ผมกับKC
นายจันทร์เสี้ยวเองครับ ห่างหายงานเขียนไปนาน กลับมาครั้งนี้ผิดพลาดประการใดต้องอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ^^
ผู้เข้าชมรวม
199
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่องผมอยากจะเล่าถึงที่มาของเรื่องนี้ว่า มาจากความฝันที่ผุดขึ้นมาเมื่อสองคืนก่อน ไม่ว่าจะเพราะจิตนิวรณ์หรือเทพสังหรณ์ก็ตามที แต่ท้ายที่สุดผมก็อยากจะหลุดพ้นความคิดและความฝันดังกล่าว ประกอบทั้งอยากจะรำลึกถึงเธอผู้นั้น(KC
) ได้อย่างชัดเจนอีกด้วยจึงกำเนิดออกมาเป็นเรื่องนี้ครับ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
................
ผมผู้อาศัยอยู่ในห้องขนาดสามคูณสามเมตรมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้มาก่อน
วันที่ผมพยายามออกตามหาอะไรบางอย่างอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่สิ มันยิ่งกว่านั้น มันเป็นการตามหาแบบเอาเป็นเอาตายเลยก็ว่าได้
ทั้งหมดมันเริ่มต้นขึ้นจากความฝันละเมอเพ้อพกในค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่ผมกระแทกแป้นพิมพ์ข้อความสื่อสารกับเพื่อนสมัยเรียนประถม ถึงข่าวคราวความเป็นมาของ “KC”
แน่นอนว่า ถ้ามีใครซักคนรู้และให้คำตอบผมได้อย่างกระจ่างแจ้ง ผมคงไม่เก็บเอาไปฝันหรอกจริงไหม?
แล้ว?... สาระมันอยู่ตรงไหนกันแน่? อยู่ตรงที่ไม่มีใครให้คำตอบผมได้หรืออยู่ตรงที่ใจของผมยังเวียนอยู่กับเธอกันแน่ล่ะ?
จะเหตุผลอะไรก็ช่างมันปะไรเถอะเพราะมันไม่สำคัญ แค่ผมอยากรู้ความเป็นไปของเธอเท่านั้น ผมยังจำชื่อสกุลเธอได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ จะบอกว่า น่ารักน่าชังหรือน่าขำดีล่ะ ที่มาย้อนๆคิดดูแล้วว่า การที่เราเรียกชื่อจริงสกุลจริงสมัยประถมมันก็มีข้อดีอย่างคาดไม่ถึง
ชื่อสกุลจริงของKCถูกพิมพ์อย่างง่ายดายด้วยมือขวามือเดียว แล้วมือซ้ายของผมน่ะเหรอ ก็ล้วงถุงมันฝรั่งอยู่น่ะสิ ถามได้!
แค่ละสายตาไปชั่วครู่เดียว ผลการค้นหาก็ขึ้นมาหลายพันรายการภายในเศษเสี้ยววินาที ระบบการหาข้อมูลของเซิร์จเอนจิ้นชนิดนี้นี่มันเจ๋งจนน่าทึ่งมากเสีย
แต่ว่านะถ้าหาข้อมูลที่ไม่มีอยู่ในระบบอยู่แล้ว ต่อให้ระบบมันเทพแค่ไหนก็หาไม่เจอหรอก จะเจอก็แต่อะไรเปะปะปนเปมั่วซั่วไปหมด คำนู้นผสมคำนั้นรวมกันให้เป็นชื่อเธอ หรือไม่ก็กลายเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดเฉพาะชื่อหรือสกุลอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่เป็นแก่นสารเสียบ้างเล้ย...
เอาล่ะ ในเมื่อหาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ตไม่ได้ ลองหาข้อมูลแบบฮาร์ดก็อปปี้บ้างคงจะดี ผมทิ้งตัวแผ่หรากับผ้าพลาสติกที่เอาไว้รองโต๊ะญี่ปุ่นก่อนจะย้ายร่างอืดๆของตัวเองออกไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีกล่องมากมายตั้งอยู่ กล่องนี้มันกล่องใส่AV กล่องนี้ก็รวมภาพดาวยั่ว
อ้ะ...เจอแล้ว กล่องใส่แฟ้มอัลบั้มภาพเก่าๆ ผมพลิกอัลบั้มที่จำไม่ได้แล้วว่าเดิมสีอะไร อัลบั้มที่พ่อกับแม่โยนใส่กล่องส่งมาให้ทางไปรษณีย์นี้ ทีแรกผมว่าจะเอามันไปเผาทิ้งแต่เมื่อนึกถึงอะไรเก่าๆก็ทำให้ตัดใจทำลายมันไม่ลงเสียทุกที
เหอะๆ ถึงจะมีไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความทรงจำดีๆอยู่ไม่เยอะก็เถอะนะ
จากที่ค้นดูแล้ว อัลบั้มใหญ่ไม่ใช่ เพราะมันเป็นสมัยมัธยม แสดงว่าคงเป็นอัลบั้มเล็ก ผมเปิดดูอย่างเบามือเพราะพลาสติกใสที่ห่อภาพมันขาดเป็นแนวยาวจนภาพที่บรรจุอยู่ข้างในแทบจะไหลออกมากองรวมกันได้อยู่แล้ว เอาล่ะดูซิ เธออยู่ไหนKC
KC...
ผมพลิกหาจนครบ1รอบก็ไม่มี ไม่มีภาพของเธอเลยเหรอ เหอ น่าแปลกแฮะ...
เอาใหม่ ผมพลิกดูอีกรอบ พลิกช้ายิ่งกว่าเก่า เผื่อว่าผมอาจสะเพร่าดูภาพข้ามไป แต่มันก็...ไม่มี ไม่มีแม้สักภาพที่จะมีKCอยู่ ...
ผมพยายามคิดในแง่ดี ไม่น่ะ ผมเพ้อเจ้อว่ามีเพื่อนเก่าชื่อKCรึไง ไม่ๆมันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นถึงตอนนี้ผมจะไม่มีงานทำ ก็ไม่น่าจะมีอาการป่วยทางจิตวิปริตทางความทรงจำ เอ หรือมันเป็นผลกระทบจากการโดนขับไล่ตะเพิดออกจากบ้านเพราะความไม่เอาไหนตั้งแต่อายุยังไม่ถึง20 ผมเลยสร้างเพื่อนผู้แสนอบอุ่นใจในวัยเด็กขึ้นมาทดแทน
จะบ้าเรอะ! มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงกันเล่า ในเมื่อก็พึ่งถามเพื่อนโรงเรียนเก่าสมัยมัธยมมา ก็แสดงว่า KCต้องมีตัวตนอยู่จริงๆน่ะสิ...ทำไมภาพในอัลบั้มผมไม่มี นึกสิ นึก...
ตอนถ่ายรูปกัน มันเป็นยังไง ทำไมภาพที่ผมมีมันมีแต่เด็กผู้ชาย แล้วเด็กผู้หญิงล่ะ ตอนนั้นครูที่ปรึกษาพูดอะไรบางอย่างงึมงำไม่มีเสียง แล้วเด็กผู้ชายก็แยกจากกลุ่มเด็กผู้หญิง เพื่อไปรวมและถ่ายรูปก่อน อะไรนะ แยก? แยกกันถ่ายรูป แบ่งชายหญิงเหรอ
งี่เง่าชิบ... ทำแบบนั้นทำไมเล่า! โว้ ทำเอาสับสันไปหมดเลยเห็นไหม! ทีนี้ก็รู้แล้ว ว่าไอ้รูปที่ผมมีน่ะ มันเป็นของฝั่งเด็กชาย ส่วนที่ขาดหายไปคือของฝั่งเด็กหญิง ...แล้ว ทำยังไงล่ะทีนี้ ผมไม่อยากออกไปไหนซะด้วยสิ อยู่ในนี้มันสบายกว่ากันเยอะ ไม่ต้องไปเจอเรื่องโหดร้ายข้างนอก ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องหนีความผิด
...ความผิด ความผิดอะไร ผมทำผิดอะไร? ไม่ๆ ไม่มีนี่ ชีวิตเนิบๆนาบๆลุ่มๆดอนๆโดนค่อนแคะจากญาติๆเป็นระยะก็ไม่น่าจะผิดอะไรนักหนานี่ แล้วผมทำผิดอะไร ทำไมถึงไม่กล้าออกไปที่โรงเรียนประถม ทั้งที่มันก็ไม่ได้ไกลจากห้องพักที่ผมอยู่
ยิ่งกว่านั้นผมยังเลือกเส้นทางที่ไกลกว่าเพื่อจะได้ไม่ต้องผ่านไม่ต้องเห็นโรงเรียนประถมที่ตัวเองเคยอยู่ ทำไมผมทำแบบนั้นล่ะ ทำไม...แย่ล่ะ น้ำตามันไหลออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
อัลบั้มภาพในมือซ้ายไว้ดันสั่นเสียจนประคองมันไม่อยู่ นิ่งสิ นิ่ง กลัวอะไร มีอะไรให้กลัว ไม่มีอะไรสักหน่อย ไม่มีอะไรทั้งนั้น มือซ้ายเจ้ากรรมดันไม่ยอมทำตามที่สั่งต้องให้มือขวาช่วยบีบจนแดงเป็นรอยจ้ำถึงจะเลิกสั่น แต่พอคลายมือที่บีบไว้อัลบั้มภาพกลับหล่นพื้น ภาพทั้งหมดกระจัดกระจายเพราะพลาสติกมันขาดหมดแล้ว ทำรังหนูรกเพิ่มอีกแล้ว...
แสงประกายสะท้อนจากหลอดไฟดวงเดียวกลางห้องเข้าสู่ดวงตาทั้งสองจนทำให้แสบพร่า ทำให้ผมต้องสถบออกมาคำหนึ่ง “
เอ๊ย แสงอะไรวะ” ไม่กี่วินาทีหลังหายตาหายพร่า มือขวาก็คว้าไอ้แท่งแวววาบขึ้นมาพินิจดูอย่างละเอียด “นี่มัน ...ไรวะเนี่ย?” มันมีรูปร่างเป็นแผ่น สีเงินวาว ขนาดของมันไม่ต่างจากปลาหมึกแผ่นที่ถูกแบ่งครึ่งจนขนาดใหญ่กว่านิ้วชี้เล็กนิดหน่อย แท่งดังกล่าวมันไม่ได้เรียบเสมอกันตลอดชิ้นแต่มีนูนเป็นเหลี่ยมเล็กอยู่ด้านข้าง แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาจริงๆคือ ด้านบนของมันมีรอยบุ๋มลงไป ลักษณะรอยบุ๋มมันแปลกไม่เหมือนเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตโดยตรง มันบุ๋มลงไปไม่ได้ระดับ บุ๋มอย่างสะเปะสะปะ รอยบุ๋มตรงกลางลึก รอยบุ๋มข้างๆตื้น ไล่มาตามลำดับ ว่าแต่ ไอ้แท่งที่ชวนคาใจสีเงินนี่มันมีความหมายอะไรกับผมกันแน่...
ทำไมผมถึงรู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งตัวพร้อมกับมีเหงื่อซึมตามรูขุมขนได้ล่ะ ฮะๆๆ สงสัยผมคงไม่สบายแน่ๆนั่งอยู่เฉยๆวันๆไม่ทำอะไรยังเหงื่อออกได้...
”พักเรื่องนี้ไว้ก่อน มันอาจไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเท่าไหร่ละมั้ง เหอๆๆ” ผมปลอบใจตัวเองแม้จะรู้ว่ามันแทบจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลยก็ตาม ผมยังคงดำเนินชีวิตอยู่ต่อไปในห้องแคบๆเฝ้ามองโลกที่หมุนไปผ่านช่องสี่เหลี่ยม ไม่มีแม้แต่เพื่อนรับฟังปัญหา แล้วทำไมถึงไม่มีล่ะ มันจะไปยากอะไรแค่เดินออกไปคุยกับใครสักคน
ไม่ใช่! ไม่ใครใครก็ได้ แต่ต้องเป็นใครที่เข้าใจในความรู้สึกอันหน่วงหนักในใจของผมตอนนี้ แล้วจะมีใครเข้าใจมันได้ล่ะ ในเมื่อผมเองก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเลย
มันเป็นเหมือนก้างปลาที่บาดและฝังอยู่ภายในลำคอ ต่อให้ก้างจะละลายหายไปแต่แผลภายลำคอยังคงอยู่ แผลของมันทำให้เจ็บและกลัว เจ็บปวดกับสิ่งที่ผ่านพ้นไปโดยไม่สามารถแก้ไขหรือทำอะไรกับมันได้ กลัวกับความเจ็บปวดซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อีก ถ้าผมออกไปก็ต้องเสี่ยงกับโอกาสที่จะต้องเจอเรื่องเจ็บช้ำทำร้ายใจอีก จิตใจของผมคงต้องแตกเป็นเสี่ยงๆและขาดใจตายตรงนั้นแน่
นับแต่คิดได้ดังนั้นผมจึงไม่พยายามทำอะไรที่มันเสี่ยงต่อหัวใจตัวเองอีก หลีกเลี่ยงการมีสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่พูดโดยไม่จำเป็น แกล้งทำเป็นไม่รู้รับอะไร และยังไม่อยากเห็นเด็กผู้หญิงผมเปียอีกด้วย...
ทำไมล่ะ...ทำไมต้องเป็นเด็กผู้หญิงผมเปีย KCเป็นเด็กผู้หญิงผมเปียหรือเปล่า...สมองของผมสั่งการให้ระลึกภาพเดิมๆของKCออกมาให้มากที่สุด แต่ไม่ได้ผลเลย ภาพของเธอไม่ออกมาแม้แต่ภาพเดียว
อยากพบเธออีกครั้งจัง..
(ก็ออกไปหาเธอสิ !)
เสียงของผมดังขึ้นในหัวอย่างไม่มีที่มา ใช่ว่าผมไม่อยากไปหาเธอ แต่มัน...แต่มันลำบากเกินไป มันยากเกินไป ถ้าผมออกจากห้อง ผมอาจเจอเหตุการณ์ร้ายๆอย่างโดนล้วงกระเป๋า ไม่ก็โดนทำร้าย หรือไม่ก็ ...หรือไม่ก็...
ไม่ดีกว่า... ข้างนอกมันน่ากลัวเกินไป
...แล้วอะไรล่ะที่น่ากลัวในเมื่อผมก็ออกไปหาซื้ออะไรบะหมี่สำเร็จรูปแทบทุกค่ำอยู่แล้ว ผมแย้งตัวเองในใจหรือผมจะแค่กลัว อยากหลีกหนีอะไรบางอย่าง ไม่หรอก ผมไม่ได้ขี้แพ้ ไม่ได้กลัวอะไรทั้งนั้น
ไม่กลัว ไม่หนี ไม่กลัว ไม่หนี...ใช่แล้ว ผมพูดให้กำลังใจตัวเองซ้ำๆ แค่ไปดูที่โรงเรียนเก่าใกล้นี่เอง ไม่ยากอะไร แค่เดินไป10นาทีถึง เมื่อไปถึงก็แค่นึกเรื่องของเก่าๆของKC พอจำเรื่องของKCได้แล้วก็กลับมานอนหลับได้อย่างสบายใจเลิกกังวล เลิกเพ้อเจ้อถึง เธอ
ถูกต้อง! ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความสบายใจของผมเอง ไม่ต้องคิดอะไรฟุ้งซ่านให้มันมากมายนัก แค่เดินไป ไม่ต้องนึก ไม่ต้องคิด พอไปถึงบรรยากาศก็จะทำให้จำได้เองนั่นแหละ ผมตัดสินใจลุกและคว้าเสื้อนอกเปื่อยๆตัวโปรดสวมทับก่อนออกจากห้อง แต่เหมือนผมจะสะกิดใจอะไรบางอย่างกับแท่งบางสีเงินนั่น เลยหยิบติดมือมาด้วยก่อนที่จะเดินไปโรงเรียนเก่า
โรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนสมัยประถมตั้งอยู่ริมคลอง หน้าโรงเรียนมีพุ่มไม้เตี้ยๆปลูกยาวเกือบตลอดแนวฝั่งถนนจากหน้าร้านสะดวกซื้อที่ผมอยู่แค่เดินลัดหัวมุมไปหน่อย ข้ามถนนครั้งนึงแล้วเดินต่อไปอีกเล็กน้อยก็ถึงหน้าโรงเรียนแล้ว
แต่ที่ผ่านมาผมไม่เคยทำแบบนั้น ผมพยายามจะหลีกเลี่ยงการเดินผ่านหน้าโรงเรียนตลอด ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องผ่านถนนเส้นนั้นผมก็จะข้ามฝั่งและมองแต่ฝั่งที่ตัวเองเดินอยู่เท่านั้น ผมทำแบบนั้นมานานจนเป็นความเคยชินและลืมไปแล้วว่า ทำไมถึงต้องทำแบบนั้น
แต่วันนี้พอเดินไปถึงหน้าโรงเรียนกลับไม่รู้สึกอะไรเลย เดินข้ามสะพานปูนที่สมัยเรียนเคยมองว่ากว้างแต่วันนี้กลับแคบ ที่กั้นไม่ให้ตกลงจากสะพานที่เคยสูงแต่ในวันนี้กลับเตี้ยลงไปถนัดตา ความจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย มันไมได้แคบ มันไม่ได้เตี้ย ตัวผมเองต่างหากที่เปลี่ยนไป ต่างจากเมื่อวันนั้น...
เท้าทั้งสองของผมยังคงมุ่งหน้าต่อไปจนถึงประตูโรงเรียนที่ปิดอยู่ ผมยืนนึกถึงเรื่องราวเก่าๆหน้าประตูเหล็กแต่ก็ไม่เป็นผล ยังคงไม่มีอะไรผุดขึ้นมาจากความทรงจำเช่นเคย ผมคงต้องปีนเข้าไปเพื่อเสพรับบรรยากาศเก่าๆเสียแล้วล่ะมั้ง
ผมมองหาที่ๆปีนเข้าได้สะดวก เดินเลาะไปทางหน้าคลองฝั่งโรงเรียนเก่า ภาพในอดีตเริ่มย้อนกลับมาเล็กน้อย จำได้ว่าสมัยเรียน ผมชอบปีนเล่นอยู่บนแท่นฝึกปีนสีขาวที่มีรูปร่างคล้ายสะพาน พลางมองออกมาข้างนอกผ่านตาข่ายเหล็ก ...
ใช่แล้ว ผมปีนเข้าโรงเรียนผ่านทางตาข่ายที่ว่า โดยใช้เสื้อนอกตัวโปรดรองรั้วลวดหนามที่ขึงไว้ด้านบนของตาข่าย พอเท้าแตะพื้นโรงเรียนก็เกิดกร่อบแกร่บดังขึ้นเล็กน้อย ใบแห้งๆของต้นหูกวางนั่นเอง ผมเงยหน้าขึ้นมองต้นหูกวางต้นใหญ่ที่เคยมีใบเขียวชอุ่มอยู่ในทุกฤดู แต่ตอนนี้เหลือใบเขียวเฉพาะแต่เพียงยอดบนๆ กิ่งก้านล่ำๆของมันที่เคยมี
ในสมัยผมเรียนอยู่กลับกลายเป็นเพียงแขนงทู่ๆ เสียงถอนใจของผมดังขึ้นโดยอัตโนมัติ ความจริงแล้วผมอาจจะคิดถึงและอยากย้อนกลับมาที่นี่โดยตลอดก็เป็นได้ แต่ก็ไม่รู้นะว่าทำไมผมถึงต้องลักลอบเข้ามาโรงเรียนตอนเกือบเที่ยงคืนแบบนี้ด้วย เหมือนว่าผมกลัวเวลากลางวันของที่นี่อย่างไรอย่างนั้นเลย...ไม่หรอกมั้ง
พอเดินออกจากต้นหูกวางไป2ก้าว สนามสี่เหลี่ยมที่เคยวิ่งเล่นไล่จับกันก็ทำให้ผมนึกถึงเธอขึ้นมาได้ เหมือนผมเคยไปแหย่KCเล่นแล้วก็วิ่งหนีเธอเหมือนกัน เงาเด็กชายถูกเด็กหญิงวิ่งไล่ปรากฏออกมาลางๆเมื่อผมปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ วันเวลาในช่วงนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วและเด็กชายคนนั้นคงไม่รู้เลยว่าในอนาคตเขาจะได้กลับมายืนบนสนามแห่งเดิมแต่เพียงลำพัง
ผมสลัดภาพที่เริ่มจางลงออกจากหัวแล้วเดินอย่างสุขุมไปทางซ้ายของโรงอาหาร ซึ่งมีซุ้มขายน้ำที่ปิดร้ายอยู่ข้างๆบันไดทางขึ้น บันไดฝั่งที่ผมขึ้นเป็นบันไดปูน แต่อีกฝั่งเป็นบันไดไม้ ผมเดินขึ้นบันไดทีละก้าวละก้าวอย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งถึงห้องแรกของชั้นสอง ห้องนั้นเป็นห้องของประถม4A ในขณะที่ชั้น3ห้องแรกจะเป็นชั้นประถมB ผมจำได้ว่าตัวเองอยู่ห้องสายBมาเสมอ เช่นเดียวกับเธอKC
แต่ถึงอย่างนั้นเหมือนความทรงจำแรกๆที่จำได้จะเป็นตอนช่วงตั้งแต่ประถม4ขึ้นไป ผมเคยเขียนโต้ตอบอะไรบางอย่างกับเธอท้ายหนังสือของตัวเอง เหมือนตอนนั้นเธอเคือง เธอโกรธ หรือโมโหอะไรสักอย่าง ไม่พูดกับผมด้วยแหละ จะชวนคุยยังไงก็ไม่คุยเลยเขียนใส่ท้ายหนังสือ ให้เธออ่านแทน พอเขียนถามเธอว่า “เปนอะไรเหรอ” เธอก็เขียนกลับมาว่าอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นเธอก็เขียนด่าผมด้วยแหละ
ฮ่าๆๆ จะว่าไปมันก็ตลกดี ผมอาจจะมีทักษะในการยั่วโมโหคนอื่นมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็เริ่มจดจำอะไรแปลกๆของเธออย่างเช่น เธอติดยักไหล่บิดคอจนเสียวว่าคอจะหลุดออกมาจากบ่า เธอก็พูดถึงการทำแบบนั้นว่า “มันเมื่อยน่ะ” แต่พอผมทำบ้างมีคนอื่นมาเตือนๆว่า เสียบุคลิก ดูลุกลี้ลุกลน ผมก็เลยไปเตือนเธออย่างที่ผู้ใหญ่เขาบอกกันมา เธอโวยใส่ผมว่า “ยุ่งน่า” แต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่ทำอีก
ผมอมยิ้มนึกเรื่องเก่าระหว่างเดินขึ้นบันไดจนเพลิน ก็เลยถึงชั้นสามแบบงงๆ พอเท้าขวาของผมสัมผัสกับพื้นหน้าห้อง4B ยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเดินต่อไปจนถึงหน้าห้อง5A ผมเริ่มมีอาการใจสั่นเหมือนพึ่งดื่มยาชูกำลังไป4ขวด มือเท้าของผมชักเริ่มงอแงไม่ค่อยยอมขยับไปตามที่สมองสั่ง แต่ผมเองก็ยังฝืนก้าวเท้าต่อจนถึงหน้าห้อง5Bซึ่งติดกับหลังห้อง6A
ณ ตรงจุดนั้นเองที่ลมหายใจผมเริ่มติดขัด เหมือนร่างกายกำลังบอกผมว่า อย่าเดินต่อไปจะดีกว่า พอแล้ว หันหลังกลับไปเถอะ
...ภายในท้องของผมขณะนี้มันรู้สึกปั่นป่วนไปหมด เหมือนลำไส้ถูกกด บด ขด มัดอยู่ภายในช่องท้อง หัวที่เริ่มหมุนคว้าง ไหลที่สั่นระรัว หลังที่เริ่มงุ้มค่อม ขาที่เริ่มทรงร่างไว้ไม่อยู่ ทั้งสี่ส่วนที่กล่าวมามันทำให้ผมถลันเซและล้มลงกับพื้นไม้ด้านหน้า ผมไม่ได้ยินเสียงร่างกายของตัวเองกระแทกกับพื้นไม้เก่าๆด้วยซ้ำ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนขดเป็นกุ้งอยู่กับพื้นไม้ชั้น3ที่โรงเรียนประถม
และแล้วผมก็ยอมจำนนต่อความเจ็บปวดของร่างกายตัวเอง นอนกุมท้องงอขดอยู่อย่างนั้นสักพักใหญ่ พออาการปวดขมวดในท้องเริ่มดีขึ้น ผมตัดสินใจอีกครั้งที่จะลุกและเดินต่อไป แต่อาการปวดหัวกลับเข้ามาแทรกในทันที มันปวดจี๊ดแล้วค่อยชาเหมือนในสมองถูกราดด้วยน้ำเย็น อาการในหัวผมเกิดวนซ้ำไปซ้ำมา
รอบนี้ผมไม่ทันที่จะได้เดินแม้แต่ก้าวเดียวก็ต้องซวนเซเดินเขวไปเกาะขอบระเบียง ลมที่พัดโชยมาในตอนกลางคืนยิ่งทำให้อาการแย่ลงอีก
ระหว่างที่ผมกำลังหายใจพะงาบพร้อมกับประคองตัวเอง ก็ทำให้ผมเกิดข้อสงสัยต่อตัวเอง ว่าทำไมร่างกายของผมมันถึงเป็นแบบนี้ขึ้นมาได้ อาการแบบนี้ผมเคยเป็นมาก่อนหรือเปล่า แต่เท่าที่จำความได้ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ สุขภาพแข็งแรง มีเป็นไข้บ้างเมื่อตากฝนหลายวันติดต่อกันแต่อาการเฉียบพลันแบบนี้ ผมไม่เคยเป็นมาก่อนจริงๆ
...ผลจากการย้อนทบทวนตัวเองทำให้เกิดสมมุติฐานที่ไม่น่าเชื่อขึ้นอย่างหนึ่ง หรือการที่ร่างกายของผมเกิดอาการแบบนี้ก็เพราะจิตใจของผมเอง จิตใจที่พยายามหลีกเลี่ยงหลีกหนี สถานที่ๆผมเคยเรียนเมื่อตอนประถม6ก็เลยแกล้งทำเป็นป่วยนู่นเจ็บนี่ เพื่อจะได้หันหลับกลับห้อง กลับไปอยู่กับมุมส่วนตัว มุมที่ไม่มีวันได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้น มุมที่หมกมุ่นอยู่กับตัวเองคนเดียว และมันเป็นมุมที่ไม่มี...เรื่องราวของเธอแม้แต่เสี้ยวเดียว
ผมทรุดตัวคุกเข่าและก้มหน้าลง ปล่อยให้ไออุ่นของหยดน้ำจากลูกนัยน์ตาระเหยแห้งไปสายลมหนาวของค่ำคืนนี้ ผมคิดใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำอีกกับทางเลือกที่อยู่ตรงหน้า ว่าจะแบกรับความรู้สึกเลวร้ายทั้งหมดและเผชิญหน้าความจริง หรือจะหันหลังกลับไปอุดอู้อยู่แต่ในรูเช่นเดิม
ผมใช้ความคิดอยู่ในท่าเดิมอย่างนั้นพักใหญ่ ค้างในท่าเดิมจนความรู้สึกหนาวชาไต่ขึ้นจากปลายนิ้วไปสู่ข้อศอกทั้งสองข้าง ถึงจะได้ข้อสรุปสำหรับการกระทำต่อว่าไป ผมควรจะอดทนและเลิกหลีกหนีความจริงได้แล้ว สิ่งที่ผมเห็นต่อจากนี้ไปผมไม่เก็บกดมันไว้ ผมจะมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่กล้ำกลืนฝืนทนมันอีกต่อไป ผมจะปลดปล่อยความทรงจำในวันวานกับภาพวันเวลาดีๆในตอนนั้นให้หมด แม้จะรู้ว่า มันไมได้จบลงอย่างสวยงามก็ตามที
น่าแปลกมากหลังจากที่ผมคิดและตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะยอมรับภาพเก่าๆเหล่านั้นแล้ว ผมก็สามารถลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังห้อง6Bโดยไม่มีอาการใดๆกำเริบขึ้นมาอีก
ประตูหน้าห้องและหลังห้องถูกปิดสนิท ผมก้มลงปลดสลักทั้งสองอันด้านล่างก่อนจะเงยขึ้นเพื่อปลดสลักสองอันด้านบน ข้อต่อประตูส่งเสียงร้องเอี๊ยดอ๊าดตามด้วยเสียงกระแทกขอบดังคั่กเบาๆ
แสงสีนวลจากพระจันทร์เบื้องหลังผมได้สาดส่องเข้ามาในห้อง6Bทำให้เห็นฝุ่นลอยเอื่อยได้อย่างชัดเจน ผมถอดรองเท้าทิ้งไว้และเดินเท้าเปล่าเข้ามาถึงกลางห้อง มองไปหน้าห้องซึ่งมีกระดานและโต๊ะครูอยู่ในมุมซ้าย หันหลังกลับไปถีงขยะอยู่ในมุมตรงข้าม ผมกำลังมองหาที่นั่งของตัวเองอยู่ ผมนั่งในที่ๆไม่เด่นเกินไปและไม่อยู่ในมุมมากเกินไป ...
เจอแล้วผมนั่งชิดขอบหน้าต่างนี่เอง ผมยืนหน้าโต๊ะแถวที่3นับจากริมหน้าต่างและเพื่อที่จะได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้นผมจึงต้องขยับโต๊ะรอบๆสักหน่อยเพราะในตอนนี้ผมตัวใหญ่เกินกว่าจะเข้าไปนั่งได้อย่างสะดวก หลังจากโต๊ะเก้าอี้รอบๆเข้าที่เหลือแต่โต๊ะของผมเท่านั้น ผมหย่อนก้นขนาดมหึมาของตัวเองอย่างแผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ พอมั่นใจแล้วว่าเก้าอี้จะไม่แตกหักเพราะน้ำหนักที่ต้องแบกรับ ผมจึงเริ่มจินตนาการย้อนนึกกลับไปถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในห้องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเธอ KC
ย้อนกลับไปในวันที่เราสองคนคุยกันครั้งสุดท้าย วันนั้นเกิดอะไร ...วันนั้นเกิดอะไร...ภาพห้องเรียนตอนกลางคืนเริ่มมัวลงเรื่อยๆ เปลือกตาก็เริ่มต่ำลงทีละนิดแม้กำลังกะพริบตาอยู่ จนกระทั่งตกอยู่ในภวังค์โดยสมบูรณ์
ตอนนั้นน่าจะเป็นหลังเลิกเรียน ช่วงเวลาที่หลายๆคนเริ่มแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ผมกับเธอก็ยังนั่งทำการบ้านวิชาหนึ่งที่ต้องเขียนหรือลอกเนื้อหายาวๆ ดูท่าทางว่าเธอจะหงุดหงิดเพราะเรื่องอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นเรื่องการบ้านหรือเรื่องอื่น
ผมพยายามพูดคุยให้เธออารมณ์ดีขึ้น แต่ก็นั่นแหละ ยังไงผมก็ยังเป็นเด็กผู้ชายที่ไม่รู้จักสถานการณ์ว่าควรพูดอะไรไม่ควรพูดอะไร เธอหงุดหงิดและขว้างแท่งที่มีประกายแสงออกไปอีกฟากหนึ่ง มันพุ่งออกหน้าต่างไป ผมวิ่งไปดูว่ามันตกลงไปข้างล่างหรือไม่เพราะของชิ้นนั้นเป็นสิ่งเธอมักจะกัดเล่นเวลาเธอกังวลกลุ้มใจ โชคยังดีที่มันไม่ตกไปจากขอบระเบียงด้านนอกหน้าต่าง
เธอทั้งส่งเสียงร้องและห้ามแต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะผมกระโดดลงไปยืนระเบียงแคบๆและมองหาแผ่นโลหะแท่งเล็กแวววาวนั่นบนพื้นระเบียง สิ่งที่ผมมองหามันเกาะอยู่ขอบระเบียงและเมื่อผมเดินเข้าไปแล้วก้มหยิบมันออกมาได้ เธอที่มองดูผมอยู่ก็แสดงความผ่อนคลายออกมาทางสีหน้า
ผมก็ยิ้มกลับไปและพูดอะไรบางอย่าง เธอเริ่มบ่นอยากให้ผมกลับขึ้นมาไวๆ ผมถือของที่เธออยากได้โบกอวดให้เธอเห็น เธอพยายามเอื้อมมือมาเอาของๆเธอคืน แต่ผมก็ถอยหลังชักมือกลับอย่างรวดเร็ว แรงเสียดทานระหว่างพื้นยางกับระเบียงปูนลดลงด้วยอะไรบางอย่าง มันอาจจะเป็นเยลลี่ที่นักเรียนคนใดคนหนึ่งโยนทิ้งไว้เมื่อตอนพักเที่ยง หรืออาจเป็นแค่น้ำเปล่าก็ได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วล่ะ ผมลื่นตกลงจากระเบียงที่ความสูงระดับสามชั้นแต่ถึงอย่างนั้นมือขวาของผมก็ยังคงกำของสิ่งนั้นของเธอไว้แน่น แผ่นสีเงินแวววาว
ขนาดพอดีมือที่มีรอยฟันกัดของเธอ...
ผมนึกออกแล้ว ผมนึกออกทุกอย่างแล้ว หลังจากนั้นผมก็ตกใจกลัวทำอะไรไม่ถูก ยืนตกใจกับภาพที่เห็น ผมตกลงไปแล้ว ไม่สิ ...ผมต่างหากที่ตกลงไป แต่ ...ทำไมผมถึงยังอยู่ตรงนี้และมองผมตกลงไป ทำไมผมยังจำเรื่องทั้งหมดได้ ทำไมผมไม่เป็นอะไร ทำไมผมถึงยังนึกถึงผม
“ฮะฮะฮะ...” ผมขำออกมาด้วยเสียงที่พร่าแหบและเล็กแหลม นึกออกแล้ว ผมไม่ได้ตามหาเธอKC แต่ผมนี่แหละคือ KC เด็กสาวผมเปียที่เป็นสาเหตุให้เขาตกลงไปจากชั้นสาม บุคคลที่ผมมองหาในอัลบั้มภาพสมัยประถมไม่ใช่KCแต่เป็นเขา
ที่ผ่านมาผมเดินหลงทางมายาวนาน หลีกหนีจากเส้นทางที่ควรจะพบกับความจริง เฝ้าหลอกตัวเองหนีเรื่องราวทุกอย่างเพียงเพราะไม่อยากยอมรับว่าผมเป็นคนทำให้เขาต้องพบเจอเรื่องร้ายๆอย่างนั้น จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่รู้ว่า เขาเป็นตายร้ายดีอย่างไรเพราะเย็นวันนั้นเมื่อกลับไปถึงบ้านผมก็ร้องไห้และบอกกับแม่ว่าไม่อยากอยู่โรงเรียนนี้ต่อ
เช้าวันต่อมาแม่ก็ไปทำเรื่องลาออกให้ผมทันที ผมจะไม่โทษว่าแม่รักผมมากเกินไปแต่ผมจะโทษที่ตัวเองไม่ยอมไปเผชิญหน้ากับความจริงแต่แรก กลับเอาแต่หลอกตัวเองว่า “เขาคงไม่เป็นอะไร”, “ผมไม่ได้บังคับให้เขาลงไป” “มันเป็นอุบัติเหตุ”จนกระทั่งเวลามันล่วงเลยผ่านมานานจนถึงป่านนี้
ผมยืนริมหน้าต่างตากลมหนาวตามลำพัง ทอดสายตาออกไปมองหลังคาบ้านที่มืดทึมเบื้องล่างริมระเบียงแคบๆ ล้วงของที่นำติดตัวมาด้วยก่อนจะหลับตา
สิ่งที่ผมจะทำต่อจากนี้ถึงไม่ต้องบอกก็น่าจะคาดเดากันได้ไม่ยากอยู่แล้ว ความเย็นชืด ความแข็ง ของโลหะในมือทำให้ผมเข้าใจถึงการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง ผมได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยความโล่งปลอดโปร่งใจของตัวเอง และปล่อยความรู้สึกนึกคิดให้ฟุ้งออกไปตามแต่ใจต้องการ
...
ผมกลับมาถึงห้องและทำสิ่งที่ทำจนเกือบเป็นกิจวัตร นั่นคือ การเปิดเพจบุ้ค ผมคิดว่า นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ผมจะเข้าไปอ่านอะไรๆในกลุ่มเพื่อนสมัยประถม
แต่พอดูรายชื่อคนที่Addมา ผมก็เห็น...ภาพใบหน้าของคนที่คุ้นตา ภาพชายหนุ่มที่เค้าโครงใบหน้าคล้ายกับเขายิ้มแย้มให้กับผมโดยมีต้นไม้ใหญ่เป็นฉากหลัง ผมอ่านข้อความคำเชิญขอรับเป็นเพื่อนของเขาคนนั้นซึ่งเขียนไว้ว่า “ไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ K
C
” เขายังจำชื่อนามสกุลของผมได้
ผมสะอื้อไห้ออกมาอย่างไม่อายแต่น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาแห่งความปิติยินดีไม่ใช่น้ำตาแห่งความเศร้าโศกแต่อย่างใด หลังจากใช้มือปาดน้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างลวกๆผมก็รับAddและพิมพ์ตอบกลับไปทันที...
...
มาในวันนี้ผมตื่นเต้นกับการที่ได้พบเจอกับเพื่อนสมัยประถมที่นับว่าสนิทเกือบที่สุด เขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนนะ ระหว่างรอที่ร้านอาหารใกล้ๆกับโรงเรียนเก่าผมเอาแต่นั่งดูเครื่องแต่งกายตัวเองว่าเรียบร้อยดีหรือยัง กังวลทั้งๆที่โดยปกติแล้วผมแทบจะไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ
แย่ล่ะ ผมอยากเข้าห้องน้ำไปดูตัวเองหน้ากระจกอีกที ผมเดินผ่านหัวมุมโดยไม่ทันระวังเลยชนเข้ากับรถเข็นเข้าอย่างจัง
“ขอโทษครับ...”
“ไม่เป็นไรผมต่างหากที่ต้องขอ...” พอผมกับชายบนวีลแชร์มองหน้ากันตรงๆเราทั้งสองต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น เขาชิงทลายความเงียบงันระหว่างเราด้วยการถามว่า
“ใช่ K
C
หรือเปล่าครับ” พอได้ยินแค่นั้นผมก็โถมกอดเขาทั้งน้ำตา ช่วงเวลาแย่ๆที่ผ่านมาพลันมลายหายไปราวกับฝัน
...
ผลงานอื่นๆ ของ =นายจันทร์เสี้ยว= ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ =นายจันทร์เสี้ยว=
ความคิดเห็น