Anti-Christmas - Anti-Christmas นิยาย Anti-Christmas : Dek-D.com - Writer

    Anti-Christmas

    โซ เด็กหนุ่มมหา'ลัยคนหนึ่งวางแผนที่จะผ่านพ้นช่วงปลายปีด้วยการกกตัวอยู่แต่ในห้องเหมือนปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้กลับไม่เป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้...

    ผู้เข้าชมรวม

    243

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    243

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ธ.ค. 53 / 14:55 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ผมไม่อยากให้มาถึงเป็นที่สุด วันที่25ธันวาคมของทุกปี วันที่คนเขาเรียกกันว่า วันคริสตมาส ผมไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปฉลองอะไรกับใครในวันนี้เพราะผมนับถือศาสนาพุทธตามทะเบียนบ้านเกิด  

      ผมมองว่า วันพวกนี้มักจะมาคู่กับผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัท ห้าง ร้านค้า เนื่องจากมีพวกบ้าฉลองเทศกาลไม่เลือกหน้า ใช้จ่ายไม่ยั้งคิด ต้นปีก็วาเลนไทน์ทีนึงแล้วที่บริษัทจัดจำหน่ายช็อคโกแลตและโรงงานฟันกำไรอื้อซ่า

      พวกคุณทำสำเร็จเป็นอย่างมากในเรื่องการสร้างค่านิยมว่า “รักใครชอบใครบอกเขาไปด้วยการให้ช็อคโกแลตสิ!” แน่นอนว่า คริสตมาสเองก็ไม่ต่างกันถ้ามองแก่นแท้ของเทศกาลนี้ให้ดีแล้ว จะเห็นว่า เป็นงานเทศกาลที่ฟุ้งเฟ้อพอๆกัน ทั้งหมวก ต้นคริสตมาส ไฟประดับ เค้ก เทียน และอื่นๆอีกมากมาย  

      อยากรู้นักพวกที่จัดงานฉลองกันตามคนอื่นเขาเนี่ย รู้กันบ้างรึเปล่าว่า เทศกาลนี้มีขึ้นเนื่องในโอกาสอะไร?

       แต่เอาเถอะ ผมคงมองอะไรไกลตัวเกินไป เอาเป็นสรุปง่ายๆได้เลยว่าไม่เคยมีวันไหนของปีที่จะทำให้ผมรู้สึกยุ่งยากใจไปมากกว่าวันนี้อีกแล้ว
      ความวุ่นวายของวันมันเริ่มตั้งแต่ตอนเที่ยงซึ่งเป็นวันเสาร์ที่ผมอยากอยู่เงียบๆคนเดียวและให้วันที่25ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว

      ก็มีไอ้เจ้าคาร์ลเพื่อนตัวแสบมาเยี่ยมเยียนถึงห้อง ยังดีนะมันไม่อุตริเอาของฝากเป็นกระเช้าของขวัญรังนก พรุนสกัดหรืออะไรทำนองนั้นมาให้ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ไล่ตะเพิดมันออกไปจากหน้าห้องภายใน3วินาทีเป็นแน่ แต่ตอนนี้มันกำลังกดดันผมด้วยเสียงออดจากหน้าห้อง

      “เมอรี่คริสต์มาสเว้ย โซ” มันเปิดช่องส่งจดหมายหน้าห้องที่อยู่ระดับหน้าแข้งเพื่อให้ผมได้ยินเสียงอวยพรของมันได้ชัดเจนขึ้น

      “อืม เออ...ถ้าไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว”

      “เฮ้ยไหงเย็นชากับคนสำคัญแบบนี้ล่ะ...ลืมความสัมพันธ์อันแสนหวานชื่นของเราสองไปแล้วเหรอ ...” พอเหอะ นอกจากจะทำให้รู้สึกขยะแขยงแล้วยังรู้สึกขายขี้หน้าคนห้องข้างๆด้วย

      “อ่าห์ เจ้าข้าเอ้ย โปรดออกมาดูชายหน้าไม่อายในห้องนี้ที่ “ได้” แล้วทิ้ง...” นี่ถ้าไม่เปิดประตูให้มัน มันต้องพล่ามอะไรบ้าบอทำลายชีวิตอันสงบสุขของผมแน่ๆ

      ปัง!

      “ปิดปากให้สนิทแล้วเข้ามาซะ”

      “นั่นแลๆ ที่อยากให้พูด แต่ถ้าให้ดีน่าจะพูดกับเพื่อนรักคนนี้...”

      “จะเข้าไม่เข้า?”

      “เข้าอยู่แล้วจ้า~”

      เมื่อคาร์ลเข้ามาในห้องมันก็เที่ยวดูนู่นดูนี่ตามประสาคนสอดรู้สอดเห็น เดินไปดูทีวีในห้องบ้าง เดินไปสำรวจโปสเตอร์อนิเมเก่าๆบ้าง คุ้ยเขี่ยของใต้เตียงบ้าง...

      เฮ่อ...ถึงจะไม่อยากต้อนรับมันสักเท่าไหร่แต่ตามมารยาทใครก็ตามที่ถูกเชื้อเชิญเข้ามาในห้องนี้ก็สมควรที่จะได้รับการปฏิบัติสมกับเป็นแขกผู้มาเยี่ยมเยียนแม้จะไม่ได้ตั้งใจมาเยี่ยมก็เถอะ

      “เอ้า...น้ำชากับของว่าง” ไอ้ตัวแสบอย่างคาร์ลเนี่ย มันต้องชาตราสามเพกาซัสรสเข้มข้นเท่านั้น

      “โฮ่...ขอบคุณมากๆ กินล่ะ” อย่างมันเนี่ยต้องหาอะไรมายัดปากให้เงียบจริงๆนั่นแหละ

      “อ้าม ง่ำๆ....” นานแค่ไหนกันแล้วที่ผมน่ะไม่ได้อยู่อย่างสงบ เกือบ2ปีได้แล้วมั้งที่รู้จักกับไอ้หมอนี่แล้วชีวิตมีแต่เรื่องวุ่นๆ ถึงจะไม่เท่าไอ้หมอนั่นก็เถอะ...

      “แล้วที่มาหานี่มีธุระอะไร”

      “อ้าไอ้อีอุ้อ้ะไออ้ออาอ๋าไอ้ไอ๊อั้นอ๋อ” คาร์ลมันพูดทั้งๆที่ยังกระเดือกแยมโรลและมายด์เค้กราคาถูกที่ผมซื้อจากแฟมิลี่มาร์ทไม่หมด

      “แดกไปให้หมดก่อนแล้วค่อยพูด เดี๋ยวก็ติดคอ...”

      “ครั่กคว่อก” นั่นไงล่ะพูดไม่ทันขาดคำ

      “อึ่กๆอั่กๆ” มันรีบคว้ากาน้ำชากระเบื้องสีขาวเทเข้าปากอย่างไม่รักษามารยาท นี่แกจะทำตัวเป็นแขกชั้นต่ำไปถึงไหนกันแน่เนี่ย?

      “เฮ่ออออออออ....เกือบตายแล้วไหมล่ะ” โล่งใจแฮะที่มันไม่ได้มาตายที่นี่ ถ้าจะตายล่ะก็ไปตายที่อื่นไป๊...

      “ว่าแต่มานี่มีธุระอะไร”

      “นายนี่ใจร้ายจังเลย ถ้าไม่มีธุระอะไรก็มาหาไม่ได้งั้นหรอ?”

      “เหอะ...” ต้องมีอะไรเบื้องหลังแหง “มีอะไรก็บอกมาตรงๆดีกว่า”

      “เอานะ งั้นถามเลยนะ ”

      “เออ...” ที่มาหานี่คงไม่พ้นมีงานเร่งด่วนอะไรให้ช่วยอีกตามเคย ผมยกชาอู่หลงผสมน้ำผึ้ง+มะนาวที่ชงเองขึ้นจิบ

      “ได้ยินมาว่า ช่วงนี้นายไม่โผล่หน้าไปมหาวิทยาลัยเพราะนอนกกเมียอยู่…”

      พร่วด! ปึก! ผมกระแทกแก้วน้ำชาสีดำขลับลงบนโต๊ะญี่ปุ่นลายไม้สักสีน้ำตาลไหม้

      “ไปได้ยินมาจากไหนวะเฮ้ย!”

      “เห็น คุนมันพูด...” มันพูดพร้อมมองฝ้าเพดานสีฟ้าอ่อนอย่างไม่ยี่หระ

      “มันพูดหรือแกพูดเอง? ห้ะ?” ไอ้หมอนี่มันเชื่อถือไม่ได้ ก่อนจะปักใจเชื่อข้อมูลอะไรจากมันต้องซักไซ้ให้ละเอียดถี่ถ้วน

      “ก็ไม่เชิงว่า คุนมันบอกว่านายกกเมียหรอก แต่มันก็พูดว่าหยั่งงี้...

      อ่ะแฮ่ม...

      [ครั้งสุดท้าย ผมเห็นเขาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเขากำลังยุ่งอยู่กับการเลือกแชมพูสำหรับจุดซ่อนเร้นอยู่น่ะครับ ผมเดาว่าเขาน่าจะซื้อไปฝากคนที่ห้องแน่ๆ]”

      แม่งเอ๊ย ตูอยากจะเอาหัวโขกพื้นห้องให้ทะลุถึงอีกฟากหนึ่งของโลกบวมๆใบนี้

      น่าอับอาย!น่าอับอายเป็นที่สุด ก็สงสัยอยู่แล้วทำไมถึงมีแมสเซจแปลกๆมาจากลินด์

      [มีคนรักอยู่แล้วทำไมไม่บอกกัน ให้ความหวังอยู่ได้]
      ผมจึงส่งไปว่า [คนรักไหน ไม่มีหนิ]
      และเธอก็ตอบกลับมาสั้นๆแค่เพียง[ไอ้คนลวงโลก!]

      ตอนนั้นผมยังงงว่า ตัวเองได้กลายเป็นโจโฉที่ยอมลวงหลอกคนทั้งโลกแต่ไม่ยอมให้คนทั้งโลกหลอกลวงตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็คิดในแง่ดีว่า เธอคงเป็นช่วงนั้นของเดือน ซักสองสามวันเธอคงจะกลับมาคุยดีตามปกติแต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด...

      “ไอ้เชี่ยนั่นนี่เองที่ก่อเรื่อง...”

      “ว่าแต่มีจริงๆหรือเปล่าล่ะ?”

      “ไม่มีเว้ย!”

      “อ่าว แล้วจะซื้อ Lactacid Intimidateไปทำซากอะไรล่ะ หืม?” Intimidateมันแปลว่า ข่มขู่เฟ้ย! แต่ช่างเหอะนั่นมันไม่ใช่สาระ

      “ก็วันนั้นน่ะ...โต้รุ่งจนเบลอไปหน่อย แล้วเห็นว่าโฟมล้างหน้าในห้องน้ำหมด ก็เลย...”

      “เลยออกไปซื้อทั้งที่ยังเบลอๆอยู่ และก็ได้ครีมทำความสะอาดจิมิ มาแทน ชิมิ?” ยิ่งฟังน้ำเสียงกวนประสาทมันแล้วยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม3เท่า

      “ฮว้ากกกกกกกกกกกก แม่งเอ้ยยยยยยยยย” ผมลุกขึ้นตะคอกใส่บานหน้าต่างสีเขียวที่ปิดอยู่อย่างอดรนทนไม่ไหว

      “อย่าพึ่งโมโห โมหัน หุนหัน พลันแล่นไปเลยน่า นายเองก็ผิดเหมือนกัน...”

      “ผิดตรงไหนวะ ?”

      “ก็ไม่ออกมาอธิบายเรื่องทั้งหมดให้กระจ่าง เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องแบบนี้ ใครมันจะไปตรัสรู้ได้วะ ว่าจริงไม่จริง?”

      “… ” ที่มันพูดมาก็ไม่ผิด แต่ฟังแล้วก็ยังขัดหูอยู่ดี

      “เอ้อ แล้วก็อีกอย่างสงสัยมานานและทำไมช่วงนี้แกไม่ออกไปไหนเลยวะ”

      “พูด...เรื่องอะไรของแกน่ะ คาร์ล”

      “ไม่ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เลย โซ ปีที่แล้วก็แบบเนียะไม่ใช่เหรอ เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง หัดออกมาสนใจโลกภายนอกบ้างก็ดีนะเว้ย สาวโสดใน ม. น่าร้ากน่าร๊าก มีถมเถ” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ปากที่พล่ามอยู่ในตอนนี้จะเป็นปากเดียวกันกับที่เคยปฏิญาณไว้ว่า

      “จากนี้ไปเราสองคนจะจงรักภักดีต่อสาว2Dเพียงอย่างเดียวไม่เหลียวสาว3Dไหนเป็นอันขาด”

      ไอ้ขี้โม้เอ๊ย...ที่พูดไปทำได้ไม่ถึงกึ่ง ไปเป็นนักการเมืองคงรุ่งโรจน์น่าดู

      “หรือว่า...แกจะมีความหลังกับวันคริสมาสต์” ชิ ...ตอนเรียนก็เห็นหัวทึบ พอเรื่องอย่างนี้แหละหัวไวเชียว

      “อ๋อ...ฉันเข้าใจแล้วล่ะ โซ” ...เข้าใจก็รีบๆไสหัวไปได้แล้ว อยู่ต่อไปมีแต่จะสร้างความรำคาญ

      “เมื่อปีก่อน นายไปสารภาพรักกับสาวนางหนึ่งเข้า แล้วสาวเจ้าก็หักอกแกในวันคริสมาสต์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาแกก็เลยมีปมฝังใจ...”

      “แกเลยกะลงเอยกับคุณหัวหน้าห้องผมยาวดำสลวยในช่วงคริสตมาสแบบในอนิเมซีซั่นนี้สินะ สินะ!”มันหลับตายิ้มแป้นแล้นพร้อมทั้งชูนิ้วขึ้นชี้ขึ้นฟ้าเหมือนจะจงใจล้อเลียนมากกว่าที่จะพยายามทำความเข้าใจผม

      “ไม่ใช่เว้ย!” ผมพลิกโต๊ะญี่ปุ่นใส่มัน แต่ไอ้ปลิ้นปล้อนกะล่อนเหมือนปลาไหลอย่างมันก็หลบอย่างไม่ยากเย็น

      โต๊ะญี่ปุ่นสีน้ำตาลไหม้ลายไม้ของผมจึงลอยละลิ่วไปกระแทกขอบชั้นหนังสือสีเหลืองอ่อน หนังสือที่หุ้มด้วยปกแข็งสีขาว และสีโทนเย็นร่วงลงมาเหมือนหิมะโปรยปรายอย่างสวยงามไปทั่วทั้งผืนฟ้า ผิดไปแค่มันร่วงใส่หัวผมก็แค่นั้น...

      “หงุดหงิดชิบเป๋งเลยว่ะ... ” ผมสบถพร้อมกับจิปาก

      “หงุดหงิดอะไรเหรอจ๊ะ ซู๊ด...” มันยังมีหน้ามาถามอีกนะ รู้สึกคันไม้คันมือ อยากซัดหน้าตอนมันยกชาขึ้นซดจริงๆ

      “เออๆเอาเหอะๆ ...แล้วมีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีก็รีบๆกลับไปซะ จะได้จัดชั้นหนังสือ…”

      ตี ตี ตี ตี่ ดี้ ตี ดี่~ เสียงเรียกเข้ามือถือของมันเนี่ยสุดสลดชวนหดหู่ชิบ...

      “อ๋อ... เอ้อ ใช่ๆ...อยู่ด้วยกันๆ... ฮะฮะ ไม่รู้สิ.... ไม่รู้ว่ามันอยากจะเจอแกรึเปล่านะ” ผมใช้ภาษามือบุ้ยใบ้ถามมันว่า ใครวะ? และมันก็ขยับปากอ่านได้ว่า “ไอ้คุน”

      “เอามาคุยดิ๊...”

      “อ่าๆ เดี๋ยวแกคุยกับโซเองละกันนะ คุน”

      “ว่าไง โซ...” ว่าไง...xxxอะไรกันล่ะ ก่อวีรกรรมไว้แสบยังมาทำเหรอหราอีกงั้นเหรอ? ไม้นี้มันเก่าไปแล้วมั้ง

      “ก็มีความสุขดี จนกระทั่งแกไปพูดเรื่องในซุปเปอร์นั่นแหละ...” เอาสิ ดูซิว่าจะแก้ตัวยังไง

      “อ่าๆ โทษทีๆตอนนั้นเข้าใจผิดไป ต้องไปแก้ข่าวยกใหญ่เลยล่ะ ว่าจำผิดคน”

      “…….”

      “คือ คนที่เราเห็นน่ะนะ คล้ายกับนายมากเลยน่ะ  เสียแต่ว่าหมอนั่นเป็นกระเทย” มันหลอกด่ารึเปล่าวะเนี่ย?

      “แล้วเรื่องวุ่นวายที่เกิด...” ขึ้นล่ะจะแก้ยังไงกัน ใครจะรับผิดชอบ ห๊ะ?

      “เราไปขอโทษแล้วล่ะ แถมยังบอกด้วยว่า นายรู้สึกไม่ดีในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ก็เลยไม่อยากออกไปไหนมาไหน” ระระ ร้ายกาจนี่มันเตรียมให้แม้กระทั่งบันไดลงให้ตูเชียวเรอะ...ฮึ่ม...

      “แล้วเรื่องลินด์...”

      “ไม่ต้องเป็นห่วง เราชวนลินด์มาปรับความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว แต่มันจะดีกว่านะถ้านายมาอธิบายให้เธอฟังด้วยตัวเอง เพราะบางทีปากต่อปากข้อมูลมันอาจจะผิดเพี้ยนไป...” นี่มัน...ข่มขู่กันชัดๆ มันกำลังจะบอกเป็นนัยว่า “ถ้าแกไม่มา แกได้เจอเรื่องใหญ่กว่านี้แน่”

      “อืม ก็ได้ เจอกันที่ไหน?”

      “เอาเป็นที่ร้านVarietyแล้วกัน รีบมาหน่อยก็ดีนะเพราะลินด์เองร้อนใจอยากปรับความเข้าใจกับนาย...” มันกำลังจะบอกเป็นนัยว่า “รีบไสหัวมาเดี๋ยวนี้ไม่งั้นแฟนเอ็งบอกเลิกแน่”

      “ตามนั้น แค่นี้นะ...”

      กริ๊ก ตรู๊ดๆๆ

      “ดูนายสองคนเข้ากันได้ดีนะเนี่ย” เข้ากันได้ดีกะผีน่ะสิ โดนมันข่มขู่ฝ่ายเดียวชัดๆ

      ผมเปิดตู้เสื้อผ้าสีเทาหม่นแล้วหยิบเสื้อแจ็คเก็ตสีแมลงทับ กับกางเกงยีนส์ตัวเก่งเพื่อไปเปลี่ยนในห้องน้ำสีครีมสุดสบายตา แต่ขณะเดียวกันคาร์ลเองก็เที่ยวซอกแซ่กดูนู่นดูนี่ไปตามประสาจนผมต้องเตือน

      “ไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่า [ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าทุกคนรวมถึงแมว] งั้นเหรอ?”

      “สำนวนอะไรของนายน่ะ เคยได้ยินแต่ว่า [ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าได้แม้กระทั่งแมว]”

      “เออๆนั่นแหละๆ เอาเป็นว่าความหมายเดียวกัน” ชิ ตัวเองสอดรู้สอดเห็นแท้ๆยังมีหน้ามาเถียงอีก

      “เอาล่ะ พร้อมแล้วไปกันได้แล้ว...”

      “ฮื่อ” ผมต้องออกจากห้องที่แสนอบอุ่นไปเผอิญหน้ากับโลกภายนอกอันแสนหนาวเหน็บ แต่ถ้าไม่ไปผมคงต้องพบเจอกับอุปสรรคที่ทำให้ผมต้องเหน็บหนาวไปถึงปลายไขสันหลัง

      ร้านอาหารวาไรตี้(Variety)ที่คุนนัด เป็นร้านอาหารประเภทจิปาถะสุดๆ อยากได้อะไรก็สั่งเอา มีตั้งแต่ธรรมดาสุดๆอย่างซุปน้ำข้าวไปจนถึงอาหารขึ้นเหลาเข้าวัง

      ว่ากันว่าเคยมีคนคิดพิเรนทร์สั่งฟัวกรามากินอย่างอร่อยเอร็ด และก็ต้องล้างจาน ถูพื้นอย่างเอน็ดอนาถเพราะราคาของมัน

      เอาเป็นว่า มาร้านนี้อย่าสั่งอะไรพิลึกพิลั่นก็พอแล้วเพราะเจ้าของร้านนี้เป็นคนจริง พูดจริงทำจริง สั่งจริงจ่ายจริง

      การจะเดินทางไปร้านวาไรตี้ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ถ้าไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ผมเลือกที่จะเอาเพลงยัดหูตัวเองเพื่อไม่ให้วอกแวกไปกับสิ่งรอบข้างพร้อมกับมุ่งหน้าไปร้านวาไรตี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

      มันมาแล้ว... มันมาด้วยความเร็วสูง

      ผมหลบชิดไปฝั่งตรงข้ามกับริมฟุตบาทจนไปกระแทกกับผู้ชายอีกคนที่เดินคุยโทรศัพท์

      “ขอโทษครับ”

      “เอาแต่ฟังเพลง ก็ไม่มีสมาธิงี้แหละน้า ว่าแต่ฟังอะไรน่ะ ขอฟังมั่งดิ”

      […มือไม้มันค่อยๆสั่น ในท้องมันก็เริ่มปั่น ตาก็ยังลายๆ ใจระส่ำระส่าย เป็นอย่างนี้ทุกทีไป คงเพราะคุณนั้นสูงไป~ มันก็แพ้~ ก็บนนั้นมันช่างสูงได้ยิน.มั้ยคุณ โปรดเถอะลดลงมาหากันหน่อยนะครับ …]

      “หยา ? เพลงอะไรเนี่ย”

      “Acrophobia ของPenguin Resort”

      “ตลกดีนะ เพลงนี้”

      “ไม่เห็นจะตลกตรงไหนเลยสักนิด ออกจะสื่อถึงความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่ชอบฟังก็เอาคืนมา” แล้วผมก็คว้าหูฟังอีกข้างกลับมายัดหูตัวเองเพื่อลดความสนใจต่อสิ่งรอบข้างลง

      แต่ไม่ทัน มันมาอีกแล้ว มันเลียบเข้ามาใกล้แล้ว...ผมต้องหาทางหลบ

      “ขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ” ในห้องน้ำนี่แหละ ปลอดภัยไม่น่าจะ...

      โธ่เว้ย มันแอบอยู่ในถัง...

      พอผมพุ่งพรวดออกมาจากห้องน้ำ คาร์ลเองก็ปากบอนเหมือนเคย

      “ศึกหนักเหรอเพื่อน ทำไมไม่จัดการให้เรียบร้อยก่อนออกมาล่ะ?” ไม่มีอารมณ์จะเถียงกับมันแล้ว ทำยังไงก็ได้ให้ไปถึงร้านวาไรตี้ให้ไวที่สุด

      มัน...มันมาเป็นฝูงใหญ่  มันใกล้เข้ามาแล้ว ถ้าขืนรอคาร์ลมีหวังผมไม่รอดแน่

      “ข้ามถนนเลย!” ผมตะโกนบอกคาร์ลที่ยืนอยู่ข้างหลัง

      “เฮ้ย ระวัง!?”

      เอี๊ยดดดดดดดด....ผมกลิ้งตัวตัดหน้ารถตู้สีบรอนซ์เงินที่คนขับเหยียบเบรกจนตัวโก่ง

      “แกทำบ้าอะไรวะ!”
      ผมไม่สนใจหรอก ว่าใครจะพูดอะไรยังไง แต่ผมต้องไปให้ถึงร้านวาไรตี้ให้ได้ สภาพผมตอนนี้ดูไม่จืด เสื้อแจ็คเกตและกางเกงยีนส์ตัวเก่งของผมเลอะเทอะเปื้อนฝุ่นเหมือนโดนสาดด้วยแป้งแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร

      แล้วตอนนี้ผมก็เจอปัญหาใหญ่ก็คือ พวกมันแห่แหนกันมาเต็มถนน เสียงร้องดังก้องขึ้นทั่วริมถนน นี่มันยึดถนนเลยงั้นหรือ...

      โธ่เว้ย นี่ก็ล่อไปบ่ายหนึ่งกว่าแล้ว ผมมองหาเส้นทางที่จะไปที่ร้านโดยไม่ต้องเจอะเจอกับพวกมัน แต่ก็ไม่มีเลย ไม่มีแม้แต่เส้นทางเดียว เสมือนผมเป็นหมากดำที่โดนหมากขาวล้อมกรอบไปไหนไม่ได้

      คิดสิ คิด คิดเข้าสิ ว่ามีทางไหนที่จะไม่มีพวกมันตามมารังควาน

      เสียงของมันใกล้เข้ามาแล้ว ผมเลือกปีนขึ้นกำแพงที่ใกล้ที่สุดแล้วเดินตามสันกำแพงเหมือนอย่างแมว

      ตั้งมั่น ตั้งมั่น อย่าคิดว่ากำลังจะตกลงไปข้างล่าง...

      ให้คิดว่า ผ่านไปได้ ใช่...ผ่านไปได้

      ผมค่อยๆเดินย่างอย่างเชื่องช้าทีละก้าว ขณะที่พวกมันไหลไปตามถนนใหญ่และฟุตบาท

      ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ต้องไปถึงให้ได้...

      ผมพูดกับตัวเองเรื่อยๆเช่นนี้จนกระทั่งผ่านพ้นฝูงของพวกมัน ท่ามกลางการรบกวนโสตประสาทของมัน

      มีบางตัวในกลุ่มพวกมันยื่นระยางออกมาเพื่อจะกวนสมาธิผม แต่ผมยังคงเดินไปตามทางจนกระทั่งเข้าซอยที่ไม่มีฝูงพวกมัน

      ผมจำได้ว่า แค่เดินผ่านต้นไม้ตรงแยกข้างหน้าไปก็ถึงร้านวาไรตี้แล้ว มันก็แปลกดีนะ ระยะทางจากห้องผมถึงร้านวาไรตี้มันก็ไม่ได้ไกลมากแต่ผมเหงื่อท่วมเหมือนเดินทางไกลหลายกิโลเมตร

      เสี้ยววินาทีที่ผมเผลอผ่อนคลายความเหนื่อยล้า เสี้ยววินาทีนั้น เศษแขนข้างหนึ่งของมันก็ลอยปลิวมาจากด้านซ้าย ผมม้วนหน้าเฉียงไปทางขวาด้วยสัญชาติญาณเอาชีวิตรอดของสัตว์เลือดอุ่น

      ตอนนี้สภาพของผมมอซอยิ่งขึ้นแต่ผมก็ได้มาถึงร้านวาไรตี้ตามที่นัดไว้

      ประตูกระจกร้านวาไรตี้ถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะผลักและคนที่เปิดประตูร้านก็คือ เธอ

      “ลินด์ ผม...มาถึงแล้ว...”

      “โซ ! ไปทำอะไรมา ทำไมเนื้อตัวเลอะอย่างนี้เนี่ย”

       “เดินไหวไหม ...”

      “แค่นี้สบายมากน่า” ผมแกล้งทำเป็นสบายๆไปอย่างนั้นแต่ที่จริงเหนื่อยแทบแย่

      เอาล่ะ ในเมื่อมาถึงนี่แล้วแกคงทำตามที่สัญญาไว้นะคุน และผมก็ต้องตกใจกับโต๊ะที่ลินด์พาไปนั่งด้วยเพราะที่โต๊ะเต็มไปด้วยผู้คนคุ้นหน้าคุ้นตา...

      “....  ” หนุ่มพูดน้อยคนนี้ที่ยิ้มและผงกศีรษะแทนคำทักทายคือ ยุน... ยุนเป็นเพื่อนสมัยเรียนตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมปลาย ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันก็ตอนงานเลี้ยงรุ่นเมื่อ2ปีที่แล้ว

      “ฮ่าย ~ โซ”  เธอคนนี้ชื่อ อเล็กซานดร้า เป็นสาวลูกครึ่งเอเชีย-ฝรั่งเศส เธอเป็นเพื่อนของแฟนเก่าของผม ตอนหลังพอผมเลิกกับแฟนเก่าเธอก็ติดผมแจ อุตส่าห์ย้ายหอหนีแล้วเชียวต้องมาเจอจนได้

      “ฮาว ลอง ทู ซี ยู โซว~”  หมอนี่จริงๆแล้วก็ไม่ได้รู้จักกันโดยตรงหรอกเพียงแต่เป็นเพื่อนร่วมห้องของแฟนของเพื่อนน้องสาวของอเล็กซานดร้าอีกที ว่าแต่ชื่ออะไรนะ? ช่างเถอะไม่สำคัญเท่าไหร่หรอก

      “ไม่ได้เจอกันนานนะ ”  ใบหน้าที่ยิ้มแย้มภายใต้กรอบแว่นตาทิเทเนี่ยมสีเงินนั่นคือใบหน้าของพี่อารอนติวเตอร์ที่ติวให้ผมได้เกือบทุกวิชา ทั้งภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิชาที่พี่เขาติวให้ไม่ได้ก็มีแค่พลศึกษาแค่นั้นแหละครับ พี่อารอนเป็นคนสำคัญที่ทำให้ผมเข้ามหาวิทยาลัยได้

      แต่ผมขาดการติดต่อกับพวกเขาเพราะเหตุผลไร้สาระอย่างโทรศัพท์หาย

      “แล้ว....แล้วทำไมทุกคนมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ” ผมเริ่มงงกับการรวมตัวกันอย่างไม่ได้นัดหมายมาก่อน ความบังเอิญแบบนี้มันผิดปกติมากเกินไป

      “นั่นสินะครับ ทำไมกันนะ ” คุนยิ้มแบบมีเลศนัย ไอ้หมอนี่มันวางแผนเรื่องนี้ไว้ มันต้องการอะไรกันแน่?

      “คิดมากไปก็เท่านั้นแหละครับ ไหนๆก็อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว เรามาฉลองเนื่องในโอกาสที่หาได้ยากดีกว่าครับ ” เฮอะ...ที่มันพูดก็ใช่อยู่ โอกาสที่ทุกคนจะมารวมตัวกันครบแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

      "โซมานั่ง ข้างๆอเล็กก็ได้นะ " เธอเอียงไหล่เชิญชวนผม พลางลูบไล้ที่นั่งข้างๆที่ยังว่างอยู่

      "คงไม่ดีมั้ง" เพราะตอนนี้ลินด์มองค้อนผมจนตาจะถลนออกมานอกเบ้าอยู่แล้ว

      "เฮ่ๆ งั้นไอขอย้ายไปนั่งข้างยูนะ"

      "ฉันไม่ได้พูดกับนาย..."

      "....." ยุนตบหัวไหล่ของหนุ่มที่ถูกอเล็กซ์ปฏิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อใยเป็นเชิงปลอบใจว่า ไม่เป็นไรนะ

      "เห็นหนุ่มๆสาวๆแซวเล่นกันแล้วรู้สึกชื่นใจจริงๆนะเนี่ย" พี่อารอนเปรยขึ้นลอยๆ

      "ไม่หรอกครับ พี่อารอนเองก็ยังหนุ่มอยู่เลย "

      "ไม่ได้เจอกันนาน รู้จักมารยาทสังคมมากขึ้นนะเรา"

      "....." ยุนผงกหน้าแสดงความเห็นด้วยกับคำพูดของพี่อารอน

      "ก็นิดหน่อยล่ะครับ "

      "ได้ข่าวว่าเฮียจะแต่งงานเหรอครับ" เฮ่ย? คาร์ลมันไปรู้มาจากไหนเนี่ย

      "อืม ใช่ ว่าจะเล่าให้โซฟังอยู่พอดีเลย"

      "แล้วใครเป็นสาวผู้โชคดีคนนั้นล่ะครับ"

      "นาเดีย เพื่อนพี่สาวของเธอนั่นแหละโซ"

      "อ่ะ โห พี่สาวที่โหดๆเถื่อนๆหน่อยใช่ไหมครับ"

      "นาเดียเปลี่ยนไปเยอะนะ เหมือนกับเธอยังไงล่ะ" ผมเนี่ยเหรอเปลี่ยนไป ไม่ยักรู้แฮะ

      "แล้วแต่ก่อน โซ เป็นคนยังไงเหรอคะ?" ลินด์ถามถึงผมเมื่อตอนสมัยเรียนมัธยม

      "อะไรก๊าน เป็นแฟนกันเนี่ย เขาไม่เคยเล่าให้ฟังเลยเหรอ?  ถึงฉันจะไม่ใช่แฟนของโซอย่างเป็นทางการแต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนไม่มีทางแพ้ใครแน่..." อเล็กซ์! เธอไปกวนอารมณ์ของลินด์ให้ขุ่นทำไมเล่า!

      "เฮ้ พ่อเพลย์บอย สอนไอหน่อย ทำไงให้เนื้อหอม?"

      "สนใจเคล็บลับเนื้อหอมของโซ มันป่าวเพ่ จะบอกให้ฟังว่า มันใช้Lacta..." คาร์ลพูดสอดขึ้นมาอย่างจงใจ

      "เงียบไปน่า คาร์ล!"

      "เนื้อหอมจังเลยนะ โซ..." ตายล่ะหวา มันมาแล้ว ยิ้มปั้นปึ่งของลินด์

      "แหะแหะแหะ ....ไม่ใช่แบบนั้นนะ ลินด์"

      หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งคุยนั่งเล่นกันในร้านวาไรตี้จนลืมเวลา นั่งคุยกันเรื่องความหลังสมัยเรียนมัธยมบ้างล่ะ วีรกรรมแสบสันในวัยที่ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดบ้างล่ะ

      บางทีก็แอบเอาพฤติกรรมปัจจุบันมาแฉให้เพื่อนเก่าฟัง แฉกันไปแฉกันมาอยู่นั่นแหละ

      เอาเข้าจริงแล้วคนที่แทบจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับงานนี้เลยก็คือ คุน บางทีผมอาจจะมองเขาผิดไปก็ได้

      คุนอาจจะเป็นคนดีกว่าที่ผมคิด เขาอุตส่าห์เรียกเพื่อนเก่าของผมมาร่วมฉลองในวันแบบนี้ พอผมกำลังจะนึกขอบคุณเขา เขาก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด

      "นั่งคุยกันมานาน คงเริ่มหิวกันแล้ว เรามาสั่งอะไรทานกันเถอะครับ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องอาหารหลากหลายอยู่แล้ว สั่งกันได้เลยครับ"

      "สเต็กไก่ที่นึงค่ะ"

      "ต๊ายตาย กินแบบนั้นไม่กลัวอ้วนเลยเหรอเนี่ย เป็นฉันน่ะไม่ได้หรอก ขอซีซาร์สลัดค่ะ"

      "เพราะกินแค่นั้นน่ะสิ ถึงได้กะหร่องอย่างนั้น"

      "เธอคิดว่าตัวเองหุ่นดีนักหรือยังไงยะ?"

      "@&@%_@" พวกผู้หญิงนี่ขนาดแค่สั่งอาหารไม่วายตีจนได้

      "ผมขอ เหมือนเดิม" เหมือนเดิมที่ว่าคือ ข้าวกะเพราะรวมมิตรไม่ใส่พริก ผมก็กินอะไรธรรมดาๆแบบนี้แหละครับ ผมสั่งเมนูนี้จนเด็กเสริฟกับแม่ครัวที่ร้านจำได้เลยล่ะ

      "เหมือนกัน" สงสัยยุนคงไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรดี

      "เหมือนมัน" คาร์ลพูดพลางชี้หน้าผม อ่าวไอ้นี่หนิ...

      "ขอชาอั่ง พร้อมน้ำชาร้อนที่นึงครับ" พี่อารอนกินอะไรดูเป็นผู้ใหญ่ใจเย็นจริงๆแฮะ

      "ขอชิฟฟ่อน กับบราวนี่ครับ" ...หมอนี่แทบจะเป็นตัวประหลาดในวงเลยล่ะ " อ่อ เผอิญผมเป็นพวกชอบกินอะไรเรียกน้ำย่อยก่อนน่ะครับ"

      ระหว่างรออาหารให้ครบทุกคนแล้วค่อยทานพร้อมกัน ต่างคนต่างก็จับคู่คุยในเรื่องที่สนใจอย่างเป็นกันเองเสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ความสุขที่มีอยู่ในตอนนี้ทำเอาผมแทบจะลืมเรื่องของมันไปอย่างสิ้นเชิงจนกระทั่ง

      "ถ้างั้นผมขอสั่งอาหารหลักแล้วกันนะครับ" เขาพูดแบบนั้นหลังจากจัดการกับเค้กทั้งสองชิ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นผมยังไม่รับรู้ถึงหายนะที่ย่างกรายเข้ามาใกล้ซึ่งผู้ที่นำมาพาหายนั่นมาสู่ผมไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เขาคนนั้นก็คือ คุน

      ผมยังคงคุยเล่นหยอกล้อกับเพื่อนๆจนกระทั่งอาหารหลักของเขาถูกเสริฟเป็นอย่างสุดท้าย

      ...หลังจากหยุดพูดคุยกับลินด์และหันมาดูอาหารจานหลักที่ว่าของคุน มันทำให้ผมตัวสั่นเทิ้มอย่างที่ไม่อาจควบคุมร่างกายตัวเองได้

      มัน...มันมาอยู่ตรงหน้าผม....มันเหมือนมาท้าทายกันอย่างซึ่งหน้า ผมไม่สามารถทำตัวเหมือนมันไม่มีตัวตนอยู่ได้เพราะคุนนั่งอยู่ตรงข้ามกับผม

      เขายังคงไม่รู้เรื่องของมัน เขายังคงนั่งกินมันอย่างเงียบๆพลางหัวเราะกับเรื่องราวชวนขำของคาร์ลที่เล่าถึง ความเปิ่นของคนในชมรม แต่หลังจากเรื่องนั้นผมก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

      หูของผมมันเริ่มอื้อไปหมด ผมพยายามสอดส่ายมองหาพวกมันที่แอบซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆและผมก็พบว่า มันได้ซุ่มอยู่ตามจุดต่างๆบนโต้ะโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น มันติดหนึบอยู่บนขวด เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าของเพื่อนๆ

      การที่ได้เห็นพวกมันอย่างชัดเจนมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกเหล็กทรงสี่เหลี่ยมน้ำหนัก1กิโล ทับทีละก้อน ละก้อน จนมิดท่วมหัว

      ผมอยากจะนั่งอยู่กับพวกเพื่อนๆต่อ แต่ทว่า...มันที่กำลังอวดร่างของตัวเองอยู่เบื้องหน้า

      แต่ละคำที่มันดิ้นพราดอยู่ในจาน แต่ละคำที่มันดิ้นพราดอยู่ในช้อน และแต่ละคำที่มันดิ้นพราดอยู่ในปากของคุน มันทำให้ผมอดทนต่อไปอีกไม่ไหว

      "ขอตัวก่อนนะ..."

      "อ้าว โซจะไปไหนน่ะ"

      "ไปห้องน้ำน่ะ..."

      ยังดีที่ห้องน้ำในร้านนี้ไม่มีมัน....ผมนั่งสงบอยู่บนฝาชักโครกสีขาวในห้องสุดท้ายและภาวนาว่าเมื่อผมกลับไปที่โต๊ะภาพของมันจะไม่อยู่ที่เดิม ผมหมกตัวในห้องน้ำนานเกือบยี่สิบนาทีจนแน่ใจว่ามันคงไปแล้ว

      เมื่อกลับไปที่โต๊ะ ทุกๆอย่างได้ถูกเด็กเสริฟจัดการไปจนหมดแล้ว จะไม่มีมันปรากฎอยู่บนโต๊พอีก ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ ตอนนี้ก็เหลือแค่กลับไปที่ห้อง

      "อะไรกันจะรีบกลับแล้วเหรอ นานๆที่จะได้มาเจอคนคุยสนุกๆแบบนี้" คาร์ลบ่นอุบเพราะอยากอยู่กับกลุ่มเพื่อนเก่าของผมต่อ

      "สีหน้าไม่ดีเลย โซ เป็นอะไรรึเปล่า เข้าห้องน้ำไปตั้งนาน"

      "ไม่เป็นไร....หรอก" ผมรู้สึกเวียนหัวอย่างบอกไม่ถูก ภาพเพื่อนๆที่อยู่ตรงหน้าเริ่มเลือนลาง เส้นขอบก็ไม่ชัด มีใครปิดไฟในร้านกันน่ะ ถึงได้มืดแบบนี้...

      "โซว!"

      "โซ!"

      มีเพียงเสียงของพวกเขาเท่านั้นที่สามารถส่งผ่านเพื่อให้ผมรับรู้ว่าพวกเขาอยู่ใกล้ๆ แต่เสียงเหล่านั้นก็เริ่มห่างไกลออกไปทุกที ทุกที...

      ...
      ผมอยู่ที่ไหน...กันนะ ทำไมถึงมีกลิ่นหอมอ่อนๆอยู่ล้อมรอบตัวผม

      ผมคงจะอยู่ที่ทุ่ง...ทุ่งดอกลิลลี่สีขาว

      ใช่แล้ว ท่ามกลางหมู่ดอกลิลลี่มากมาย ผมจะเป็นอิสระ ผมจะรู้สึกปลอดภัย ผมเดินตรงไปเพื่อที่จะได้ยืนอยู่ ณ ใจกลางสวนดอกลิลลี่

      เมื่อไปถึงผมกลับเห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่อีกฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำสีฟ้าอมเขียว หมอกสีเทาดำบังคนๆนั้นมิดจนผมมองไม่ออกว่าเป็นใคร

      “นั่นใครน่ะ!” ผมส่งเสียงทักทาย แต่คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ตอบอะไรกลับมา เขาเพียงแต่เดินเข้ามาหาผม

      ทุกย่างก้าวที่เขาเหยียบลงไปกลับบิดเบี้ยว ทุกย่างก้าวที่เขาเหยียบลงไปกลับหมองลง

      แม่น้ำที่เขาก้าวข้ามสีของมันกลับเปลี่ยนไปเป็นสีอันน่าสะพรึงกลัว ดอกลิลลี่ที่เขาเดินผ่านไปกลับกลายเป็นกุหลาบกำลังอวดกลีบดอกสีสด

      ผมอยากจะหนีไปให้ไกลจากคนปริศนาที่ยังสาวเท้าก้าวเข้ามาโดยไม่ชะลอ แต่ผมก็ไม่ยอมให้ดอกลิลลี่ที่เหลืออยู่ต้องแปรเปลี่ยนเป็นดอกกุหลาบหนามคมอย่างแน่นอน

      เขาเป็นใครกัน...ที่ทำให้ทุ่งดอกลิลลี่แปดเปื้อน ใครกัน

      “หึ...ใครกันงั้นเหรอ?ไม่น่าถามคำถามแบบนี้เลยนะ นายก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ว่าฉันน่ะ คือ ....

      “ไม่จริง....ไม่จริง...” ไม่ใช่ ไม่ใช่...

      “การป้ายความผิดให้คนตายนี่มันไม่น่าดูเลยจริงไหม? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ...”

      ผมแผดร้องสุดเสียงขณะที่ดอกไม้รอบตัวผมกลายเป็นกุหลาบไปจนหมด...

      ...

      “โซ !” เสียงของลินด์ กลิ่นหอมอ่อนๆนั่นเป็นกลิ่นของเธอนี่เอง“เป็นอะไรไปน่ะ...”

      “...แค่ฝัน” ความรู้สึกอุ่นบนแก้มทำให้ผมรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้

      “ฝันร้ายเหรอ? ไม่เป็นไรนะ ลินด์อยู่นี่แล้ว” เธอลูบหัวผมเบาๆทำให้ผมรู้แล้วว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนอนหนุนตักเธออยู่ แม้ไม่รู้ว่าผมมาหนุนตักเธอได้อย่างไรแต่ผมก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ด้วยเหตุนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ผมขอคบกับเธอเป็นแฟน

      “ไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่ความฝัน...” ใช่แล้วล่ะ มันก็แค่ฝันร้ายของเมื่อวันวาน

      “ลินด์...ร้องเพลงให้โซฟังหน่อย”

      “ตอนนี้เลยเหรอ?”  เธอเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะตัดสินใจร้องเพลงโปรดของเธออย่างอ่อนโยน ผมนอนหลับตาเคลิ้มไปกับเสียงอันไพเราะของเธอ

      สำหรับผมแล้ว ณ สวนสาธารณะแห่งนี้ซึ่งมีเธอคอยปลอบโยน คอยเยียวยาหัวใจที่เคยเป็นแผล เปรียบได้กับนักเดินทางผู้เหนื่อยล้าได้พบเจอกับโอเอซิสท่ามกลางพายุทะเลทราย ...

      เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผมไม่อาจล่วงรู้ พวกมันยังคงมีอีกเท่าไหร่ ผมไม่อาจทราบแน่ชัด สิ่งที่รู้ตอนนี้มีเพียงผมได้พบกับความสุขสงบในหัวใจเมื่อได้อยู่ตามลำพังกับเธอ 

      หลังจากที่เธอเริ่มเหนื่อยกับการร้องเพลงอย่างไม่หยุดพัก เธอโน้มตัวลง ยื่นริมฝีปากสีชมพูมาประทับที่กลางหน้าผากของผมพร้อมทั้งกระซิบอย่างอ่อนโยนว่า

      “ถึงเวลากลับแล้วนะ”

      “อ่า...อืม” แม้จะเสียดายที่ต้องกลับตอนนี้แต่ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ระหว่างเดินกลับผมถามเธอว่า คนอื่นๆหายไปไหน เธอยิ้มพร้อมกับเอานิ้วชี้แตะปากก่อนที่จะพูดว่า

      “ความลับจ้า...อีกเดี๋ยวโซก็รู้เอง” หลังจากนั้นเธอก็กดส่งข้อความไปหาใครสักคนหนึ่งตอนที่มาถึงหน้าหอพัก

      เราสองคนขึ้นลิฟท์มาที่ชั้นห้าของหอพัก เดินไปจนเกือบสุด ห้อง 511เป็นห้องที่ผมอยู่ บรรยากาศดูแปลกๆไป อาจเป็นเพราะคนอื่นๆในชั้นห้าไปฉลองข้างนอกกันหมด

      ขณะผมกำลังจะใช้กุญแจไขสายยูที่คล้องไว้และประตูที่ถูกปิดล็อค เธอกลับบอกว่าอย่าพึ่ง

      “มีอะไรเหรอลินด์”

      “เดี๋ยวเราไขประตูให้เอง แต่ตอนนี้ต้อง...” เธอหยิบผ้าปิดตาสีดำทีมีรูปตาเบิกกว้างอยู่ที่ตำแหน่งตา“ปิดตาก่อน”

      ผมยอมทำตามที่เธอบอกอย่างว่าง่ายเพราะยังไงผมก็มาถึงห้องของตัวเองแล้ว พวกมันไม่มีวันตามมาถึงที่นี่ได้

      พอมองอะไรไม่เห็นผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมก้าวเดินทีละก้าวโดยให้ลินด์กอดแขนขวาของผมไว้ เธอปิดประตูหน้าห้องอย่างแผ่วเบาแล้ววางสายยูไว้บนที่วางใส่รองเท้า

      แต่ดูเหมือนจะมีใครบางคนเปิดประตูออกจากห้องไป คนที่พึ่งออกจากห้องไปนั่นมันใครกัน?

      เธอประคองผมไปยังเก้าอี้ที่อยู่กลางห้องทำให้ผมสงสัยว่า กลางห้องของผมมีเก้าอี้และโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่

      เสียงล็อคของสายยูดังขึ้นจากทางหน้าประตู แต่ไม่ทันที่ผมจะถาม ลินด์ก็ถอดผ้าปิดตาออก

      ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือ เงาลางๆที่กำลังหัวเราะคิกคักกัน ดูจากรูปร่างของเงาแล้ว จากทางซ้ายก็มีพี่อารอน ยุน อเล็กซ์ คนที่เกาะแกะอเล็กซ์ คาร์ลและลินด์ที่กำลังเดินไปที่สวิตซ์ไฟเพื่อเตรียมตัวจะกดเปิดไฟ

      “เอานะ....หนึ่ง สอง สาม!”

      ก่อนที่ตาผมจะปรับให้มองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัด หูผมก็ได้ยินเสียงที่พวกเขาพูดกันอย่างพร้อมเพรียงว่า

      “Merry-Christmas!!!”

      ห้องของผมถูกจัดแต่งใหม่โดยฝีมือพวกเขา พวกเขาไม่รู้เลยว่าผม...เกลียดมัน!!!

      อ๊ากกกกกกกกก!!!

       ผมอาละวาดอย่างบ้าคลั่งทันทีที่เห็นมันอยู่เต็มห้อง ทั้งที่ผนัง บนโต๊ะ โคมไฟ ผมปัดเค้กบนโต๊ะไปถูกพรมสีแดงบนพื้น

      ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมอยากจะออกไปจากห้องนี้เพราะมันเต็มไปด้วยสีแดงเพลิง มันกำลังแผดเผาห้องทั้งห้อง แต่ประตูกลับถูกคล้องไว้ด้วยสายยู

      เสียงไฟที่กำลังแผดเผาข้าวของต่างๆดังในหัวผมจนกลบเสียงกรีดร้องของอเล็กซ์และลินด์

      ปล่อยผมออกไป ปล่อยผมออกไป! ผมทุบประตูอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับสัมผัสได้ถึงไอร้อนในห้อง ภาพเหตุการณ์ในครั้งอดีตมันย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้มันเกิดขึ้นในห้องของผมเอง 

      ผมทิ้งตัวลงกองหน้าประตูพร้อมกับสำนึกเสียใจกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น

      “วันนั้นผม...ผมเป็นคนทำเองครับ”

      ......

      พาดหัวข่าววันที่ 27 ธันวาคม ไฟไหม้ในหอพักแห่งหนึ่งย่านมหาวิทยาลัยชื่อดัง

      เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในคืนวันที่25ธันวาคมซึ่งเป็นคืนวันคริสต์มาส มีผู้ตาย5คน บาดเจ็บสาหัสอีก2คน

      ตำรวจยังคงสงสัยในแง่อุบัติเหตุที่เกิดจากการจุดพลุไฟและในแง่จงใจก่อเหตุ มีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นการวางแผนฆาตกรรมเพราะสายยูหน้าห้อง511ถูกคล้อง แสดงว่าคนก่อเหตุวางเพลิงอาจมีผู้สมรู้ร่วมคิด

      แต่ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาตราบเท่าที่ยังไม่สามารถสอบพยานได้ เรื่องราวที่เกิดก็ยังคงเป็นปริศนา

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×