ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF SHINee Yaoi&Yuri] HOOn Only!

    ลำดับตอนที่ #69 : Love Line

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 272
      10
      17 ส.ค. 62

    Matcha
      Love Line

    By: Crazy_Dragon

    [ท่านรอง ณ กากกามใจบาปเกิร์ลอินเตอร์เนชั่นแนลจำกัดมหาชน]

    หมายเหตุ: แฟนฟิคเรื่องนี้เป็นแนว “Rainverse” นะคะ ซึ่งเราได้มาจากทวิตนึงที่เขาพูดถึงจักรวาลต่างๆนอกเหนือโอเมก้าเวิร์ส แล้วรู้สึกมันน่ารักมากๆเลย ในจักรวาลนี้จะพูดถึงคนที่เป็นโซลเมทกันค่ะ ว่าเวลาฝนตกจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงของตัวเองกับโซลเมทของเรา หลักๆจะมีประมาณนี้ซึ่งเราขอปรับตามพล็อตเรื่องนะคะ

     

    01

                ในยามที่ท้องฟ้ามืดครึ้มและเริ่มมีหยาดน้ำเย็นเยียบตกกระทบสู่พื้นโลก ราวกับทุกสิ่งอย่างได้หยุดชะงัก มีเพียงเสียงของน้ำยามร่วงถูกสิ่งของต่างๆ สายฟ้าที่คำรามกึกก้อง เหมือนกับอยู่เพียงผู้เดียวบนโลกใบนี้ที่แม้มองเห็นกัน แต่กลับไม่อาจสื่อสารกันได้

                ทว่าทุกคนกลับเคยชินและใช้ชีวิตกันต่อไปราวกับไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น

                อีจินกิก็เช่นกัน..

                เวลานี้แม้จะมีผู้คนขวักไขว่และทำกิจกรรมต่างๆในร้านกาแฟกันเหมือนเคย แต่สิ่งที่หายไปคือเสียงรอบตัวเหลือเพียงเสียงฝนที่กระทบกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะงานหรือกิจกรรมยามว่างที่ใช้เสียงต้องหยุดชะงักลงไป ทุกคนสื่อสารกันผ่านภาษากาย พิมพ์ลงโทรศัพท์หรือเขียนใส่สมุด

                ดวงตามองตามคนที่กำลังคุยกันใต้ร่มสีใส ขาของทั้งคู่ก้าวเกินเป็นจังหวะเดียวกันพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ทุกคนตั้งแต่เกิดมาจะไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของคนในครอบครัวในยามฝนตก แต่กลับกลายเป็นว่าเสียงที่จะได้ยินกลับเป็นเสียงของคนที่รัก

                แน่นอนว่าอีจินกิห่างไกลกับคำนั้นค่อนข้างมากทีเดียว วันๆหนึ่งเขาวุ่นวายอยู่กับผู้ป่วยที่ไม่สามารถสื่อสารให้คนเข้าใจได้ และไม่ใช่พวกที่จะมีเจ้าของคอยปลอบให้มันหายตื่นกลัวหรือลดความก้าวร้าวลงเลย

                เมื่อละสายตาออกจากภาพด้านนอกก็เห็นว่าโทรศัพท์มือถือขึ้นแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้าใหม่ จากท่าทางผ่อนคลายกลายเป็นเร่งร้อนขึ้นทันที มือคว้าเอาของจำเป็นที่อยู่บนโต๊ะแล้วรีบวิ่งออกไปโดยไม่สนใจว่าตัวจะเปียกเพราะฝนเม็ดใหญ่ ไม่ได้ยินหรือสังเกตอะไรทั้งสิ้น

     

                ภาพของคนที่กำลังวิ่งฝ่าสายฝนอยู่ในสายตาของชเวมินโฮที่มีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด แม้จะอยู่บนรถประจำทางแต่ก็รับรู้ได้ผ่านเสียงกระทบของฝนว่าข้างนอกมันไม่ใช่เรื่องที่จะวิ่งฝ่าฝนออกไปเลย นึกอยากจะให้ยืมร่มในมือแต่มันคงไม่ทันการณ์อยู่ดี

                มันต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนขนาดไหนกันที่ทำให้คนๆหนึ่งยอมวิ่งฝ่าฝนทั้งที่ตัวเองไม่ได้ยินเสียง

                ความสนใจของชายหนุ่มร่างสูงถูกดึงกลับมาที่โทรศัพท์เมื่อมันมีการสั่นแจ้งเตือน ดวงตาคมโตอ่านชื่อคนโทรมาก่อนจะใช้เวลาสักพักเพื่อตัดสินใจรับสาย เสียงของอีกฝ่ายไม่ได้ดังชัดท่ามกลางสายฝนเหมือนที่ผ่านมาแล้ว

                “สวัสดีครับ”

                //พี่อยู่ไหนหรอ ผมมาถึงนานแล้วนะ//

                “อีกสักสิบนาทีนะ ตรงนั้นฝนไม่ตกหรอ”

                //ก็ ใกล้ตกแล้ว พี่รีบมาสิ//

                “...อืม เจอกัน”

                บางทีนี่อาจจะเป็นการนัดเจอครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ อีกฝ่ายคงอยากจบความสัมพันธ์ตอนนี้เต็มที เพราะเขาไม่มีเวลาให้จนมีคนอื่นที่มีเวลาให้แฟนของเขามากกว่า

                ความเสียใจมันย่อมมีอยู่แล้ว แต่เพราะพวกเขาต่างฝ่ายต่างปล่อยให้มีช่องว่างเพิ่มกันมากขึ้นเรื่อยๆ การติดต่อน้อยลงจนแทบจะไม่ได้พูดคุยกัน แม้ไม่มีใครพูดอะไรแต่ก็รับรู้กันได้ด้วยตนเองว่าความสัมพันธ์ตอนนี้มันไม่สามารถประคับประครองไว้ได้อีก

                สุดท้ายก็ย้อนกลับไปสู่ช่วงที่ไม่ได้ยินเสียงของใครในช่วงฝนตกอีกแล้วก็แค่นั้น

     

                “ดูเหมือนว่าจะปลอดภัยแล้วล่ะ โชคดีที่ขาไม่ได้หัก”สัตวแพทย์หนุ่มพูดพลางจดรายละเอียดคนไข้ตัวสูงกว่าห้าเมตรด้วยท่าทีผ่อนคลาย โชคดีที่สวนสัตว์กับร้านกาแฟอยู่ไม่ไกลกันมากนัก แต่ก็ทำให้คนที่ฝ่าฝนตัวเปียกทั้งตัว

                “ขอบคุณมากครับหมอ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

                “ไม่เป็นไรหรอก คราวหลังก็ตรวจดูสถานที่กันบ้างนะ ถ้าล้มแรงกว่านี้คงได้กระดูกหักจริงๆแน่”

                สวนสัตว์ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญจะมีศูนย์รักษาเพื่อความสะดวกในการรักษา จินกิเองก็เป็นบุคลากรของโรงพยาบาลสัตว์ที่เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่า เขาถึงได้ถูกส่งมาตรวจและรักษาที่นี่ประจำ แต่เวลาปกติก็รักษาสัตว์เลี้ยงทั่วไปและมีสัตว์ป่าบ้าง โดยสัตว์ป่าส่วนมากจะเป็นพวกที่ถูกมนุษย์นำมาเลี้ยง และเขาพบว่ามีเจ้าของจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าใจธรรมชาติของสัตว์เลยสักนิด

                “ขอโทษด้วยนะครับที่รบกวนเวลาพักผ่อน”

                “ไม่หรอก ดีแล้วที่รีบแจ้งมาน่ะ”ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาขณะพูดพลางมองไปยังทิศทางที่ยีราฟตัวนั้นกำลังพักฟื้น  แม้ตอนรักษาจะยังมีฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายแต่เพราะเคยชินกันไปแล้ว เลยไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร

                จินกิลุกขึ้นยืนพลางเก็บข้าวของให้เข้าที่ จากที่ตั้งใจว่าจะไปเดินเล่นในห้างหลังฝนหยุดคงต้องเปลี่ยนแผนเป็นกลับบ้านแล้วค่อยไปหาหนังดูรอบดึกแทน เวลานี้เสียงรอบตัวกลับมาชัดเจนเหมือนเดิมก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ช่วงที่ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดทำให้ค่อนข้างกดดันมากเกินปกติ

                “ไว้เจอกันนะ”

                “รักษาสุขภาพด้วยนะครับ”

                พอเดินออกมานอกอาคารก็พบว่าท้องฟ้าดูสดใสกว่าปกติ มีแอ่งน้ำบ้างบางจุดแต่ไม่นานมันก็คงระเหยหายไปจนหมด ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของครอบครัวและคู่รักที่พากันมาเที่ยว ดวงตาเล็กดันไปสะดุดเข้ากับคนๆหนึ่งที่กำลังนั่งบนม้านั่งใกล้ทางเข้าเพียงลำพัง

                คนมาเที่ยวคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่คนนี้ได้ให้ความรู้สึกว่าไม่ได้สนุกกับสถานที่ที่ตนเองอยู่อย่างชัดเจน ถึงจะแปลกใจแต่จินกิเลือกที่จะเดินผ่านไปโดยไม่ได้หันไปถามอะไรทั้งสิ้น

                โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าชายร่างสูงบนม้านั่งได้มองตามจนกระทั่งเดินออกไปพ้นสายตา

     

                “ไม่มีที่นัดเจอกันที่ดีกว่านี้แล้วหรอวะ”

                “สวนสัตว์ไม่ดีตรงไหน”เสียงทุ้มของมินโฮรีบเอ่ยแย้งเมื่อเพื่อนสนิทที่เพิ่งมาถึงพูดถึงสถานที่นัดเจอกัน อีแทมินถอนหายใจก่อนจะนั่งลงข้างๆ

                “ไม่เข้ากับคนแบบมึง”

                “เออ”ชายหนุ่มใบหน้าสวยหัวเราะกับคำตอบรับของคนที่มาถึงก่อน เมื่อเพื่อนสนิทบอกว่าเลิกกับแฟนแล้วทำให้เขานึกกังวล แต่ก็ไม่ได้ห่วงอะไรมากมายเพราะเท่าที่รู้มาคือความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นคล้ายกับการเลิกราด้วยดี เพียงแค่คนที่ยังพอจะรู้สึกมากกว่าคือชเวมินโฮ

                “แล้วยังไง จะดื่มย้อมใจที่บ้านหรือรอตอนดึกๆ”

                “มันก็ไม่ได้เสียใจมากนะเว้ย มันแบบ..โหวงๆ ถึงจะห่างกันมานานแล้วแต่พอไปจบจริงๆมันก็รู้สึกแบบนั้น”

                “ยุ่งยาก หาแฟนเป็นพวกงานยุ่งเหมือนกันเถอะ พวกตัดต่อภาพถ่ายภาพหรือดาราก็ได้ เยอะแยะเต็มไปหมด”

                “พูดเหมือนง่าย”อาชีพในกองถ่ายภาพยนตร์หรือละครค่อนข้างจะงานยุ่งพอสมควร ยิ่งฝีมือดีเป็นที่พูดถึงในวงการงานก็ย่อมมาติดๆกัน และประเทศที่เป็นดินแดนในการผลิตสื่อละครออกมาฉายได้เกือบทุกช่วงเวลาอย่างเกาหลีใต้ มีคนกี่คนมันก็แทบจะไม่พออยู่ดี

                “งั้นก็ไม่ต้องมี แล้วจะเอายังไงต่อ”

                “เดินเล่นในนี้ก่อนค่อยไปดื่มตอนดึก”

                “เที่ยวในสวนสัตว์กันสองคน โคตรโรแมนติคเลยว่ะ”ชเวมินโฮหัวเราะกับคำจิกกัดของเพื่อนสนิท ในหัวพลันนึกไปถึงคนที่วิ่งฝ่าฝนและยังบังเอิญเจออีกทีที่สวนสัตว์แห่งนี้ ยังนึกหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมจะต้องรีบร้อนในช่วงอันตรายมาที่นี่ด้วย

                แต่ใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปากกลับติดตาเขาเสียเหลือเกิน

     

    02

                จะมีสักกี่ครั้งคนเราจดจำหน้าตาของคนที่บังเอิญเจอเพียงครั้งเดียวได้

                วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชายหนุ่มร่างสูงหาช่วงเวลาวันหยุดมาดูภาพยนตร์ที่เขาเป็นหนึ่งในผู้ช่วยทำให้มันสำเร็จขึ้นมาได้ แม้ว่าเขาจะต้องคอยดูมันเป็นสิบเป็นร้อยรอบ ทั้งลงมือถ่ายภาพนักแสดงโปรโมทงาน ช่วยในการกำกับภาพและตัดต่อมันให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด แต่การได้มาดูผลงานตัวเองอีกครั้งและเห็นปฏิกิริยาคนดูมันก็ทำให้รู้สึกพอใจในงานของตัวเองมากขึ้น

                ในช่วงเวลาที่กำลังต่อแถวซื้อน้ำก็เห็นคนๆนั้นที่ยืนอยู่แถวข้างๆ มีเวลาให้พิจารณาเพิ่มอีกสักนิดถึงได้สังเกตว่าอีกฝ่ายเองก็มีใบหน้าที่น่ารัก แม้จะเป็นผู้ชายแต่ก็คิดว่าคำชมที่เหมาะสมก็คงต้องเป็นคำนี้เท่านั้น

                แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ดันจำคนๆนี้ได้ ถ้าหากดูหนังเรื่องเดียวกันอีกก็คงจะเป็นเรื่องบังเอิญไม่น้อยเลย

     

                มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่นอกจากจะดูหนังเรื่องเดียวกันแล้ว คนตัวสูงคนนั้นยังนั่งอยู่ข้างๆเขาอีกด้วย

                เขาเห็นอีกฝ่ายตั้งแต่ตอนซื้อป็อปคอร์นจนกระทั่งเดินมายังโรงหนังโรงเดียวกัน และยังมานั่งข้างๆกัน ดวงตาเล็กเหลือบมองไปยังคนแปลกหน้าที่ไม่น่าจะจำกันได้ด้วยความสนใจ จินกิเองก็ไม่คิดว่าตนเองจะจำคนๆนี้ได้ แต่ตอนต่อแถวซื้อของกลับรู้สึกคุ้นหน้าจนกระทั่งนึกออกว่าเคยเจอที่สวนสัตว์

                เป็นคนที่ดูดีได้แม้จะอยู่ในชุดธรรมดาๆ หากอีกฝ่ายเป็นดารานักแสดงคงจะมีแฟนคลับจำนวนมากแน่ๆ ในขณะที่กำลังมองด้วยความสนใจอีกฝ่ายกลับหันมามองเช่นกัน ไม่ใช่แค่ตัวจินกิเองที่ตกใจ คนตัวสูงตรงหน้าเองก็ดูตกใจไม่น้อย

                สถานการณ์ที่จัดว่าอยู่ในช่วงกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกทั้งคู่ จะหันหน้าหนีก็กลัวจะแปลกไปกันใหญ่เพราะถูกจับได้ว่ามองอยู่ ในหัวของจินกิถ้ามีเฟืองอยู่คงหมุนจนเกิดเสียงแกรกๆไปบ่งบอกถึงความคิดที่วิ่งวุ่นเต็มหัว แต่แล้วคนที่ทำลายความเงียบกลับเป็นคนๆนั้น

                “เอ่อ ผมเคยเจอคุณตอนฝนตกแล้วจำได้น่ะครับ”

                “ผมเจอคุณที่สวนสัตว์น่ะ”แม้จะประหลาดใจที่อีกฝ่ายก็จำเขาได้แต่ก็ไม่อยากคุยต่อแล้ว รู้สึกอายเหมือนกันที่โดนรู้ว่ากำลังมองอยู่ พอจะหันหน้าหนีกลับมีเสียงพูดดังขึ้นอีก

                “ผมชื่อชเวมินโฮนะ”

                “อีจินกิครับ”

                “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”รอยยิ้มเล็กๆตรงมุมปากทำให้จินกิรู้สึกแปลกๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งยิ้มกลับไปให้ ยังไม่ทันที่จะคิดว่าควรทำยังไงต่อระหว่างเงียบไปเลยหรือชวนคุยบ้าง ในโรงหนังก็มืดลงเป็นสัญญาณว่าหนังจะเริ่มฉายในไม่ช้า

                จากคนแปลกหน้าที่บังเอิญจำกันได้ก็กลายเป็นคนที่รู้จักชื่อกันแบบไม่ทันตั้งตัว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรกับการที่จะมีคนรู้จักชื่อเพิ่มขึ้นมาอีกสักคน เพราะยังไงซะคงจะมีโอกาสได้เจอกันน้อยเต็มที

     

                “คุณเป็นคนทำเกี่ยวกับการตัดต่อหนังเรื่องนี้จริงๆหรอ”น้ำเสียงนุ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อชเวมินโฮเอ่ยปากเล่าให้ฟังว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหนังที่บังเอิญดูพร้อมกันเมื่ออาทิตย์ก่อน ดวงตาเรียวเล็กเป็นประกายบ่งบอกว่าเจ้าตัวอยากจะรู้เรื่องราวต่างๆให้มากกว่านี้

                เมื่อหนังจบลงพวกเขาก็แยกย้ายและไม่ได้คุยอะไรกันอีก จนกระทั่งวันนี้ที่มินโฮมาโรงพยาบาลสัตว์เพื่อพาสุนัขของแทมินมาตรวจร่างกายหลังผ่าตัด เนื่องจากอีกฝ่ายติดงานอยู่ต่างจังหวัดจึงพามาตรวจเองไม่ได้

                แต่ตอนที่กำลังเดินออกจากห้องตรวจก็พบกับอีจินกิที่เดินผ่านไปพอดี ไวกว่าความคิดเมื่อปากของเขาขยับเรียกชื่ออีกฝ่ายให้หันกลับมา หลังจากนั้นก็กลายเป็นว่ามายืนคุยกันตรงตู้กดน้ำถึงแม้แรกๆจะทำตัวไม่ถูกกันอยู่บ้างแต่ผ่านไปแค่ครู่เดียวกับพูดคุยกันได้ง่าย

                “ใช่ครับ แล้วคุณว่ายังไงบ้าง”

                “ผมเองก็ไม่ใช่นักวิจารณ์อะไร แค่ดูสนุกๆเอง อืม ผมว่าภาพก็ออกมาสวยนะ คุณทำอะไรบ้างล่ะ”

                “ผมรับผิดชอบเรื่องการตัดต่อและทำซีจี ช่วยๆกันดูว่าควรให้หนังออกมาในรูปแบบไหนน่ะ”ดวงตาของอีกฝ่ายดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นอีกจนรู้สึกเอ็นดูปนขบขัน หน้าที่ที่รับผิดชอบดูเยอะก็จริงแต่มันก็มีคนช่วยกันหลายคน

                “คุณมีเวลานอนบ้างรึเปล่า”

                “มีสิครับ ฮ่าๆ แต่บังเอิญมากเลยนะที่คุณทำงานอยู่ที่นี่”

                “ปกติผมก็อยู่ที่นี่นะ แต่ก็มีหน้าที่เสริมไปรักษาสัตว์ป่าที่สวนสัตว์ด้วย ผมเรียนเฉพาะทางด้านนั้นมา”คราวนี้เป็นชเวมินโฮเองที่ประหลาดใจ คนตรงหน้าที่ยิ้มแย้มติดไปทางเอื่อยๆทำอะไรดูช้าๆทำให้นึกถึงงานอย่างคุณครูเด็กอนุบาลหรือจิตรกรมากกว่า แต่นึกไปถึงตอนที่อีกฝ่ายรีบร้อนวิ่งฝ่าฝนจึงถามออกไป

                “วันนั้นผมเห็นคุณวิ่งฝ่าฝนไปแล้วเจอคนอีกทีที่สวนสัตว์ มีเรื่องด่วนหรอครับ?”

                “มียีราฟบาดเจ็บน่ะครับ

                หลังจากนั้นกลายเป็นว่าพวกเขาคุยกันถูกคอกว่าที่คิด จินกิชอบดูหนังจึงมักหาเวลาว่างไปดูหนังอยู่เสมอและเวลาว่างจากงานก็ไม่ค่อยตรงกับคนอื่นเท่าไหร่จึงไปไหนมาไหนคนเดียว เรื่องราวต่างๆถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะชวนฟัง

                ในช่วงขณะนั้นกลับมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ว่าหากได้ยินเสียงของอีจินกิในทุกๆวันนับจากนี้ไป คงจะเป็นเรื่องราวที่ดีในชีวิตแน่ๆ

                ชเวมินโฮเลยมีช่องทางการติดต่อของอีจินกิเพื่อพัฒนาจากคนรู้จักกันแค่ชื่อ เป็นคนรู้จักที่รับรู้เรื่องราวต่างๆของกันและกัน

     

    03

                ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ชีวิตของอีจินกิมีผู้ชายชื่อชเวมินโฮเข้ามาในชีวิต ถึงพวกเขาทั้งคู่จะงานยุ่งพอๆกันแต่ก็ยังหาเวลามาเจอกันจนได้ จากเรื่องบังเอิญเล็กๆและสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดในวันนั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มพัฒนาความสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ

                อาจเป็นเพราะนิสัยที่เข้ากันได้และมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดให้เข้าหากัน ไม่อย่างนั้นต่างฝ่ายต่างคงไม่มีทางจำกันได้จากการพบเจอผ่านๆแน่ๆ

                “ช่วงนี้ฝนตกตลอดเนอะ”จินกิพูดพลางมองไปยังพยากรณ์อากาศที่ขึ้นแจ้งเตือนในโทรศัพท์ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตจึงมีการแจ้งเตือนเรื่องฝนที่ค่อนข้างแม่นยำ ไม่ว่าอะไรที่จำเป็นต้องใช้เสียงก็จะเตรียมตัวหรือหยุดชะงักลงไปก่อน

                “ใช่ ลำบากมากเลยล่ะ ทำงานไม่ค่อยได้เลย”ร่างเพรียวหัวเราะเล็กน้อยแม้จะรู้ว่าเขาควรแสดงความเห็นใจ แต่เห็นใบหน้าหล่อๆขมวดคิ้วยุ่งก็อดขำไม่ได้ เป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งกันระหว่างขบขันกับเอ็นดู

                “ก็เลยว่างงานสินะ”

                “ว่างตอนนี้แต่จะมีปัญหาเรื่องเร่งงานทีหลังน่ะสิ”

                “น่าสงสารจัง”

                “เป็นความสงสารที่จริงใจมากเลยครับคุณหมอ”

                “คุณชเวมินโฮชมแบบนี้ผมก็เขินแย่สิ”ยิ่งเห็นตาโตๆหรี่ลงมองเหมือนอยากจะหาคำตอบโต้กลับแต่กลับคิดไม่ออกยิ่งนึกชอบใจ ในขณะที่อ้าปากจะเอ่ยแหย่อีกครั้งจู่ๆโทรศัพท์ของพวกเขาทั้งคู่ก็ขึ้นแจ้งเตือนอีกครั้ง การแจ้งเตือนก่อนหน้าคือเขตที่พวกเขาอยู่จะมีนตกประมาณร้อยละแปดสิบของพื้นที่ แต่รอบนี้คือการประกาศว่าอีกประมาณห้านาทีฝนจะตกลงมาแล้ว

                “เดี๋ยวก็จะไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงฝนแล้วสิ”

                “แต่ตอนฝนตกน่ะ ผมว่ามันก็ทำให้รู้สึกสงบขึ้นมาเหมือนกันนะ”จินกิพยักหน้ารับคำตอบของคนตรงหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย ในเวลานี้ถึงพวกเขาจะอยู่ในห้างและไม่เห็นสภาพอากาศภายนอก แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเงียบลงนั่นหมายความว่าฝนด้านนอกกำลังตกแล้ว

                เป็นไปตามที่แจ้งเตือน จู่ๆเสียงรอบตัวเงียบลงจนไม่ได้ยินอะไรอีก เพราะไม่มีหน้าต่างเลยไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงฝนที่กระทบสิ่งต่างๆ ในความสงบมันกลับแฝงความอ้างว้างแม้ว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้มาตั้งแต่เกิด ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากับความเงียบไปอีกนานเท่าไหร่

                ดวงตาเรียวมองไปยังคนตรงหน้าที่มองมายังตนเช่นกัน ริมฝีปากอีกฝ่ายยกยิ้มก่อนที่มือถือจะถูกยื่นมาใกล้มากขึ้น

                ทำอะไรดีล่ะ

                ‘ผมจะเล่นเกมรอ

                “เด็ก”มือที่ถือโทรศัพท์เผลอคลายออกจนของในมือหล่นกระแทกกับเนื้อไม้ ดวงตาเล็กเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ แม้ว่ามันจะแผ่วเบาเสียยิ่งกว่าเสียงกระซิบ แต่เพราะความเงียบงันเขาจึงได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังลอดออกมาจากริมฝีปากที่ขยับขึ้นลง

                อีจินกิได้ยินเสียงของชเวมินโฮ...

              ตอนฝนตก?

                ทางด้านคนที่พูดลอยๆเพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินก็ตกใจกับท่าทางของอีกฝ่ายเช่นกัน ทำไมจินกิถึงได้ดูตกใจอะไรขนาดนั้น หรืออ่านปากเขาแล้วรู้ว่าเขาพูดอะไรออกไป? แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรเลย

                เป็นอะไรรึเปล่า

                เปล่ามินโฮหันกลับไปดูข้างหลังตนเองก็ไม่เห็นจะมีอะไร พอหันกลับมาก็เห็นใบหน้าน่ารักฉายแววกังวลและมองมาที่ตนอยู่

                แน่ใจนะ?

                ‘อือ

                บางทีเขาอาจจะหูฝาดไปเอง แต่มันกลับเหมือนเขากำลังหลอกตัวเองอยู่..

     

                ถ้าให้หาคำจำกัดความระหว่างชเวมินโฮกับอีจินกิ ชเวมินโฮกลับรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถเรียกอีกฝ่ายว่าเพื่อนได้เต็มปากเต็มคำนัก แน่นอนว่าการพบเจอคนแปลกหน้าแล้วพัฒนาความสัมพันธ์มาเป็นเพื่อนมันเป็นเรื่องปกติ

                เจอเรื่องที่ชอบคล้ายๆกัน ลักษณะนิสัยไปด้วยกันได้ นัดเจอกัน กินข้าว ดูหนัง มันก็เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆที่ผ่านมา แต่ไปๆมาๆกลับรู้สึกว่าพฤติกรรมหรือความคิดบางอย่างของตัวเองกลับทำให้คำว่าเพื่อนมันไม่ใช่แบบนี้

                เพราะเขาไม่เคยรู้สึกกับเพื่อนคนไหนว่า น่ารักมาก่อน

                ชายหนุ่มร่างสูงนั่งขมวดคิ้วอยู่หน้าจอคอมมาสักพักใหญ่แล้วแต่งานกลับไม่คืบหน้าเลย ในหัวของเขากลับมีแต่เรื่องของจินกิเต็มไปหมดทั้งที่เมื่อก่อนไม่ถึงขั้นนี้ แค่อีกฝ่ายเงียบหายไปนานกว่าปกติก็กระวนกระวายไปหมด

                มันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? พวกเขาเริ่มคุยกันตลอดเวลามาได้กี่วันแล้ว?

                ทั้งที่ไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่คนที่ไม่เคยรักใครมาก่อน แต่ตอนนี้ชเวมินโฮกลับรู้สึกตัวเองเป็นคนโง่

                เสียงท้องฟ้าที่คำรามลั่นทำให้มินโฮตั้งสติได้ว่างานของเขาที่ควรจะคืบหน้ากลับไมมีอะไรเพิ่มเติมเลย ร่างสูงระบายลมหายใจออกมาก่อนจะปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์จนสะท้อนแค่เงาของตนเองเท่านั้น

                เพียงครู่เดียวก็มีเสียงเม็ดฝนกระทบสิ่งต่างๆ มันยังน่าฟังและคงความเหงาไว้ได้เช่นเคย เขาไม่ต้องรอให้ฝนตกแล้วลองให้คนน่ารักคนนั้นพูดอะไรสักคำ มินโฮรู้ตัวดีว่าคนเก่าในใจเขากำลังเลือนรางและมีคนที่มีรอยยิ้มสดใสกว่าใครกำลังเข้ามาในหัวใจ

                คุณหมอคนนี้ร้ายกาจเป็นบ้า..

                ร่างสูงหลับตาลงฟังเสียงกระทบของน้ำฝนที่ชวนให้ง่วงนอน แม้จะหลับตาและไม่ได้ยินอะไรแต่เสียงนุ่มชวนฟังของคุณหมออีกลับดังก้องชัดเจน ขนาดที่แค่นึกถึงก็เหมือนกับอีกฝ่ายมานั่งอยู่ใกล้ๆแล้ว

     

    04

                สายลมเย็นพัดผ่านมาพร้อมกับกลิ่นฝนที่ยังอบอวลอยู่รอบตัว พื้นดินเฉอะแฉะจนสัตว์แพทย์หนุ่มต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ลื่นจนเสียภาพลักษณ์ไปเสียก่อน วันนี้มีแค่ตรวจสุขภาพสัตว์ในสวนสัตว์เท่านั้นจึงไม่มีงานอะไรหนักเกินไป และสวนสัตว์เองก็มีสัตว์แพทย์คนอื่นที่มาช่วยตรวจด้วย แต่พอมีเหตุสุดวิสัยทีไรเขามักจะถูกโทรตามก่อนทุกที

                ด้วยเหตุผลแค่ว่าคุณหมออีเป็นที่ถูกใจของสิงสาราสัตว์ในสวนสัตว์มากกว่า ทั้งที่พูดตามตรงแล้วสัตว์ป่าค่อนข้างจะไม่เป็นมิตรกับใครทั้งนั้น มันก็คงแค่เขาใจเย็นกว่าคุณหมอคนอื่น พวกสัตว์เหล่านี้ไวกับความรู้สึกคนมาก อีจินกิที่ไม่ค่อยจะตื่นตระหนกหรือมีท่าทางคุกคามกำราบสัตว์ให้อยู่เฉยเท่าไรจึงไม่ทำให้สัตว์พวกนี้เกิดความเครียดมากขึ้น

                เหลือบมองเวลาเล็กน้อยก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลานัดกับคนตัวสูงที่ช่วงนี้ทำตัวแปลกกว่าปกติ แค่นึกถึงก็รู้สึกเหมือนหน้าจะเห่อร้อนขึ้นมาดื้อๆ ไม่เคยพูดอะไรกับมินโฮตอนฝนตกอีกเลยไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดรึเปล่าในครั้งนั้น

                แต่เอาเข้าจริงไม่ต้องไปพิสูจน์ให้ลำบาก ความรู้สึกที่กำลังก่อตัวมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ยิ่งมินโฮทำตัวแปลกกับเขามากเท่าไหร่มันก็ยิ่งรู้สึกได้ และชักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายก็คิดเช่นเดียวกับตนทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแล้ว

                ตอนนี้มันอยู่ที่ว่าระหว่างพวกเขา ใครจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากเพื่อขยับความสัมพันธ์ก่อนก็เท่านั้นเอง

                อีกฝ่ายเป็นคนที่โดดเด่นเสียจนไม่ต้องเพ่งหาเลย แม้จะมีผู้คนจำนวนมากพอสมควรแต่ชเวมินโฮก็ยังหาเจอได้ง่ายๆ ใบหน้าดูดีนั่นมีรอยยิ้มก่อนที่จะโบกมือมาให้เป็นสัญญาณว่าเห็นจินกิแล้วเช่นกัน

                “มานานรึยัง?”

                “ไม่หรอก ไปกันดีกว่า”

                “นายยังไม่บอกเลยว่าจะไปไหนกัน”มินโฮหัวเราะเมื่อคนถูกชวนมีน้ำเสียงงุนงงแต่ก็ยอมเดินมาด้วยกัน ริมฝีปากยกยิ้มพลางหันหน้าไปมองคนที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ

                “ท้าพิสูจน์ไง”

                “หา???”

               

                อีจินกิมองไปรอบๆร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยโทนอบอุ่นสบายตา เป็นร้านที่จินกิเคยพูดลอยๆว่าอยากจะลองมาสักครั้งแต่ไม่มีโอกาสได้มาสักที ด้วยบรรยากาศของร้านทำให้การเข้ามาคนเดียวเป็นอะไรที่ดูไม่กลมกลืนกับสถานที่ กับบรรดาเพื่อนที่พอมีอยู่บ้างก็ไม่มีใครสนใจมานั่งร้านแบบนี้กับเขาแน่นอน

                “ดีตามที่คิดไว้มั้ย”

                “ดีกว่าที่คิดนะ ที่พามานี่จำได้หรอ?”

                “อืม ไม่มีเหตุผลที่จะลืมนี่นา”คนตัวสูงเท้าคางมองริมฝีปากอิ่มที่ขยับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันทีหลังประโยคของตน คงเพราะผิวที่ขาวจัดจึงเห็นชัดว่าแก้มกำลังขึ้นสีเรื่อจางๆ ดวงตาเรียวฉายแววดีใจจนปิดไม่มิด และทุกอย่างที่เห็นทำให้มินโฮขอบคุณตัวเองที่เป็นคนช่างสังเกตและเอาใจใส่

                “แล้วไหนล่ะที่ว่าจะพิสูจน์”

                “ยังไม่ถึงเวลา”

                “ทำไมดูยุ่งยากจัง”มินโฮหัวเราะออกมาเล็กน้อยกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย และเป็นไปตามคาดที่อีจินกิจะทำหน้ายุ่งเมื่อได้คำตอบไม่ตรงกับความต้องการ

                “อีกแปปเดียวเอง”

                บทสนทนาเป็นไปอย่างไหลลื่นพร้อมกับอาหารที่พร่องจำนวนลงไปเรื่อยๆ เพราะนั่งติดหน้าต่างจึงเห็นการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าได้ง่ายและชัดเจน จากที่มีแสงแดดรำไรก็ค่อยๆมืดครึ้มจนเห็นประกายสายฟ้าที่พาดผ่านเป็นระยะ แม้ทั้งคู่จะเห็นแต่ไม่ได้พูดถึงการที่จะไม่ได้ยินเสียงต่างๆบนโลกใบนี้

                อีจินกิเข้าใจคำว่าท้าพิสูจน์ของชเวมินโฮแล้ว

                เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นว่าฝนกำลังจะตก มือใหญ่ของมินโฮกดปิดแจ้งเตือนก่อนจะแหงนหน้ามองคนตรงหน้าที่กดปิดแจ้งเตือนเหมือนกัน

                “รู้แล้วใช่มั้ย”

                “ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอก แต่คิดว่ารู้นะ”แม้จะดูเขินๆแต่ร่างเพรียวยังคงตอบโต้กลับมาได้ไม่ติดขัด ช่วงเวลาการรอในห้วงห้านาทีแม้จะดูยาวนานกว่าปกติแต่ก็ไม่ได้ทำให้อึดอัดเลย และเมื่อถึงเวลาเสียงรบกวนรอบตัวทั้งเสียงพูดคุย เสียงช้อนส้อมที่กระทบจาน หรือแม้กระทั่งรองเท้าที่กระทบกับพื้นไม้ก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงดังเปาะแปะของฝนที่กระทบหน้าต่าง และมีแนวโน้มว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ

                ดวงตาคมโตมองสัตวแพทย์ที่มีแววตาคาดหวังกลับมาให้ตน ร่างสูงสูดลมหายใจลึกก่อนจะผ่อนออกมาด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าจะไม่ใช่รักครั้งแรกหรือได้ยินเสียงใครบางคนผ่านเสียงฝนครั้งแรกก็ตามที

                “อีจินกิ”เจ้าของชื่อหลบสายตาไปเล็กน้อยแต่ก็ยอมสบตากันอีกครั้ง ริมฝีปากอิ่มสวยคลี่ยิ้มกว้างและพยักหน้ารับคำพูดที่ชัดก้องในหัว เป็นเสียงเรียกที่ชัดเจนคลอไปกับเสียงฝนยิ่งกว่าตอนที่บังเอิญได้ยินครั้งนั้น พิสูจน์ชัดแล้วว่าเขาตกหลุมรักมินโฮจนสุดหัวใจ

                “ได้ยินเสียงฉัน ใช่มั้ย?”น้ำเสียงที่เอ่ยไปแอบลังเลในตอนท้าย จินกิรู้ว่ามินโฮเลิกรากับคนรักก่อนมาเจอกับตน ถึงตอนนี้มินโฮจะมั่นใจแล้วว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาเป็นแบบไหน แต่อีกใจก็ยังกังวลนิดหน่อยว่าจะยังไม่มากเท่าคนรักเก่าคนนั้น

                “ได้ยินชัดมากเลยแหละ ดีจังเลยนะ”

                “อ่า นั่นสินะ”ใบหน้าร้อนผ่าวและป่านนี้คงแดงจนเห็นได้ชัดแล้วแน่ๆ ความกล้าที่จะมองตาชเวมินโฮมันหมดลงไปแล้วจึงเลือกจะหันหน้าหนีแทน โดยที่คนต้นคิดแผนท้าพิสูจน์เองก็ใช้เวลาเล็กน้อยในการรวบรวมสติเพราะเขินตามไปแล้ว

                “ถ้าไม่ขัดข้องอะไร คบกันมั้ย? ทำให้มันชัดเจนน่ะ”

                “ขนาดนี้แล้วฉันคงปฏิเสธไม่ได้ล่ะนะ”มินโฮหัวเราะคนที่พูดจาอ้อมค้อมเพราะเขินจนไม่มองตาเขาด้วยซ้ำ มือสีแทนเอื้อมไปสัมผัสกับมือนุ่มบนโต๊ะจนร่างเพรียวสะดุ้งด้วยความตกใจแต่ก็ไม่ชักมือหนี และยอมกลับมาสบตาอีกครั้งนึง

                “ถึงมันจะชัดเจนอยู่แล้วแต่ฉันก็อยากจะพูดอยู่ดี รักนะครับ”คำพูดแสนหวานที่ดังผ่านเสียงฝนทำให้น่าฟังกว่าที่เคย จินกิไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการได้ยินคำว่ารักจากคนที่รักในช่วงฝนตก มันจะอบอุ่นและอ่อนหวานจนลบความเงียบเหงาที่ผ่านมาได้จนหมดสิ้น

                แม้จะเขินอายขนาดไหนแต่เพราะสายตาที่คาดหวังแม้ว่าคนที่เพิ่งพูดคำนั้นจะยังเขินอยู่ไม่น้อย มือนุ่มพลิกหงายเปลี่ยนเป็นประสานมือเข้าไว้กับความอบอุ่น ริมฝีปากเม้มลงเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา

                “รักเหมือนกันนะ ชเวมินโฮ”

                และหลังจากนี้เวลาที่สายฝนโปรยปรายลงมาจนสรรพสิ่งเงียบงัน ก็จะมีเสียงของคนๆหนึ่งที่ดังชัดเจนแม้ว่าหยดน้ำที่ร่วงหล่นจะส่งเสียงดังขนาดไหนก็ตาม ช่วงเวลาเหล่านี้ไม่ใช่ช่วงที่น่าเบื่อและเงียบเหงาอีกต่อไปแล้ว

     

    THE END

                สวัสดีค่ะทุกคน ยังจำกันได้มั้ยเอ่ย? หายไปนานเกือบสองปีเลยค่ะ ไม่ได้ทิ้งฟิคไปเลยนะคะเพราะพยายามมาเขียนต่อเรื่อยๆอยู่แต่ช้ามากๆจนกินเวลามานานขนาดนี้ ทั้งๆที่เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้วแต่กว่าจะจบนี่เอาเรื่องเลยนะคะแม้พล็อตจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม แง

                ต้องขอโทษคนที่ยังตามอยู่ด้วยนะคะที่ทิ้งช่วงนานขนาดนี้ และขอบคุณมากๆที่ยังรอกันอยู่ เราเองก็มีอีกหลายเรื่องที่อยากจะต่อแต่เพราะทำงานแล้วพอวันหยุดก็อยากจะนอนไม่ก็เที่ยวอย่างเดียวเลยค่ะ ฮ่าๆ ยังคงพยายามพิมพ์สเปฟิคอีกสองเรื่องอยู่นะคะ (ซอมบี้กับโอเมก้า)

                สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอให้คนอ่านทุกท่านมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงนะคะ ไว้พบกันใหม่ค่ะ อาจจะมีบางคำพิมพ์ผิดต้องขออภัยนะคะเพราะคีย์บอร์ดไม่ค่อยดีแล้ว แต่ก็ตรวจทานแล้วนะฮะ แง

           
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×