คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Case 1 : Magic is Magic [END]
Case 1 : Magic is Magic
บทที่ 4
ผู้ที่เหนือกว่านักมายากล ก็คงเป็นผู้กำกับการแสดงที่รู้ทริคทุกอย่างและกำหนดให้นักมายากลเป็นไปตามที่ต้องการ
คดีนี้กำลังจะปิดลง แต่จะเป็นการเริ่มต้นเรื่องราวต่างๆ
ปีศาจจากนรกนั้น...ไม่มีความปรารถนาอื่นใดนอกจากกำจัดปีศาจนอกรีตทิ้งซะ
.
.
.
.
สีหน้าหวาดกลัวปรากฏขึ้นแทบจะทันทีหลังคำพูดของจงฮยอน ดวงตาเล็กตวัดมองไปยังทิศทางที่มีใครบางคนอยู่ในความมืดแต่ก็ไม่พบสิ่งใด ที่ผ่านมาพวกเขามักจะโดนต่อว่าทำร้ายหลายครั้งแต่ปีศาจจากนรก หรือปีศาจที่ปกครองปีศาจทั้งหมดนั้นไม่เคยยื่นมือลงมา
“แทมิน..ไม่ต้องแล้ว คุ้มครองพวกเราให้ได้มากที่สุด เร็ว!!”น้ำเสียงหวาดกลัวและสีหน้าหวาดหวั่นที่ไม่เคยพบเจอทำให้แทมินรีบทำตามโดยเร็ว เสียงหัวเราะชวนหวาดหวั่นดังไปทั่วทำให้หน่วยปีศาจเอ็กโซซิสท์ยิ่งดูเคร่งเครียด โดยยิ่งหัวหน้าหน่วยมีท่าทางหวาดกลัวยิ่งทำให้อีกสี่คนรู้สึกไม่ดี
จงฮยอนมองไปรอบๆเพราะเขาสายตาดีที่สุดแต่ไม่พบใครทั้งสิ้น แม้กระทั่งกลิ่นมนุษย์ที่น่าจะร่วมมือกับดาร์คเอลฟ์นั้นก็ไม่มี
บาเรียที่โปร่งใสนั้นดูเข้มข้นขึ้นทุกขณะจนคล้ายกระจกหนาที่ยังมองผ่านไปข้างนอกได้ คิมจงฮยอนรู้ดีว่าปีศาจจากนรกนั้นน่ากลัวและพลังมากมายขนาดไหน เพราะจินกิเป็นคนในหน่วยเพียงคนเดียวที่รอดจากเหตุการณ์ฆ่าล้างศาสนจักรเมื่อร้อยปีก่อน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นศาสนจักรได้สูญเสียมนุษย์ไปจำนวนมาก และอีจินกิที่เพิ่งเข้าไปไม่นานก็เกือบไม่รอดชีวิตกลับออกมา ถ้าไม่ได้ผู้นำเอ็กโซซิสท์คนเก่าช่วยเหลือเอาไว้โดยเอาชีวิตเข้าแลก
ภาพของชายที่เก่งกาจและองอาจที่จินกินับถือเหมือนบิดายามถูกฉีกกระชากยังคงติดอยู่ในความทรงจำของอีจนกิ แต่สุดท้ายปีศาจนั้นก็ถูกฆ่าตายด้วยพลังสุดท้ายของชายคนนั้น..เอ็กโซซิสท์ที่เป็นมนุษย์และสละชีวิตเพื่อปีศาจแบบจินกิ
และหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของอีจินกิกับศาสนจักรก็ย่ำแย่ลงทุกที เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการที่ทำให้ศาสนจักรโดนโจมตี รวมถึงทำให้เอ็กโซซิสท์ที่เก่งกาจที่สุดต้องตายลงไปอย่างไร้ค่า
มนุษย์ผู้นั้นได้ใช้บทสวดที่แลกด้วยชีวิตเพื่อสังหารปีศาจจากนรก ทั้งที่จะหนีออกไปแล้วทิ้งปีศาจแบบจินกิเอาไว้เหมือนคนอื่นก็ย่อมได้
“ขอบคุณ ที่มาเป็นนักแสดงนะเอ็กโซซิสท์”ชายร่างสูงค่อยๆปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางและชัดเจนขึ้นทุกที ร่างเพรียวเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่เมื่อพบว่าชายที่ชวนเขาคุยในโรงละครกลับเป็นปีศาจร้ายอยู่ตรงหน้า
“คุณหัวหน้า เราคงเคยเจอกันแล้วสินะ ผมชื่ออีจุน”ทักทายด้วยรอยยิ้มทั้งที่ดวงตาที่สีเหลืองคล้ายแพะนั้นยังเรียบสนิท ชายร่างสูงขยับเดินกลับไปยังดาร์คเอลฟ์ที่หายใจรวนรินเพราะการเสียเลือดจำนวนมาก
“การแสดงมายากลของผม คงทำให้พวกคุณสนุกกันมากแน่เลย”
“ต้องการอะไร”เสียงของอีจินกินั้นเปลี่ยนมาเป็นกระด้างและเย็นชาเหมือนเคย ดวงตายังคงจับจ้องไปยังปีศาจนั้นที่จับจ้องไปยังดาร์คเอลฟ์ที่ใกล้จะสิ้นลม
“อยากเห็นหน้าเฉยๆไม่มีอะไรมากนักหรอก ส่วนเจ้านี่..น่าสงสารจริงๆ”
“ท่าน..ช่วยด้วย ช่วย..”ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อส่วนศีรษะกลับระเบิดออกจนโลหิตสีเข้มกระจายเปรอะไปทั่ว อีจุนหันกลับด้วยรอยยิ้มเบาบางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ปีศาจนอกรีตอีกห้าตนกลับมีสีหน้าแตกต่างกันไป ทั้งตกใจ หวาดกลัว และเฉยชา
“หมอนี่สมควรตาย มันมีคนรักเป็นมนุษย์และยังจะอยากจะให้นังนั่นเป็นปีศาจอีก หึ มันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกคุณจริงมั้ย”
ตามความเชื่อว่าถ้าเดินแวมไพร์กัดจะกลายเป็นแวมไพร์ หรือโดนมนุษย์หมาป่าก็จะกลายเป็นมนุษย์หมาป่านั้นเป็นความเชื่อที่ผิด การที่จะทำให้เป็นแบบนั้นได้คือการถ่ายเลือดไปให้แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะโดนทำร้ายช่วงร่างกายอ่อนแอ และอีกทางหนึ่งคือทำพิธีโดยใช้ปีศาจจากนรกมาเป็นผู้ทำพิธีกรรมให้ โดยใช้วิญญาณปีศาจอีกห้าตนเป็นเครื่องสังเวย
“ทุกอย่างเป็นที่ผมวางแผนไว้ ส่วนนังมนุษย์นั่นตายไปนานแล้ว..และผมก็สร้างภาพมายาไปหลอกมันมาตลอด ศพของนังนั่นก็อยู่นี่ตามที่จมูกของคุณได้กลิ่นนะคุณจงฮยอน”
“ทำไปเพื่ออะไร”อีจุนเลิกคิ้วมองไปยังหัวหน้าหน่วยที่ดูตั้งสติไดแล้ว ดวงตาสีเหลืองนั้นจับจ้องไปยังอีจินกิและเผยอรอยยิ้มบางที่ไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ และมันกลับทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั่นดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิม
“ล่าเอ็กโซซิสท์ ล่าพวกปีศาจนอกรีตแบบพวกคุณไง แต่วันนี้แค่มาทักทายก็เท่านั้น เดี๋ยวพวกคุณจะหาว่าผมลอบโจมตี”ปีศาจทั้งห้าในบาเรียทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนนิ่งอยู่แบบนั้น พวกเขารู้ตัวดีว่าพลังที่มีไม่สามารถเทียบเท่าผู้ชายที่ยืนด้วยท่าทางสง่างามอยู่ตรงนั้นได้เลย
ทำอะไรไม่ได้นอกจากเฝ้ามอง และปล่อยให้ปีศาจตนนั้นเดินหายไปในความมืดมิด โดยมีเพียงน้ำเสียงของผู้ชนะที่มาตามสายลมยามค่ำคืน
“สนุกจริงๆสำหรับการล่อพวกคุณออกมาในวันนี้ การเห็นพวกคุณพยายามหาหนทางช่วยเหลือมนุษย์ตัวกระจ้อย และหวังว่าพบกันคราวหน้า..ผมจะสนุกกับการเห็นพวกคุณกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดนะครับ”
“บ้าเอ๊ย!”คิมจงฮยอนสบถออกมาก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง บรรยากาศกดดันคลายตัวไปด้วยเมื่ออีกฝ่ายจากไปแล้ว อีแทมินมองไปยังหัวหน้าหน่วยเป็นการถามความเห็นเรื่องการคลายบาเรียป้องกันนี้ออก แต่จินกิยังคงยืนนิ่งมองไปตามทิศทางนั้นไม่ได้หันมาสนใจแทมินเลยแต่อย่างใด
“จินกิ?”
“คงเอาออกได้แล้วล่ะแทมิน”กลายเป็นคีย์ที่ตอบเสียงเรียกนั้น พอปลดบาเรียออกชเวมินโฮก็เดินตรงออกไปยังศพที่เละไปแล้วของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ ดวงตาที่สีดำสนิทราวกับในห้วงความมืดที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้นั้นจับจ้องไปยังศพนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมา เปลวไฟลุกท่วมทำลายทิ้งไปปล่อยให้มีเพียงกลิ่นเนื้อที่โดนเผาคละคลุ้งไปทั่ว
“จินกิ”ร่างสูงหันกลับไปมองยังหัวหน้าหน่วยของพวกเขาที่ยังยืนนิ่งและไม่พูดอะไร คีย์ที่แตะมือลงไหล่ลาดนั้นเขย่าเล็กน้อยและเรียกชื่ออีกครั้ง
“จินกิ”
“ต้องรายงานให้เบื้องบนรู้ พวกนายกลับไปก่อนเลย ฉันจะต้องไปรายงานเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย”คีย์ถามต่อโดยจงฮยอนที่ลุกขึ้นยืนแล้วพูดสนับสนุน และแทมินเองก็บอกจะไปด้วยให้ได้
“ฉันจะไปกับจินกิเอง”เสียงทุ้มต่ำทำให้จินกิแปลกใจเล็กน้อย สุดท้ายจึงบอกปฏิเสธไปอีกที
“พวกนายกลับบ้านไปน่ะแหละ”แต่กลายเป็นว่าชเวมินโฮส่ายหัวปฏิเสธ มือใหญ่คว้าข้อมือเล็กไว้ก่อนจะดึงมาให้ก้าวเดินตามออกไป
“ฉันจะไปกับนาย”ร่างเพรียวของหัวหน้าหน่วยก้าวตามไปตามแรงดึงก่อนจะเปลี่ยนเป็นมาเดินเคียงข้างกัน จงฮยอนมองตามไปก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา โดยคีย์เองก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เช่นกัน
ความสัมพันธ์มันช่างซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ไข
“พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”อีแทมินพูดขึ้นหวังทำงายบรรยากาศที่ดูอึดอัดนี้ลง จงฮยอนพยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้นต่อ
“พวกนายเหาะกันไปเลย ฉันจะเดินไปเนี่ยแหละ”
“ฉันเอานายเหาะไปด้วยได้นะจงฮยอน”มนุษย์หมาป่าผู้ไร้ปีกหันไปมองใบหน้าจริงใจของแทมินก่อนจะแจกมะเหงกให้เบาๆหนึ่งที พ่อมดปีศาจร้องโวยวายโดยมีอินคิวบัสที่หัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“คราวที่แล้วนายก็เอาฉันไปกับลมเลยไม่ใช่รึไง! มีอย่างทีไหนเอาคนอื่นไปด้วยแล้วทิ้งไว้บนอากาศน่ะ ฉันจะวิ่งกลับไปเอง”ยืนยันเสียงหนักแน่นจนมีความผิดติดตัวหัวเราะออกมา ดวงตาของอีแทมินแอบมองไปยังคีย์ที่สีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มากนัก อดให้ความสำคัญกับตัวเองไม่ได้ว่าหากวันใดไม่มีเขาอยู่ หน่วยนี้จะยังมีเสียงหัวเราะอยู่อีกมั้ย
“นึกไงถึงมาด้วยล่ะ”เสียงนุ่มถามขึ้นขณะที่ยังคงก้าวเดินอยู่ข้างกายดาร์คเอลฟ์ที่ไม่พูดอะไรออกมาอีก เพราะเห็นว่าบาดเจ็บอยู่ถึงไม่อยากให้เดินทางโดยการบิน และคนตัวสูงเองก็ไม่ปฏิเสธอะไรออกมาเลยค่อยเดินกันไปแบบนี้
หรือความจริงคือจินกิยังไม่อยากยอมรับถึงการล่าของปีศาจนั้น ยังอยากยืดเวลาในการจะเข้าสู่สงครามที่น่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้าหลังจากแจ้งข่าวนี้ออกไป
“ปีศาจนั่น กลัวรึไง”
“ถ้าตอบไปว่าไม่ นายจะเชื่อมั้ยล่ะ”ดวงตาสีดำสนิทมองกลับมานั้นฉายแววว่าไม่มีทางทำให้อีจินกิหัวเราะออกมากับคำตอบของคนพูดน้อย ไม่ว่าจะผ่านมาเท่าไหร่เขารู้สึกสบายใจเสมอยามได้อยู่ใกล้ดาร์คเอลฟ์ผู้นี้ ผู้ที่เหมือนเย็นชาหยาบกระด้างและไม่รับรู้สิ่งใด แต่ความจริงนั้นกลับใส่ใจสมาชิกมากกว่าใครเพียงแต่ไม่พูดและไม่แสดงออก มีเพียงแววตาที่ไร้ชีวิตนั้นแสดงออกมาให้รับรู้
แต่ใจร้ายตรงที่ทำเป็นไม่รู้ว่าเขาชอบนี่แหละ
“มันเป็นความทรงจำที่ยังฝันเห็นรู้มั้ย”ถึงจะไม่มีเสียงตอบกลับแต่จินกิรู้ดีว่ามินโฮยังรับฟังอยู่
“ฉันกลัวมันฉันยอมรับ แต่ฉันกลัวคนสำคัญของฉันจะต้องตายไปอีก”
“ไม่ต้องห่วงหรอก มนุษย์นั่นมันยอมตายเพื่อปกป้องนาย แต่ในหน่วยเราไม่มีใครทำแบบนั้นแน่นอน เพราะเราเป็นปีศาจจึงต้องห่วงตัวเองก่อนเสมอ”
“หืม ใจร้ายจังเลยนะ ทั้งที่ฉันคิดว่าถ้านายจะตายฉันจะเอาตัวไปขวางแท้ๆ”
“เหอะ มีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นแหละที่ต้องให้คนอื่นปกป้อง นายอ่อนแอรึไงถึงอยากให้พวกฉันปกป้อง”อีจินกิหัวเราะออกมากับประโยคนั้นก่อนจะไหวไหล่เป็นเชิงบอกว่าจะไม่พูดอะไร
พูดอะไรดีๆไม่เคยเป็นนักหรอก..แต่ความหมายของมินโฮที่บอกมาก็คือ ‘นายเข้มแข็งแล้ว ไม่ต้องมากังวลอะไรอีกว่าใครจะมาตายเพราะนาย’
“จากนี้ไปจะทำยังไง”เสียงทุ้มต่ำนั่นทำให้ร่างเพรียวถอนหายใจออกมา ดวงตาเรียวเล็กมองไปยังเบื้องหน้าที่มีผู้คนพลุกพล่าน หันมาสนใจร่างสูงข้างกายที่มีบาดแผลตามตัวจนในที่สุดเขาจึงจัดสินใจดันอีกฝ่ายเข้าซอกตึกไป
“ฉันลืมไปว่านายบาดเจ็บ”
“ก็แค่แผลเล็กน้อย”ถึงจะมีรอยแผลไม่มากเท่าตอนโดนดาร์คเอลฟ์รุมแต่ก็คงไม่ดีถ้าจะให้ใครเห็นสภาพที่เหมือนไปตีกับนักเลงมา เขี้ยวซี่แหลมกัดลงปลายนิ้วจนเลือดไหลซึมก่อนจะหยดเลือดลงไปบนบาดแผลที่มองเห็นได้ตามร่างกายร่างสูง
เลือดของแวมไพร์มีฤทธิ์สมานแผลได้รวดเร็ว แต่ไม่สารถใช้กับมนุษย์ได้เพราะพวกมนุษย์จะกลายเป็นกึ่งแวมไพร์จนกว่าจะได้รับการถ่ายเลือดโดยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นชีวิตที่ไม่สามารถอยู่ใต้แสงแดดได้หรือมีเงาในกระจก แวมไพร์แท้เท่านั้นที่จะดำเนินชีวิตได้เหมือนมนุษย์ทั่วไป
“เรียบร้อยแล้วล่ะ เราบินกันเถอะ..ยังไงก็ยืดเวลาไปไม่ได้แล้ว”
“น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้วนะ”
“ทำไมนายไม่พูดล่ะมินโฮ”ดวงตาสีดำสนิทนั้นจับจ้องมายังแวมไพร์ที่มองมา ร่างสูงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่ปีกสีดำจะกางออกจนพอดีกับกำแพงทั้งสองข้าง กระโดดเล็กน้อยให้ปีกสองข้างได้สยายขึ้นเต็มที่แล้วพาขึ้นไปสู่เบื้องบนไม่ได้กลัวว่าใครจะเห็น
เรียกง่ายๆว่าเขาไม่ใส่ใจนั่นเอง
คำตอบที่ดังลงมาแผ่วเบาทำให้ร่างเพรียวเผยอยิ้มออกมา ปีกที่ไม่สวยงามเหมือนดาร์คเอลฟ์แต่ดูทรงพลังน่ากลัวออกจากแผ่นหลังก่อนที่จะพาเจ้าของปีกนั้นไปเคียงข้างดาร์คเอลฟ์ที่คอยอยู่
“นายเป็นหัวหน้าไม่ใช่รึไง ฉันเคารพการตัดสินใจของนาย”
อีจินกิอยากจะรู้นักว่าเมื่อถึงวันที่เขาต้องต่อสู้..ชายร่างสูงที่มีปีกสีดำน่าเกรงขามนี้จะมาขวางเขาไว้และใช้ปีกคู่นี้ปกป้องเขาไว้รึเปล่า
“ขอบคุณนะมินโฮ”
“ขอบคุณอะไร? ประสาทรึเปล่า?”
ท้องฟ้าที่มืดมิดนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวไปมากเท่าไหร่นัก ตราบใดที่ยังมีแสงดาวแสงจันทราที่ส่องแสงอวดโฉม มันก็เหมือนกับตัวเขาที่ยังมีสมาชิกที่อยู่รายล้อม เขาจะไม่ให้ใครต้องมาปกป้องอีกแล้ว..แต่เป็นตัวเขาเองที่ปกป้องสมาชิกจนสุดความสามารถ
ถึงตาย..ก็ไม่เสียดายมากนัก
.
.
.
.
บานประตูเปิดออกทำให้สมาชิกอีกสามคนที่รออยู่หันไปยังทิศทางเดียวกัน อีจินกิส่งยิ้มให้สมาชิกที่เฝ้ารอก่อนจะพูดขึ้น
“ทำไมไม่นอน”
“นี่มันใช่เวลานอนของปีศาจรึไงจินกิ”
“ลุยมาทั้งวันแล้วไม่คิดจะนอนเลยรึไง”เสียงนุ่มนั้นแย้งจงฮยอนไปซึ่งมนุษย์หมาป่าก็ได้แต่ยกมือยอมแพ้ อีจินกิกับชเวมินโฮดินมานั่งตรงโซฟาก่อนจะพูดขึ้นในสิ่งที่พวกเขากำลังรออยู่
“ศาสนจักรจะไม่ประกาศสงครามกับปีศาจ”
“หมายความว่าไง?”เสียงของคีย์ร้องขึ้นทำให้หัวหน้าหน่วยส่งรอยยิ้มกลับไป ไม่ใช่รอยยิ้มใจดีหรือทำให้คนเห็นแล้วสบายใจ เป็นเพียงรอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นมาก็เท่านั้น
“เราเป็นฝ่ายที่ปีศาจนั่นต้องการไม่ใช่ศาสนจักร ดังนั้นเราต้องสู้กันเองโดยศาสนจักรจะไม่เกี่ยวข้องด้วย และถ้าศาสนจักรโดนโจมตีจะเป็นความผิดพวกเราที่ไม่สามารถป้องกันคุ้มครองได้”
“บ้าไปแล้ว!”คราวนี้เป็นอีแทมินที่โวยวายออกมา พวกเขาเกลียดศาสนจักร..แต่ก็ต้องอยู่กับศาสนจักรตามคำสัญญาที่ทำไว้เมื่อนานมาแล้วเพียงเพราะความหวังเดียวเท่านั้น
สักวันมนุษย์กับปีศาจจะอยู่ร่วมกันได้
พวกเขาต่างที่มา ต่างพบเจอเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งการเข้าร่วมทำให้มนุษย์กับปีศาจอยู่ร่วมกันเป็นความฝันที่ไร้สาระแต่ก็ยังฝืนทำต่อไป
“ศาสนจักร จะไม่ให้ความคุ้มครองกับปีศาจใดๆก็ตาม ถึงแม้ว่าจะเป็นเอ็กโซซิสท์ที่กวาดล้างปีศาจฆ่าคน”จงฮยอนถอนหายใจกับประโยคที่จินกิพูดออกมา สุดท้ายร่างหนาก็ผุดลุกขึ้นแล้วพูดออกมาว่าจะไปนอน คิมจงฮยอนรู้สึกได้ว่าความฝันของพวกเขามันห่างไกล..ยากเกินกว่าจะเป็นจริง
‘มนุษย์หมาป่า! มันฆ่าคนของเรา!’
‘ออกไป แกไม่ใช่คนของที่นี่ ออกไปซะไอ้ปีศาจ!’
แล้วปีศาจ..ไม่มีความรู้สึกรึไงกัน
แค่อยากอยู่รวมกับผู้อื่น แค่อยากอยู่ร่วมกับมนุษย์โดยไม่ต้องหลบซ่อน มันผิดนักรึไง..
พระเจ้าที่น่าชิงชัง ทำไมถึงต้องแบ่งแยกมนุษย์กับปีศาจ ทำไมถึงทำให้ปีศาจต้องรักการเข่นฆ่ากระหายเลือด ปีศาจนั้นไม่ได้ไร้หัวใจอย่างที่ใครเขากล่าวอ้างกัน
TBC.
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและยังติดตามนะคะ ติชมได้เต็มที่เลยค่ะจะได้พัฒนาตัวเอง ฮือ จบคดีแรกแล้ววว ตอนต่อไปจะเป็นอดีตของใครต้องรอดูนะคะ หายไปนานอีกแล้ว แอบสับสนพล็อตนิดหน่อย ฮ่าๆๆๆ หวังว่าจะชอบกันนะคะกับฟิคแนวนี้ มันคงแปลกไปหน่อยเนอะTT’
ความคิดเห็น