คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #69 : Love Line
By:
Crazy_Dragon
[ท่านรอง ณ กากกามใจบาปเกิร์ลอินเตอร์เนชั่นแนลจำกัดมหาชน]
หมายเหตุ: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นแนว
“Rainverse” นะคะ ซึ่งเราได้มาจากทวิตนึงที่เขาพูดถึงจักรวาลต่างๆนอกเหนือโอเมก้าเวิร์ส
แล้วรู้สึกมันน่ารักมากๆเลย ในจักรวาลนี้จะพูดถึงคนที่เป็นโซลเมทกันค่ะ
ว่าเวลาฝนตกจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของตัวเองกับโซลเมทของเรา
หลักๆจะมีประมาณนี้ซึ่งเราขอปรับตามพล็อตเรื่องนะคะ
01
ในยามที่ท้องฟ้ามืดครึ้มและเริ่มมีหยาดน้ำเย็นเยียบตกกระทบสู่พื้นโลก
ราวกับทุกสิ่งอย่างได้หยุดชะงัก มีเพียงเสียงของน้ำยามร่วงถูกสิ่งของต่างๆ
สายฟ้าที่คำรามกึกก้อง เหมือนกับอยู่เพียงผู้เดียวบนโลกใบนี้ที่แม้มองเห็นกัน
แต่กลับไม่อาจสื่อสารกันได้
ทว่าทุกคนกลับเคยชินและใช้ชีวิตกันต่อไปราวกับไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น
อีจินกิก็เช่นกัน..
เวลานี้แม้จะมีผู้คนขวักไขว่และทำกิจกรรมต่างๆในร้านกาแฟกันเหมือนเคย
แต่สิ่งที่หายไปคือเสียงรอบตัวเหลือเพียงเสียงฝนที่กระทบกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะงานหรือกิจกรรมยามว่างที่ใช้เสียงต้องหยุดชะงักลงไป
ทุกคนสื่อสารกันผ่านภาษากาย พิมพ์ลงโทรศัพท์หรือเขียนใส่สมุด
ดวงตามองตามคนที่กำลังคุยกันใต้ร่มสีใส
ขาของทั้งคู่ก้าวเกินเป็นจังหวะเดียวกันพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ทุกคนตั้งแต่เกิดมาจะไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของคนในครอบครัวในยามฝนตก
แต่กลับกลายเป็นว่าเสียงที่จะได้ยินกลับเป็นเสียงของคนที่รัก
แน่นอนว่าอีจินกิห่างไกลกับคำนั้นค่อนข้างมากทีเดียว
วันๆหนึ่งเขาวุ่นวายอยู่กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถสื่อสารให้คนเข้าใจได้
และไม่ใช่พวกที่จะมีเจ้าของคอยปลอบให้มันหายตื่นกลัวหรือลดความก้าวร้าวลงเลย
เมื่อละสายตาออกจากภาพด้านนอกก็เห็นว่าโทรศัพท์มือถือขึ้นแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้าใหม่
จากท่าทางผ่อนคลายกลายเป็นเร่งร้อนขึ้นทันที
มือคว้าเอาของจำเป็นที่อยู่บนโต๊ะแล้วรีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจว่าตัวจะเปียกเพราะฝนเม็ดใหญ่
ไม่ได้ยินหรือสังเกตอะไรทั้งสิ้น
ภาพของคนที่กำลังวิ่งฝ่าสายฝนอยู่ในสายตาของชเวมินโฮที่มีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
แม้จะอยู่บนรถประจำทางแต่ก็รับรู้ได้ผ่านเสียงกระทบของฝนว่าข้างนอกมันไม่ใช่เรื่องที่จะวิ่งฝ่าฝนออกไปเลย
นึกอยากจะให้ยืมร่มในมือแต่มันคงไม่ทันการณ์อยู่ดี
มันต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนขนาดไหนกันที่ทำให้คนๆหนึ่งยอมวิ่งฝ่าฝนทั้งที่ตัวเองไม่ได้ยินเสียง
ความสนใจของชายหนุ่มร่างสูงถูกดึงกลับมาที่โทรศัพท์เมื่อมันมีการสั่นแจ้งเตือน
ดวงตาคมโตอ่านชื่อคนโทรมาก่อนจะใช้เวลาสักพักเพื่อตัดสินใจรับสาย เสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ดังชัดท่ามกลางสายฝนเหมือนที่ผ่านมาแล้ว
“สวัสดีครับ”
//พี่อยู่ไหนหรอ ผมมาถึงนานแล้วนะ//
“อีกสักสิบนาทีนะ ตรงนั้นฝนไม่ตกหรอ”
//ก็ ใกล้ตกแล้ว พี่รีบมาสิ//
“...อืม เจอกัน”
บางทีนี่อาจจะเป็นการนัดเจอครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้
อีกฝ่ายคงอยากจบความสัมพันธ์ตอนนี้เต็มที
เพราะเขาไม่มีเวลาให้จนมีคนอื่นที่มีเวลาให้แฟนของเขามากกว่า
ความเสียใจมันย่อมมีอยู่แล้ว
แต่เพราะพวกเขาต่างฝ่ายต่างปล่อยให้มีช่องว่างเพิ่มกันมากขึ้นเรื่อยๆ
การติดต่อน้อยลงจนแทบจะไม่ได้พูดคุยกัน แม้ไม่มีใครพูดอะไรแต่ก็รับรู้กันได้ด้วยตนเองว่าความสัมพันธ์ตอนนี้มันไม่สามารถประคับประครองไว้ได้อีก
สุดท้ายก็ย้อนกลับไปสู่ช่วงที่ไม่ได้ยินเสียงของใครในช่วงฝนตกอีกแล้วก็แค่นั้น
“ดูเหมือนว่าจะปลอดภัยแล้วล่ะ
โชคดีที่ขาไม่ได้หัก”สัตวแพทย์หนุ่มพูดพลางจดรายละเอียดคนไข้ตัวสูงกว่าห้าเมตรด้วยท่าทีผ่อนคลาย
โชคดีที่สวนสัตว์กับร้านกาแฟอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
แต่ก็ทำให้คนที่ฝ่าฝนตัวเปียกทั้งตัว
“ขอบคุณมากครับหมอ
รีบกลับไปพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
“ไม่เป็นไรหรอก
คราวหลังก็ตรวจดูสถานที่กันบ้างนะ ถ้าล้มแรงกว่านี้คงได้กระดูกหักจริงๆแน่”
สวนสัตว์ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญจะมีศูนย์รักษาเพื่อความสะดวกในการรักษา
จินกิเองก็เป็นบุคลากรของโรงพยาบาลสัตว์ที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่า เขาถึงได้ถูกส่งมาตรวจและรักษาที่นี่ประจำ
แต่เวลาปกติก็รักษาสัตว์เลี้ยงทั่วไปและมีสัตว์ป่าบ้าง โดยสัตว์ป่าส่วนมากจะเป็นพวกที่ถูกมนุษย์นำมาเลี้ยง
และเขาพบว่ามีเจ้าของจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าใจธรรมชาติของสัตว์เลยสักนิด
“ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวนเวลาพักผ่อน”
“ไม่หรอก ดีแล้วที่รีบแจ้งมาน่ะ”ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาขณะพูดพลางมองไปยังทิศทางที่ยีราฟตัวนั้นกำลังพักฟื้น
แม้ตอนรักษาจะยังมีฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายแต่เพราะเคยชินกันไปแล้ว
เลยไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร
จินกิลุกขึ้นยืนพลางเก็บข้าวของให้เข้าที่
จากที่ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นในห้างหลังฝนหยุดคงต้องเปลี่ยนแผนเป็นกลับบ้านแล้วค่อยไปหาหนังดูรอบดึกแทน
เวลานี้เสียงรอบตัวกลับมาชัดเจนเหมือนเดิมก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ช่วงที่ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดทำให้ค่อนข้างกดดันมากเกินปกติ
“ไว้เจอกันนะ”
“รักษาสุขภาพด้วยนะครับ”
พอเดินออกมานอกอาคารก็พบว่าท้องฟ้าดูสดใสกว่าปกติ
มีแอ่งน้ำบ้างบางจุดแต่ไม่นานมันก็คงระเหยหายไปจนหมด ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวและคู่รักที่พากันมาเที่ยว
ดวงตาเล็กดันไปสะดุดเข้ากับคนๆหนึ่งที่กำลังนั่งบนม้านั่งใกล้ทางเข้าเพียงลำพัง
คนมาเที่ยวคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่คนนี้ได้ให้ความรู้สึกว่าไม่ได้สนุกกับสถานที่ที่ตนเองอยู่อย่างชัดเจน
ถึงจะแปลกใจแต่จินกิเลือกที่จะเดินผ่านไปโดยไม่ได้หันไปถามอะไรทั้งสิ้น
โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าชายร่างสูงบนม้านั่งได้มองตามจนกระทั่งเดินออกไปพ้นสายตา
“ไม่มีที่นัดเจอกันที่ดีกว่านี้แล้วหรอวะ”
“สวนสัตว์ไม่ดีตรงไหน”เสียงทุ้มของมินโฮรีบเอ่ยแย้งเมื่อเพื่อนสนิทที่เพิ่งมาถึงพูดถึงสถานที่นัดเจอกัน
อีแทมินถอนหายใจก่อนจะนั่งลงข้างๆ
“ไม่เข้ากับคนแบบมึง”
“เออ”ชายหนุ่มใบหน้าสวยหัวเราะกับคำตอบรับของคนที่มาถึงก่อน
เมื่อเพื่อนสนิทบอกว่าเลิกกับแฟนแล้วทำให้เขานึกกังวล แต่ก็ไม่ได้ห่วงอะไรมากมายเพราะเท่าที่รู้มาคือความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นคล้ายกับการเลิกราด้วยดี
เพียงแค่คนที่ยังพอจะรู้สึกมากกว่าคือชเวมินโฮ
“แล้วยังไง
จะดื่มย้อมใจที่บ้านหรือรอตอนดึกๆ”
“มันก็ไม่ได้เสียใจมากนะเว้ย
มันแบบ..โหวงๆ ถึงจะห่างกันมานานแล้วแต่พอไปจบจริงๆมันก็รู้สึกแบบนั้น”
“ยุ่งยาก หาแฟนเป็นพวกงานยุ่งเหมือนกันเถอะ
พวกตัดต่อภาพถ่ายภาพหรือดาราก็ได้ เยอะแยะเต็มไปหมด”
“พูดเหมือนง่าย”อาชีพในกองถ่ายภาพยนตร์หรือละครค่อนข้างจะงานยุ่งพอสมควร
ยิ่งฝีมือดีเป็นที่พูดถึงในวงการงานก็ย่อมมาติดๆกัน และประเทศที่เป็นดินแดนในการผลิตสื่อละครออกมาฉายได้เกือบทุกช่วงเวลาอย่างเกาหลีใต้
มีคนกี่คนมันก็แทบจะไม่พออยู่ดี
“งั้นก็ไม่ต้องมี แล้วจะเอายังไงต่อ”
“เดินเล่นในนี้ก่อนค่อยไปดื่มตอนดึก”
“เที่ยวในสวนสัตว์กันสองคน
โคตรโรแมนติคเลยว่ะ”ชเวมินโฮหัวเราะกับคำจิกกัดของเพื่อนสนิท
ในหัวพลันนึกไปถึงคนที่วิ่งฝ่าฝนและยังบังเอิญเจออีกทีที่สวนสัตว์แห่งนี้
ยังนึกหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมจะต้องรีบร้อนในช่วงอันตรายมาที่นี่ด้วย
แต่ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปากกลับติดตาเขาเสียเหลือเกิน
02
จะมีสักกี่ครั้งคนเราจดจำหน้าตาของคนที่บังเอิญเจอเพียงครั้งเดียวได้
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชายหนุ่มร่างสูงหาช่วงเวลาวันหยุดมาดูภาพยนตร์ที่เขาเป็นหนึ่งในผู้ช่วยทำให้มันสำเร็จขึ้นมาได้
แม้ว่าเขาจะต้องคอยดูมันเป็นสิบเป็นร้อยรอบ ทั้งลงมือถ่ายภาพนักแสดงโปรโมทงาน ช่วยในการกำกับภาพและตัดต่อมันให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
แต่การได้มาดูผลงานตัวเองอีกครั้งและเห็นปฏิกิริยาคนดูมันก็ทำให้รู้สึกพอใจในงานของตัวเองมากขึ้น
ในช่วงเวลาที่กำลังต่อแถวซื้อน้ำก็เห็นคนๆนั้นที่ยืนอยู่แถวข้างๆ
มีเวลาให้พิจารณาเพิ่มอีกสักนิดถึงได้สังเกตว่าอีกฝ่ายเองก็มีใบหน้าที่น่ารัก
แม้จะเป็นผู้ชายแต่ก็คิดว่าคำชมที่เหมาะสมก็คงต้องเป็นคำนี้เท่านั้น
แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ดันจำคนๆนี้ได้
ถ้าหากดูหนังเรื่องเดียวกันอีกก็คงจะเป็นเรื่องบังเอิญไม่น้อยเลย
มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่นอกจากจะดูหนังเรื่องเดียวกันแล้ว
คนตัวสูงคนนั้นยังนั่งอยู่ข้างๆเขาอีกด้วย
เขาเห็นอีกฝ่ายตั้งแต่ตอนซื้อป็อปคอร์นจนกระทั่งเดินมายังโรงหนังโรงเดียวกัน
และยังมานั่งข้างๆกัน
ดวงตาเล็กเหลือบมองไปยังคนแปลกหน้าที่ไม่น่าจะจำกันได้ด้วยความสนใจ จินกิเองก็ไม่คิดว่าตนเองจะจำคนๆนี้ได้
แต่ตอนต่อแถวซื้อของกลับรู้สึกคุ้นหน้าจนกระทั่งนึกออกว่าเคยเจอที่สวนสัตว์
เป็นคนที่ดูดีได้แม้จะอยู่ในชุดธรรมดาๆ
หากอีกฝ่ายเป็นดารานักแสดงคงจะมีแฟนคลับจำนวนมากแน่ๆ ในขณะที่กำลังมองด้วยความสนใจอีกฝ่ายกลับหันมามองเช่นกัน
ไม่ใช่แค่ตัวจินกิเองที่ตกใจ คนตัวสูงตรงหน้าเองก็ดูตกใจไม่น้อย
สถานการณ์ที่จัดว่าอยู่ในช่วงกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกทั้งคู่
จะหันหน้าหนีก็กลัวจะแปลกไปกันใหญ่เพราะถูกจับได้ว่ามองอยู่
ในหัวของจินกิถ้ามีเฟืองอยู่คงหมุนจนเกิดเสียงแกรกๆไปบ่งบอกถึงความคิดที่วิ่งวุ่นเต็มหัว
แต่แล้วคนที่ทำลายความเงียบกลับเป็นคนๆนั้น
“เอ่อ ผมเคยเจอคุณตอนฝนตกแล้วจำได้น่ะครับ”
“ผมเจอคุณที่สวนสัตว์น่ะ”แม้จะประหลาดใจที่อีกฝ่ายก็จำเขาได้แต่ก็ไม่อยากคุยต่อแล้ว
รู้สึกอายเหมือนกันที่โดนรู้ว่ากำลังมองอยู่ พอจะหันหน้าหนีกลับมีเสียงพูดดังขึ้นอีก
“ผมชื่อชเวมินโฮนะ”
“อีจินกิครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”รอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปากทำให้จินกิรู้สึกแปลกๆ
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มกลับไปให้
ยังไม่ทันที่จะคิดว่าควรทำยังไงต่อระหว่างเงียบไปเลยหรือชวนคุยบ้าง
ในโรงหนังก็มืดลงเป็นสัญญาณว่าหนังจะเริ่มฉายในไม่ช้า
จากคนแปลกหน้าที่บังเอิญจำกันได้ก็กลายเป็นคนที่รู้จักชื่อกันแบบไม่ทันตั้งตัว
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรกับการที่จะมีคนรู้จักชื่อเพิ่มขึ้นมาอีกสักคน
เพราะยังไงซะคงจะมีโอกาสได้เจอกันน้อยเต็มที
“คุณเป็นคนทำเกี่ยวกับการตัดต่อหนังเรื่องนี้จริงๆหรอ”น้ำเสียงนุ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อชเวมินโฮเอ่ยปากเล่าให้ฟังว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหนังที่บังเอิญดูพร้อมกันเมื่ออาทิตย์ก่อน
ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายบ่งบอกว่าเจ้าตัวอยากจะรู้เรื่องราวต่างๆให้มากกว่านี้
เมื่อหนังจบลงพวกเขาก็แยกย้ายและไม่ได้คุยอะไรกันอีก
จนกระทั่งวันนี้ที่มินโฮมาโรงพยาบาลสัตว์เพื่อพาสุนัขของแทมินมาตรวจร่างกายหลังผ่าตัด
เนื่องจากอีกฝ่ายติดงานอยู่ต่างจังหวัดจึงพามาตรวจเองไม่ได้
แต่ตอนที่กำลังเดินออกจากห้องตรวจก็พบกับอีจินกิที่เดินผ่านไปพอดี
ไวกว่าความคิดเมื่อปากของเขาขยับเรียกชื่ออีกฝ่ายให้หันกลับมา
หลังจากนั้นก็กลายเป็นว่ามายืนคุยกันตรงตู้กดน้ำถึงแม้แรกๆจะทำตัวไม่ถูกกันอยู่บ้างแต่ผ่านไปแค่ครู่เดียวกับพูดคุยกันได้ง่าย
“ใช่ครับ แล้วคุณว่ายังไงบ้าง”
“ผมเองก็ไม่ใช่นักวิจารณ์อะไร
แค่ดูสนุกๆเอง อืม ผมว่าภาพก็ออกมาสวยนะ คุณทำอะไรบ้างล่ะ”
“ผมรับผิดชอบเรื่องการตัดต่อและทำซีจี
ช่วยๆกันดูว่าควรให้หนังออกมาในรูปแบบไหนน่ะ”ดวงตาของอีกฝ่ายดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นอีกจนรู้สึกเอ็นดูปนขบขัน
หน้าที่ที่รับผิดชอบดูเยอะก็จริงแต่มันก็มีคนช่วยกันหลายคน
“คุณมีเวลานอนบ้างรึเปล่า”
“มีสิครับ ฮ่าๆ แต่บังเอิญมากเลยนะที่คุณทำงานอยู่ที่นี่”
“ปกติผมก็อยู่ที่นี่นะ
แต่ก็มีหน้าที่เสริมไปรักษาสัตว์ป่าที่สวนสัตว์ด้วย ผมเรียนเฉพาะทางด้านนั้นมา”คราวนี้เป็นชเวมินโฮเองที่ประหลาดใจ
คนตรงหน้าที่ยิ้มแย้มติดไปทางเอื่อยๆทำอะไรดูช้าๆทำให้นึกถึงงานอย่างคุณครูเด็กอนุบาลหรือจิตรกรมากกว่า
แต่นึกไปถึงตอนที่อีกฝ่ายรีบร้อนวิ่งฝ่าฝนจึงถามออกไป
“วันนั้นผมเห็นคุณวิ่งฝ่าฝนไปแล้วเจอคนอีกทีที่สวนสัตว์
มีเรื่องด่วนหรอครับ?”
“มียีราฟบาดเจ็บน่ะครับ
หลังจากนั้นกลายเป็นว่าพวกเขาคุยกันถูกคอกว่าที่คิด
จินกิชอบดูหนังจึงมักหาเวลาว่างไปดูหนังอยู่เสมอและเวลาว่างจากงานก็ไม่ค่อยตรงกับคนอื่นเท่าไหร่จึงไปไหนมาไหนคนเดียว
เรื่องราวต่างๆถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะชวนฟัง
ในช่วงขณะนั้นกลับมีความคิดหนึ่งขึ้นมา
ว่าหากได้ยินเสียงของอีจินกิในทุกๆวันนับจากนี้ไป
คงจะเป็นเรื่องราวที่ดีในชีวิตแน่ๆ
ชเวมินโฮเลยมีช่องทางการติดต่อของอีจินกิเพื่อพัฒนาจากคนรู้จักกันแค่ชื่อ
เป็นคนรู้จักที่รับรู้เรื่องราวต่างๆของกันและกัน
03
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ชีวิตของอีจินกิมีผู้ชายชื่อชเวมินโฮเข้ามาในชีวิต
ถึงพวกเขาทั้งคู่จะงานยุ่งพอๆกันแต่ก็ยังหาเวลามาเจอกันจนได้
จากเรื่องบังเอิญเล็กๆและสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดในวันนั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มพัฒนาความสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ
อาจเป็นเพราะนิสัยที่เข้ากันได้และมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้เข้าหากัน
ไม่อย่างนั้นต่างฝ่ายต่างคงไม่มีทางจำกันได้จากการพบเจอผ่านๆแน่ๆ
“ช่วงนี้ฝนตกตลอดเนอะ”จินกิพูดพลางมองไปยังพยากรณ์อากาศที่ขึ้นแจ้งเตือนในโทรศัพท์
เพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตจึงมีการแจ้งเตือนเรื่องฝนที่ค่อนข้างแม่นยำ
ไม่ว่าอะไรที่จำเป็นต้องใช้เสียงก็จะเตรียมตัวหรือหยุดชะงักลงไปก่อน
“ใช่ ลำบากมากเลยล่ะ ทำงานไม่ค่อยได้เลย”ร่างเพรียวหัวเราะเล็กน้อยแม้จะรู้ว่าเขาควรแสดงความเห็นใจ
แต่เห็นใบหน้าหล่อๆขมวดคิ้วยุ่งก็อดขำไม่ได้ เป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งกันระหว่างขบขันกับเอ็นดู
“ก็เลยว่างงานสินะ”
“ว่างตอนนี้แต่จะมีปัญหาเรื่องเร่งงานทีหลังน่ะสิ”
“น่าสงสารจัง”
“เป็นความสงสารที่จริงใจมากเลยครับคุณหมอ”
“คุณชเวมินโฮชมแบบนี้ผมก็เขินแย่สิ”ยิ่งเห็นตาโตๆหรี่ลงมองเหมือนอยากจะหาคำตอบโต้กลับแต่กลับคิดไม่ออกยิ่งนึกชอบใจ
ในขณะที่อ้าปากจะเอ่ยแหย่อีกครั้งจู่ๆโทรศัพท์ของพวกเขาทั้งคู่ก็ขึ้นแจ้งเตือนอีกครั้ง
การแจ้งเตือนก่อนหน้าคือเขตที่พวกเขาอยู่จะมีนตกประมาณร้อยละแปดสิบของพื้นที่
แต่รอบนี้คือการประกาศว่าอีกประมาณห้านาทีฝนจะตกลงมาแล้ว
“เดี๋ยวก็จะไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงฝนแล้วสิ”
“แต่ตอนฝนตกน่ะ
ผมว่ามันก็ทำให้รู้สึกสงบขึ้นมาเหมือนกันนะ”จินกิพยักหน้ารับคำตอบของคนตรงหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย
ในเวลานี้ถึงพวกเขาจะอยู่ในห้างและไม่เห็นสภาพอากาศภายนอก
แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเงียบลงนั่นหมายความว่าฝนด้านนอกกำลังตกแล้ว
เป็นไปตามที่แจ้งเตือน
จู่ๆเสียงรอบตัวเงียบลงจนไม่ได้ยินอะไรอีก
เพราะไม่มีหน้าต่างเลยไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝนที่กระทบสิ่งต่างๆ
ในความสงบมันกลับแฝงความอ้างว้างแม้ว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้มาตั้งแต่เกิด ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากับความเงียบไปอีกนานเท่าไหร่
ดวงตาเรียวมองไปยังคนตรงหน้าที่มองมายังตนเช่นกัน
ริมฝีปากอีกฝ่ายยกยิ้มก่อนที่มือถือจะถูกยื่นมาใกล้มากขึ้น
‘ทำอะไรดีล่ะ’
‘ผมจะเล่นเกมรอ’
“เด็ก”มือที่ถือโทรศัพท์เผลอคลายออกจนของในมือหล่นกระแทกกับเนื้อไม้
ดวงตาเล็กเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ แม้ว่ามันจะแผ่วเบาเสียยิ่งกว่าเสียงกระซิบ
แต่เพราะความเงียบงันเขาจึงได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาจากริมฝีปากที่ขยับขึ้นลง
อีจินกิได้ยินเสียงของชเวมินโฮ...
ตอนฝนตก?
ทางด้านคนที่พูดลอยๆเพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินก็ตกใจกับท่าทางของอีกฝ่ายเช่นกัน
ทำไมจินกิถึงได้ดูตกใจอะไรขนาดนั้น หรืออ่านปากเขาแล้วรู้ว่าเขาพูดอะไรออกไป? แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรเลย
‘เป็นอะไรรึเปล่า’
‘เปล่า’มินโฮหันกลับไปดูข้างหลังตนเองก็ไม่เห็นจะมีอะไร
พอหันกลับมาก็เห็นใบหน้าน่ารักฉายแววกังวลและมองมาที่ตนอยู่
‘แน่ใจนะ?’
‘อือ’
บางทีเขาอาจจะหูฝาดไปเอง แต่มันกลับเหมือนเขากำลังหลอกตัวเองอยู่..
ถ้าให้หาคำจำกัดความระหว่างชเวมินโฮกับอีจินกิ
ชเวมินโฮกลับรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถเรียกอีกฝ่ายว่าเพื่อนได้เต็มปากเต็มคำนัก
แน่นอนว่าการพบเจอคนแปลกหน้าแล้วพัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นเพื่อนมันเป็นเรื่องปกติ
เจอเรื่องที่ชอบคล้ายๆกัน
ลักษณะนิสัยไปด้วยกันได้ นัดเจอกัน กินข้าว ดูหนัง มันก็เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆที่ผ่านมา
แต่ไปๆมาๆกลับรู้สึกว่าพฤติกรรมหรือความคิดบางอย่างของตัวเองกลับทำให้คำว่าเพื่อนมันไม่ใช่แบบนี้
เพราะเขาไม่เคยรู้สึกกับเพื่อนคนไหนว่า
‘น่ารัก’ มาก่อน
ชายหนุ่มร่างสูงนั่งขมวดคิ้วอยู่หน้าจอคอมมาสักพักใหญ่แล้วแต่งานกลับไม่คืบหน้าเลย
ในหัวของเขากลับมีแต่เรื่องของจินกิเต็มไปหมดทั้งที่เมื่อก่อนไม่ถึงขั้นนี้
แค่อีกฝ่ายเงียบหายไปนานกว่าปกติก็กระวนกระวายไปหมด
มันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
พวกเขาเริ่มคุยกันตลอดเวลามาได้กี่วันแล้ว?
ทั้งที่ไม่ใช่คนโง่
ไม่ใช่คนที่ไม่เคยรักใครมาก่อน แต่ตอนนี้ชเวมินโฮกลับรู้สึกตัวเองเป็นคนโง่
เสียงท้องฟ้าที่คำรามลั่นทำให้มินโฮตั้งสติได้ว่างานของเขาที่ควรจะคืบหน้ากลับไมมีอะไรเพิ่มเติมเลย
ร่างสูงระบายลมหายใจออกมาก่อนจะปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์จนสะท้อนแค่เงาของตนเองเท่านั้น
เพียงครู่เดียวก็มีเสียงเม็ดฝนกระทบสิ่งต่างๆ
มันยังน่าฟังและคงความเหงาไว้ได้เช่นเคย เขาไม่ต้องรอให้ฝนตกแล้วลองให้คนน่ารักคนนั้นพูดอะไรสักคำ
มินโฮรู้ตัวดีว่าคนเก่าในใจเขากำลังเลือนรางและมีคนที่มีรอยยิ้มสดใสกว่าใครกำลังเข้ามาในหัวใจ
คุณหมอคนนี้ร้ายกาจเป็นบ้า..
ร่างสูงหลับตาลงฟังเสียงกระทบของน้ำฝนที่ชวนให้ง่วงนอน
แม้จะหลับตาและไม่ได้ยินอะไรแต่เสียงนุ่มชวนฟังของคุณหมออีกลับดังก้องชัดเจน
ขนาดที่แค่นึกถึงก็เหมือนกับอีกฝ่ายมานั่งอยู่ใกล้ๆแล้ว
04
สายลมเย็นพัดผ่านมาพร้อมกับกลิ่นฝนที่ยังอบอวลอยู่รอบตัว
พื้นดินเฉอะแฉะจนสัตว์แพทย์หนุ่มต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ลื่นจนเสียภาพลักษณ์ไปเสียก่อน
วันนี้มีแค่ตรวจสุขภาพสัตว์ในสวนสัตว์เท่านั้นจึงไม่มีงานอะไรหนักเกินไป
และสวนสัตว์เองก็มีสัตว์แพทย์คนอื่นที่มาช่วยตรวจด้วย
แต่พอมีเหตุสุดวิสัยทีไรเขามักจะถูกโทรตามก่อนทุกที
ด้วยเหตุผลแค่ว่าคุณหมออีเป็นที่ถูกใจของสิงสาราสัตว์ในสวนสัตว์มากกว่า
ทั้งที่พูดตามตรงแล้วสัตว์ป่าค่อนข้างจะไม่เป็นมิตรกับใครทั้งนั้น มันก็คงแค่เขาใจเย็นกว่าคุณหมอคนอื่น
พวกสัตว์เหล่านี้ไวกับความรู้สึกคนมาก
อีจินกิที่ไม่ค่อยจะตื่นตระหนกหรือมีท่าทางคุกคามกำราบสัตว์ให้อยู่เฉยเท่าไรจึงไม่ทำให้สัตว์พวกนี้เกิดความเครียดมากขึ้น
เหลือบมองเวลาเล็กน้อยก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดกับคนตัวสูงที่ช่วงนี้ทำตัวแปลกกว่าปกติ
แค่นึกถึงก็รู้สึกเหมือนหน้าจะเห่อร้อนขึ้นมาดื้อๆ
ไม่เคยพูดอะไรกับมินโฮตอนฝนตกอีกเลยไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดรึเปล่าในครั้งนั้น
แต่เอาเข้าจริงไม่ต้องไปพิสูจน์ให้ลำบาก
ความรู้สึกที่กำลังก่อตัวมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
ยิ่งมินโฮทำตัวแปลกกับเขามากเท่าไหร่มันก็ยิ่งรู้สึกได้ และชักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายก็คิดเช่นเดียวกับตนทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแล้ว
ตอนนี้มันอยู่ที่ว่าระหว่างพวกเขา ‘ใคร’ จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเพื่อขยับความสัมพันธ์ก่อนก็เท่านั้นเอง
อีกฝ่ายเป็นคนที่โดดเด่นเสียจนไม่ต้องเพ่งหาเลย
แม้จะมีผู้คนจำนวนมากพอสมควรแต่ชเวมินโฮก็ยังหาเจอได้ง่ายๆ
ใบหน้าดูดีนั่นมีรอยยิ้มก่อนที่จะโบกมือมาให้เป็นสัญญาณว่าเห็นจินกิแล้วเช่นกัน
“มานานรึยัง?”
“ไม่หรอก ไปกันดีกว่า”
“นายยังไม่บอกเลยว่าจะไปไหนกัน”มินโฮหัวเราะเมื่อคนถูกชวนมีน้ำเสียงงุนงงแต่ก็ยอมเดินมาด้วยกัน
ริมฝีปากยกยิ้มพลางหันหน้าไปมองคนที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ
“ท้าพิสูจน์ไง”
“หา???”
อีจินกิมองไปรอบๆร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยโทนอบอุ่นสบายตา
เป็นร้านที่จินกิเคยพูดลอยๆว่าอยากจะลองมาสักครั้งแต่ไม่มีโอกาสได้มาสักที ด้วยบรรยากาศของร้านทำให้การเข้ามาคนเดียวเป็นอะไรที่ดูไม่กลมกลืนกับสถานที่
กับบรรดาเพื่อนที่พอมีอยู่บ้างก็ไม่มีใครสนใจมานั่งร้านแบบนี้กับเขาแน่นอน
“ดีตามที่คิดไว้มั้ย”
“ดีกว่าที่คิดนะ ที่พามานี่จำได้หรอ?”
“อืม ไม่มีเหตุผลที่จะลืมนี่นา”คนตัวสูงเท้าคางมองริมฝีปากอิ่มที่ขยับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันทีหลังประโยคของตน
คงเพราะผิวที่ขาวจัดจึงเห็นชัดว่าแก้มกำลังขึ้นสีเรื่อจางๆ
ดวงตาเรียวฉายแววดีใจจนปิดไม่มิด และทุกอย่างที่เห็นทำให้มินโฮขอบคุณตัวเองที่เป็นคนช่างสังเกตและเอาใจใส่
“แล้วไหนล่ะที่ว่าจะพิสูจน์”
“ยังไม่ถึงเวลา”
“ทำไมดูยุ่งยากจัง”มินโฮหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย
และเป็นไปตามคาดที่อีจินกิจะทำหน้ายุ่งเมื่อได้คำตอบไม่ตรงกับความต้องการ
“อีกแปปเดียวเอง”
บทสนทนาเป็นไปอย่างไหลลื่นพร้อมกับอาหารที่พร่องจำนวนลงไปเรื่อยๆ
เพราะนั่งติดหน้าต่างจึงเห็นการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าได้ง่ายและชัดเจน
จากที่มีแสงแดดรำไรก็ค่อยๆมืดครึ้มจนเห็นประกายสายฟ้าที่พาดผ่านเป็นระยะ
แม้ทั้งคู่จะเห็นแต่ไม่ได้พูดถึงการที่จะไม่ได้ยินเสียงต่างๆบนโลกใบนี้
อีจินกิเข้าใจคำว่าท้าพิสูจน์ของชเวมินโฮแล้ว
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นว่าฝนกำลังจะตก
มือใหญ่ของมินโฮกดปิดแจ้งเตือนก่อนจะแหงนหน้ามองคนตรงหน้าที่กดปิดแจ้งเตือนเหมือนกัน
“รู้แล้วใช่มั้ย”
“ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอก
แต่คิดว่ารู้นะ”แม้จะดูเขินๆแต่ร่างเพรียวยังคงตอบโต้กลับมาได้ไม่ติดขัด ช่วงเวลาการรอในห้วงห้านาทีแม้จะดูยาวนานกว่าปกติแต่ก็ไม่ได้ทำให้อึดอัดเลย
และเมื่อถึงเวลาเสียงรบกวนรอบตัวทั้งเสียงพูดคุย เสียงช้อนส้อมที่กระทบจาน
หรือแม้กระทั่งรองเท้าที่กระทบกับพื้นไม้ก็เงียบลง
เหลือเพียงเสียงดังเปาะแปะของฝนที่กระทบหน้าต่าง และมีแนวโน้มว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาคมโตมองสัตวแพทย์ที่มีแววตาคาดหวังกลับมาให้ตน
ร่างสูงสูดลมหายใจลึกก่อนจะผ่อนออกมาด้วยความตื่นเต้น
แม้ว่าจะไม่ใช่รักครั้งแรกหรือได้ยินเสียงใครบางคนผ่านเสียงฝนครั้งแรกก็ตามที
“อีจินกิ”เจ้าของชื่อหลบสายตาไปเล็กน้อยแต่ก็ยอมสบตากันอีกครั้ง
ริมฝีปากอิ่มสวยคลี่ยิ้มกว้างและพยักหน้ารับคำพูดที่ชัดก้องในหัว
เป็นเสียงเรียกที่ชัดเจนคลอไปกับเสียงฝนยิ่งกว่าตอนที่บังเอิญได้ยินครั้งนั้น
พิสูจน์ชัดแล้วว่าเขาตกหลุมรักมินโฮจนสุดหัวใจ
“ได้ยินเสียงฉัน ใช่มั้ย?”น้ำเสียงที่เอ่ยไปแอบลังเลในตอนท้าย
จินกิรู้ว่ามินโฮเลิกรากับคนรักก่อนมาเจอกับตน
ถึงตอนนี้มินโฮจะมั่นใจแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาเป็นแบบไหน
แต่อีกใจก็ยังกังวลนิดหน่อยว่าจะยังไม่มากเท่าคนรักเก่าคนนั้น
“ได้ยินชัดมากเลยแหละ ดีจังเลยนะ”
“อ่า นั่นสินะ”ใบหน้าร้อนผ่าวและป่านนี้คงแดงจนเห็นได้ชัดแล้วแน่ๆ
ความกล้าที่จะมองตาชเวมินโฮมันหมดลงไปแล้วจึงเลือกจะหันหน้าหนีแทน
โดยที่คนต้นคิดแผนท้าพิสูจน์เองก็ใช้เวลาเล็กน้อยในการรวบรวมสติเพราะเขินตามไปแล้ว
“ถ้าไม่ขัดข้องอะไร คบกันมั้ย?
ทำให้มันชัดเจนน่ะ”
“ขนาดนี้แล้วฉันคงปฏิเสธไม่ได้ล่ะนะ”มินโฮหัวเราะคนที่พูดจาอ้อมค้อมเพราะเขินจนไม่มองตาเขาด้วยซ้ำ
มือสีแทนเอื้อมไปสัมผัสกับมือนุ่มบนโต๊ะจนร่างเพรียวสะดุ้งด้วยความตกใจแต่ก็ไม่ชักมือหนี
และยอมกลับมาสบตาอีกครั้งนึง
“ถึงมันจะชัดเจนอยู่แล้วแต่ฉันก็อยากจะพูดอยู่ดี
รักนะครับ”คำพูดแสนหวานที่ดังผ่านเสียงฝนทำให้น่าฟังกว่าที่เคย
จินกิไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการได้ยินคำว่ารักจากคนที่รักในช่วงฝนตก
มันจะอบอุ่นและอ่อนหวานจนลบความเงียบเหงาที่ผ่านมาได้จนหมดสิ้น
แม้จะเขินอายขนาดไหนแต่เพราะสายตาที่คาดหวังแม้ว่าคนที่เพิ่งพูดคำนั้นจะยังเขินอยู่ไม่น้อย
มือนุ่มพลิกหงายเปลี่ยนเป็นประสานมือเข้าไว้กับความอบอุ่น
ริมฝีปากเม้มลงเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา
“รักเหมือนกันนะ ชเวมินโฮ”
และหลังจากนี้เวลาที่สายฝนโปรยปรายลงมาจนสรรพสิ่งเงียบงัน
ก็จะมีเสียงของคนๆหนึ่งที่ดังชัดเจนแม้ว่าหยดน้ำที่ร่วงหล่นจะส่งเสียงดังขนาดไหนก็ตาม
ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่ใช่ช่วงที่น่าเบื่อและเงียบเหงาอีกต่อไปแล้ว
THE END
สวัสดีค่ะทุกคน
ยังจำกันได้มั้ยเอ่ย? หายไปนานเกือบสองปีเลยค่ะ ไม่ได้ทิ้งฟิคไปเลยนะคะเพราะพยายามมาเขียนต่อเรื่อยๆอยู่แต่ช้ามากๆจนกินเวลามานานขนาดนี้
ทั้งๆที่เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้วแต่กว่าจะจบนี่เอาเรื่องเลยนะคะแม้พล็อตจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม
แง
ต้องขอโทษคนที่ยังตามอยู่ด้วยนะคะที่ทิ้งช่วงนานขนาดนี้
และขอบคุณมากๆที่ยังรอกันอยู่ เราเองก็มีอีกหลายเรื่องที่อยากจะต่อแต่เพราะทำงานแล้วพอวันหยุดก็อยากจะนอนไม่ก็เที่ยวอย่างเดียวเลยค่ะ
ฮ่าๆ ยังคงพยายามพิมพ์สเปฟิคอีกสองเรื่องอยู่นะคะ (ซอมบี้กับโอเมก้า)
สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอให้คนอ่านทุกท่านมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงนะคะ ไว้พบกันใหม่ค่ะ อาจจะมีบางคำพิมพ์ผิดต้องขออภัยนะคะเพราะคีย์บอร์ดไม่ค่อยดีแล้ว แต่ก็ตรวจทานแล้วนะฮะ แง
ความคิดเห็น