Courage's Cheif หัวหน้ากลุ่มกล้า(หน้าฉาก)3/4 - Courage's Cheif หัวหน้ากลุ่มกล้า(หน้าฉาก)3/4 นิยาย Courage's Cheif หัวหน้ากลุ่มกล้า(หน้าฉาก)3/4 : Dek-D.com - Writer

    Courage's Cheif หัวหน้ากลุ่มกล้า(หน้าฉาก)3/4

    ความเดิมตอนที่แล้ว ไอ้หมาบ้าได้ฟังสมมุติฐานอันน่าสะพรึงกลัวจากโรฮานเด็กหนุ่มที่เป็นลูกน้องของดัสซึ่งสังกัดกลุ่มลับ เมื่อไอ้หมาบ้าได้กลับมาที่ห้องของตัวเองก็พบว่า...

    ผู้เข้าชมรวม

    140

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    140

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 พ.ย. 53 / 10:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ข้ายืนอยู่ในห้องที่ออกมาเมื่อตอนสาย แต่ในตอนบ่าย ห้องที่เคยใช้ซุกหัวนอนกลับกลายเป็นที่เก็บซากเครื่องเรือน โซฟาถูกกรีดขาดเละเทะ โต๊ะถูกของแข็งฟาดหักกลาง ร่องรอยการต่อสู้กันในห้อง รอยกระสุนบนฝาผนัง คราบเลือดแดงเหมือนส่วนผสมระหว่างสตอเบอรี่ ซอสพิซซ่าและซอสมะเขือเทศซึ่งลากเป็นทางยาวไปยังหน้าประตู

      ...

      “ลูกพี่ครับ ไม่กินอะไรจริงๆเหรอ~”

      “เซ้าซี้อยู่ได้ ก็บอกว่าไม่เอาไง”

      “แต่ว่าเครปร้านนี้น่ะอร่อยมากเลยนะครับ อีกอย่างลูกพี่ใช้ความคิดมากขนาดที่คิ้วจะขมวดเป็นปมได้อยู่แล้ว ถ้าขาดน้ำตาลไปมันจะ...”

      “เซ้าซี้จริงๆ ถ้าอยากจะซื้อมาก็เอาอะไรที่มันแดงๆ ถ้าไม่แดงไม่ต้องซื้อมา”

      “ซื้อมาให้แล้วคร้าบ~ แดงถูกใจแน่นอน”

      “…อ่ำ...อืมมม รสชาติแปลกดี หอมๆเค็มๆหวานๆ”

      “เครปสตอเบอรี่ ราดซอสพิซซ่ากับซอสมะเขือเทศรสชาติก็ต้องแปลกอยู่แล้วครับ...”

      “มันเข้ากันได้ดีอย่างน่าทึ่ง”

      “ผมว่าลิ้นของลูกพี่ต่างหากน่าทึ่ง”

      ...


      ข้าพอจะเดาได้ว่า ตอนนี้ไอ้หมาน้อยคงนอนหนาวอยู่ที่ก้นแม่น้ำ หรือไม่ก็ถูกโบกทับด้วยปูนเป็นส่วนหนึ่งของตึก ...


        แม้จะเป็นการโหดร้ายต่อเจ้าหมาน้อยแต่ข้าก็ไม่มีเวลามาห่วงสภาพศพของมันอีกต่อไป เพราะถ้าข้าประมาทหรือสะเพร่าแค่เพียงนิดเดียว ข้าคงมีจุดจบไม่ต่างจากมัน


      ข้าค้นลิ้นชักของตัวเองเพื่อเอาหยิบมีดสปาตั้นออกมาพร้อมกับสลัดความอ่อนแอที่เกิดจากการสูญเสียสิ่งที่เคยมีอยู่ออกไป ทั้งที่ข้ารู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า มันไม่มีทางออกไปจากห้วงความคิดของข้า ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถตอบแทนบุญคุณท่านได้จุกอยู่ในลำคอ


      ทั้งที่ท่านสั่งเสียไว้อย่างดิบดีแล้วแต่ข้ากลับทำมันไม่สำเร็จเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดูแลไอ้หมาน้อย ดูแลลูกชายของท่าน แม้แต่ดูแลกลุ่มยังทำไม่ได้


      “มันอยู่นี่เว้ยเฮ้ย!” พวกมันกรูกันและเข้ามาล้อมข้าไว้


      ดี! ข้าจะได้ไว้อาลัยให้ไอ้หมาน้อยสะดวกๆ ข้าละเลงพื้นห้องด้วยมีดในมือ เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นลงพื้นเหมือนน้ำมะเขือเทศที่กระฉอกจากการเปิดอย่างไม่ระวัง ไม่ว่ามันจะมีกันทั้งหมดกี่คนแต่ถ้ามันเข้ามาทีละคน คนมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์


      ข้าเชือดเส้นเลือดใหญ่ที่คอทีละคนอย่างรวดเร็วจนครบทั้งห้าคน เลือดของพวกมันพุ่งกระเซ็นเลอะตัวข้า พวกที่เหลือเห็นตัวข้าเปื้อนไปด้วยเลือดของพวกพ้องจึงทิ้งมีดและหนีไปโดยไม่หันกลับมา  


       ข้ายืนอยู่ท่ามกลางของเหลวสีเข้มและคิดถึงวันเวลาเก่าๆ วันเวลาที่ข้าเคยมี...สิ่งที่ข้าเคยมี...ข้าได้สูญเสียมันไปจนหมดแล้ว
      แล้วข้าในตอนนี้จะทำอะไรได้บ้าง แล้วข้าในตอนนี้ควรจะได้รับอะไรบ้าง...


      คำตอบนั่นข้ารู้อยู่แล้วเพียงแค่ข้าไม่กล้าพอที่จะยอมรับมันก็เท่านั้น ข้าต้องการที่จะขึ้นไปยังจุดสูงสุดเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสูญเสียสิ่งใดอีกแต่ตอนนี้ข้ายังคงมองไม่เห็นหนทางที่จะไปให้ถึงจุดนั้น...


      เมื่อเลือดบนเสื้อของข้าเริ่มแห้งกรัง ข้าได้ซ่อนตัวอยู่ในเงาของตึก แล้วเคลื่อนไปอย่างช้าๆจากเงาตึกหนึ่งไปยังอีกเงาตึกหนึ่งจนไปถึง บาร์เสียงคำราม


      ข้ากระแทกประตูเข้าไปโดยไม่เรียกมาสเตอร์ที่เป็นชายสูงวัย ข้าย่ำบันไดและเข้าไปนอนในห้องที่ใกล้ที่สุด ข้าไม่คิดเลยว่าตัวเองจะอับจนหนทางขนาดที่ต้องหนีผู้คนไม่ต่างจากหนูโสโครกในท่อน้ำ


      แม้จะนอนพักแต่ข้าก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำพูดของไอ้หมาน้อยที่ว่า


       “มันก็ต้องมีกันบ้างแหละครับ ช่วงที่คนเราอยากจะหนี!”


      แล้วตอนนี้ข้าหนีอะไรอยู่...


      หนีจากความจริงที่ว่าตัวเองมันไม่มีพลังพอที่จะทำอะไรได้เลยสักอย่าง

      หนีจากความสิ้นหวังที่ก่อตัวขึ้นจากก้นบึ้งของความจำ

      หนีจากอดีตที่ตามหลอกหลอน


      “เจ้าน่ะ ไม่เบื่อหรือ ที่ต้องใช้กำลังแย่งชิงอาหารจากคนอื่นเหมือนหมาบ้าแบบนี้?”


      “ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!”


      “ฝากดูแลเจ้าหมาน้อยด้วยล่ะ...”


      “ผะ..ผมชื่อ เฟียร์ซ ฝากตัวด้วยครับ”  


      “เงิน เงินอยู่ไหน!แกเอาเงินไปซ่อนไว้ไหน!”


      “ถ้าเกิดข้าเป็นอะไรไป ข้าขอฝากดูแลลูกชายไม่เอาไหนของข้าด้วยล่ะ...”


      “พ่อของแกมันไม่มีค่าพอจะตายคาบ่อนหรอกว่ะ”


      “แกน่ะไปตายซะได้ก็ดี ตามข้าอยู่ได้ น่ารำคาญชิบ”


      “เห...ถ้าผมเป็นอะไรไปอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกันนะครับ”


      ข้าได้ยินเสียงของพวกเขาดังก้องอยู่ในหัวอยู่ตลอด


      ข้าเริ่มเดินสะเปะปะออกจากเงาที่ทอดยาวอย่างไร้ที่สิ้นสุด และในที่สุดข้าก็เห็นสิ่งที่ไอ้หมาน้อยเคยเล่าให้ฟังหลายต่อหลายรอบว่าเป็นตำนานของเมืองนี้

      “ลูกพี่อยู่เมืองนี้มานานเคยได้ยินตำนานของเมืองนี้บ้างรึเปล่าครับ”

      “ตำนานอะไรวะ?”

      “ตำนานที่ว่า ตอนเที่ยงคืนในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ถ้าเดินไปที่ เส้นกั้นแบ่ง ณ ใจกลางเมือง จะได้พบกับบุรุษลึกลับที่สามารถทำความปรารถนาให้เป็นจริงได้...”

      “ไร้สาระ ...ความปรารถนาของตัวเองเที่ยวไปขอจากคนอื่นได้ยังไงกัน”

      “แต่ถ้ามีจริงก็คงดีนะครับ”

      “มีแต่พวกโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่อเรื่องแบบนั้น”


      ใช่! มีแต่พวกโง่เท่านั้นแหละที่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ และตอนนี้ข้าเองก็สิ้นหวังพอที่จะรับความโง่เข้าไปเพิ่ม


      ข้าพาร่างกายที่เหมือนกับไม่ได้พักผ่อนออกมาจากบาร์ในตอน5ทุ่มกว่า ข้าเดินออกมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย ในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงอย่างนี้มีเพียงสถานที่เดียวที่ข้าจะไปนั่นคือ ...


      เขตกั้นแบ่งแห่งเมืองMegalopolis


      ท่ามกลางค่ำคืนที่เหน็บหนาวกว่าคืนอื่นๆ ข้ากอดเสื้อคลุมสีเขียวขี้ม้าที่ถูกทิ้งไว้ใต้บาร์ชงเหล้า มองนาฬิกาที่บอกเวลา5ทุ่ม59นาที ข้าหลับตาลงเมื่อนับถอยหลัง


      10...9...8...7...6...5...4....3....2...1


      ตุบ!เสียงพื้นรองเท้ากระแทกกับพื้น แม้จะห่างออกไปเกือบ5เมตร แต่ข้าก็ค่อนข้างมั่นใจว่าต้องใช่


      “แกสินะ ...ที่เป็นตำนานของเมืองนี้” ข้าเดินลงส้นทีละก้าว ทีละก้าว เข้าไปใกล้จนเห็นการแต่งกายแปลกประหลาดของมันได้ชัดเจน


      “…”ทั้งผ้าพันคอและโอเวอร์โค้ทที่มันสวมทำให้ข้ารู้สึกร้อน สีโทนดำเกือบทั้งชุดทำให้มันกลมกลืนไปกับบรรยากาศโดยรอบ เมื่อเดินไปถึงตัว ข้าใช้มือขวาคว้าปกคอเสื้อที่สูงปิดคาง ใช้มือซ้ายควักปืนออกจากแจ็คเก็ตแล้วจ่อไปที่หน้าผากของมัน


      “...ทำความปรารถนาของข้าให้เป็นจริงสิ ถ้าไม่อย่างนั้นแกจะได้เป็นวิญญาณแทนที่จะเป็นตำนานต่อไป...” ข้าพ่นลมหายใจรดใส่หน้ามัน แต่มันกลับตอบด้วยเสียงเรียบๆว่า


      “เจ้าคิดว่า จะได้สิ่งที่ต้องการ เพียงแค่ใช้อาวุธข่มขู่งั้นหรือ?...ถ้าเจ้าคิดเช่นนั้น ข้าจะทำพันธะสัญญากับเจ้า โดยที่ เจ้าจะได้ไปถึงจุดสูงสุดตามที่เจ้าปรารถนา เพียงแต่ต้องแลกกับการที่เจ้าต้องไม่ใช่อาวุธใดๆอีก ไม่อย่างนั้น...”


      “แกไม่มีสิทธิ์มาตั้งเงื่อนไขกับข้า” ก่อนที่ข้าจะเหนี่ยวไก มันก็ชิงตบข้อมือและคว้าS&W Model 686ของข้าไป
         

      “อาวุธพวกนี้มันเป็นสิ่งนอกกาย อาวุธในกายต่างหากที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด” มันเอาปากกระบอกจ่อขมับและเหนี่ยวไกด้วยมือตัวเองโดยไม่กระพริบตา


      กริ้ก...ลูกโม่ของข้าด้านงั้นหรือ?


      “ว่าแต่...เจ้าน่ะกล้าพอที่จะทำพันธะสัญญากับข้าหรือเปล่า?” มันพูดข้างหูข้าด้วยเสียงเย็นชา “หรือความกล้าของเจ้ามันอยู่กับอาวุธนอกกายหมดแล้ว?”


      ข้ารู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า การที่มันพูดแบบนี้ไม่ต่างจากตบหน้าข้าด้วยกบผิวลื่น ข้าจึงตกปากรับคำไปทันที


      “ได้! ข้าทำพันธะสัญญากับแกก็ได้ แต่ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่แกพูด แกคงรู้นะว่าจะโดนอะไรบ้าง!”


      “เก็บตัวในที่สงบเงียบหนึ่งสัปดาห์ ตามหาคนที่อยู่ในสภาพขาดที่พึ่งพิงเช่นเดียวกับเจ้า แล้วอีกหนึ่งเดือนเจ้าจะได้อยู่บนจุดสูงสุดตามที่เจ้าปรารถนา ช่วงเวลาเสพสุขของเจ้าจะนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า เจ้ารักษาสัญญาระหว่างเราได้นานเพียงใด…”


      ดวงตาสีฟ้าและดำจ้องมองข้าโดยไม่กระพริบราวกับจะกลืนข้าลงไปทั้งตัว


      “จงอย่าลืมพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับข้า”


      จู่ๆเงาได้บดบังการมองเห็นของข้า และเมื่อเงานั้นจางลง บุรุษที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นตำนานของเมืองได้หายไปราวเป็นส่วนหนึ่งของความมืดรอบข้าง

      ข้าหยิบปืนที่วางบนพื้นเย็นๆจ่อขมับตัวเองสักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจลั่นไกขึ้นฟ้า...

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×