นที่อยู่ในร่างกายเธอ..มือเรียวเริ่มยกขึ้นมากอดตัวเองไว้ป้องกันความหนาว ตลอดเวลาที่เธออยู่ในคุกนี่มันลำบากมากสำหรับตัวเธอเอง..แต่ก็ไม่ได้เท่ากับในสงครามนี่เลย
หากว่าแผนนี้ไม่สำเร็จ ความหวังที่จะรอคนมาช่วยก็ยังมีอยู่..ริบหรี่
...
..ตุบ..
"เฮ้ย เสียงอะไรวะ"
เจ้าของสำเนียงภาษาเยอรมันในชุดเครื่องแบบสีเขียวขี้ม้าก้าวขาออกมาตามจุดที่หินตกลงไป เขาหันมองซ้ายขวาหาใครสักคนที่อาจลอบเข้ามาในค่ายแต่ก็ว่างเปล่า ในที่สุดนายทหารคนนั้นหันกลับไปด้านหลัง มันเป็นโอกาสดีที่จะได้จัดการเขาเสียที..
ร่างเงาสีดำนั่นย่องเข้าไปด้านหลังทหารคนนั้น..ซึ่งยังไม่รู้ตัวเลยว่าความตายกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา...
ฟึ่บ..
กร็อบ..!
มือทั้งสองที่ถูกยกขึ้นมากอดคออีกฝ่ายเอาไว้โดยไม่รู้ตัวบิดกระดูกคอจนเสียงดังราวกับว่ากระดูกแต่ละท่อนนั้นถูกบดขยี้ให้กระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ร่างไร้วิญญาณล่วงลงบนพื้นก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวข้ามศพคนตายไปแอบหลังอาคารอีก ตามแผนผังค่ายที่เขาเพิ่งจะดูมานั้น คุกน่าจะอยู่ใกล้ๆจากที่เขายืนอยู่นี่เอง ถึงว่าศพที่เขาเพิ่งจะจัดการไปมันอาจจะยืนยันจำนวนทหารได้ว่ามีแค่คนเดียว แต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะกล้าสาวเท้าวิ่งในเวลานี้ได้...
สวบ..สวบ..
ร่างสูงนั่นทำท่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็จำเป็นต้องหมอบลงนอนแนบกับพื้นที่แฉะไปด้วยฝน สายตาคมกริบราวกับนกอินทรีจับจ้องไปด้านหน้าอย่างจดจ่อ มันคือภาพของชายในเครื่องแบบสีดำคนหนึ่งยืนคุยอยู่กับทหารยาม หยาดน้ำฝนที่เทลงมาแทบจะบังทัศนวิสัยของเขาไปโดยปริยาย มันทำให้เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังพูดอะไรกันอยู่..แต่มันก็ไม่สำคัญเท่าใบหน้าของชายในเครื่องแบบคนนั้นเลย
...เฮอร์มัน วูล์ฟฟ์ นั่นคือชื่อของเขา
ร่างของวูล์ฟฟ์ถอยกลับเข้าไปในรถก่อนที่มันจะขับแล่นออกไปอย่างช้าๆ ข่าวลือที่เขาเคยได้ยินผ่านหูมาว่านาซีคนนั้นได้กลับไปฝึกอีกรอบหลังจากที่ตัดสินใจเลี่ยงมันมานาน ข่าวลือที่ว่านี่อาจจะเป็นจริงก็ได้...
เขาค่อยๆลุกขึ้นก่อนจะย่องเข้าไปติดตัวอาคารอีกครั้ง มือซ้ายหยิบมีดพกออกมาถือเอาไว้แน่น การมาครั้งนี้ของเขามันเงียบมากเสียจนพวกนาซียังไม่รู้เลยว่ามีคนจากฝ่ายอื่นมาบุกค่ายตนเอง นี่ไม่ใช่ภารกิจที่ได้มอบหมายมาหรืองานใดๆที่เกี่ยวกับกองทัพทั้งสิ้น...หากแต่มันเป็นความสมัครใจ..ความสมัครใจที่จะมาช่วยคนที่อยู่ในคุก..
คนๆนั้นอาจดูเผินๆแล้วแทบไม่มีความสำคัญกับเขาเลยถ้าหากไม่ติดกับคำสัญญาที่เขาไว้ให้กับชายคนหนึ่ง...ว่าเขาจะต้องปกป้องเธอให้ได้..
"ตรงนี้มียามสามคนเฝ้าอยู่...ตรงนี้..ตรงนี้..และตรงนี้"
เขารู้สึกเอะใจเล็กน้อยกับเสียงประโยคพูดเมื่อครู่ มันฟังดูอ่อนล้ามากกว่าที่เคยเป็น ด้านหลังของเขามีช่องที่ถูกลูกกรงขังเอาไว้อยู่ช่องหนึ่ง ชายหนุ่มรีบสอดสายตามองลอดผ่านเข้าไปในช่องนั่นทันที..ภาพที่เห็นคือภาพหญิงสาวผมสั้นคนหนึ่ง เธออยู่ในชุดเครื่องแบบของทหารอเมริกัน ในมือถือตะปูตัวน้อยที่มีสนิมเขรอะ และตรงหน้าคือแผนผังของค่ายนี้
แต่คำถามของเขาคือ..เธอรู้ตำแหน่งของยามหน้าค่ายได้แม่นยำอย่างนั้นได้อย่างไร?
แน่ล่ะ..เธอจะรู้ได้อย่างไรถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้เคยมาที่นี่
สวบ....สวบ....
เขาก้าวออกมาจากช่องนั้นช้าๆ ทางเดียวที่เขาเข้ามาในค่ายนี่ไม่ใช่ทางลัด หากแต่เป็นทางเข้าโดยตรง แต่ตอนที่เขาผ่านเข้ามาด้านใน...ตรงนั้นไม่มียามเลย
ไม่มี..
แกร็ก!
เสียงบางอย่างดังขึ้น...มันคือเสียง..
"คุกเข่าลง กล้าดียังไงถึงได้ลอบเข้ามาในนี้"
เสียงทุ้มของอีกฝ่ายดังขึ้น มันดูดุดันมากกว่าอ่อนแอเหมือนที่เคย บวกกับปลายกระบอกปืนพกที่ถูกจ่อมาที่เขาในตอนนี้จึงทำให้ทวีคูณความน่ากลัวขึ้น...วูล์ฟฟ์
คิดว่าหน้าอย่างเขาจะยอมคุกเข่าลงง่ายๆเหรอ...แต่ถ้าให้ดี..ตอนนี้มันอาจเป็นทางเลือกเดียว
ชายหนุ่มค่อยๆย่อตัวลงไปนั่งคุกเข่าอย่างช้าๆ มือทั้งสองถูกนำมาประสานไว้ที่ท้ายทอยพลางก้มหน้าลง เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตามที่ตนสั่งแล้ว..วูล์ฟฟ์ก็เดินเข้าไปใกล้ๆ เขาใช้เท้าเตะปืนพกของผู้บุกรุกออกมาให้ห่างแล้วปลดไรเฟิลนั่นออก
"เราต้องการสองคนมาที่นี่!"เขาตะโกนออกไปเป็นภาษาเยอรมัน สักครู่ชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบสองคนก็วิ่งมา
"เอาตัวมันไป ทำไงก็ได้ให้คายข้อมูลของฝ่ายมันออกมา..แล้วฆ่ามันซะ"
"รับทราบครับ"
ชายทั้งสองเดินไปหิ้วแขนของเขาขึ้นมา เขาพยายามขัดขืน..แต่ก็ไม่เป็นผล
"นายฆ่าฉันไม่ได้หรอกวูล์ฟฟ์.."เขายังคงกัดฟันพูด
"ก็ไม่ได้บอกว่าจะเก็บไว้นิ--เอาตัวมันไป!"
-อีกด้านหนึ่ง-
ท่ามกลางอากาศที่หนาวสะท้านยามฝนตกแม้แต่ผ้าห่มสักผืนก็ยังไม่มี..แอดเลอร์เริ่มเอามือกอดอกตัวเองเอาไว้พลางก้มหน้าลง นัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยมองลงไปยังแผนผังที่เขียนขึ้นด้วยตะปู..ความรู้สึกหมดหวังประดังเข้ามาในทันที เธอจะหนีออกจากที่นี่ได้อย่างไรกัน..
ส่วนคิวานอฟ เขาไม่มีวันทำอะไรนอกจากการเล่นกับมีดผ่าตัดของตนเอง แสงจันทร์กระทบกับคมมีดทำให้เกิดแสงสว่างน่ารำคาญ แค่เขาก็ยังคงเล่นกับมันอยู่..หญิงสาวสงสัยเสียจริงว่าทำไมพวกนั้นถึงไม่ยึดไอ้มีดนี่ไป
"ก่อนจะมาอยู่ในนี้ ผมเคยช่วยคนในค่ายไปคนนึง พวกนั้นถึงไม่อยากยุ่งกับมีดของผม"เขาพูดขึ้นราวกับตอบคำถามที่เธอคิดขึ้นในใจ..
"คุณอ่านใจฉันออกเหรอ"
"จิตวิทยาน่ะ คุณมองมีดผ่าตัดนี่มากกว่าห้าครั้งในสิบนาที แสดงว่าคุณสนใจมันอยู่..."เขาลากเสียงพลางเงยหน้าขึ้นกระตุกยิ้มที่มุมปาก"..หรือที่คุณมอง..คุณกำลังมองผมอยู่เหรอ"
แอดเลอร์ยิ้มน้อยๆ ราวกับสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง
"ก็แหม...ใครจะไม่แอบมองคุณบ้างล่ะ"
เขายิ้มอีกครั้ง"มานี่สิ.."
หญิงสาวยิ้มตามเขาอีกรอบพลางดันตัวเองให้ลุกขึ้นเดินไปหาเขา เธอนั่งลงใกล้ๆกับเขาพลางมองมีดผ่าตัดเล่มนั้นอย่างสนใจ
"คุณได้มันมาจากไหนกัน"
"เพื่อนคนนึง..เขาตายในสนามรบเพราะจะช่วยผมเนี่ยล่ะ นี่เป็นของขวัญจากเขา"
หล่อนมองใบมีดสีเงินนั่นพลางยืนมือเข้าไปแตะมัน ถึงแม้ว่ามันจะผ่านเลือดเนื้อทหารมากี่คนแล้วคมของมันก็ยังคงเป็นสีเงิน..ไม่มีแม้แต่คราบเลือด
ก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น..ประตูกรงเหล็กก็เปิดออก
เอี๊ยด....
ผลัก!
ร่างของชายคนหนึ่งถูกผลักเข้ามาด้านในกรงขัง เขาสะบักสะบอมมาก เครื่องแบบนั่นมีแต่คราบเลือดเต็มไปหมด แอดเลอร์มองเพียงแค่ชั่วครู่ก็ทราบแล้วว่าเขาเป็นใคร...แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกน่า!
"โอ้..ไม่ๆๆ นี่มันไม่จริง--"เธอลุกขึ้นไปพยุงเขาขึ้น..แต่ถึงอย่างไรก็ตาม.."ให้ตายสิคุณมาทำอะไรที่นี่เนี่ย!?..."
"..."
"...คาร์ล!"
คิวานอฟถึงกับหูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วรีบเดินเข้าไปหาชายในเครื่องแบบที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นในขณะที่หญิงสาวกำลังพยุงตัวเขาขึ้น แอดเลอร์มีสีหน้าตกใจพลางประหลาดใจปะปนกันเมื่อเห็นใบหน้าของเขาที่เต็มไปด้วย..เลือด!
ก่อนที่ประตูกรงขังจะปิดลงนั้น ร่างของคิวานอฟที่พุ่งเข้าไปยังมันผลักร่างของทหารคนที่เปิดกรงขังเพื่อนำร่างของชายหนุ่มเข้ามา ร่างของทหารนาซีนั่นกระแทกเข้ากับกำแพงดังผลักแล้วสลบไป และตรงหน้าของพวกเขาคือประตูกรงขังที่เปิดอยู่!
"คุณรีบไปจากที่นี่ซะ เอาเขาไปด้วย!"
"ไม่ๆๆ.."เธอรีบหันมาปฏิเสธทันควัน"..ฉันไม่ยอมปล่อยคุณไว้ที่นี่แน่!"
ชายหนุ่มรีบดันเธอออกไปจากกรงขังก่อนจะใช้มือปิดประตูกดังปัง แอดเลอร์ทิ้งร่างของคู่หูตนเองลงบนพื้นก่อนจะเอามือดึงประตูกรงให้เปิดออกแต่ก็ไม่เป็นผล..หน้าของคิวานอฟที่อยู่ด้านในนั่น..มันเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
"งานของผมยังไม่เสร็จ ไปซะ"
แอดเลอร์ก้มหน้าลง..เธอไม่อยากทิ้งเขาไว้ที่นี่เลย..หากแต่ว่า..
ฟึ่บ!
หญิงสาวพยุงร่างของชายหนุ่มขึ้นเดิน เขาแทบจะไม่มีแรงเดินเลยแม้แต่น้อย ถ้าเธอปล่อยมือเขาคงต้องล่วงลงไปกองกับพื้นอีกแน่ สายตาที่มองตรงไปด้านหน้าจับการเคลื่อนไหวบางอย่างได้..
..ทหาร..แปดคนอยู่ข้างหน้าเธอ และตอนนี้เธอไม่มีอะไรเลยนอกจากมือและสมอง..
"คิดสิๆๆๆ ครีนัส! เธอทำได้ๆ..."
ในวินาทีอันเร่งด่วน หญิงสาวเริ่มใช้สัญชาตญาณของตนเอง เธอหันควับไปด้านข้าง..มีทางไปต่ออยู่อีกทางหนึ่ง เท้าทั้งสองเริ่มก้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดเธอรีบวิ่งพลางพยุงคู่หูของเธอไปทางนั้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางลูกกระสุนนับร้อยที่กระหน่ำมายังพวกเขา เธอหลบชิดกำแพงก่อนจะทิ้งตัวของเขาลงช้าๆ..
เอาละ...เธอต้องนับหนึ่งถึงสิบ เตรียมตัววิ่งต่อภายในเวลานี้!
"นายชิดกำแพงไป! ย้ำนะว่าจับเป็นทั้งสองคน!!"
1..2...3..
ตึกๆๆๆ
ทหารประมาณสิบคนเริ่มเคลื่อนที่เข้ามาใกล้กำแพงที่เธอหลบอยู่มากขึ้น ในเวลานี้เธอแทบจะเตรียมแผนไม่ได้เลยสักนิด! ให้ตาย!
4..5...6..7...
ปังๆๆ!
..8..9....
"..อ..แอดเลอร์.."
เสียงเรียกอันแผ่วบางนั่นดังขึ้น เธอรีบก้มลงไปมองชายหนุ่มที่กำลังค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน เครื่องแบบของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด..ใบหน้านั่นเงยขึ้นทีละน้อย แอดเลอร์มองเขาอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
"ให้ตายสิ!! คุณโดนซ้อมขนาดไหนกันทำไมน่วมอย่างนี้ล่ะ!!?"
ปังๆๆๆ!
เบิร์ต คาร์ลเงยหน้าขึ้นในที่สุด มือของเขาเอื้อมไปฉวยมือของหญิงสาวเอาไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะเริ่มต้นสาวเท้าวิ่ง ทิ้งให้เสียงห่ากระสุนนั่นอยู่ด้านหลัง
"ผมโดน..มากกว่าคุณละกัน.. สาวน้อย"
"งั้นเหรอ!? รีบออกไปจากไอ้ค่ายเวรนี่ได้แล้ว!!"
ในที่สุดเขาพวกเขาก็พ้นออกจากค่ายนั่นมาหลังจากที่ผ่านการปะทะระหว่างพวกเขาและนาซี ในภารกิจครั้งนี้..แอดเลอร์ตระหนักได้ว่า..เธอทำมันไม่สำเร็จเจ็บตัว แถมยังโดนไอ้พวกนั้นยึดอาวุธไปหมด!
เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ! ไม่ใช่!!
ริค...เธอจะต้องไปพูดกับเขาให้ได้เมื่อกลับไปแล้ว!
พวกเขาวิ่งออกมาไกลจากค่ายนั่นมากแล้ว ต่างคนต่างหอบด้วยความเหน็ด เหนื่อยยกเว้นคาร์ลซึ่งไม่ค่อยแสดงอาการเหนื่อยออกมามากเท่าไร โชคดีที่มีรถคันหนึ่งจอดทิ้งเอาไว้ พวกเขาก้าวขึ้นรถอย่างรวดเร็วในขณะที่พวกทหารเกือบทั้งค่ายไล่ตามหลังมาติดๆ ชายหนุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ก่อนจะเริ่มเหยียบคันเร่งแล้วขับออกไปโดยไม่รีรอ แอดเลอร์ยกมือขึ้นกุมขมับอย่างช้าๆเนื่องจากการขับรถสุดบ้าบิ่นของคู่หูของเธอ แต่ก็นึกโล่งใจที่หนีรอดออกจากระยะการไล่ล่าของไอ้พวกนั้นได้
"ฉันเหนื่อย..แล้วก็อยากจะบ้าตายกับเรื่องนี้มากๆเลย!"หญิงสาวสบถออกมาหลังจากที่อดกลั้นมานานเกินทน"ให้ตาย ฉันไม่น่ารับงานนี้เลยสักนิด!!"
"..."
ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโห พวกนาซีนั่นยึดของของเธอออกไปหมด ไม่ว่าจะเป็นปืน กระสุน หรือว่านาฬิกาพกของเธอ ให้ตายสิ!
"ของของคุณน่ะ"เขากล่าวขึ้นหลังจากที่ตั้งสมาธิกับการขับรถมานาน"ผมเก็บไว้ให้แล้ว"
"อยู่ไหน!?"
เขาปรายตามองเธอนิดหน่อย"ผมคงอยากให้คืนมากเลยนะถ้าคุณเล่นตะคอกใส่หน้าผมแบบนี้น่ะ"
เธอถอนหายใจออกมาเฮือกยาว"ของของฉัน..มันอยู่ไหน"
เบิร์ตก้มลงไปหยิบบางอย่างที่อยู่ใต้เบาะรถขึ้นมา มันคือของของเธอทั้งหมดที่โดนพวกนั้นยึดไปตอนถูกจับได้ ทั้งปืนแล้วก็นาฬิกา ว่าแล้วหญิงสาวก็ยื่นมือออกไปหมายจะหยิบพวกมันมา แต่เขากลับชักมือกลับ
"กรุณา..คืนของให้ฉันด้วย.."เธอพูดขึ้นพลางจับจ้องไปยังสมบัติของตนเองที่อยู่ในมือของเขา"..ค่ะ"
"คุณทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จแถมยังถูกจับได้อีก แบบนี้มันน่าให้คืนนักหรือไง"
"อะไรนะ หมายความว่าคุณจะยึดมันไว้เหรอ!?"
"ใช่"
แอดเลอร์รู้สึกหัวเสียนิดหน่อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งสงบปากสงบคำไปเงียบๆ สายตามองลอดหน้าต่างออกไปตามเคย ในใจยังคงคิดถึงของทั้งหมดของตนที่ถูกยึดไว้ จะว่ามันไร้เหตุผลก็คงไม่ได้ เพราะเธอพลาดเอง..
"..ฉันขอนาฬิกาคืน"
"เฮอะ--เดี๋ยวนี้รู้จักเจรจาแล้วงั้นเหรอ"เขาพูดติดตลกเล็กน้อย"ก็ได้ แค่นาฬิกา"
นาฬิกาพกในมือของเขาถูกยื่นมาตรงหน้า หญิงสาวรับมันมาเปอดฝาดู..มันยังคงเดินอยู่แม้ว่ากระจกที่เป็นหน้าปัดมันจะร้าวแล้วก็ตาม นาฬิกาพกเรือนนี้ผ่านสมรภูมิมานักต่อนัก แต่ไม่ยักเห็นว่ามันจะพังหรืออะไรเลยเสียนิดเดียว...นอกจากหน้าปัดร้าวเท่านั้น
รถขับเข้าไปยังค่ายทหาร แทนที่จะเดินสำรวจรอบๆค่ายเช่นเมื่อก่อน แต่คราวนี้..เมื่อขาทั้งสองก้าวลงจากรถ เธอรีบสาวเท้าเข้าไปในเต้นท์ที่ริคอยู่ทันที แม้ว่าคำพูดของคู่หูของเธอจะยังคงดังอยู่ด้านหลังแต่ก็ไม่อาจฉุดเธอไว้ได้ เธอเปิดเต้นท์ออกแล้วเดินเข้าไปเลยโดยไม่รีรอ
"ครีนัส?"น้ำเสียงของเขาฟังดูสงสัยเล็กน้อย"ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณจะรอด"
ปัง!!
เธอฟาดมือนเรียวที่สวมถุงมือหนังสีดำเอาไว้ลงไปบนโต๊ะไม้ตรงหน้าเธอ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะดูสะดุ้งขึ้นกับการกระทำของหญิงสาว เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ
"เป็นบ้าอะไรของคุณเนี่ย หายไปสามอาทิตย์กลับมาเปลี่ยนไปขนาดนี้เนี่ยนะ"
"ฉันทำงานไม่สำเร็จ!"
ริคหรี่ตาลง"อะไรนะ"
"ฉันทำงานล่ม แถมยังโดนจับขังไว้ในคุก แบบนี้มันจะว่าไงอีกล่ะ!"
พรึ่บ..
พวกเขาหันไปด้านหลังพร้อมกันราวกับได้นัดหมายเอาไว้ ผู้มาเยือนนั่นไม่ใช่ใครนอกจากทหารหนุ่มยศพันตรีคนนั้น เขาดูแปลกใจเล็กน้อยกับเหตุการณ์ตรงหน้า เขาคิดอยู่ในใจว่า..นี่เขามาขัดจังหวะหรือเปล่า?
"มีอะไร"ริคถามด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
"ฉันอยากขอตัวผู้หมวดไปก่อนสักครู่"
ริคสะบัดมือขึ้นราวกับบอกเขาว่าจะทำอะไรก็ทำ แอดเลอร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเดินตามเบิร์ต คาร์ลออกมาด้านนอกเต้นท์
ในขณะที่เธอเดินตามหลังเขามานั้น เธอสัมผัสได้ถึงรังสีประหลาดๆที่แผ่ออกมาจากตัวของชายหนุ่ม เพียงมองแค่แวบเดียวก็รู้ได้แล้วว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ภายในตอนนี้...เขากำลังเครียด..หรือเปล่า?
"คุณไม่เป็นไรใช่ไหม.."มันฟังดูเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบเสียเท่าไร อาจเป็นเพราะเธอไม่ต้องการคำตอบจริงกระมัง
เขาหยุดเดินก่อนจะหันหลังมา
"อันที่จริง.."เขาลากเสียง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลนั่นดูแข็งกร่าวกว่าที่เคย "มันตรงกันข้ามเลย รู้ไหม ความจริงผมไม่ควรเอางานของผมมาเสี่ยงเพราะคุณ"
หญิงสาวมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาแน่นิ่งคู่นั้น มันมีอะไรแปลกไป
"เราสองคน"
"..."
"..ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ทั้งผมที่ฝืนคำสั่งของริค และคุณที่ทำงานพลาด และยังโดนจับไปอีก"
"แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรที่เป็นข้อมูลสำคัญให้ไอ้พวกเวรนั่นเลยนะ!!"เธอยังคงแย้ง
เบิร์ตก้มหน้าลง เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันจะมีผลอะไรตามมาบ้าง แต่เหตุผลที่เขาทำแบบนั้นลงไป..ก็เพื่อสิ่งเดียว
..เพื่อรักษาความลับ
"คุณไม่"
"..."แอดเลอร์ยังคงได้แต่จ้องมองไปยังนัยน์ตาคู่นั้น มันคงไม่เป็นเหมือนที่เธอคิดใช่ไหม..?
"...แต่ผมพูด ผมบอกข้อมูลบางอย่างให้พวกนั้นแล้ว"
-----------------------------------------------
.
..
...
....
"หัวหน้าครับ"
"มีอะไร"
"ผมสงสัยว่า เราเชื่อไอ้ทรยศนั้นได้จริงๆหรือครับ?"
"ได้สิ"
"อะไรที่ทำให้หัวหน้ามั่นใจได้ขนาดนั้นล่ะครับ ผมไม่เข้าใจ ไอ้นั่นมันทรยศเรานะครับ"
ชายหนุ่มค่อยๆเงยหน้าจากโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมายกองเกลื่อนอยู่มามองทหารที่มียศต่ำกว่าตนตรงหน้าด้วยสายตาแข็งกร่าว
"..ก็เพราะมันทรยศเราไงหมวด"
ความคิดเห็น