พรุ่งนี้...ก็...สายไป - พรุ่งนี้...ก็...สายไป นิยาย พรุ่งนี้...ก็...สายไป : Dek-D.com - Writer

    พรุ่งนี้...ก็...สายไป

    ความต่างวัย ที่เติมเต็มให้กันและกันจนกลายเป็นความรักที่แสนงดงาม

    ผู้เข้าชมรวม

    130

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    130

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 มี.ค. 49 / 23:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      คุณเคยมั๊ย...ที่อยากจะทำอะไรสักอย่าง  แล้วก็ได้แต่บอกว่า 

      "พรุ่งนี้...พรุ่งนี้...พรุ่งนี้..." 

      และในที่สุดก็ไม่ได้ทำในสิ่งนั้น  เพราะไม่มีคำว่า "พรุ่งนี้" สำหรับคุณอีกแล้ว

       

      ฉันเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีอะไรในชีวิต ไม่ได้เป็นที่สะดุดตากับผู้พบเห็น จึงไม่แปลกอะไรเลยที่ฉันจะอยู่คนเดียวมาตลอด ไม่มีคนข้างกายเหมือนกับคนอื่นๆ เค้าบ้าง  แต่ตัวฉันเองก็ไม่เคยคิดที่จะไขว่คว้าหากับคนอื่นหรอกนะ...จนกระทั่ง....

       

      ขณะที่ฉันกำลังเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านปิ่นเกล้า    ฉันมีความรู้สึกว่าถูกใครบางคนมองอยู่ ก็แหม ! คนเราเวลาถูกคนมองก็จะรู้สึกได้เองโดยสัญชาตญาณจริงมั๊ย  และฉันก็เป็นคนไหวกับปฏิกิริยาของคนรอบข้างซะด้วยสิ  จึงทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะต้องหันไปดูให้มันแน่ใจกันไปเลยว่ากำลังมองฉันหรือมองใครกันแน่....และแล้ว...ฉันก็พบผู้ชายคนหนึ่ง  ผิวขาว สูงโปร่ง  สวมเสื้อยืดสีดำคอกลม  กางเกงยีน ดูรวม ๆ แล้วจัดว่าเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้หล่อเหมือนกับพระเอกหนัง  แต่ความรู้สึกของฉันมันรู้สึกแปลกๆ กับผู้ชายคนนี้จัง  ยิ่งจ้องหน้าก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตา  ฉันพยายามคิดว่าเราเคยรู้จักกันหรือเปล่านะ  และเหมือนว่าเขาจะรู้ตัว เขาเดินมาหาฉันพร้อมกับรอยยิ้ม ที่ทำเอาฉันใจแทบละลายเลย

      "สวัสดีครับ  พี่แก้วใช่มั๊ย"

      "ใช่ค่ะ..."

      "ผม ตั้มครับ  เป็นรุ่นน้องพี่แก้วตอนสมัยมัธยมไงครับ"

      "อ๋อ..."  และแล้วฉันก็นึกออก มิน่าหล่ะถึงได้คุ้นหน้าคุ้นตาเหลือเกิน  นึกว่าใครที่ไหน  แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าเวลาแค่ 4-5 ปี ทำให้คนเราเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน  เค้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก สูงขึ้นจากว่าก่อนประมาณ 20 ซม. ได้ แถมที่สำคัญดูดีและหล่อขึ้นด้วย  แต่รู้สึกว่าในตัวเค้าจะมีสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกว่าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นั่นก็คือ "แววตา...ซึ่งเต็มไปด้วยความหวังและความฝัน"

      "พี่แก้วมาคนเดียวเหรอครับ" ในขณะที่ถามสายตาของเค้าก็กำลังส่อส่ายเหมือนจะมองหาใครบ้างคน

      "จ้ะ...ก็ตามประสาคนโสดนะ" หลังจากที่ตอบฉันเค้าไปฉันก็งงกับตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเราต้องไปบอกเค้าด้วยว่าเรายังโสด

      "แล้วตั้มหล่ะ...มากับใครเหรอ"

      "มาคนเดียวครับ  ผมก็หนึ่งในชมรมคนโสดเหมือนกัน"

      ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหน้าตาอย่างนะเหรอจะยังไม่มีแฟน  และฉันคงจ้องหน้าเค้านานไปหน่อย

      "พี่แก้วมีอะไรหรือเปล่าครับ  เห็นมองหน้าผมตั้งนานแล้ว"

      "เปล่าจ้ะ...เปล่า"  อะไรกันฉันทำหน้าเกลียดขนาดนี้เลยเหรอ ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ยะทำไมใจฉันมันถึงเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยนะ 

      "ขอโทษนะครับพี่  ตอนนี้กี่โมงแล้วพอดีผมลืมใส่นาฬิกามานะครับ"

      "บ่ายโมงแล้ว  มีธุระเหรอจ้ะ"

      "อ๋อ...เปล่าครับ ผมแค่เริ่มจะหิวข้าวแล้ว พี่แก้วทานข้าวหรือยังครับ ถ้ายังช่วยไปเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั๊ย"  นั่นดูพ่อคุณเค้า

      "อืม...ได้สิ พี่ก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน กำลังอยากหาเพื่อนทานข้าวอยู่พอดี"

      "จริงเหรอครับ...ดีใจจัง วันนี้ไม่ต้องนั่งทานคนเดียว"

      "เอ่อ...แล้วพี่อยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ"

      "อะไรก็ได้จ้ะ...พี่ทานได้หมดหล่ะ"

      "งั้น...ผมว่าเราไปทานอาหารญี่ปุ่นกันดีกว่าครับ"

      "ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้ทานนานแล้ว"

      และแล้วมื้อนี้เราก็อิ่มแบบอร่อยจัง ตังค์อยู่ครบ เพราะตั้มเป็นคนเลี้ยงโดยที่เค้าอ้างว่าเป็นคนชวนก็ต้องให้คนชวนออก

       

           

       

      "ขอบคุณมากนะครับ ที่อุตส่าห์ทานข้าวเป็นเพื่อนผม" เขากล่าวขณะที่กำลังเดินมาส่งฉันที่ลานจอดรถ

      "พี่ต้องขอบคุณเรามากกว่านะ เราอุตส่าห์เลี้ยงข้าวพี่"

      "ไม่เป็นไรครับ นิดหน่อยเอง"

      "งั้นพี่ไปก่อนนะ ถึงรถพี่แล้วหล่ะจ้ะ และก็ต้องขอบคุณอีกครั้งนะที่เดินมาส่ง" และฉันก็ก้มหน้าก้มตาไขประตูรถ และแล้วก็มีอีกมือเอื้อมมาเปิดประตูรถให้

      "ขอบคุณมากจ้ะ"

      "เอ่อ...ผมขอเบอร์ติดต่อพี่ได้มั๊ยครับ"

      "ได้สิ...เดี๋ยวนะ"  แล้วฉันก็หันไปหยิบกระเป๋าตังค์เพื่อหยิบนามบัตรมาส่งให้  เขารับนามบัตรฉันและใช้สายตากวาดอ่านตัวหนังสือในนามบัตรอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเอ่ยประโยคถัดมา

      "แล้วผมจะโทรไปนะ  ขับรถกลับบ้านดีๆ นะครับ" หลังจากจบถ้อยคำเหล่านั้น มือใหญ่ๆ ของเขาก็ปิดประตูรถให้...พร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ ที่ยิ้มไปพร้อมกับดวงตาของเขา

       

      หลังจากวันนั้นก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวต่างๆ โดยฉันก็ไม่เคยรู้เลยว่ามันได้กลายเป็นความผูกพันขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร  นี่แหล่ะมั้งที่ใครๆ เขาบอกกันว่าการที่เรารู้จักใครสักคน...มันอาจกลายเป็นความผูกพัน  เราสองคนได้เริ่มสนิทกันมากขึ้น รู้จักกันมากขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป  จากแรกๆ เราเจอกันเดือนละครั้ง  มาเป็น 2 อาทิตย์ครั้ง แล้วก็อาทิตย์ละครั้ง จนกระทั่งกลายมาเป็นว่าเราเจอกันแทบทุกวัน เขาจะหาเวลามาหาฉันเสมอ  บางครั้งก็จะชวนไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันบ้าง  แวะไปหาฉันที่บ้านตอนเย็นหลังเลิกงานบ้าน  และหลังจากที่ฉันสนิทกับเขาจนกลายเป็นคู่ซี้ไปนั่นเราสองคนก็เลยเปลี่ยนสรรพนามเรียกแทนกันไป  โดยเขาเรียกฉันว่า "แก้ว" เห็นมั๊ยว่าคำว่า "พี่" มันได้หายไปแล้ว  ส่วนฉันก็ยังเรียกเขาว่า "ตั้ม" เหมือนเดิม  เหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเค้าอีกนั่นแหล่ะ เค้าบอกกับฉันว่าเค้าไม่อยากที่จะเป็นน้อง เค้าขอเป็นเพื่อนดีกว่า ในตอนนั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่าเค้าคิดแค่นั้นจริงหรือเปล่า หรือว่าต้องการมากกว่านี้

       

           

       

      วันนี้เป็นวันเกิดของฉัน...

      เมื่อปีที่แล้วในวันนี้ตั้มได้พาฉันขับรถไปทะเลแถวๆ ชลบุรี เพราะว่าฉันเป็นคนชอบทะเลเป็นชีวิตจิตใจเลยทีเดียว และวันนั้นก็เป็นวันที่ฉันไม่อาจลืมได้เลย มันจะอยู่ในความทรงจำของฉันตลอดไป

      และในปีนี้ก็เหมือนกัน ฉันได้ไปในที่แห่งเดิม คืนนี้บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวหลากร้อยดวง ส่องแสงสว่างไสว....เขาก็ได้มอบดอกไม้ให้ฉัน 1 ช่อ มันเป็นช่อกุหลาบสีขาว 3 ดอก และของขวัญชิ้นนึง ซึ่งถูกบรรจุอยู่ในกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน เมื่อฉันเปิดกล่องฉันก็พบสร้อยคอพร้อมจี้รูปดาว...ซึ่งมันน่ารักมาก ในความคิดของฉัน 

      "ขอบคุณมากนะตั้ม  แก้วชอบสร้อยเส้นนี้ที่สุดเลย"

      "ตั้มดีใจจังที่เห็นแก้วชอบ  เดี๋ยวตั้มใส่ให้นะ"

      "อืม.." ฉันส่งสร้อยให้กับเขา

      "อ่ะ...เสร็จแล้วครับ" หลังจากนั้นเราส่งคนก็ยืนมองท้องฟ้ากับทะเลด้วยความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร จนเค้าเอ่ยขึ้นมาก่อน เพื่อเป็นกลายทำลายบรรยากาศที่เงียบให้หายไป

      "แก้วครับ"

      "มีอะไรเหรอค่ะ"  ฉันละสายตาจากทะเลหันมามองหน้าคนที่อยู่ข้างๆ

      "เวลาผ่านไปเร็วจังนะครับ...ตั้งแต่วันที่เราเจอกัน จนวันนี้ เกือบจะ 3 ปีแล้ว"

      "ค่ะ...ก็เวลามันเดินไปเรื่อยนี่ค่ะ มันไม่เคยได้หยุดพัก   แก้วยังจำวันที่เราเจอกันได้เลย"

      "ผมก็เหมือนกัน" และเขาก็เงยหน้ามองฟ้า เหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรบ้างอย่าง

       

      "แก้วครับ...."  น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความไม่แน่ใจในอะไรบ้างอย่าง

      "มีอะไรหรือค่ะ"  ฉันมองสบตาเค้า  แต่ทำไมครั้งนี้ฉันถึงรู้สึกว่าใจของฉันมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย  เมื่อเจอสายตาที่กำลังมองฉันอยู่

      "เอ่อ...คือว่า...เราก็รู้จักกันมานานพอสมควรแล้ว แก้วจะรังเกียจมั๊ยถ้าพบจะขอดูแลแก้ว  และขอให้แก้วอยู่ข้างผมตลอดไป"  ตอนนั้น ใจฉันแทบจะหยุดเต้นเลยก็ว่าได้  ฉันทั้งดีใจและตกใจ ถ้าตอนนั้นมีแสงไฟบ้างเค้าคงเห็นหน้าของฉันเป็นสีแดงระเรื่อ แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจ ทำให้ฉันตัดสินใจว่า

      "ตั้ม...แก้วขอเวลาอีกหน่อยจะได้มั๊ย"  เมื่อพูดจบฉันอยากจะตบปากตัวเองจัง  คนอะไรปากไม่ตรงกับใจอีกแล้ว  ฉันนะรู้สึกดีกับเค้ามาตลอด ฉันไม่เคยรู้สึกดีกับใครเท่านี้มาก่อนเลย  และฉันก็รู้นะว่าเค้าได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันตั้งนานแล้ว ถ้าหากวันนึงฉันไม่มีเค้าฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรเหมือนกัน

      "ได้สิ...สำหรับแก้วผมรอได้ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ตาม"  น้ำเสียงของเค้าบ่งบอกถึงความผิดหวัง แต่ก็ยังพยายามที่จะส่งรอยยิ้มที่แสนหวานและอบอุ่นมาให้ฉันได้เสมอ

      "ผมกะไว้แล้วว่าแก้วต้องตอบผมอย่างนี้...แต่ผมก็ยังมีอีกอย่างที่จะบอกแก้ว  ที่จริงผมอยากบอกมานานแล้ว แต่ผมกลัวว่ามันจะเร็วเกินไป.....ผมรักแก้วนะครับ  และผมหวังว่าสักวันนึงผมคงได้ยินจากแก้วบ้างว่าแก้วก็รักผม"  ฉันได้แต่นั่งนิ่งให้สายตามองออกไปยังทะเลที่ทอดอยู่ข้างหน้า ปล่อยให้ใจคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

       

           

       

      หลังจากวันนั้น เราสองคนก็ยังเจอกันปกติ  มีบ้างที่ตั้มถามฉันกับคำตอบที่เค้ารอฟังและฉันก็ได้แต่เกเรบ่ายเบี่ยงกับคำตอบนั้นเสมอ และฉันก็มักจะกลับบ้านมาคิดว่า "พรุ่งนี้...พรุ่งนี้...ฉันจะบอกเขาว่าฉันรักเขามากแค่ไหน"  ความรู้สึกของฉันมันได้แต่อยู่ในใจฉัน  ฉันไม่เคยที่จะได้บอกเขาเลย...จนกระทั่ง

       

           

       

      "กริ้ง....."  เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำให้ฉันละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ฉันกำลังทำงานอยู่ เอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ

      "สวัสดีค่ะ"  ฉันกรอกเสียงไปตามสาย  และมีเสียงทางนู้นกรอกกับมา  แต่ฉันจำไม่ได้ว่าเค้าพูดอะไรบ้าง  แต่ใจของฉันก็ได้พาฉันมายังสถานที่แห่งหนึ่งนั้นก็คือบริเวณหน้าห้องผ่าตัด ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และฉันก็ได้พบกับคุณพ่อที่กำลังนั่งให้กำลังใจคุณแม่อยู่หน้าห้องนี้  จึงทำให้ฉันรู้ว่า ตั้มประสบอุบัติเหตุ เขากำลังขับรถเพื่อจะมาหาฉันที่บ้านเหมือนวันเสาร์ก่อนๆ ที่เขามาเป็นประจำ  แต่แล้วก็มีรถบรรทุกเสียหลักจากอีกฟากถนนข้ามมาชนกับรถของตั้ม จนเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส  ตอนนี้แพทย์กำลังทำการผ่าตัด และช่วยเค้าอยู่  ฉันได้แต่ภาวนาขอให้เค้ารอด  ฉันอยากให้เค้ารับรู้ถึงสิ่งที่เค้าควรจะรู้มานานแล้ว  แต่ฉันไม่เคยได้บอกเค้าเลย

      "ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ...ผมพยายามเต็มที่แล้ว"  นั่นคือเสียงที่ฉันคิดว่าเลวร้ายที่สุดจากผู้ชายที่อยู่ในชุดสีขาวที่ฉันเคยรู้สึกว่าปลอดภัยถ้าอยู่ใกล้มือคนนี้  หลังจากนั้นฉันได้แต่ให้ความรู้สึกที่มีอยู่ข้างในมันได้ระบายออกมาเป็นน้ำตา

       

           

       

      ตอนนี้ฉันได้บอกความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขาแล้ว แต่ฉันเองก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเขาจะรับรู้หรือไม่  แต่ฉันหวังว่าเขาคงจะรับรู้มันจากปากของฉัน "ตั้ม...แก้วรักตั้มนะ  และตั้มจะอยู่ในความทรงจำของแก้วตลอดไป"  ก่อนที่ฉันจะลงจากเมรุและยืนมองควันสีขาวที่ลอยขึ้นไปยังขอบฟ้าเป็นการจากลาที่เจ็บปวดในชีวิตฉัน

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×