เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ ดงโฮสบสายตากับสิ่งที่ก่อนหน้านี้เขาเรียกมันว่าตุ๊กตาหากทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้น เขาไม่แน่ใจว่าจะต้องเรียกสิ่งตรงหน้านี้ว่าอะไร ตุ๊กตา? คน? หรืออย่างอื่น?
“คุณ”
ใช้เวลาคิดกับตัวเองเพียงครู่ เสียงของเจ้าตุ๊กตาก็เอ่ยขึ้นแผ่วๆ แม้จะเบาเพียงใดทว่าในห้องที่เงียบสงัดก็ทำให้ดงโฮได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน
และเขาพึ่งค้นพบว่าเสียงของตุ๊กตานั้นช่างหวานจับใจ………ไม่ได้หวานนุ่มดั่งหญิงสาวทว่ากลับมีสเน่ห์และน่าดึงดูดแบบที่เขาก็ไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกของตนเองใด้
“อ….อย่าเข้ามา”
สองขาที่จะก้าวเข้าไปหาสิ่งตรงหน้าหยุดชะงักเมื่อเสียงหวานๆนั่นเอ่ยห้ามพร้อมกับเจ้าตัวที่กระเถิบตัวหนีไปด้านข้างจนร่างบางๆนั่นชนเข้ากับเตียงไม้ เจ้าตุ๊กตานั่นสะดุ้งตกใจเมื่อชนเข้ากับเตียงอย่างไม่รู้ตัว จนเจ้าของที่ยืนมองอยู่ถึงกับหลุดขำ
คังดงโฮไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตุ๊กตาจะขี้กลัวและขี้ตกใจได้ถึงเพียงนี้ และไมาเคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าตุ๊กตาตัวบางๆนั่นจะน่ารักได้ถึงเพียงนี้……..
“ท…..ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่”
เป็นอีกครั้งที่เสียงหวานๆของเจ้าตุ๊กตาดึงให้ดงโฮหลุดออกจากห้วงความคิดของตนเอง
“แล้วคุณเป็นใคร…..”
ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยตอบคำถามแรก เสียงหวานๆนั่นก็เอ่ยถามคำถามต่อไปทันที ท่าทางเลิ่กลั่กนั่นทำให้ดงโฮนึกอยากจะแกล้งเจ้าตุ๊กตาผู้ไร้เดียงสาขึ้นมาทันใด ไม่รอช้าคนตัวหนาเดินตรงเข้าไปหาตุ๊กตาตัวบางที่บัดนี้จะเรียกว่าเป็นมนุษย์ก็คงไม่ผิดนัก พอเขาเดินเข้ามาใกล้เจ้าตัวก็ทำท่าเหมือนกับว่าจะลุกหนี แต่คนสูงนั้นไวกว่า เขานั่งลงตรงหน้าเจ้าตุ๊กตาตัวบางพร้อมกับใช้แขนทั้งสองข้างกั้นไว้กับขอบเตียงไม้เพื่อไม่ให้คนตรงหน้าลุกหนีไปไหนได้ ดวงตากลมใสมองสบกับดวงตาคมอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ฉันจะตอบคำถามเธอ แต่…..”
“…….”
“เธอก็ต้องตอบคำถามฉันด้วยเหมือนกัน”
“……”
“ตกลงมั๊ย?”
คนตรงหน้าไม่ตอบแต่หากพยักหน้าขึ้นลงเพื่อเป็นการบอกเขากลายๆว่าตกลง
“งั้นฉันจะอณุญาติให้เธอเริ่มถามก่อนก็แล้วกัน”
“ค….ครับ……แต่ก่อนอื่น คุณควรแต่งตัวให้เรียบร้อย”
“โอ๊ะ! ขอโทษที”
ดงโฮลืมไปว่าก่อนหน้านั้นเขาสวมเพียงรีบลุกขึ้นไปหยิบเสื้อผามาใส่อย่างรวดเร็ว เพราะเป็นชุดนอนจึงไม่ต้องแต่งอะไรมากมาย เมื่อเสร็จแล้วคนตัวสูงก็เดินมานั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าคนตัวเล็กกว่าทันที
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันซื้อเธอมา”
“ซื้อ?”
“ใช่……ตาฉันถามบ้าง”
ดงโฮเว้นจังหวะการพูดไปนิดหน่อยก่อนจะถามต่อ
“เธอเป็นอะไรกันแน่”
“ผมเป็นมนุษย์……เป็นมนุษย์เหมือนกันกับคุณ”
“แล้วทำม…….”
แดฮวีเริ่มอธิบายต่อ ดงโฮที่กำลังจะเอ่ยถามข้อข้องใจจึงเงียบลง
“ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คุณเชื่อ……ความจริงแล้วผมโดนสาป”
“โดนสาป?”
ดงโฮถามกลับด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่สื่อออกมาว่าสงสัยกับสิ่งที่อีกคนพูด แดฮวีพยักหน้าขึ้นลงเพื่อย้ำคำๆเดิมให้คนตัวใหญ่ตรงหน้ารับรู้
“เมื่อหลายสิบปีที่แล้วหลังจากที่แม่ของผมจากไป พ่อของผมแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอสวยและดูจิตใจดี ไม่ว่าชายใดเห็นเป็นต้องหลงรักแทบทุกราย……..แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น เธอหลอกลวงผู้ชายทุกคนที่มีฐานะร่ำรวย เมื่อได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วเธอก็ฆ่าพวกเขาทิ้ง……..รวมถึงพ่อของผมด้วย”
ท้ายประโยคคนเล่าเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบา แววตาเจือไปด้วยน้ำใสที่ไหลคลออ่อนๆ ยามนึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นทีไรแดฮวีก็เป็นเช่นนี้แทบทุกครั้ง
“เธอโอเคมั๊ย? ฉันเสียใจกับเรื่องนี้ด้วยนะ”
ดงโฮเอื้อมมือไปแตะไหล่คนตัวเล็กกว่าแล้วตบลงไปเบาๆสองสามทีเพื่อให้กำลังใจ แดฮวีพยักหน้ารับรู้ดั่งเช่นที่ทำมาก่อนหน้านี้
“คุณอยากฟังต่อมั๊ยครับ”
แดฮวีเงยหน้ามามองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ถ้าเธอไม่ไหวก็ไม่เป็นไร”
“ผมโอเคแล้ว…..จริงๆนะ ฟังผมต่อเถอะนะครับ”
คราวนี้เป็นฝ่ายดงโฮที่พยักหน้ารับ
แดฮวีเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อ………………
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ช่วงก่อนที่มนุษย์จะเข้าสู่ยุคสงครามโลก บ้านเมืองสุขสงบ มนุษย์เริ่มคิดค้นและประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆขึ้น เริ่มมีความเชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการพัฒณาในด้านต่างๆ ความเชื่อเรื่องแม่มดและเวทมนต์ค่อยๆหายไป กระนั้นเรื่องราวของความรักที่มีมาทุกยุคทุกสมัยก็ยังคงอยูและบ้านของตระกูลอีก็เช่นกัน………
หลังจากที่คุณนายอีเสียชีวิตได้ไม่นาน คุณชายผู้เป็นใหญ่ในบ้านได้ตัดสินใจแต่งงานใหม่กับสาวงามนางหนึ่ง สาวงามที่ใครๆต่างก็หมายปอง หน้าตาเธอช่างงดงาม รวมถึงกิริยามารยาทก็งาม แน่นอนว่าชายหนุ่มมากมายล้วนหมายปองหล่อน
พิธีแต่งงานเริ่มขึ้นแบบเรียบง่าย อีแดฮวีบุตรคนเดียวของตระกูลจำต้องพยายามทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มตัวเล็กนั่งมองพิธีการตรงหน้าด้วยใจที่เหม่อลอย
“น้องต้องอดทนนะ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
มือเล็กๆของแดฮวีถูกดึงไปกุมไว้โดยบุคคลที่นั่งอยู่ข้างๆ คำพูดปลอบประโลมจากคนๆนี้เปรียบดั่งสายน้ำที่ชะโลมหัวใจอันบอบช้ำของเขา แดฮวีหันไปส่งยิ้มให้คนรักที่นั่งอยู่ข้างกาย มือหนาจึงส่งมาลูบผมคนตัวเเล็กเบาๆด้วยความเป็นห่วง……..แดฮวีไม่อยากคิดเลยว่าหากเขาไม่มีผู้ชายคนนี้อยู่ข้างกาย เขาจะมีสภาพเยี่ยงไร
หลายเดือนต่อมา………
แดฮวีและแม่คนใหม่เริ่มปรับตัวเข้าหากัน เธอดูแลและรักใคร่แดฮวีเหมือนลูกแท้ๆของตน เมื่อผู้เป็นพ่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังนั้นผู้หญิงคนนี้มีนิสัยเป็นอย่างไร
“สวัสดีครับคุณน้า”
ชายหนุ่มร่างสูงโค้งทักทายนายหญิงคนล่าสุดของบ้านตระกูลอี
“สวัสดีค่ะ……เชิญคุณชายเข้ามาด้านในก่อนสิคะ”
เธอยิ้มรับและผายมือเชื้อเชิญชายหนุ่มให้เข้ามาในบ้าน
“ครับ”
ชายหนุ่มโค้งให้หญิงสาวอีกครั้งก่อนจะเดินเข้ามานั่งบนโซฟารับแขกในบ้านหลังใหญ่
“ดื่มน้ำเสียหน่อยนะคะ”
หญิงสาวถือถ้วยน้ำชามาวางไว้ตรงหน้าผู้มาเยือน
“ขอบพระคุณมากครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยขอบคุณตามมารยาทพร้อมกันนั้นมือหนาก็จับแก้วกระเบื้องยกขึ้นจิบเบาๆ โดยไม่ทันสังเกตุเห็นรอยยิ้มร้ายที่มุมปากของหญิงสาว
“คุณชายมาหาแดฮวีใช่หรือไม่คะ”
เธอเอ่ยถามชายหนุ่ม
“ใช่ครับ รบกวนคุณน้าช่วยตามน้องแดฮวีมาให้กระผมทีได้ไหมครับ”
“เผอิญว่าน้ากำลังยุ่ง……คงต้องรบกวนคุณชายให้ขึ้นไปตามเจ้าแดฮวีเสียเอง”
“จะดีหรือครับ”
แม้เขาจะคบหากับแดฮวีมาเป็นเวลาปีเศษแต่เขาก็ไม่เคยขึ้นไปบนห้องนอนของแดฮวีเลยสักครั้ง เขาอยากให้เกียรติแดฮวีมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาและแดฮวีก็จักต้องเข้าพิธีหมั้นกันอยู่แล้ว วันนี้ที่เขามาก็เพื่อรับคนตัวเล็กไปลองชุดนั่นเอง
“น้าคิดว่าเจ้าแดฮวีคงไม่ว่าอะไรคุณชายหรอกค่ะ เพียงแค่ขึ้นไปปลุกเท่านั้นเอง”
“ปลุก? น้องแดฮวียังไม่ตื่นหรือครับ”
“ใช่ค่ะคุณชาย แล้วแดฮวีก็ออกจะตื่นยากไปสักหน่อย……ยังไงฝากคุณชายช่วยเข้าไปปลุกเจ้าแดฮวีให้ทีนะคะ ขึ้นบันใดไปห้องในสุดด้านขวา น้าขอตัวไปดูซุปในครัวสักครู่”
หญิงสาวรีบพูดตัดบทเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มมช่องทางปฏิเสธ
“ก็ได้ครับ”
สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องรับคำแล้วเดินตรงไปหยั่งชั้นสองของบ้าน วันนี้เขารู้สึกว่าบ้านออกจะเงียบกว่าทุกวันไปเสียหน่อย ตามปกติแล้วในทุกๆครั้งที่มาจะมีคนรับใช้มากหน้าหลายตาอยู่ต้อนรับและคอยทำนู่นทำนี่ แต่วันนี้เขากลับยังไม่พบใครเลยนอกจากคุณผู้หญิงของบ้าน
ก๊อกๆ~
“แดฮวี แดฮวีครับ”
ชายหนุ่มเคาะลงไปบนประตูไม้สีน้ำตาลเข้มแต่ก็ไร้เสียงตอบรับจากคนในห้องอย่างสื้นเชิง
“พี่เข้าไปนะ”
จบคำชายหนุ่มก็หมุนลูกบิดแล้วก้าวเข้าไปหยั่งห้องที่คิดว่าคนรักของตนจะอยู่ในนั้น แต่เมื่อเข้ามาเขาก็ต้องตกใจเพราะสิ่งที่เห็น ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อตาตัวแข็งเป็นหิน หน้าตาท่าทางดูเหมือนกับว่ากำลังตกใจอะไรบางอย่างอยู่ แต่ที่ทำให้ชายหนุ่มแทบคลั่งคงเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่หน้าตาช่างเหมือนกับคนรักของเขาเสียเหลือเกิน
“หึ”
เสียงหัวเราะเยาะในลำคอดังขึ้นด้านหลัง เรียกให้ชายหนุ่มหันไปมอง หญิงผู้เป็นนายรองของตระกูลอียืนส่งรอยยิ้มที่ดูสุดแสนจะสะใจมาให้เขา ชายหนุ่มผงะไปเล็กน้อยแต่เมื่อตั้งสติได้ก็เอ่ยพูดหญิงตรงหน้าทันที
“คุณทำอะไรพวกเขา”
“ก็อย่างที่คุณชายเห็น”
หญิงสาวพูดด้วยเสียงนิ่งๆพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาและมันสร้างความโมโหให้แก่ชายหนุ่มเป็นอย่างมาก
“พวกตระกูลอี ไม่มีอะไรดีนอกจากเงินแล้วก็เงิน พอพวกนี้ไม่อยู่สมบัติทั้งหมดก็จะได้กลายเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว คุณชายคิดว่าไง? ดีใช่มั๊ยหล่ะ”
“เจ้ามันโรคจิต”
ชายหนุ่มกำหมัดแน่นกับคำพูดแสนไร้ยางอายนั่น แดฮวีพร่ำบอกกับเขาเสมอว่าผู้หญิงคนนี้ลึกๆแล้วร้ายกาจกว่าที่เขาเห็นมากนัก แต่เขาก็เอาแต่คิดว่าที่คนรักพูดอย่างนั้นเพราะยังคงยอมรับกับการแต่งงานใหม่ของผู้เป็นพ่อไม่ได้แต่เปล่าเลย…….เขาน่าจะเชื่อแดฮวีตั้งแต่แรก
ชายหนุ่มหวังจะพุ่งไปจัดการกับปีศาจในคราบมนุษย์ตรงหน้า แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวไปไหน ขาทั้งสองข้างของเขาก็เริ่มอข็งตัวและกลายเป็นหินอย่างช้าๆ
“โอ๊ะ! สงสัยว่าน้ำชาที่คุณดื่มเข้าไปจะเริ่มออกฤทธิ์แล้วสิ”
“เจ้า!”
“ฉันทำไมอย่างนั้นหรือคุณชาย”
หญิงสาวเหยียดยิ้มเยาะใส่ชายตรงหน้า
“กับสองพ่อลูกที่น่ารำคาญนี่ไม่มีโอกาส แต่สำหรับคุณ ฉันมีตัวเลือกให้นะ”
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกี้ยว แต่หญิงตรงหน้าก็ไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“ทางเลือกแรกคือ ยอมแต่งงานกับฉันแล้วยกสมบ้ติทุกอย่างของคุณชายให้แก่ฉัน”
“……….”
“หรือสองแข็งเป็นหินตามสองพ่อลูกนั่นไป…..เลือกเอาซะนะ”
“หากต้องแต่งงานกับหญิงใจอำมหิตเยี่ยงท่าน ข้าขอยอมตาย!”
สิ้นคำของชายหนุ่มนางก็ใช้มือทุบหินรูปท่านพ่อของแดฮวีที่ก่อนนั้นเคยเป็นมนุษย์แตกสลายไปกว่าครึ่ง ชายหนุ่มตกใจไม่น้อยแต่ด้วยศักดิ์ศรีในตน เขาจึงพยายามกักเก็บมันไว้ไม่แสดงออกมาให้หญิงตรงหน้าได้เห็น
“ดี! งั้นท่านก็จงแข็งตายไปซะ!”
นางพูดด้วยความโมโห หญิงสาวเตรียมเดินออกไปจากห้อง
ปัง!
แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เดินออกไปไหน ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง
“จับนาง นางเป็นแม่มด!”
เสียงของบาทหลวงคนหนึ่งเอ่ยสั่งกับผู้ติดตามที่มาด้วยกัน
“หยุด! หากใครกล้าเข้ามา ข้าจะทำลายตุ๊กตากระเบื้องนี่ซะ!”
“เจ้าย่อมรู้ดีว่าเจ้าไม่มีทางทำลายตุ๊กตานั่นได้”
“เจ้าจะลองดูหรือไม่หล่ะ”
“อย่า!”
ชายหนุ่มกลัวว่าผู้เป็นที่รักของตนจะเป็นอะไรไป เขาจึงเอ่ยห้ามขึ้น
“ท่านฟังข้านะ นางไม่สามารถทำอะไรคนผู้บริสุทธิ์ได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตนางก็จะดับไปด้วยเช่นกัน หากคนของท่านบริสุทธิ์ทั้งกายใจก็จงอย่ากลัว ทหารจับนาง!”
บาทหลวงพยายามพูดเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มหากแต่เขาก็ยังไม่วางใจและพยายามเอ่ยห้าม
“ข้ายอมตายดีกว่าโดนพวกเจ้าจับ”
แต่ช้าไป ทันทีที่เหล่าทหารกล้ากำลังจะเข้าประชิดตัวนาง หญิงสาวก็จัดการทุบตุ๊กตากระเบื้องจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
“ไม่!”
พร้อมกับร่างของนางที่ค่อยๆสลายหายไปและเสียงร้องอย่างปวดใจของชายหนุ่มที่เห็นคนรักแตกสลายไปต่อหน้าต่อตา ทันทีที่นางหายไปหินแข็งที่โอบล้อมชายหนุ่มมาเกือบครึ่งตัวก็ได้มลายหายไปด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นอิสระชายหนุ่มจึงตรงไปหยั่งเศษกระเบื้องที่เคยเป็นคนรักของตน เขาทรุดลงนั่งลงตรงหน้าเศษกระเบื้องเหล่านั้นด้วยจิตใจที่ไม่สู้ดีนัก
“ภรรยาของข้าอาจช่วยท่านได้”
บาทหลวงคนเดิมเดินเข้าไปแตะไหล่ชายหนุ่มเบาๆ
“โปรดหลีกทางให้ข้า”
หญิงสาวผู้ซึ่งเป็นภรรยาของบาทหลวงเดินเข้ามาตรงที่ชายทั้งสองนั่งอยู่ ทั้งสองลุกขึ้นเพื่อหลีกทางให้เธอ
“พวกท่านออกไปก่อน”
เธอหันไปพูดกับเหล่าทหารที่ยืนกันอยู่ทั่วทั้งห้อง พวกนั้นโค้งคำนับให้หล่อนก่อนที่จะเดินออกจากห้องไปจนหมดเหลือเพียงชายหนุ่มและบาทหลวง เมื่อประตูปิดลงเธอจึงเริ่มร่ายมนต์ลงไปหยั่งตุ๊กตากระเบื้องที่แตกสลาย ตรงหน้าปรากฎแสงสีม่วงดูทรงอำนาจ แสงเหล่านั้นค่อยๆโอบล้อมเศษกระเบื้องให้มารวมเข้าด้วยกันและประติดประต่อทีละน้อย จนกระทั่งชิ้นส่วนสุดท้ายประกบเข้าด้วยกัน เวทมนต์หายไปหญิงวัยกลางคนทรุดลงและหอบหายใจอย่างหนัก
“หากไม่ไหวก็จงอย่าฝืน”
บาทหลวงปรี่เข้าไปโอบประคองตัวภรรยาของตนด้วยความเป็นห่วง
“ข้าคงช่วยท่านได้เท่านี้ พลังของข้าไม่แกร่งกล้าพอจะทำให้คนรักของท่านกลับเป็นเหมือนเดิมได้”
เธอพูดต่อ
“แต่เวทมนต์ของนางจะเสื่อมลงในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงที่สิบสองซึ่งจะมีเพียงสิบสองปีครั้ง ข้าจะให้พรกับพวกเจ้าหนึ่งข้อ”
หญิงงามค่อยๆลุกขึ้นยืนโดยมีบาทหลวงช่วยประคอง ก่อนจะเริ่มให้พรแก่ตุ๊กตากระเบื้องแสนงาม
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ทำไมไม่เล่าต่อหล่ะ”
ดงโฮเลิกคิ้วขึ้นถามคนที่อยู่ๆก็หยุดเล่าไป
“ผมจำได้เพียงเท่านี้…….ไม่สิ จริงๆแล้วผมจำอะไรไม่ได้เลย เรื่องพวกนี้มีคนเล่าให้ผมฟังอีกที”
“แล้วคนๆนั้นเขาไม่ได้เล่าต่อหรือว่าต้องทำยังไงถึงจะแก้คำสาปได้”
แดฮวีส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ถึงว่าหล่ะ…..”
ดงโฮพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“คุณพูดว่าอะไรนะครับ”
แดฮวีเอียงคอถามด้วยความสงสัย
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร……….เธอช่วยขยับเข้ามาใกล้ๆฉันหน่อยสิ”
คนตัวเล็กเม้มปากแน่น แววตาสื่อถึงความหวั่นเกรงอย่างปิดไม่มิด
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก”
อาจด้วยรอยยิ้มอบอุ่นของคนตรงหน้าหรืออะไรก็แล้วแต่จึงทำให้แดฮวีที่แทบไม่ได้พบเจอผู้คนมานานค่อยๆขยับเข้าไปใกล้กับคนตัวใหญ่กว่าตรงหน้า ดงโฮยืนขึ้นและยื่นมือขวาออกไปตรงหน้าของแดฮวี คนตัวเล็กลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ท้ายที่สุดก็ยอมวางมือลงไปบนมือใหญ่ของอีกคน ดงโฮดึงมือแดฮวีให้ลุกขึ้นยืนตามตนเอง ทั้งสองพากันเดินไปหยั่งริมระเบียงห้อง ทันทีที่เปิดประตูออก ลมเย็นๆพัดเข้ามาประทะตัวของทั้งสอง แสงจันทร์นวลสาดส่องขับให้ผิวของแดฮวีดูผุดผ่องยิ่งกว่าตอนอยู่ด้านในห้องเป็นไหนๆ
“วันนี้พระจันทร์สวยนะ เธอว่าไหม”
“ครับ”
แดฮวีตอบรับคำพูดของคนข้างๆโดยที่ดวงตาจับจ้องไปหยั่งพระจันทร์ที่สาดแสงสีนวลสวยอยู่บนท้องฟ้า ผิดกับใครอีกคนที่เอาแต่จับจ้องคนตัวเล็กอย่างไม่ละสายตา
“แดฮวีครับ”
คนถูกเรียกละสายตาจากดวงจันทร์แล้วหันมาให้ความสนใจกับคนตัวใหญ่แทน ดงโฮจับไหล่ของแดฮวีให้หันมาประจันหน้ากับตัวเองตรงๆ
“อยากรู้วิธีถอนคำสาปรึเปล่าครับ”
ดงโฮมองลึกเข้าไปในดวงตาของแดฮวี คำพูดแลสายตานั้นไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด
“คุณรู้หรือครับ”
แดฮวีถามกลับ ณ ตอนนี้ความกลัวในคราแรกที่พบเจอได้หายไปแล้ว ความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆเริ่มเข้ามาแทนที่ อะไรบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นในใจของแดฮวี
สิ่งสุดท้ายที่คนตัวเล็กเห็นคือใบหน้าของดงโฮที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนดวงตาคู่สวยจะปิดลงและค่อยๆสัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มที่จรดลงตรงริมฝีปาก ทั้งสองหลับตาซึมซับสัมผัสของกันและกัน แสงสีม่วงโอบล้อมรอบตัวของทั้งสองก่อนจะแปลเปลี่ยนเป็นแสงสีนวลแล้วค่อยๆสลายหายไปในที่สุด
ทั้งคู่ค่อยๆผละออกจากกันอย่างช้า ส่งมอบรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความสุขให้แก่อีกคน น้ำสีใสไหลออกมาจากดวงตาของแดฮวีแต่หากเป็นน้ำตาแห่งความสุข ดงโฮใช้นิ้วโป้งค่อยๆเกลี่ยมันออกให้ผู้เป็นที่รัก ทั้งสองโอบกอดกันท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องในยามค่ำคืน
ตอนนี้แม้พวกเขาจะยังคงจำเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีตกาลได้ไม่ทั้งหมด หากแต่พวกเขาก็ยินดีที่จะร่วมกันสร้างเรื่องราวความรักครั้งนี้ขึ้นมาใหม่ แม้ระยะเวลาเกือบร้อยปีที่ไม่ได้พบกันแต่ด้วยความรักที่ทั้งสองคนมีให้กัน ต่อให้เวลานั้นผ่านไปเนิ่นนานกว่านี้สักเพียงใดรักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้ เช่นเดียวกัน แค่คุณยังคงเชื่อมั่นในความรัก สายใยบางๆที่ผูกคุณเข้าไว้กับใครสักคนหนึ่งก็จะยังคงอยู่ ตราบนานเท่านาน
ความคิดเห็น