คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #68 : This is Love -3- [Omegaverse]
This is Love
Part 3
By:
Crazy_Dragon
[ท่านรอง ณ กากกามใจบาปเกิร์ลอินเตอร์เนชั่นแนลจำกัดมหาชน]
ไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะต้องมาตกอยู่สถานการณ์แบบนี้..
ผ้าม่านถูกปิดลงเหมือนเดิมโดยที่เจ้าของบ้านรู้สึกได้ถึงความกลัวที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจ
โทรศัพท์สั่นอีกครั้งจนต้องหยิบขึ้นมาดู
‘อนยู ทำไมไม่มารับผมล่ะ’จินกิรู้ดีว่ามันแฝงมาด้วยความไม่พอใจ
ขาเรียวก้าวพาร่างกายไปสำรวจประตูหน้าต่างในบ้านทุกบานเพื่อความปลอดภัย
เขาหวังว่าเมื่อไม่มีการตอบสนองอีกฝ่ายจะยอมตัดใจและกลับไปเอง
เพราะความจริงแล้วจินกิไม่ได้บอกที่บ้านเรื่องนี้เลย
เรื่องราวของอีจุนกิที่เคยมีตัวตนมันจบลงไปแล้ว
คนที่รู้ก็มีแค่ครอบครัวและคนในกลุ่มที่สนิทกันมากเท่านั้น
แต่ว่าคนเหล่านั้นเองไม่ตายไปแล้วก็อายุเยอะเกินกว่าจะดูแลเขาได้อีก
แม้ว่าระบบป้องกันที่บ้านจะออกแบบมาดี
ทั้งสัญญาณกันขโมยจะดังเมื่อประตูบ้านถูกงัดหรือแม้กระทั่งการกดรหัสผิดครบสามครั้ง
แต่จินกิก็ยังกลัวว่าอีกฝ่ายจะหาหนทางเข้ามาในบ้านได้หรือต่อให้สัญญาณดังแต่ใช่ว่าตำรวจจะมาถึงทันที
ข้างนอกยังคงเงียบสงบจนจินกิต้องเพ่งสมาธิฟังเสียงรอบตัว
ข้อความก็ไม่มีเข้ามาใหม่แต่ใช่ว่าจะวางใจได้
ค่อยๆขยับเข้าไปดูตรงจอมอนิเตอร์แต่มันเป็นมุมแคบที่มองเห็นแค่บริเวณหน้าประตูว่าใครมาหาจึงไม่พบใคร
ร่างเพรียวสูดลมหายใจลึกค่อยๆจับผ้าม่านเพื่อเปิดดูอีกครั้งว่าคนที่อยู่ตรงหน้าบ้านหายไปรึยัง
ทว่าเมื่อช่วงที่แง้มออกกลับพบคนๆนั้นยืนอยู่เกือบชิดหน้าต่างแค่ติดที่แปลงต้นไม้กั้นไว้
ความตกใจทำให้มือกระชากม่านปิดทันที ทั้งร่างสั่นเทาแม้จะเห็นแค่แปปเดียวแต่แววตาของอีกฝ่ายกลับน่ากลัวจนติดตา
ดวงตาเรียวเบิกกว้างและความกลัวทำให้ลมหายใจไม่เป็นจังหวะ
ขาเรียวก้าวถอยให้ออกห่างแม้ว่ากระจกจะหนาและมีเหล็กดัดยากจะเข้ามา
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครเพราะมาส์กที่ปิดหน้าไว้เกือบครึ่ง ไม่ได้อยากจะอ่านข้อความที่ส่งมาเรื่อยๆแต่เพราะต้องการกดโทรหาใครสักคนจึงต้องเห็นมัน
‘เปิดประตูสิครับ’
‘ผมมารอคุณเหมือนกับทุกทีนะ
ทำไมคราวนี้ไม่สนใจผมแล้ว’
‘คุณสนใจแต่อัลฟ่าหรอ’
แม้จะเกิดในสังคมที่น่ากลัวแต่ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาให้เผชิญกับอันตราย
การใช้ชีวิตไม่ต่างกับคนทั่วไปจึงแทบไม่มีทักษะป้องกันตัวอะไรสักนิด สิ่งที่จินกิมีคือไหวพริบและความฉลาดที่คอยช่วยเหลือน้องชาย
แต่เรื่องแบบนี้เขารู้ดีว่ามันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าไม่มีกำลังพอ
‘ผมจะเข้าไปหาคุณเอง รอผมในนั้นนะ’
โอเมก้าหนุ่มรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายเข้ามาได้ตนเองก็ทำอะไรไม่ได้
รายชื่อผู้ติดต่อที่แสดงให้เห็นทำให้จินกิไม่ลังเลที่จะกดโทรออกทันที
ไม่ใช่ตำรวจเพราะเขารู้ดีว่าคนที่สามารถพึ่งพาได้
คนที่พร้อมมาหาทันทีและใช้เวลาน้อยกว่าตำรวจ
คือคนที่ต่อให้หนียังไงก็หนีความรู้สึกของตัวเองไม่พ้น
“จินกิ? คุณโทรมา”
“มาหาผมหน่อย”ไม่ทันที่คนปลายสายจะพูดอะไรด้วยความดีใจที่จินกิยอมโทรหาก่อน
เสียงนุ่มที่สั่นเครือกับประโยคขอร้องทำให้มินโฮที่กำลังเช็ดผมต้องชะงักมือลง รีบไปคว้ากุญแจรถและก้าวออกจากห้องนอนทันที
“เกิดอะไรขึ้น คุณอยู่ที่ไหน”ดวงตาเรียวหลุบลงก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก
แม้จะกลัวขนาดไหนแต่เขาไม่มีเวลาที่จะมาร้องไห้
เพราะหากปล่อยให้ความกลัวคุมสติไว้ได้เมื่อไหร่ก็จะไม่เหลืออะไรไว้ช่วยเหลือตนเองได้อีก
“ผมอยู่บ้าน มีคนพยายามจะเข้ามา”โทรศัพท์ยังคงสั่นเพราะข้อความที่เข้ามาเรื่อยๆ
ลูกบิดประตูดังแกรกๆจากการพยายามหมุนเปิด
ขาเรียวก้าวถอยไปเรื่อยๆจนตอนนี้มาหยุดอยู่ตรงหน้าบันไดเพื่อจะขึ้นไปหลบอยู่ชั้นสอง
“ใคร มันเป็นใคร?”
“ซาแซงแฟน
เหมือนที่คุณบอกเมื่อเดือนที่แล้ว”
“แม่งเอ๊ย คุณไม่ได้ฮีทใช่มั้ย”
“ไม่
ผมไม่ได้ฮีทแต่ก็ใกล้แล้ว”อัลฟ่าหนุ่มขบกรามแน่นด้วยความโมโหที่ขึ้นสูง
มันเลือกใช้จังหวะช่วงนี้จริงๆแต่เพราะไม่รู้วันที่แน่นอน
แต่ถึงต่อให้ยังไม่ฮีทร่างกายที่อ่อนเพลียกว่าปกติก็ยากที่จะสู้ด้วยไหว ตัวจินกิก็คงรู้ข้อนี้ดีถึงได้ร้องขอความช่วยเหลือ
ใครบ้างจะไม่กลัวที่มีคนตั้งใจจะมาข่มขืนตัวเองถึงในบ้าน
แม้จะอยากสู้แต่สัญชาตญาณมักบอกให้หนีเพราะรู้ดีว่าไม่มีวันเอาชนะได้
นอกเสียจากจะมีทักษะป้องกันตัวแต่นั่นเป็นสิ่งที่จินกิไม่มี
และโอเมก้าทุกคนรับรู้ได้ด้วยตนเองว่าต่อให้เวลาผ่านมานานขนาดไหน
สถานะที่เป็นเหยื่อก็ยังคงเหมือนเดิม
เสียงทุบประตูดังปึ้งทำให้อีจินกิสะดุ้งและหลุดอุทานออกไปจนมินโฮเองยังได้ยิน
ปลายสายถามด้วยความร้อนรนแต่เสียงนุ่มที่พยายามควบคุมไม่ให้สั่นยังตอบกลับมาได้ชัดเจน
ว่าไม่มีอะไรนอกจากการทุบประตูเลยตกใจ
“คุณเห็นมันมีอะไรมาบ้างมั้ย
เผื่อมันอาจจะงัดบ้านคุณเข้าไป”
“ผมมองไม่ชัด แต่มีกระเป๋ามาด้วย”
“ผมกำลังออกไปแล้ว แค่สามสิบนาที...ไม่สิ
ยี่สิบนาที ผมจะไปถึง”แม้เสียงของชเวมินโฮจะเต็มไปด้วยโทสะแต่มันสื่อถึงความเป็นห่วง
แม้ว่าความกลัวจะยังอยู่ไม่ได้ลดน้อยลงแต่จินกิก็เชื่อว่ามินโฮจะทำตามที่พูดออกมาได้
เสียงทุบประตูเงียบลงแล้วกลายเป็นเสียงคนเดินไปรอบๆบ้าน
จินกิรีบพาตัวเองขึ้นไปยังห้องนอนและล็อคประตูไว้อีกชั้น
หากคนที่มามีความรู้หรือศึกษาเรื่องระบบไฟฟ้ามาก็คงทำให้หยุดการดังของสัญญาณกันขโมยและทำให้ตัวใส่รหัสหยุดการทำงาน
เหลือเพียงกลอนประตูที่ต้องใช้กุญแจไขเข้ามา
ร่างสูงที่กำลังขับรถยังคงฟังเสียงว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
แต่นอกจากเสียงลมหายใจที่เข้าออกหนักๆกับเสียงขยับข้าวของก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
ดูเหมือนว่าโอเมก้าของเขากำลังใช้ความพยายามอย่างมากในการควบคุมไม่ให้ตื่นตระหนก
เขายอมรับมาเสมอว่าจินกิเป็นคนที่เก่งมากคนหนึ่งที่เขารู้จัก
“คุณอยู่ในห้องใช่มั้ย”
“ใช่”
“ผมอยู่กับคุณเสมอนะ”
“ผมรู้”เสียงที่เหมือนจะร้องไห้ยิ่งทำให้กังวลและโมโหคนที่กล้ามาทำกับจินกิแบบนี้
เขาพยายามที่จะชวนคุยเพื่อให้จินกิรู้สึกดีมากขึ้นแต่เพราะต้องใช้สมาธิในการขับรถเร็วกว่าปกติด้วยจึงทำได้ไม่ดีนัก
“คุณได้ยินเสียงอะไรมั้ย”
“ไม่ได้ยินแล้ว
แต่มันไม่น่าจะหยุดแค่นี้
คุณอยู่ไหนหรอ”เนื้อเสียงตอนท้ายอ้อนวอนและขอร้องจนมินโฮอยากให้ตัวเองไปอยู่ข้างจินกิตอนนี้เดี๋ยวนี้
แถวบ้านของจินกิมันเป็นส่วนตัวแต่นั่นหมายความว่าคนเดินผ่านน้อยและรถยนต์ก็ขับเร็วเกินกว่าจะสนใจบ้านคนอื่น
“มาได้เกือบครึ่งทางแล้ว คุณได้โทรแจ้งตำรวจรึยัง”
“ผมรู้ว่าคุณต้องมาถึงก่อนตำรวจเลยโทรหาคุณ
ผม..ไม่อยากวางสาย”แค่พูดกับมินโฮก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะร้องไห้
ความกลัวบีบรัดในใจทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะพักสายเพื่อโทรหาตำรวจเพราะกลัวว่าคนข้างนอกเข้ามาในช่วงนั้น
อย่างน้อยจินกิก็ยังอยากรู้สึกว่ามินโฮอยู่กับตัวเอง
สถานีตำรวจอยู่ไกลกว่าบ้านของมินโฮซึ่งจินกิเองก็รู้ดี
ไม่ได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่ทำงานแย่หรือล่าช้า
แต่เวลานี้สิ่งที่จินกิต้องการที่สุดคือความช่วยเหลือที่รวดเร็วรวมไปถึงคนที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
“คุณโทรแจ้งตำรวจเถอะ แค่พักสายผมไปก่อนก็ได้
ผมยังอยู่กับคุณนะ”ถึงจะไม่อยากทำแต่มันก็คือสิ่งที่ต้องทำทำให้จินกิยอมพักสายได้
ตั้งแต่เกิดเรื่องก็เวลาผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่จินกิกลับรู้สึกว่าแต่ละนาทีมันผ่านไปช้าเหลือเกิน
ท่ามกลางความเงียบชเวมินโฮยังคงเร่งความเร็วรถเพิ่มอีกเพราะเขาไม่ต้องเพ่งสมาธิไปที่โทรศัพท์แล้ว
นับว่าทุกอย่างยังเป็นใจเพราะการจราจรไม่ได้ติดขัดมากนัก
บ้านของเขาไม่ได้ใกล้บ้านจินกิมากเท่าไหร่แต่มันก็ไม่ยากที่จะไปถึงได้รวดเร็ว
“มินโฮ”
“เป็นยังไงบ้าง
มันยังไม่เข้ามาใช่มั้ย”
“ยังหรอก”
“ตำรวจว่ายังไงบ้างครับ”มินโฮได้ยินเสียงขยับตัวเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรบางอย่าง
ความกลัวคงทำให้จินกิอยู่นิ่งๆได้ไม่นานมากนัก
ยิ่งคิดว่าจินกิต้องอดทนอยู่เพียงลำพังเพราะมีไอ้โรคจิตที่จะเข้ามาเพื่อทำตามความต้องการเรื่องลูกอะไรนั้น
ก็ยิ่งโมโหอยากจะฆ่ามันให้ตายไปเลยด้วยซ้ำ
“เขาบอกแค่จะรีบมาน่ะ มินโฮ”เสียงนุ่มหูเงียบลงไปจนเจ้าของชื่อขมวดคิ้วด้วยความกังวล
แต่เสียงลมหายใจยังอยู่ “ผมกลัว ผมพยายามที่จะเข้มแข็งแล้ว”
อีจินกิคงกำลังร้องไห้..แย่ที่สุด
“คุณเข้มแข็งมากจินกิ
อีกแปปเดียวผมก็ไปถึง มีสติไว้ก่อนนะ”
“อื้อ”
อัลฟ่าหนุ่มใช้เวลาอีกไม่นานตามที่บอกจนมาถึงทางที่จะเลี้ยวเข้าไปยังถนนที่ตรงไปบ้านจินกิได้ทุกอย่างดูเงียบสงบดีมีรถขับรวดเร็วผ่านไปมาบ้างแต่ไม่มีคนเดิน
ไม่มีใครรู้เลยสักนิดว่ามีคนต้องการความช่วยเหลืออยู่ไม่ไกล
ระหว่างทางที่มาหลายบ้านยังคงปิดไฟเงียบ
และจินกิเองก็ไม่ได้คุยอะไรกับเขาอีกเพราะรู้ว่าต้องใช้สมาธิเยอะในการขับรถเร็วกว่าปกติ
มีแค่มินโฮที่คอยถามว่าทุกอย่างยังเรียบร้อยดีหรือไม่เท่านั้น
“ผมจะถึงบ้านคุณแล้ว รอก่อนนะ
ผมจะจัดการทุกอย่างให้”
“มันจะอันตรายรึเปล่า
ผมไม่อยากให้คุณบาดเจ็บเพราะผมนะ”เนื้อเสียงนุ่มแม้จะมั่นคงมากขึ้นเพราะรู้ว่าตนเองปลอดภัย
แต่ความเป็นห่วงก็ถ่ายทอดมาให้จนคนที่ขับรถมาคลายโทสะไปได้ชั่วขณะหนึ่ง
“คุณรู้จักผมดี
และผมบอกแล้วว่าผมจะปกป้องคุณเอง อ้อ ผมเห็นมันแล้ว”โทรศัพท์ถูกตัดสายทำให้จินกิรีบรุดตัวไปตรงหน้าต่างเพื่อมองออกไปข้างนอก
รถยนต์คันคุ้นตาเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วและหยุดสนิท
ชเวมินโฮสามารถทำได้ตามที่พูดออกมาจริงๆ
ความอบอุ่นแผ่ซ่านค่อยๆขับไล่ความกลัวให้หมดไป
ชายหนุ่มร่างสูงจอดรถตรงบริเวณหน้าบ้านของจินกิทำให้คนที่กำลังแกะชิ้นส่วนตัวกดรหัสได้เกือบสำเร็จต้องหันมองด้วยความตกใจ
ประตูรถปิดดังปึ้งบ่งบอกถึงสภาวะอารมณ์ในตัวที่ไม่สามารถทำให้ดีกว่านี้ได้
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจำได้ว่าคนที่ลงมาจากรถเป็นใคร มันจึงตัดสินใจวิ่งหนีทันที
ดวงตาคมโตวาวโรจน์ด้วยความโมโหถึงขีดสุดเมื่อพบว่ามันทำอะไรลงไป
วิ่งไล่ตามคนที่บังอาจมาทำให้โอเมก้าของตนหวาดกลัวจนร้องไห้
กล้าที่จะมาแตะต้องอีจินกิที่เขาคอยดูแลทะนุถนอม
ด้วยความที่ฝึกฝนร่างกายมาตลอดใช้เวลาไม่นานก็กระชากเสื้อฮู้ดทางด้านหลังจนคนที่วิ่งหนีหงายหลังไม่เป็นท่า
“แก!”ฝ่ายตรงข้ามเองก็ไม่มีวันยอมเพราะหากถูกจับได้ก็ต้องโดนดำเนินคดี
แต่เพราะมินโฮได้เปรียบมาตั้งแต่ต้นจึงเป็นฝ่ายกดช่วงอกอีกฝ่ายไว้และใช้มืออีกข้างต่อยลงไปด้วยแรงที่มี
เพียงแค่สองสามครั้งอีกฝ่ายก็สลบเพราะแรงที่ใช้ตอนโมโหไม่สามารถยั้งมือไว้ได้
ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะเตะซ้ำอีกทีตรงช่วงกลางลำตัวด้วยความที่ยังไม่หายโมโห
มือใหญ่ดึงหลังคอเสื้ออีกฝ่ายอีกครั้งและลากมาตามพื้นบริเวณหน้าบ้านของจินกิ
น่าจะใช้เวลาอีกสักพักตำรวจถึงจะมาเพื่อเอาตัวมันไปดำเนินคดี
จินกิที่วิ่งลงมาข้างล่างตั้งแต่มินโฮจอดรถเห็นเหตุการณ์เกือบทั้งหมดผ่านบานหน้าต่าง
มินโฮใช้เวลาแค่นิดเดียวเท่านั้นในการคว้าตัวคนที่ยังวิ่งไปได้ไม่ไกลและจัดการจนสลบ
ขาเรียวรีบก้าวไปเปิดประตูบ้านและก้าวไปหาชายร่างสูงตรงหน้า
“จินกิ”ร่างเพรียวตรงหน้าเหมือนจะยิ้มออกมาก็ไม่เชิง
ดูเหมือนว่าความเข้มแข็งของจินกิไม่ต้องฝืนสร้างมันอีก
แขนยาวเอื้อมไปดึงร่างกายนุ่มนิ่มมากอดไว้จนใบหน้าหวานซุกลงตรงอก ปกติเขาคงไม่กล้าจะจับตัวจินกิมากนักเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่จินกิต้องการจะเป็นอ้อมกอดของตน
แขนของจินกิกอดร่างสูงเอาไว้แน่นพร้อมกับหยาดน้ำที่ซึมลงผ่านเนื้อผ้าจนมินโฮรู้สึกได้
มือใหญ่ขยับขึ้นลูบแผ่นหลังบางสลับกับช่วงศีรษะ ริมฝีปากร้อนกดจูบข้างขมับกระซิบคำปลอบโยนให้โอเมก้าของตนหายหวาดกลัว
“ไม่เป็นไร ผมอยู่นี่แล้วไง
ไม่เป็นไรแล้ว”
โชคดีเหลือเกินที่เขามาทันก่อนที่ไอ้โรคจิตนั่นจะแกะตัวเครื่องได้เสร็จ
คงเพราะมันไม่ถนัดจึงต้องค่อยๆทำตามที่ศึกษามาเอง
“ขอบคุณ ฮึก ถ้าไม่ได้คุณต้องแย่แน่ๆ”ก่อนหน้านี้ยังอดทนไม่ร้องไห้ได้อยู่แท้ๆ
แต่ตอนนี้กลับสะอื้นจนตัวโยนทั้งดีใจและโล่งใจ
ความกลัวที่สะสมถ่ายทอดไปให้คนที่มาช่วยได้รับรู้ มินโฮเองก็ไม่ว่าอะไรที่จินกิจะร้องไห้ต่ออีกสักพัก
จนกระทั่งคนในอ้อมกอดเริ่มเงียบเสียงจึงผละออกมองดวงตาเล็กที่แดงช้ำ
ปลายนิ้วยาวค่อยๆเกลี่ยหยาดน้ำออกให้พลางจ้องไปยังนัยน์ตาเรียวเล็กที่มีสีแตกต่างกัน
มันยังดูสวยงามและน่าสนใจอยู่เสมอ
ยิ่งยามที่มีม่านน้ำเอ่อคลอกลับยิ่งทำให้แวววาวดึงดูดสายตา “ตาช้ำหมดแล้ว”
จินกิไม่ตอบอะไรนอกจากกอดมินโฮเอาไว้อีกครั้ง
ไม่ใช่แค่ร่างกายที่ต้องการไออุ่นจากร่างกายแข็งแรงตรงหน้า
หัวใจเองก็ต้องการความอ่อนโยนและที่พึ่งพิงของคนที่ชื่อชเวมินโฮ ใบหน้าหวานแหงนขึ้นมองจนเห็นว่าอีกฝ่ายผมเปียก
และชุดที่ใส่มามันก็เป็นชุดนอน
“คุณเพิ่งอาบน้ำหรอ? รอตรงนี้นะ
อากาศเย็นมากแล้ว”พอจินกิผละออกห่างหายไปในบ้านมินโฮถึงทันสังเกตว่าข้างนอกอากาศเย็นมากจริงๆ
เขาเห็นจินกิชะงักตรงที่กดรหัสเล็กน้อยและรีบเดินเข้าไปในบ้าน
มินโฮมองไปยังซาแซงที่ยังสลบอยู่และเดินไปรื้อกระเป๋าเป้
มันน่าจะมีเชือกอะไรมาบ้าง
เป็นตามที่คิดเพราะมันเตรียมพร้อมมาอย่างดี
อุปกรณ์งัดแงะรวมไปถึงเชือกที่กะว่าจะใช้ตอนจินกิขัดขืน ของอย่างอื่นมินโฮยังไม่ได้หยิบมาดูเพราะรอให้ตำรวจจัดการเองจะดีกว่า
ตอนนี้ก็ทำได้แค่ป้องกันไม่ให้มันหนีไปไหนได้เท่านั้น
เชือกจึงถูกมัดข้อมือไพล่หลังไว้เพื่อที่จะลุกได้ไม่ถนัด
“ผมขอโทษนะที่รบกวน แต่..”
“คุณนึกถึงผมคนแรกไม่ใช่หรอ
ขอบคุณนะครับที่เป็นผมน่ะ”พอเรื่องร้ายๆเริ่มผ่านไปทำให้จินกินึกขึ้นได้ว่าตนเองพูดอะไรออกไปบ้างและรู้สึกอะไรถึงเลือกมินโฮให้มาหาตนเอง
นอกจากจมูกแดงเพราะร้องไห้แล้วตอนนี้แก้มใสก็เริ่มขึ้นสีแดงจางๆอีกด้วย
“คุณบอกผมเองว่าให้โทรหาคุณ”เสื้อกันหนาวกับผ้าขนหนูถูกยัดใส่มือก่อนที่จินกิจะเลี่ยงด้วยการมองไปยังคนที่นอนอยู่บนพื้น
คิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากันก่อนที่จินกิจะหันมาสะกิดเขาที่กำลังเอาผ้าขนหนูที่มีกลิ่นหอมๆมาเช็ดผม
“ดึงมาส์กออกให้หน่อย”
“คุณคุ้นหน้ามันหรอ”
“อื้อ
ถึงจะปิดหน้าแต่คิดว่าคงเป็นแฟนคลับที่เคยเห็นบ่อยๆน่ะ”มินโฮเองก็ไม่ขัดข้องอะไรเพราะเขาเองก็อยากเห็นหน้าคนที่กล้าทำเรื่องเลวๆแบบนี้ได้เหมือนกัน
ร่างสูงก้มลงดึงมาส์กปิดปากตามคำขอ ใบหน้าของมันบวมช้ำและมีเลือดไหลออกตรงมุมปาก
“....เขาเป็นแฟนคลับกลุ่มแรกๆ”มินโฮหันมองคนข้างตัวที่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความผิดหวังและเสียใจได้ชัดเจน
“คุณจำได้?”
“จำได้สิ แฟนคลับสำคัญกับผมมากนะ
เขาตามผมทุกงานเลยและผมเองก็มองบ่อยเพราะคุ้นหน้าด้วย ผมขอโทรหาพี่จินก่อนนะ”ความรักที่มีให้กันมันเกินขอบเขตจนเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
เรื่องที่เกิดขึ้นร้ายแรงทำให้จินกิบอกเขาว่าอีกเดี๋ยวชเวจินจะมาที่นี่
เพราะยังไงก็ต้องแจ้งความดำเนินคดีและเรื่องพวกนี้ต้นสังกัดจะแถลงออกมาเอง
การปิดข่าวไปไม่เป็นผลดีควรเปิดให้คนรับรู้บ้างว่าซาแซงอันตรายขนาดไหน
“คุณจะไม่บอกน้องชายหรอครับ”
“เดี๋ยวผมรอจัดการให้เสร็จแล้วส่งข้อความไปหาดีกว่า
แทมินน่ะห่วงผมจะตาย ถ้ารู้อะไรครึ่งๆกลางๆล่ะมีปัญหาแน่”มินโฮพยักหน้าด้วยความเข้าใจที่จินกิบอก
เพราะถ้าเขามีพี่ชายเป็นโอเมก้าแบบนี้ก็คงจะกังวลมากเหมือนกัน
ใช้เวลาไม่นานตำรวจก็มาถึงโดยที่ตัวซาแซงเองก็ยังไม่ฟื้นจนจินกิกลัวว่ามินโฮจะโดนข้อหาทำร้ายร่างกายรึเปล่า
จินกิเล่ารายละเอียดและส่งข้อความมือถือรวมถึงเบอร์โทรศัพท์ให้ตำรวจดู
เนื้อหาของข้อความชัดเจนว่าเป็นการคุกคามทางเพศ ส่วนตัวกดรหัสค่อนข้างเสียหายต้องตามช่างมาซ่อม
ตอนนี้มีแค่ระบบล็อคแบบธรรมดาเท่านั้น
ตำรวจรื้อค้นของในกระเป๋าซึ่งไม่มีอาวุธอะไรจนกระทั่งเจอกล่องใส่ยาขนาดเล็ก
เมื่อแกะออกดูพบเป็นยาเม็ดสีส้มใส
จินกิที่ยืนอยู่ข้างมินโฮชะเง้อมองด้วยเช่นกันว่ามันคืออะไร
เพราะตำรวจที่หยิบมันขึ้นมามีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
และเรียกตำรวจอีกคนสองคนเดินมาดูด้วย
สุดท้ายหนึ่งในเจ้าหน้าที่ได้ถือกล่องใส่ยาแล้วเดินมาใกล้
มินโฮคว้ามือเล็กมาจับเอาไว้แน่นเพราะเขาเชื่อว่าจินกิคงจะพอเดาได้แล้วถึงมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่
“คุณอนยู คุณโชคดีมากจริงๆที่มันยังเข้าไปไม่ได้
นี่มันยาฮีท”
“แบบนี้เท่ากับว่าเราจะดำเนินคดีกับมันได้หนักขึ้นใช่มั้ยครับ”แม้จะตกใจแต่จินกิก็เลือกที่จะถามออกไป
เจตนาของคนบุกรุกมันชัดเจนมาตั้งแต่แรกก็จริงแต่การเตรียมยามาอีกมันยิ่งตอกย้ำว่าไม่ว่าอย่างไร
อีกฝ่ายก็ยังต้องการให้เขามีลูกโดยไม่ต้องการ และทำให้เขาขัดขืนไม่ได้อีกด้วย
“ใช่ครับ
ตอนนี้ต้องไปดูอีกทีว่าจะตั้งข้อหาอะไรได้บ้าง
แต่ที่แน่ๆเมื่อมียาผิดกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง โทษจะต้องหนักขึ้นแน่นอน
เดี๋ยวทางเราต้องเชิญคุณทั้งสองคนไปที่สถานีตำรวจด้วยกันนะครับ”
ช่วงเวลาที่กำลังดูรอบสถานที่และสอบถามค่อนข้างนานและรถตำรวจที่มาจอดทำให้คนมามุงดูหลายคน
ดูเหมือนว่าข่าวจะไปไวแล้วโดยเฉพาะในหมู่แฟนคลับ
ชเวจินที่รีบขับรถมาก้าวลงจากรถก่อนจะเดินมาดึงตัวจินกิมากอดไว้แน่น
“ขอบคุณพระเจ้า ดีจริงๆที่เราไม่เป็นอะไร
ผมขอบคุณมากจริงๆ”คำพูดสุดท้ายหันมาบอกกับมินโฮที่ยิ้มรับเอาไว้
เขาไม่ได้รู้สึกอะไรที่ชเวจินกับจินกิจะกอดกัน
เขาพอจะรู้มาว่าความสัมพันธ์ของสองคนนี้เหมือนกับพี่น้องแท้ๆ
ทุกคนเตรียมที่จะเดินทางไปสถานีตำรวจโดยซาแซงคนนั้นได้สติขึ้นมาแล้วและถูกใส่กุญแจมือเรียบร้อย
แทนที่จะสนใจตำรวจที่กำลังสอบถามกลับกลายเป็นว่าความสนใจพุ่งตรงมาที่จินกิ
รวมถึงขืนตัวไม่ยอมขึ้นรถตำรวจ
“จินกิ”เสียงของซาแซงทำให้เจ้าของชื่อหันไปมอง
ร่างเพรียวเม้มริมฝากลงแน่นแสดงชัดเจนว่าไม่อยากคุยด้วย
“ผมรักคุณมาตั้งนาน
ทำไมคุณไม่รักผมบ้าง
ทำไมต้องเป็นหมอนี่”น้ำเสียงตัดพ้อและเจ็บปวดแต่จินกิก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
เพราะเขารู้ดีว่าต่อให้อธิบายอะไรไปคนเหล่านี้ก็ไม่มีวันฟังอยู่แล้ว
ขาเรียวก้าวถอยห่างและเลือกจะอยู่ข้างหลังมินโฮแทน
“เงียบปากไปเถอะ”คำพูดของอัลฟ่าทำให้อีกฝ่ายมีสีหน้าที่แสดงออกถึงความโมโหได้ชัดเจน
ท่าทางอยากจะพุ่งเข้าไปหาจนตำรวจต้องรั้งตัวเอาไว้แน่น
“กูน่าจะฆ่ามึงมาตั้งนานแล้ว”คำว่าฆ่าทำให้ร่างเพรียวรู้สึกตกใจเพราะไม่คิดว่าความรู้สึกมันจะรุนแรงไปถึงขั้นนั้น
มินโฮเองก็ขมวดคิ้วแต่เขาก็มีสติพอที่จะไม่ลงมือทำอะไรนอกจากข่มอารมณ์โกรธไว้ไม่ให้แสดงออกมา
“ผมจะไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่”อีจินกิหันหน้าหนีเพราะทั้งแววตาและคำพูดของอีกฝ่ายมันชัดเจนมากว่าพูดจริง
ไม่อยากจะมองแม้ตอนอีกฝ่ายถูกดึงให้ขึ้นนั่งบนรถตำรวจ
กว่าจะดำเนินการเรื่องแจ้งความจบก็เกือบเที่ยงคืน และระหว่างนั้นชเวจินก็เอาแต่ขอบคุณมินโฮซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับการช่วยเหลือ
สุดท้ายเรื่องคดีทางบริษัทจะจัดการให้ทั้งหมดเพราะเป็นคดีใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อตัวจินกิโดยตรงแม้ว่าจะเป็นผู้เสียหายเองก็ตามที
ส่วนมินโฮไม่ได้ถูกแจ้งความเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการแบบนั้น
ซึ่งมันอาจจะมองว่าถึงแจ้งไปตัวเองก็มีสิทธิ์แพ้คดีมากกว่าอยู่แล้ว
ตอนนี้ชเวจินพามินโฮกับจินกิมาส่งไว้ที่หน้าบ้านเหมือนเดิม
เวลาเที่ยงคืนยิ่งทำให้รอบตัวเงียบสงบกว่าเดิม
ถึงตำรวจจะบอกว่าสามารถเข้าไปนอนในบ้านได้ก็จริงแต่จินกิเองก็ระแวงจนไม่อยากเข้าไปนอนแล้ว
แต่จะให้ไปบ้านแม่ตอนนี้ก็ไม่อยากรบกวน
“ผมรบกวนคุณมาเยอะมากแล้ว ขอโทษจริงๆ
กลับบ้านเถอะ”
“คุณจะไปนอนที่ไหน?”
“ก็ นอนในบ้านนี่แหละ
ตำรวจบอกว่านอนได้นี่นา เดี๋ยวก็เช้าแล้วด้วย”ทำไมมินโฮจะดูไม่ออกว่าจินกิไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว
แต่เวลานี้เจ้าตัวก็คงไม่มีใครมาอยู่เป็นเพื่อนอีกและนั่นยิ่งทำให้มินโฮสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีคนที่บ้านของจินกิมาดูแลเลย
“ไปนอนที่คอนโดผมมั้ย”
“ให้ผมไปนอนห้องเดียวกับคุณน่ะหรอ??”
“ไม่ใช่ครับ
คุณนอนในห้องนอนผมก็จะนอนตรงโซฟาที่ห้องนั่งเล่น ระบบรักษาความปลอดภัยก็ดีด้วย
คุณไปนอนที่นั่นจนกว่าจะซ่อมตัวกดรหัสเสร็จดีกว่า จะได้ไม่ระแวงด้วย”
“ไม่เป็นไร ผมอยู่ที่นี่ได้
ไม่อยากรบกวนคุณอีกแล้ว พอเช้ามาผมก็กลับไปนอนที่บ้านแม่”อีจินกินี่ดื้อเป็นที่หนึ่งแม้ว่าจริงๆแล้วไม่อยากจะนอนที่บ้านเท่าไหร่นัก
ฝ่ามือใหญ่แตะลงกลุ่มผมนุ่มจนร่างเพรียวต้องแหงนหน้ามองด้วยความสงสัย
“ช่วงนี้คุณอยู่ในอันตรายคุณก็รู้
มันอาจจะมีคนอื่นมาทำแบบนี้อีกก็ได้ พวกมันจะไปตามหาคุณที่บ้านแม่ก็ยังได้
คืนนี้คุณไปนอนที่คอนโดผมก่อนแล้วค่อยไปเช่าโรงแรมนอนทีหลัง ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
จินกิหลุบตาลงและเม้มริมฝีปากลงเล็กน้อย
ข้อเสนอของมินโฮทำให้สนใจแต่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภาระอย่างบอกไม่ถูก
เวลานี้จะไปหาโรงแรมนอนมันก็ยังพอมีแต่ที่สำคัญคือจินกิไม่อยากอยู่คนเดียว อาการฮีทก็คงอีกสักวันสองวันก็ยังพออยู่ใกล้มินโฮได้บ้าง
คงต้องพึ่งพามินโฮอีกแล้วสินะ...
“รอผมเก็บของแปปนึงได้มั้ย
มานั่งในบ้านก่อนก็ได้”
“ได้ครับ รบกวนหน่อยนะ”
อัลฟ่าหนุ่มมองไปรอบๆบ้านหลังนี้
การตกแต่งที่เรียบง่ายบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของจินกิได้ดี
ข้าวของต่างๆแม้ไม่ได้เรียบร้อยแต่ก็ไม่ได้รกจนไม่น่ามอง
บนโต๊ะที่กั้นโซฟากับทีวีเอาไว้มีกองแผ่นหนังและเพลงเต็มไปหมด
ดูเหมือนว่าจะมีความสุขกับช่วงพักผ่อนไม่น้อยเลย
ขวดน้ำเปล่าถูกวางไว้บนโต๊ะโดยที่เจ้าของบ้านเดินขึ้นไปเก็บของบนห้องอยู่
บ้านแม้จะไม่ใหญ่มากแต่อยู่คนเดียวมันก็ดูโล่งๆเหงาๆไม่น้อย
ยิ่งเพิ่งเกิดเรื่องแบบนี้จะให้อยู่ต่อคนเดียวมันก็ยากที่จะทำใจให้สงบได้
“เสร็จแล้วล่ะ ขอโทษนะที่ให้รอ
รบกวนมากจริงๆ”
“เรื่องเล็กน้อยครับ
เดี๋ยวคุณนั่งรถผมไปนี่แหละ คุณคงเหนื่อยมากแล้ว”จินกิไม่รู้จะปฏิเสธอะไรดีเพราะมินโฮที่ยืนยิ้มให้อย่างอ่อนโยนดูออกหมดทุกอย่าง
เขาเหนื่อยมากจริงๆจนอยากจะนอนเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ
ปกติแล้วชเวมินโฮจะไปกลับระหว่างบ้านกับคอนโดอยู่เป็นประจำ
แต่ตัวบ้านจะอยู่ใกล้กับบ้านของจินกิและที่ทำงานมากกว่า ส่วนคอนโดจะอยู่ไกลออกไปเอาไว้สำหรับพักผ่อนโดยเฉพาะ
นับว่าโชคดีที่คราวนี้มินโฮอยู่บ้านไม่อย่างนั้นคงใช้เวลานานกว่าเดิม
พอมาถึงจินกิก็ดูประหม่าอยู่ไม่น้อย
เพราะช่วงนี้มินโฮงานค่อนข้างเยอะจึงอยู่ที่บ้านมากกว่าแต่สภาพห้องก็ยังเรียบร้อยดีเหมือนเดิม
เจ้าของห้องก้าวนำและเชิญให้คนที่เป็นแขกได้ไปอาบน้ำให้สบายตัว
ส่วนตัวเองก็จะเก็บห้องนอนให้สะอาดกว่านี้
ถึงจินกิจะดูง่วงขนาดไหนแต่มินโฮยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับจินกิก่อนอยู่ดี
พอเจ้าตัวอาบน้ำเสร็จแล้วก็เดินออกมามองคนตัวสูงกว่าที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียง
ตบลงที่ว่างข้างตัวเบาๆเป็นการบอกให้จินกิมานั่ง
“อะไรหรอ”
“ไหนคุณบอกผมว่าคุณบอกที่บ้านแล้ว
ทำไมถึงไม่มีคนของบ้านคุณเลย”คนที่นั่งข้างตัวดูตกใจก่อนที่จะเลือกหลุบตาหนี
ตอนแรกเขาไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่เป็นห่วงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอันตราย
ไม่ได้โกรธที่จินกิโกหกตนเองแต่เขาอยากรู้เหตุผลจริงๆ
“ถึงผมบอกไปพวกเขาก็มาช่วยตรงนี้ไม่ได้อยู่ดี”ร่างสูงยังคงเงียบเพราะดูเหมือนว่าจินกิยังอยากจะพูดอะไรออกมาอีก
มือที่อยู่บนตักเริ่มขยับกำไว้แน่น “ไม่มีใครรู้ก็เลยไม่มีใครมาดูได้
ทั้งแทมินทั้งพ่อก็มีเรื่องที่ต้องจัดการ และอีกอย่าง”
“ครับ?”
“ผมไม่อยากเป็นภาระให้ที่บ้านอีก”ดวงตาคมโตที่คอยมองอยู่ตลอดฉายแววเห็นใจออกมา
สำหรับจินกิที่ต้องแยกจากพ่อกับน้องชายตั้งแต่เล็กคงทำให้รู้สึกว่าเพราะตนเอง
ครอบครัวที่ควรอยู่ด้วยกันพร้อมหน้ากลับต้องแบ่งออกเป็นสองเพื่อให้จินกิหลุดออกจากสังคมแบบนั้น
“ทำไมคุณคิดแบบนั้น ทุกคนรักคุณมากนะ”
“ผมรู้
แต่ถ้าผมบอกไปพวกเขาก็ต้องหาทางมาดูแลผมทั้งที่ตัวเองก็มีเรื่องต้องจัดการ
ที่ผ่านมาผมอยู่ได้ด้วยตัวเองมาตลอดจนพวกเขาวางใจ
ไม่อยากให้ย้อนกลับไปแบบนั้นแล้วล่ะ”ใบหน้าหวานแหงนขึ้นพร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่ไม่ว่าใครก็ดูออกว่ามันฝืนเต็มที
ฝ่ามือใหญ่เอื้อมแตะลงช่วงแก้มใสแผ่วเบาก่อนที่ปลายนิ้วจะเกลี่ยตรงใกล้ดวงตาเล็กที่ยังดูช้ำ
“จินกิ”อีจินกิที่เขามองว่าร่าเริงสดใสกลับมีแววตาหม่นหมอง
ไม่อยากให้ดวงตาที่สวยงามคู่นี้ดูบอบช้ำไปมากกว่าเดิม แต่จินกิก็ไม่ได้ร้องไห้ออกมาเพราะมันไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจ
แต่เป็นความอึดอัดที่ไม่เคยพูดออกมา
“ความปลอดภัยของคุณคือสิ่งสำคัญมากนะ
พวกเขาไม่ลำบากเพราะคุณหรอกครับ”คงเพราะความเหนื่อยและเรื่องที่เกิดขึ้นถึงทำให้ดูเปราะบางกว่าเดิมมาก
เหมือนจะลังเลที่จะพูดให้ฟังแต่สุดท้ายก็ยอมพูดออกมา
“คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมแยกออกจากที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก
ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมผมถึงต้องไม่ได้เจอหน้าพ่อกับน้องทุกวันเหมือนเมื่อก่อน ทำไมผมไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่บ้านหลังเดิม”เสียงนุ่มหยุดลงเพราะเหมือนจินกิกำลังรวบรวมความคิดและคำพูดของตนให้มันออกมาชัดเจน
“ตอนนั้นผมเกลียดที่ตัวเองเป็นโอเมก้าเพราะทุกคนต้องลำบากเพราะผม
แต่พอโตขึ้นก็เริ่มคิดว่าคนที่ผิดคือคนที่อยู่ในสังคมนั้นไม่ใช่ตัวผม
ครอบครัวผมก็แค่ส่วนหนึ่งที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบตัวให้ได้
สิ่งที่ผมต้องทำคือการแสดงให้เห็นว่าอยู่ได้ ต้องประสบความสำเร็จด้วยตัวเองให้ได้”
“ถึงจะมีคนไม่ดีเข้ามาบ้างผมก็จัดการได้
ทางบริษัทกับพี่ชเวจินก็ช่วยเหลือมาตลอดจนผมคิดว่าไม่ต้องให้ที่บ้านรู้หรอก
ให้มันเป็นเรื่องของทางนี้จัดการกันดีกว่า
เพราะถ้าเขารู้เขาจะต้องไม่สบายใจกันแน่ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะร้ายแรงแบบนี้”
ฝ่ามือใหญ่และอบอุ่นเลื่อนมากุมมือเล็กเอาไว้
แววตาของชเวมินโฮยังคงอบอุ่นและยังตั้งใจฟังทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อซึมซับความรู้สึกคนที่ตนรัก
โดยจินกิเองก็มองไปยังคนตรงหน้าเช่นกัน
ความอึดอัดในใจที่ได้เล่าออกไปทำให้รู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“ผมไม่ได้อยากโกหกคุณ
แต่ผมไม่รู้จะบอกยังไงจนได้พูดออกไปทั้งหมดนี่แหละ”
“คุณน่าจะบอกผมตรงๆ”
“ผมก็ไม่อยากรบกวนคุณเหมือนกัน”มินโฮนึกระอาใจกับนิสัยที่ไม่อยากให้ตัวเองเป็นปัญหาของใคร
แต่เรื่องอันตรายแบบนี้มันควรจะบอกบ้างใช่ว่าตัวเองจะรับมือได้หมด
นี่ถ้าเขามาไม่ทันก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าป่านนี้จะเป็นยังไง
“ไม่ได้รบกวนเลย
ผมเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อให้คุณปลอดภัย”มือที่กอบกุมไว้กระชับแน่นขึ้นแต่จินกิก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร
ริมฝีปากอิ่มเม้มลงเล็กน้อยและในที่สุดเจ้าตัวก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
ดูเหมือนว่าบรรยากาศและเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำให้จินกิดูลดท่าทางดื้อดึงไปพอสมควร
ยิ่งมองหน้าใกล้ๆจินกิยิ่งประหลาดใจ ความรู้สึกว่าเขาเคยเจอคนๆนี้มาก่อนหวนกลับมาอีกครั้งหลังจากลืมเลือนไป
ยิ่งคิดก็ยิ่งค้างคาใจและเหตุผลก่อนหน้าที่ไม่อยากให้มินโฮเข้าหาตัวมากกว่านี้มันหมดไปแล้ว
เพราะความรู้สึกของตัวเองมันก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
“เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า?”
“ครับ?”
“ผมรู้สึกเหมือนเคยเจอคุณ
แต่มันอาจจะคิดไปเอง ไม่รู้สิ”ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นจินกิทำหน้ายุ่งดูสับสนอยู่นิดหน่อย
เหมือนเจ้าตัวจะแค่คุ้นเคยหน้าตาแต่กลับจำไม่ได้ว่าเคยเจอกันตั้งแต่เด็ก
จริงๆมันก็เรื่องนานมากแล้วและเขาคิดว่าจินกิจะลืมก็ไม่แปลก แต่พอจินกิจำได้บ้างก็รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
“คุณสงสัยใช่มั้ยว่าทำไมถึงรู้เรื่องของคุณ
เพราะเราเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้วยังไงล่ะครับ”
“ตอนไหน?”
“ตอนเราอายุหกขวบ
วันนั้นผมไปที่บ้านของคุณแล้วเราก็ไปเล่นด้วยกัน
คุณอวดผมว่าคุณมีน้องชายหนึ่งคนและจู่ๆคุณก็..”
“ก็ดึงผ้ากอซที่ปิดตาออก
เพื่อให้ดูว่าตาอีกข้างเป็นคนละสีกัน”ริมฝีปากอิ่มขยับพูดออกมาก่อนที่คนตัวสูงกว่าจะพูดจบ
ดวงตาเล็กเบิกกว้างขึ้นพลางมองคนตรงหน้าอย่างละเอียด
ความทรงจำที่หายไปนานถูกกระตุ้นให้กลับมาอีกครั้ง
โอเมก้าหนุ่มจำได้แล้วว่าตอนนั้นตัวเองชอบเพื่อนใหม่คนนี้มากขนาดไหนและคาดหวังว่าจะได้เจอกันอีก
แต่กลับมีเรื่องของการย้ายบ้านออกไปอยู่กับตายายและแม่
โดยทำเป็นว่าแม่โกรธที่พ่อดูแลเขาไม่ดีจึงขอแยกออกมา
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหนามากสำหรับเด็กหกขวบที่ต้องปรับตัวใหม่หมด
ความทรงจำดีๆจึงลืมเลือนไปและไม่ได้นึกถึงอีกเลย
“คุณยังจำได้หรอ? ดีจัง
ผมคิดว่าคุณคงจำไม่ได้เลยไม่ได้พูดไป
และอยากจะให้คุณชอบผมตั้งแต่เริ่มไม่ใช่เพราะเคยรู้จักกันมาก่อนด้วย”
“จริงๆก็ลืมไปนะ แต่จำได้เฉยเลย
นี่มินโฮคนนั้นจริงๆหรอ?
บังเอิญจัง”รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าหวานทำให้มินโฮอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
ความจริงการจะจำใครสักคนที่เจอกันแค่ครั้งเดียวสมัยเด็กและนานเกือบยี่สิบปีมันไม่น่าเป็นไปได้
สำหรับมินโฮแค่เห็นสีตาที่ต่างกันก็จำได้ทันทีเพราะเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน
หรือจะเพราะสิ่งที่เรียกว่าคู่รึเปล่าก็ไม่รู้
เลยทำให้พวกเขาเลือกจดจำกันไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ รอเวลาที่จะดึงความผูกพันที่เกิดขึ้นตั้งแต่เด็กให้กลับมาอีกครั้ง
“พอเห็นคุณยิ้มแบบนี้ก็รู้สึกว่าน่าจะพูดไปตั้งแต่แรกแฮะ”
“บอกหรือไม่บอกก็ไม่ต่างกันหรอก
ผมอยากนอนแล้วล่ะ”เมื่อมือนุ่มจะดึงออกจากการเกาะกุมมินโฮจึงรีบกระชับมือไว้อีกครั้ง
ระยะหลังมานี้ความสัมพันธ์ของพวกเขามันพัฒนาขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก
ไปเที่ยวไปกินข้าวโทรคุยกันอยู่เสมอ
ถึงจินกิจะไม่เคยเริ่มก่อนแต่ก็ไม่ได้รำคาญหรือเอาแต่หนีอีกแล้ว
และนั่นทำให้ชเวมินโฮมั่นใจว่าความรู้สึกของอีจินกิมันคงมากพอที่จะตกลงกับคำขอของตน
แม้จะเพิ่งผ่านเรื่องร้ายมาแต่ด้วยบรรยากาศและการเปิดใจทำให้มินโฮรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่จะลองพูดออกไป
ไม่ใช่การบอกรักอย่างที่เขาทำมาตลอดอีกแล้ว
“จินกิ คบกันมั้ย?”
“อะ อะไรนะ?
คบ?”เป็นไปตามคาดที่จินกิจะตกใจ ใบหน้าน่ารักค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงและลามไปยังใบหู
ถึงจะโดนจีบโดนหยอดแต่จินกิไม่ได้นึกว่าอีกฝ่ายจะมาขอตัวเองคบแบบนี้
ส่วนตัวแล้วความอคติและความกังวลมันค่อยๆหายไปและเปลี่ยนเป็นความไว้ใจมาได้สักระยะแล้ว
“ครับ
ที่ผ่านมาผมคิดว่ามันเพียงพอแล้วที่ทำให้คุณเห็น ว่าผมดูแลและปกป้องคุณได้
ไม่ได้ทำตัวแย่ใส่คุณ
และเรื่องครอบครัวคุณก็ไม่มีวันที่จะมีใครรู้เพราะอย่างที่บอกไป ผมมีโอกาสได้เห็นคุณตอนเด็กก็เท่านั้น”
“เดี๋ยว ผม คือ
ทำยังไงดี”มินโฮหัวเราะเล็กน้อยกับท่าทางทำอะไรไม่ถูกและเขินจนหน้าแดงไปหมด
ดวงตาเรียวเล็กหลบหนีและริมฝีปากก็เม้มลง
ยิ่งมองก็ยิ่งอยากจะจับมาฟัดให้หายหมั่นเขี้ยวสักที
“ไม่รักผมหรอครับ?”เสียงทุ้มต่ำกับแววตาที่อ้อนวอนยิ่งทำให้จินกิพูดอะไรไม่ถูก
ปลายคางถูกจับจนแหงนขึ้นมองจนร่างเพรียวยิ่งตื่นตระหนก
ใบหน้าหล่อเหลาที่ยกยิ้มตรงมุมปากค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นทีละน้อย
เสียงหัวใจเต้นถี่ดังจนหนวกหูและพาลจะทำให้หายใจไม่ออกเสียดื้อๆ
“โชคชะตาพาให้เรามาเจอกันนานแล้วนะครับ
อย่าปฏิเสธเลยนะ”
“คะ คือ ผมไม่แน่ใจ..!”คงต้องถึงเวลาที่จะเอาเปรียบเพื่อให้คนปากแข็งยอมเปิดปากออกมาบ้างแล้ว
ดวงตาเล็กเบิกกว้างเมื่อสัมผัสร้อนทาบทับตรงริมฝีปาก
ปรับเอียงใบหน้าจนแนบชิดมากพอที่จะเน้นย้ำอ้อนวอนขอความรักจากโอเมก้าของตน
จินกิรู้สึกเหมือนหน้าตัวเองร้อนจนรู้สึกได้แม้ไม่ได้เอามือไปลองจับ
เมื่อริมฝีปากกดย้ำก็เผลอหลับตาลงแน่นและมือที่ยกมากั้นตรงอกกว้างตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็ขยุ้มลงเสื้อ
สมองว่างเปล่าไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อนอกจากยอมให้สัมผัสอ้อนวอนบดเบียดอยู่แบบนั้น
“รักผมมั้ย?”ร้องถามทั้งที่ยังวุ่นวายกับการคลอเคลียตรงริมฝีปากอิ่ม
จินกิไม่เคยเจอมินโฮในรูปแบบนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
มันทั้งเอาแต่ใจและอ้อนวอนไปในคราเดียวกัน
เอาเข้าจริงก็ไม่เคยนึกว่าคนที่ระวังแม้กระทั่งการจับตัวจะเป็นแบบนี้
ไม่ไหวแล้ว
อีจินกิเขินจนอยากจะระเบิดตัวเองให้หายไปซะเดี๋ยวนี้ ทำไมชเวมินโฮตอนนี้ถึงดูเจ้าเล่ห์และเอาแต่ใจได้ขนาดนี้
พอเปิดปากจะตอบริมฝีปากร้อนก็บดเบียดลงมาอีกครั้ง
เหมือนสบโอกาสที่จะตักตวงความหอมหวานที่รอคอยมากว่าครึ่งปี
ปลายลิ้นแทรกเข้าโพรงปากนุ่มและเปลี่ยนจากที่จับปลายคางไปรั้งช่วงท้ายทอยให้เข้าหา
ซึ่งคนที่ตกใจจนตัวแข็งไปแล้วคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าปกติเขาควรจะหลบ
ไม่ใช่ปล่อยให้มาทำตามอำเภอใจแบบนี้
ยิ่งได้เข้าหาร่างสูงก็ยิ่งพึงพอใจกับทุกสิ่งอย่างที่จินกิเป็น
ค่อยๆเพิ่มระดับการรุกเร้าเพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายตอบสนองกลับมาบ้าง
ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเป็นในทันทีทันใดแค่ได้ยินเสียงครางในลำคอกับอาการที่คล้ายจะหนีก็ทำให้พอใจมากแล้ว
เพราะยิ่งพยายามหนีเท่าไหร่เขาก็ยิ่งอยากเอาชนะมากขึ้น
ถึงจะไม่อยากหยุดแต่ก็รู้ดีว่าสำหรับจินกิเท่านี้ก็จะหายใจไม่ทันแล้ว
ค่อยๆผละออกห่างแต่ไม่วายที่จะขบเม้มกลีบปากล่างหยอกเย้าและมองไปยังดวงตาที่ตนหลงใหล
ในยามนี้นัยน์ตาที่ต่างสีมีน้ำเอ่อคลอไม่ใช่เพราะความกลัว
มันยิ่งดูสวยงามมากขึ้นจนจับจ้องไม่วางตา
“คบกับผมนะ?”
“คบแล้ว ยอมแล้ว ออกไปห่างๆที”ทั้งแก้มทั้งปากแดงไปหมดจนน่าเอ็นดู
ร่างสูงหัวเราะออกมาและยอมผละออกห่างตามคำขอ มองคนที่เขินจัดยกมือจับปากแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางเสียแล้ว
ยังไม่ทันได้ฟังคำว่ารักเลย
“รักผมมั้ย”มือยังคงกุมมือนุ่มเอาไว้จากที่รู้สึกว่าอีกฝ่านตัวร้อนๆมาตั้งแต่แรกตอนนี้เพราะเลือดที่สูบฉีดจึงยิ่งร้อนกว่าเดิม
คนโดนถามอยากจะวิ่งหนีไปเต็มทีแต่ก็ไปไหนไม่ได้ ไม่น่าตามมาที่นี่เลยจริงๆ
“ระ..”
“หืม?”
“รักไงเล่า พอใจยัง?”
“บอกรักใครต้องมองหน้าด้วยสิครับ”
“ก็เพิ่งมองไปจะให้มองอีกทำไมล่ะ
คิดว่าคนอื่นเขาจะเป็นแบบคุณรึไงที่ทำอะไรก็ไม่อายแบบนี้”เถียงทั้งที่หันหน้าหันตาหลบ
ยิ่งทำตัวแบบนี้ก็ยิ่งอยากแกล้งอยากหยอกให้เขินขึ้นเรื่อยๆ คงเพราะมีความสุขมากเกินไปแน่ๆถึงได้ยิ้มไม่หุบแบบนี้
ความพยายามที่ทำมาตลอดไม่ได้สูญเปล่าเลย
“อย่าดื้อสิครับโอเมก้าของผม”ถูกจับให้หันมามองอีกแล้วจนจินกิอยากจะให้ตัวเองหลับไปซะเดี๋ยวนี้ตอนนี้
ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลามีแววตาพอใจก็ยิ่งหมั่นไส้ แต่ยังไม่ทันจะได้พาตัวเองขยับถอยห่างก็ถูกจูบอีกรอบ
ใครก็ได้ช่วยทำให้หัวใจของอีจินกิหยุดเต้นแรงจนน่ารำคาญที..
เขินด้วย เหนื่อยด้วย ไม่มีแรงจะไปดื้อใส่ชเวมินโฮแล้ว
แต่อัลฟ่าตรงหน้าก็ยังตั้งหน้าตั้งตาจูบจนตัวอ่อนไปหมด
ได้แต่ปล่อยให้มินโฮเป็นคนคุมจังหวะหายใจให้ทั้งหมด
“จินกิ”
“อะไรอีก บอกรักแล้วไง ตกลงคบแล้วด้วย
จูบก็ให้แล้ว คุณต้องการอะไรอีก”
“ฮ่าๆๆ
ผมแค่จะบอกว่าให้คุณรีบนอนพักผ่อน
พรุ่งนี้คุณต้องไปคุยกับบริษัทแต่เช้าไม่ใช่หรอครับ ไหนจะต้องคุยกับที่บ้านอีก
ทั้งเรื่องของผมที่คุณต้องบอกด้วย”ถึงจะยังอยากคุยเล่นหรือกอดเอาไว้แต่เพราะอยากให้อีกฝ่ายได้นอนพักจึงเลือกที่จะต้องขอตัวไปในคืนนี้
แต่จินกิเป็นแฟนของเขาแล้ว
แค่ห่างกันนิดๆหน่อยๆมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอีกต่อไป
“รู้แล้วน่า เดี๋ยวผมจัดการเองได้
คุณมานอนในห้องคุณนี่แหละ ผมจะไปนอนตรงโซฟาเอง”
“ไม่ครับ
ผมจะให้คุณนอนในนี้และผมจะไปนอนข้างนอก หรือคุณอยากให้ผมนอนข้างๆคุณ?”แกล้งถามไปอย่างนั้นเพราะมินโฮเองก็เข้าใจว่าจินกิต้องระแวงเขาพอสมควร
ที่สำคัญคืออีกฝ่ายใกล้ฮีทแล้ว ขืนเกิดฮีทตอนขึ้นมามีหวังได้เกิดปัญหาใหญ่แน่
ยังไงป้องกันไว้ด้วยการแยกห้องนอนและให้จินกิกินยาไว้คงจะดีที่สุด
แล้วค่อยให้จินกิไปนอนที่โรงแรมแทน
“ผมนอนในห้องนี้คนเดียวก็ได้
ขอบคุณมากจริงๆที่ช่วยผมเอาไว้”
“ด้วยความยินดีครับ พักผ่อนเถอะ
ราตรีสวัสดิ์นะ”เมื่อมินโฮลุกขึ้นยืนกลับถูกมือนุ่มคว้าปลายแขนเอาไว้ก่อน ดวงตาเล็กที่มองมาดูลังเลอีกแล้วและช่วงแก้มก็ยังแดงระเรื่อจนอยากลองดึงดูสักที
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“เอ่อ ไม่มีอะไร ฝันดีนะ”
“ครับ ฝันดีครับ”ไฟในห้องมืดลงเหลือเพียงแสงไฟเบาบางจากโคมไฟหัวเตียง
บานประตูห้องปิดลงไปแล้วแต่คนที่อยู่ข้างในกลับข่มตาลงนอนไม่ได้
เมื่อครู่อยากจะบอกมินโฮเหมือนกันว่าเรื่องคู่ที่เขาเอาแต่ปฏิเสธมันคือเรื่องจริง
แต่พอคิดว่ารู้ได้เพราะอะไรก็พาลทำให้พูดไม่ออก
“วันนี้มันวันอะไรกัน..”ความรู้สึกด้านลบถูกพัดผ่านหายไปหมดเพราะชเวมินโฮเพียงคนเดียว
มีหลายเรื่องเข้ามามากมายและจบท้ายที่เขาถูกขอคบกะทันหัน
แต่เพราะรักไปแล้วก็ไม่มีข้ออ้างให้ปฏิเสธอีก จินกิหยิบเอาโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความทิ้งไว้ให้คนในบ้านรู้เรื่องทุกอย่างก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียง
หลังจากนี้จะมีอะไรหรือเกิดอะไรขึ้นก็คงคาดเดาไม่ได้
แต่ที่แน่นอนคืออีจินกิมีอัลฟ่าเป็นของตัวเอง มีคนที่จะคอยช่วยเหลือดูแลไม่ให้ตนเองต้องเจอเรื่องเลวร้าย
ถึงจะเขินจะทำเป็นโมโหยังไงแต่ตอนนี้ความสุขก็เอ่อล้นอยู่ในใจจนมีรอยยิ้มบนใบหน้า
สุดท้ายก็หนีความรักของชเวมินโฮไม่พ้นจริงๆ
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรอีกต่อไปแล้ว
THE END (?)
จบลงไปแล้วค่ะ เย้ ขอบคุณสำหรับการติดตามฟิคโอเมก้าเวิร์สนี้นะคะ
เขียนช้าพอสมควรเลย อาจจะแปลกไปบ้างหรือไม่ถูกใจไปบ้างยังไงก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ
แต่ก็ขอบคุณทุกคนมากจริงๆที่มาอ่านกัน เห็นมีคนชอบคนสนใจเราก็ดีใจมากแล้วค่ะ
ตอนจบห้วนๆไปหน่อยนี่ไม่ได้หมายความว่าจบแล้วจบเลยนะคะ
เราจะมีสเปค่า~ เฮฮฮ จริงๆว่าจะใส่เป็นฉากคัทในนี้แหละค่ะ
แต่เราใช้เวลานานเลยขอตัดจบก่อนแล้วจะแยกเป็นสเปมาให้สองตอนนะคะ
จักรวาลโอเมก้าแต่ไม่มีฉากคัทมันก็ไม่ใช่ไรท์สายบาปแบบเราหรอกค่ะ!! ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
แต่ขออนุญาตลงช้านิดนึงนะคะเพราะติดฟิควันเกิดเพื่อนมันเลยต้องจัดการทางนั้นให้เรียบร้อยก่อน
พอจบแล้วจะรีบเอาสเปลงให้ทันทีเลยค่ะ เพื่อไม่ให้เนื้อเรื่องดูห้วนๆไปด้วย แหะๆ
ยังไงก็ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะค เจอกันในสเปโอเมก้าสองตอนค่ะ!
ความคิดเห็น