คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : บทที่ 31 :: การต้อนรับของชาวนรก
เสียงเท้าย่ำน้ำดังจ๋อมๆ ราวกับว่าพวกเขากำลังเดินเล่นอยู่ก็ไม่ปาน... แต่มันคงจะเป็นการเดินเล่นที่อันตรายไปหน่อย เพราะนอกจากว่าตอนนี้จะเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าๆ พื้นทรายที่พวกเขาเดินอยู่คือทรายของผืนนรก...
ความจริงที่ไม่อยากจะเชื่อ ทั้งๆที่ตามกำหนดการ พวกเธอต้องถึงสิบวัน แต่เอาเข้าจริง วันนี้เพิ่งเป็นวันที่ห้าของการเดินทางเท่านั้น!
กัปตันเรือเลยสรุปเอาเองว่า ‘โดนพายุพัดมา’
คำตอบที่ซันหยิบยกทฤษฎีคำนวณมาค้านหัวชนฝา แต่สุดท้ายก็หาคำตอบอื่นแทนไม่ได้ เลยต้องยอมรับไปโดยปริยาย
“ทะเลที่นี่ไม่เหมือนที่บ้านเลย...” เครสเปรยเบาๆ
จริงอยู่ว่ามันก็ทะเลเหมือนกัน แต่หาดของโซรินท์แม้ในยามกลางคืนก็มีความอบอุ่น กลิ่นอายของทะเลที่นั่นชวนให้สบายใจ ไม่เย็นเยียบเสียดขั้วหัวใจเหมือนที่นี่
“ช่วยไม่ได้...ก็พวกเรามันเป็นคนแปลกหน้านี่นา...” กรแยกเขี้ยว
“หวังแต่ว่า ‘ชาวนรก’ คงจะไม่แห่ออกมาต้อนรับเราหรอกนะ?” ซันเอ่ยนิ่ง
“ก็ไม่แน่...” เรว่า “เมื่อกี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้านนักหรอก... เพียงแต่ว่า เขาจะสนใจแขกผู้มีเกียรติคณะนี้หรือเปลาก็เท่านั้น?” เด็กหนุ่มขยับรอยยิ้มเย็น ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลฉายประกายที่เธอตีความไม่ออก
“เดินทางตอนกลางคืนมันไม่ดี วันนี้เราคงต้องพักกันริมหาด” พี่จิ้งประกาศก้องเมื่อทุกคนเดินขึ้นฝั่ง
“แต่ว่าพี่จิ้ง... ริมหาดเนี่ย มันไม่โจ่งแจ้งไปหน่อยหรอ? อย่างน้อยเราก็ควรจะหาที่กำบัง” สิชาแย้ง
“ไม่ได้หรอก” พอลเอ่ยตอบแทน “ที่นี่... อย่างน้อยๆ ตอนนี้ทุกคนก็ลองดูสิ... มันไม่มี แม้แต่ต้นไม้สักต้น...”
“เดี๋ยวก่อน!” ทรายอุทาน “พื้นหาดนี่มันไม่ใช่ทรายนี่! พี่บังคับมันไม่ได้เลยอ่ะเครส”
“งั้นมันจะเป็นอะไรล่ะ? หรือว่าเป็นเศษหิน?” เครสกอบเอาเม็ดทรายละเอียดยิบที่ว่าขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ
“ไม่ใช่เศษหินหรอก” จิ้งเอ่ยเสียงเครียด ก่อนจะเอ่ยคำตอบ...
“หาดนี้น่ะ...ถูกถมด้วยเศษกระดูกของคนที่ตกเป็นเหยื่อสงครามเมื่อสามร้อยปีที่แล้วทั้งหมดเลยต่างหาก!”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
“คิดอะไรอยู่คะพี่เน?”
เงารุ้งเอ่ยเสียงหวานก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนพนักเก้าอี้ของชายหนุ่มผมดำที่ยังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตั้งแต่เมื่อครู่ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเบือนกลับมามองอาคันตุกะทั้งสองชั่วครู่ก่อนจะหันไปจับจ้องด้านนอกดังเคย
“สงสัยจะคิดถึงใครบางคนมั้ง? เนอะสตอร์ม่า” เงารุ้งหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนพิงกรอบประตูอยู่เงียบๆ ดวงตาสีเขียวเข้มมองเธอกร้าวด้วยความไม่พอใจ
“อย่าเรียกสตอร์มห้วนๆอย่างนั้นรุ้ง เขาแก่กว่าเธอนะ” อาคเนย์เอ่ยเรียบก่อนจะลุกหนีเมื่อเด็กสาวขยับเข้ามาเบียดจนจะกลายเป็นนั่งตักเขาอยู่แล้ว
“แหม... แก่กว่าแค่ปีเดียว แต่ก็ฝึกมาพร้อมกันนี่คะ? ยังไงก็ถือเป็นรุ่นเดียวกันแหละ... ว่าแต่พี่เนเถอะ เข้ามาทีหลังพวกรุ้งตั้งเกือบห้าปีแบบนี้แล้วยังให้รุ้งเรียกพี่อีก ไม่ยุติธรรมนะคะ” สาวเจ้ายิ้มละไมก่อนจะลุกจากพนักเก้าอี้ถือวิสาสะเดินเข้ามาควงแขนชายหนุ่มแทน ติดที่ว่าดวงตาสีน้ำเงินเข้มฉายแววเย็นเยียบจนเธอต้องชะงักแล้วแย้มรอยยิ้ม
“รุ้งล้อเล่นหรอกค่ะ! แหม... พี่เนน่ะออกจะเก่ง ฝึกแค่ปีเดียวก็เอาชนะรุ้งกับสตอร์มที่เป็นจตุจันทราได้แล้ว เก่งๆแบบนี้รุ้งต้องฝากตัวเป็นศิษย์บ้างแล้วล่ะค่ะ” สาวน้อยหัวเราะเสียงใส แต่กลับไม่ทำให้ผู้ฟังสองคนรู้สึกมีอารมณ์ร่วมได้เลยสักนิด
อาคเนย์เหลือบสายตาลงมองเจ้าหล่อนที่กำลังฮึมฮัมเพลงอย่างสบายใจ นิ้วเรียวเล็กกำลังพันเส้นผมสีน้ำตาลเป็นประกายอย่างที่เธอมักจะทำบ่อยๆ ดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้นเพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าหล่อนผ่านโลกมามากทั้งยังร้ายกาจ...ชนิดที่ยากจะต่อกร
นึกย้อนไปถึงคราวที่เงารุ้งแพ้ กร วิล แชง... เด็กคนนั้นเขาไม่เคยเห็นหน้า ทั้งๆที่เขาเองก็สนิทกับพวกเครสมาแต่เด็กแล้วก็ดูเหมือนว่ากรก็คบกับพวกนั้นมานานเหมือนกัน หรือคงจะเป็นช่วงที่เขาย้ายไปอยู่แคโรนากับลุงตอนอายุสิบสอง?
“คิดอะไรอีกแล้วคะพี่เน นี่รุ้งอยู่ตรงนี้ยังจะคิดไปถึงไหนอีก?” เจ้าหล่อนเอื้อมมือบางมาเบือนหน้าเขากลับมาสบสายตาด้วย
“พอสักทีเถอะน่าเงารุ้ง ทำตัวแบบนั้นไม่คิดว่ามันน่ารำคาญรึไง?” สตอร์ม่าเอ่ยเสียงเรียบ
“หุบปากไปเลยสตอร์ม คนตายด้านอย่างนายจะมารู้อะไร!” เงารุ้งหันมาพูดเสียงเย็น ทว่าครั้งนี้ดูเหมือนว่าเธอจะเล่นแรงไปหน่อย ปลายนิ้วที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นใบมีดของชายหนุ่มถึงได้จ่ออยู่บนลำคอระหง
“เธอต่างหากที่ต้องหุบปาก
” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียบขณะที่เงารุ้งไม่มีที่ท่าว่าจะหวาดกลัวสักนิด
“คิดว่ามีปัญญาทำได้ก็ลองดูสิ!”
Poison perfume!
ควันสีม่วงอ่อนฟุ้งกระจายออกมาจากฝ่ามือของหญิงสาว พุ่งตรงไปทางสตอร์ม่า แต่เด็กหนุ่มกลับไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน เขาเพียงแค่เหยียดมือออกไปข้างหน้าก่อนจะ- -
Metal Shield!
ลำแขนของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นโล่ป้องกันควันพิษเบื้องหน้า ดวงตาสีเขียวเข้มคู่นั้นทอประกายอย่างที่น้อยคนนักจะได้เห็น
“ควันพิษของเธอ ไม่มีผลกับโลหะ แล้วถ้าไม่ได้สูดเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่รึไง?”
“อย่ามาดูถูกกันนะ สตอร์ม่า!!!” เจ้าหล่อนตวาดเสียงกร้าว นัยน์ตาสีฟ้าใสมีประกายเรืองๆก่อนที่มือบางจะวาดออกไปในอากาศอีกครั้ง...
Atomic poison!!!
ควันสีม่วงไม่ต่างจากเดิมพุ่งกระจายออกมาพร้อมกลิ่นที่แปลกไป... มันคือควันพิษสลายอนุภาค!!!
กำแพงใสพลันก่อขึ้นกักพิษนั้นไว้กลางทาง เนื้อคริสตัลที่สัมผัสถูกควันพิษค่อยๆหลอมละลายไปอย่างช้าๆ ทุกคนในที่นั้นคงจะถูกหลอมลงไปแล้วหากว่ากำแพงนั้นไม่ได้หนากว่าสามนิ้ว...
“เธอเล่นแรงเกินไปแล้วเงารุ้ง” อาคเนย์เอ่ยเสียงเฉียบขาด ก่อนจะเบือนดวงตาสีน้ำเงินเข้มกลับไปมองสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนหอบหายใจอยู่กลางห้อง
“หึ...จตุจันทราก็เป็นยังงี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...ถ้าอยากจะขึ้นสู่ที่สูงก็ต้องเอาชนะคนที่อยู่สูงกว่าให้ได้ มันกลายเป็นสัจธรรมไปแล้วไม่ใช่หรอ?”
“แล้วเธอชอบอย่างนั้นรึไง?” คำสวนกลับเป็นของสตอร์ม่า
“กับการที่ต้องมาระแวง...แม้แต่เพื่อน...ต้องมาแข่งขันกันเองแบบนี้น่ะ...”
“ฉันไม่สนใจเรื่องมิตรภาพน้ำเน่าแบบนั้นหรอกน่า!!”
“จะสนหรือไม่สนก็แล้วแต่...” เสียงของหัวหน้ากลุ่มจตุจันทราดังขึ้นที่กรอบประตูก่อนที่ร่างสูงจะก้าวเข้ามาในห้องด้วยท่าทีนิ่งเฉย
“ตอนนี้เรามีปัญหาแล้ว คณะทูตหายสาบสูญไปจากรัศมีของเรา ครั้งล่าสุดที่ได้รับการติดต่อจากสายคือเมื่อ 24 ชั่วโมงที่แล้ว เขาแจ้งเข้ามาว่าเรือประสบพายุและอาจจะล่ม
”
ความเงียบงันทิ้งตัวลงชั่วขณะ
“หรือว่าเด็กฝึกหัดของจตุจันทรานั่นจะทรยศพวกเรา?” เงารุ้งเอ่ยเสียงเย็น
“ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะทำอย่างนั้น” ลูกหมูเอ่ยตอบ “เด็กคนนั้นเป็นอันดับหนึ่งในทีมฝึกหัดอยู่แล้ว ที่เราส่งเขาไปเพราะว่านี่เป็นงานสำคัญมาก ฉันคิดว่าน่าจะประสบอุบัติเหตุอะไรบางอย่างมากกว่า”
“...ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเราไม่สามารถรู้เรื่องราวทางนั้นได้เลย ที่ส่งคณะทูตไปก็เหมือนกับเสียเวลาเปล่า” สตอร์ม่าเปรยเรียบ
“ไม่หรอก...” จู่ๆรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม ดวงตาสีดำภายหลังกรอบแว่นนั้นทอประกายประหลาด
“เด็กคนนั้น... ต้องมีวิธีดำเนินการตาม แผนที่วางไว้ ได้แน่...ที่ฉันมาแจ้งก็แค่อยากจะบอกให้เตรียมตัวไว้ เราจะปฏิบัติตามแผนเดิม ไม่มีปรับเปลี่ยนใดๆทั้งสิ้น”
“หมายความว่าเราจะไม่รอการติดต่อจากทางนั้น?” อาคเนย์เบิกตากว้างในขณะที่เงารุ้งและสตอร์มก็ดูมีท่าทีตกใจไม่แพ้กัน ลูกหมูขยับรอยยิ้มขึ้นบนเรียวปากแทนคำตอบ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกไป...
...ขอดูฝีมือนายหน่อยซิ...อาซาคุระ อูไร...
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
“ฮัดเช้ยยยยยยยย!!!!!!!!”
“เป็นหวัดหรออู๋ จามเสียงดังลั่นเชียว” หลินหันมาถามเด็กชายที่ยืนทำเสียงฟึดฟัดอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นห่วง แต่เจ้าตัวกลับส่งยิ้มซื่อๆกลับไปให้พลางพยักหน้าน้อยๆดูน่ารัก
“ครับ เจออากาศหนาวๆแบบนี้ผมไม่ชอบเลย ถ้ามีพี่สาวน่ารักๆอย่างพี่หลินไว้กอดก็คงจะไม่หนาวอย่างนี้หรอกนะฮะ”
“แหม! อู๋นี่ละก็ปากหวานจริง” หลินตบหลังเด็กชายจนหน้าคะมำหัวทิ่มลงกับพื้นด้วยความเขินอาย
“อะไรวะ...มือหนักชิบ...”
“หา? เมื่อกี้อู๋ว่าอะไรนะ?”
“อ๋อ...ผมบอกว่าพี่หลินอายน่ารักดีน่ะครับ” เด็กชายเปลี่ยนสีหน้าแบบกะทันหันจนคนฟังไม่นึกเอะใจ ใบหน้าขาวๆถึงได้ยิ่งขึ้นสีเรื่อกว่าเดิมก่อนที่ฝ่ามืออรหันต์นั่นจะเงื้อขึ้นอีกรอบ- -
“เอ้อ...ฮ้าดดดดดดดดเช้ยยยยยยยยย!!! พี่เครส ผมขอยืมเสื้อหนาวหน่อยนะฮะ!” ร่างเล็กๆรีบพาตัวเองระเห็จออกจากวงโคจรมรณะแทบจะในทันที ด้วยการหาเรื่องเดินถอยลงมาคู่กับหญิงสาวอีกคนที่เดินตามมาข้างหลัง
“เอ้า นี่จ้ะ รีบๆเดินเข้า ถ้าไกลจากหาดมากกว่านี้ก็คงจะไม่หนาวแล้วล่ะ” เครสส่งเสื้อหนาวให้อย่างว่าง่ายก่อนจะยิ้มอย่างใจดีส่งให้อู๋ที่ส่งสายตาเป็นประกายวิ้งๆน่ารัก
“พี่เครสน่ารักจัง...ผมขอเรียกพี่เครสว่าพี่สาวนะฮะ”
“เอ่อ...เรียกพี่เครสเฉยๆก็ได้นี่อู๋...”
“ก็ผมอยากได้พี่เครสเป็นพี่สาวนี่ นะฮะ นะฮะ พี่สาว นะฮะ~” ตากลมๆใสๆส่งกระแสเว้าวอนเต็มที่จนคนถูกอ้อนตีสีหน้าลำบากใจ พอเหลือบไปมองหน้าน้องชายตัวจริงที่อยู่ข้างๆก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบๆยังไงชอบกล เพราะถึงหน้ามันจะนิ่งๆแต่รังสีอำมหิตกลับแผ่กระจายออกมาชนิดที่ว่าทั้งเรทั้งกรต้องถอยห่างออกมาโดยอัตโนมัติ
“เอ่อ...”
“ตกลงแล้วนะฮะ ต่อไปนี้พี่เครสจะเป็นพี่สาวของผม ผมดีใจจังเลย!” อู๋ยิ้มกว้างก่อนจะควงแขนเครสเดินอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง โดยเฉพาะซันที่ดูเหมือนจะยิ่งไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่ ดวงหน้าขาวๆนั่นถึงได้ยิ่งดูเหมือนคนใกล้ตกเหว ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากคนข้างๆ...เร...
เด็กหนุ่มแย้มรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยก่อนจะขยับมือไปแตะร่างของเครสอย่างที่ไม่มีใครทันสังเกตุ...
“พี่สาว ทำไมพี่สาวตัวเย็นจังเลยฮะ? พี่สาวไม่สบายรึเปล่า?” อู๋ที่รู้สึกได้ถึงไอความเย็นอย่างกะทันหัน พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่เจ้าตัวกลับแค่ส่ายหน้าก่อนจะส่งรอยยิ้มน้อยๆมาให้โดยที่ไม่พูดอะไร
“เฮ้ย ไอเครส แกดูไม่ดีจริงๆนะเนี่ย เป็นอะไรวะ? หนาวรึไง?” กรยื่นหน้าเข้ามาถาม ซึ่งถ้าหากเป็นการมองเผินๆแล้วใครก็ต้องนึกว่ามันเป็นห่วงเธอ แต่แค่เสี้ยวินาที ที่ดวงตาสีแสดฉายแววเจ้าเล่ห์ เธอก็รู้แล้วว่ามันรับมุกเธอกับเรได้อย่างแนบเนียนขนาดไหน
“ให้ตายสิจริงๆเลยนะ...” คำบ่นที่ส่งมาพร้อมๆกับเสื้อแจ๊กเก็ตตัวโตที่คลุมลงมาบนไหล่ “รู้ว่าตัวเองขี้หนาวแล้วยังให้เสื้อคนอื่นไปง่ายๆ จริงๆเลยน้า...พี่สาว”
สรรพนามที่ซันจงใจแทนในประโยคแต่ละคำเรียกให้ดวงตาสีดำขลับเหลือบขึ้นมองด้วยความไม่ชอบใจ ชั่ววินาทีนั้น...วินาทีเดียว ที่ดวงตาของเด็กชายสบกับดวงตาสีเหล็ก... ราวกับเลือดทั้งหมดในกายถูกแช่แข็ง ทั้งๆที่เขาสัมผัสมันได้มากขนาดนี้ แต่คนอื่นกลับไม่รู้สึกเลยสักนิด... จิตสังหาร!!!
“ไม่เอาแล้ว ผมไปหาพี่เจดีกว่า ถือว่าผมฝากไว้ก่อนนะครับพี่ซัน ยังไงผมก็จะเอาพี่เครสมาเป็นพี่สาวของผมคนเดียวให้ได้ ผมไม่ยอมแพ้พี่หรอก” ดวงตาคู่นั้นกลับมาฉายแววไร้เดียงสา เหมือนเด็กที่ไม่ยอมแพ้...ไม่มีใครสังเกตจริงๆ
ซันมองร่างที่วิ่งห่างออกไปด้วยความรู้สึกกลัว...เมื่อกี้เขาสัมผัสไม่ผิดแน่... แรงกดดันจากจิตสังหารที่ท่วมท้นอย่างกับจะฆ่าเขาให้ตาย...เด็กนั่นทำยังไง...ทำยังไงถึงได้พุ่งจิตสังหารลงมาที่เขาคนเดียวได้? ทั้งๆที่แคปิดกั้นจิตสังหารธรรมดาก็ยากจะตายอยู่แล้ว แต่นี่กลับเลือกปิดกั้นได้เฉพาะคน?!
“ซัน!” เสียงเรียกแผ่วๆจากที่ไหนซักที่ฉุดความคิดของเด้กหนุ่มกลับสู่ความเป็นจริง ก่อนจะพบว่ารอบตัวของเขาเดต็มไปด้วยสายหมอก
“ทำไมหมอกมันหนาขนาดนี้?” ทั้งๆที่เขาก็อยู่ห่างจากคนอื่นไม่กี่ก้าว แต่ทั้งเครส ทั้งเร ทั้งกร เขากลับเห็นเป็นแค่เงารางๆเท่านั้น
“นี่มันผิดปกติแล้ว ทุกคนอยู่ใกล้กันไว้นะ
” เรเอ่ยเสียงเครียด ในขณะที่กรกลับแค่นหัวเราะเบาๆ
“มาแล้วสินะ การต้อนรับของชาวนรกที่เรารอคอยกันอยู่น่ะ!”
ความคิดเห็น