The MoonLight Flower
The Legend of The MoonLight Flower
ผู้เข้าชมรวม
547
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนผืนฟ้าทีกว้างใหญ่ มันสาดแสงมากระทบกับเหล่าดอกไม้เบื้องล่างที่กำลังเปล่ง
ประกายราวกับเพชรน้ำงาม เหล่ามูนไลท์ต่างชูดอกกันอย่างผลิบาน
"มากันครบรึยัง" เสียงนั้นกล่าวถามอย่างอ่อนโยน
"ครบแล้วครับ"
"นี่ลอเรสอย่าเห็นแก่ตัวสิ เฟอร์ดีนยังไม่มาเลยนะ" เด็กสาวที่มีผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอคนหนึ่งแย้งขึ้นมา เธอมีดวงตา
สีน้ำทะเลที่แลดูน่ารัก สดใส
"ก็เจ้านั่นมันช้านี่นา"
หญิงชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกได้แต่แย้มรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน
ก๊อก ก๊อก
แอด
ประตูไม้โอ๊คเก่าๆถูกเปิดออก เผยให้เห็นผู้มาเยือนตัวเล็กๆคนหนึ่งที่กำลังยืนส่งรอยยิ้มแห้งๆมาให้
"ข้าขอโทษท่านยายที่ข้ามาช้า"
"กว่าจะมานะเจ้า" เด็กชายนามลอเรสอดที่จะแขวะขึ้นมาไม่ได้
"พอเถอะน่าลอเรส เฟอร์ดีนเข้ามาเถอะ"
"ทีนี้ก็คงครบแล้วสินะ" หญิงชราถามพลางกวาดตาไปทั่วๆกระท่อมเล็กๆ ด้วยอายุอานามที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้เธอมองเห็นอะไรได้ไม่ค่อยดีนัก
"วันนี้คุณยายจะเล่าเรื่องอะไรคะ" เสียงใสแจ๋วจากเด็กสาวตัวเล็กๆดังขึ้นมา
"คุณยายจะเล่าเรื่องหุบเขาสีขาวใช่มั้ยครับ"
"นี่อัลเดร เราฟังเรื่องนี้จะสิบรอบแล้วนะ ฉันเบื่อแล้ว" เสียงใสเสียงเดิมแย้งขึ้นมา
"อย่าทะเลาะกัน เฟน่า อัลเดร นี่พวกเรารู้จักดอกมูนไลท์กันรึเปล่า" หญิงชราห้ามสงครามย่อยๆที่ทำท่าจะขยายตัว
ขึ้น
"ดอกไม้ประจำหมู่บ้านเราเหรอครับ" โดเอลถามขึ้นมา เขาก็เป็นหนึ่งในเหล่าเด็กๆที่จะมานั่งฟังเรื่องเล่าของหญิง
ชราผู้นี้ทุกคืนที่จันทร์เต็มดวง
"ใช่แล้วล่ะ โดเอล ดอกมูนไลท์ดอกไม้ประจำหมู่บ้านแสงจันทร์ หมู่บ้านของเรา เรื่องราวของมันก็มีอยู่ว่า"
เสียงที่นุ่มและอ่อนโยนนั้นราวกับกล่อมเหล่าเด็กตัวน้อยๆให้จมอยู่ในภวังค์ ตำนานแห่งดอกมูนไลท์ได้ถูกเล่าขาน
ขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ณ บนผืนสวรรค์อันกว้างใหญ่ เหล่าเทพทั้งหลายต่างสัญจรไปมาเพื่อที่จะทำภารกิจตัวเองให้บรรลุและเสร็จสิ้น
และในมุมเล็กๆมุมหนึ่งนั่นเอง เทพองค์หนึ่งก็ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เทพจันทรา กำลังฉายแสงที่หยิบยืมมาจาก
เทพดวงตะวัน เขาฉายแสงไปทั่วผืนฟ้าในยามค่ำคืนเพื่อให้มนุษย์ที่เห็นมันนั้นรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
ณ ป่าเล็กๆแห่งหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด สิงสาราสัตว์ต่างๆรวมทั้งเทพแห่งแมกไม้และ
เหล่าภูตนางไม้ นางไม้ตนหนึ่งกำลังจ้องมองดวงจันทร์อย่างชื่นชม เธอหลงรักองค์เทพจันทรามาโดยตลอด
เพราะแสงที่สาดส่องของเขามักจะอยู่เป็นเพื่อนเธอในยามที่เหงาและมืดมิด และครั้งหนึ่งที่เธอได้เห็นรอยยิ้มอันอ่อน
โยนของเทพเจ้านภาในยามรัตติกาลนี้ เธอก็ให้คำมั่นกับตัวเองว่า จักไม่เหลียวตามองผู้ใด จะจงรักภักดีกับเขาผู้นั้น
เพียงผู้เดียว และวันนี้ก็เป็นเช่นเหมือนวันอื่นๆ เธอมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเป็นสง่าและคอยแต่พร่ำเพร้อถึงเทพจัน
ทราและรอยยิ้มอันอ่อนโยนดั่งแสงจันทร์ของเขาอย่างมิอาจหยุดได้
ที่ชายป่าอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนกันอยู่ใต้แมกไม้ แสงดวงจันทร์มิอาจหลุดลอดเข้าไปได้
เลย
"โรชา ข้ามีเรื่องต้องบอกกับเจ้า" ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยขึ้นมาอย่างหนักแน่น ซึ่งสร้างความสงสัยให้แก่หญิงสาว
ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาเป็นยิ่งนัก
"มีเรื่องอะไรเหรอเฟรด ทำไมสีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีเลยล่ะ" เธอถามพลางใช้นิ้วเรียวบางเกลี่ยไรผมที่ใบหน้าคมสัน
ของชายตรงหน้าที่เริ่มมีเหงื่อซึม
มือหยาบกร้านค่อยๆไปประคองมือเล็กนั้นแล้วนำมันมากุมไว้ตรงทีอกซ้ายของเขา
"ข้าเป็นมนุษย์หมาป่า"
"ท่านล้อข้าเล่นแน่ๆ" หญิงสาวส่ายหน้าและฝืนยิ้มดูท่าทางที่จริงจังของเขามันคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ แต่เธอก็ยัง
พยายามที่จะหลอกตัวเอง...อย่างนั้นเหรอ
"เหตุใดข้าต้องล้อเล่น เชื่อข้าเถอะ ข้ากับเจ้าเราต้องเลิกพบกันซะ"
แทนคำตอบฝ่ามือเรียวบางปะทะเข้ากับใบหน้าของชายหนุ่มอย่างรุนแรง น้ำตาไหลรินจากดวงตาคู่สวย
แล้วเธอก็ตรงเข้าสวมกอดเขาทันที
"ท่านคิดว่าคำสัญญาที่ข้าเคยพูดไว้มันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นอย่างนั้นหรือ สิ่งที่ข้าเคยกล่าวไว้ว่า ข้าจะอยู่กับท่าน
ตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป"
"โรชา" เสียงของชายหนุ่มสั่นเครือ เขาค่อยๆใช้มือลูบเส้นผมนุ่มสวยที่ซุกอยู่กับอกเขาอย่างแผ่วเบา
"ข้าขอบคุณเจ้า ข้าขอบคุณเจ้าจริงๆ โรชา"
ณ บนผืนฟ้า
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เทพจันทราได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังเนื่องจากคืนนี้เป็นคืนจันทร์เพ็ญ
สายตาอันอ่อนโยนของเทพแห่งท้องนภาในยามค่ำคืนได้มองเห็นหญิงชายคู่หนึ่งยืนอยู่ใต้แมกไม้
รอบกายของพวกเขาช่างดูอบอวลไปด้วยความรักที่แสนบริสุทธิ์
เทพจันทราผู้อ่อนโยนจึงได้แต่แสดงความยินดีต่อหญิงชายคู่นั้นโดยการแผ่แสงสีทองนวลงามไปอาบคู่รักที่ยืนอยู่
ใต้แมกไม้ใหญ่ ด้วยอำนาจแห่งเทพแสงนวลนั้นจึงลอดกลุ่มแมกไม้ได้อย่างง่ายดาย เทพผู้อ่นโยนกระทำลงไปโดยมิ
อาจรู้เลยว่าภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
ณ โลกแห่งความจริง (ขอแวบสักครู่นะคะ)
"แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อเหรอครับท่านยาย" ลอเรสเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นอดถามขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นหญิงชรา
เว้นช่วงไว้
"ใจเย็นๆสิเด็กน้อย ขอยายพักดื่มน้ำครู่นึง" หญิงชรากล่าวดังนั้นแล้วหยิบแก้วน้ำข้างกายขึ้นมาซดอย่างกระหาย
"เอาล่ะเหล่าเด็กน้อย ยายพร้อมแล้วงั้นเรามาฟังกันต่อนะจ้ะ" หญิงชราโปรยรอยยิ้มและเริ่มพาเหล่าชีวิตน้อยๆจม
เข้าสู่อีกโลกหนึ่งอีกครั้ง
กลับมา ณ โลกแห่งตำนาน
เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน เหล่าชีวิตท้งหลายก็เริ่มวงจรชีวิตอีกครั้ง บ้างออกหากิน บ้างเข้าหลบพักผ่อนตามที่อยู่อาศัย
ทุกชีวิตต่างสงบสุข หากแต่ก็ยังมีอีกชีวิตหนึ่งที่พึ่งตื่นจากการหลับไหล
ร่างหนาค่อยๆยันตัวขึ้นพิงกับต้นไม้ อาการปวดหัวแผ่ซ่านไปทั่ว เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับเขานะ หากแต่ม่านตาของ
เขาก็ต้องถูกเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างของหญิงสาวที่รักนอนอยู่ข้างกาย ร่างของนางชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด
กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งชวนสะอิดสะเอียน ชายหนุ่มเพียรเค้นความทรงจำที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ภาพแต่ละภาพไหลเวียนเข้ามาในหวราวกับฉายหนัง
ย้อนกลับไปเมื่อคืน หลังจากที่ได้บอกความจริงกับหญิงที่รักแล้วทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างปกติสุข
เว้นเสียแต่ว่าหากแสงจันทร์เต็มดวงในคืนนั้นได้สาดส่องมาโดนตัวเขาเข้า
"โรชา ข้าโดนแสงจันทร์วันเพ็ญแล้ว อีกไม่นานข้าจะกลายร่าง เจ้ารีบหนีไปเถิด" ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน
เขาพยายามผละออกจากร่างบางที่ยึดเขาไว้
"ไหนล่ะ ท่านโกหกข้าใช่มั้ยล่ะ ข้าไม่เห็นท่านจะกลายร่างเลย"
"โรชา ข้ามีสายเลือดเพียงครึ่งหนึ่งที่เป็นมนุษย์หมาป่า ข้าจึงใช้เวลานานกว่าสายเลือดแท้ในการกลายร่าง แต่นี่เป็น
โอกาสอันดีที่เจ้าจะหนีไป รีบหนีไปเถิดก่อนที่ข้าจะกลายร่างและไม่สามารถห้ามตัวเองได้"
หากแต่ร่างบางยังคงดื้อดึง เธอยังคงกอดเขาไว้แน่น ซุกใบหน้าเนียนไว้กับแผ่นอกที่แข็งแรงนั่น
เมื่อยิ่งต้องแสงจันทร์นานขึ้นร่างแข็งแรงนั้นก็ค่อยๆแปรเปลี่ยน เล็บที่เริ่มงอกยาวออกมา เขี้ยวแบบสัตว์เดรัจฉานที่
เริ่มงอกออกมาแทนที่ฟันที่เคยมีเยี่ยงมนุษย์ ในร่างกายเจ็บปวดทรมานราวกับกำลังถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น
เขารู้ดีว่าวิธีบรรเทาอากาศเจ็บปวดนี้มีเพียงการดื่มเลือดของหญิงสาวเท่านั้นที่ช่วยเขาได้ แต่นี่คนตรงหน้าคือบุคคล
ที่มีอิทธิพลต่อจิตใตของเขาที่สุดแล้วเขาจะทำได้เช่นไร หากแต่เวลายิ่งผ่านไปนานเท่าใดการควบคุมร่างกายและ
จิตใจก็ยิ่งดูยากขึ้นเท่านั้น
"เราสัญญากันแล้วว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ข้าทิ้งท่านไม่ได้หรอก" น้ำเสียงหวานนั่นฟังดูหนักแน่นราวกับกำแพง
หินที่ไม่มีวันทลายลงได้
"โฮก ระ รีบไปซะ" ความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างกาย หากเขายังอยู่ที่ตรงนี้และหากโดนแสงจันทร์มากกว่านี้เพียง
นิดคงควบคุมอะไรไม่ได้อีกแน่นอน และหากเธอยืนกรานที่จะไม่ไป...เขาก็จะไปเอง
ดูราวกับว่าราตรนี้จะไม่เป็นใจให้คู่รักคู่นี้เสียแล้ว สายฝนเริ่มกระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก เสียงสายฟ้าที่ฟาดลงมาบน
พื้นธรณีช่างกึกก้องยิ่งนัก
'อ่า ข้ามีความทรงจำเพียงเท่านี้หรอกหรือ' ชายหนุ่มเค้นความทรงจำของเขาในค่ำคืนที่ผ่านมาอย่างสุดกำลัง
'นี่มันอะไรกัน' แต่เขาก็ต้องหยุดการเค้นความทรงจำทันทีที่รู้สึกว่ามีกลิ่นแปลกประหลาดโชยมาแตะจมูก
มันเป็นกลิ่นสะอิดสะเอียนชวนคลื่นไส้ยิ่งนัก เหมือนกลิ่น...คาวเลือด
"ระ โรชา" เหมือนเสียงถูกดูดกลืนลงไปในลำคอ ภาพหญิงสาวที่มีร่างชุ่มไปด้วยเลือดปรากฏสู่สายตาของเขาอีกครั้ง
หลังจากจมเข้าสู่ความทรงจำ แขนขาวซีดดูตัดกับสีเลือดที่กำลังหลั่งรินยิ่งนัก
"เกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของข้าเหรอโรชา ข้าเป็นคนทำร้ายเจ้างั้นเหรอ" เขาประคองร่างเล็กนั้นไว้กับแผ่นอก
เธอช่างดูซีดเซียวยิ่งนัก
"ไม่ใชท่านหรอก" พูดเพียงประโยคสั้นๆเธอก็กระอักโลหิตออกมาจนเลอะเปรอะเปื้อน แต่ชายหนุ่มไม่สนเรื่องนั้น
มือหยาบกร้านลูบใบหน้านั้นอย่างแผ่วเบา
"เจ้าอย่าพูดอีกเลยโรชา มันจะทำให้เจาอาการหนักขึ้นนะ ข้าจะพาเจ้าไปรักษา" ชายหนุ่มได้เพียงแต่ห้ามปรามหญิง
สาวในอ้อมกอดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา หยาดน้ำใสๆคลอเบ้าตา
"ทะ ท่านอย่าร้องไห้สิ" มือขาวซีดนั้นพยายามที่จะปาดหยดน้ำตาออกจากใบหน้าของชายหนุ่ม
"ไม่ต้องพาข้าไปรักษาหรอก ข้าคงไปต่อไม่ไหวแล้ว แต่ขอให้จำไว้สิ่งหนึ่งนะ แค่กๆ" ชายหนุ่มได้เพียงแต่ส่ายหน้า
และรั้งตัวหญิงสาวให้ชิดมากขึ้น เขาเริ่มออกเดินและเร่งฝีเท้าเพื่อจะพาหญิงสาวผู้เป็นที่รักไปรับการรักษาโดยให้รับ
การกระทบกระเทือนให้น้อยที่สุด
"อย่าฝืนลิขิตเลย" เสียงนั้นเริ่มกระท่อนกระแท่นจับใจความไม่ค่อยได้ นิ้วเรียวสัมผัสใบหน้าที่คมสันเยี่ยงชายชาตรี
นั้นอย่างแผ่วเบา
"แต่ขอให้ท่านจำไว้นะ เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดผิดและข้าจะรักท่านตลอดไปและอยู่ในใจท่านตลอดไป" ชายหนุ่มที่กำลัง
เร่งฝีเท้าพลันหยุดนิ่ง ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เมื่อสัมผัสจากนิ้วนั้นค่อยๆตกลงจนแขนขาวซีดข้างนั้นห้อยลง
ข้างตัวอย่างมิอาจกลับคืนได้อย่างเดิม
"นี่มันไม่ยุติธรรม" ชายหนุ่มตะโกนก้อง เขาทรุดตัวลงช้าซบหน้าลงกับร่างที่ไร้วิญญาณอย่างโหยหาและอาลัย
พลันสายตาของเขาก็ปะทะกับวิหารใหญ่เบื้องหน้า วิหารองค์เทพจักพรรดิออลไลออส มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในดินแดนสามภพ เขาค่อยๆอุ้มร่างไร้วิญญาณเข้าไปในวิหาร เวลานี้ยังเช้าเกินไปนักจึงยังไม่พบเห็นนผู้ใดแวะ
เวียนมาสักการะมหาเทพในยามนี้
"ท่านออลไลออส หากท่านยังเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่รู้ซึ่งถึงทุกสิ่งในไตรภพนี้ ก็ขอท่านโปรดฟังคำของข้า ท่าน
เห็นมั้ยนางในอ้อมกอดข้า นางคือผู้ที่ข้ารักที่สุด โรชา" นิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยผมที่ปิดใบหน้าขาวซีดนั้นออกอย่าง
ช้าๆ ในกระแสเสียงของเขาจับได้ถึงความเศร้าใจ อาการพร่ำเพร้อและความอาฆาตที่อัดแน่นอยู่ข้างใน
"เมื่อคืนนี้ ทั้งๆที่ข้าและนางกำลังจะได้มีชีวิตที่หวานชื่น แต่กลับน่าเศร้ายิ่งนัก เมื่อเทพจันทราสาดแสงของ
เขามาโดนข้าผู้มีสายเลือดของมนุษย์หมาป่าอยู่ครึ่งหนึ่งในคืนวันเพ็ญ เหตุการณ์ที่ข้าไม่อยากให้เกิดก็พลันอุบัติ
ขึ้นอย่างไม่น่าให้อภัย" เสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยความเศร้าที่หยั่งรากลึกและความอาฆาตที่ปนเปไปด้วยเช่นกัน
"นางโดนข้าทำร้าย แต่ในเวลานั้นข้ามิอาจควบคุมจิตสำนึกได้ แต่เหนือสิ่งอืนใดนั้นหากคืนนั้นข้าไม่โดน
แสงจันทร์เข้าแล้วล่ะก็ ทั้งๆที่ข้าเลือกที่จะยืนใต้แมกไม้ใหญ่เพื่อที่จะได้บดบังแสงจากจันทรา แต่ราวกับเทพองค์
นั้นกลั่นแกล้งข้า แสงจันทราสาดส่องผ่านใต้แมกไม้เหล่านั้นและโดนข้าในที่สุด ได้ฟังอย่างนี้แล้วท่านต้อง
จัดการเทพจันทราให้ข้านะท่านออลไลออส หากท่านยังอยากรักษานามแห่งองค์จักพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งไตรภพอยู่
ละก็ ท่านต้องจัดการห้ามให้ท่านเทพจันทราส่องแสงกระทบพื้นผิวโลกในคืนวันเพ็ญเด็ดขาด ไม่รู้ว่ายังมีอีก
เท่าไรที่สังเวยวิญญาณให้เทพบ้าเลือดองค์นั้น "ยามนี้เขาไม่ฟังผู้ใดอีกแล้ว มีเพียงแต่คำอุทธรณ์ที่ส่งไปถึงมหา
เทพผู้ยิ่งใหญ่เพียงเท่านั้น
ณ บนผืนสวรรค์ที่มีอาณาเขตกว้างไกล
ณ ใจกลางสวรรค์ วิหารทองคำขนาดใหญ่ช่างโดดเด่นและน่าจับตายิ่งนัก องค์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามภพ
ออลไลออสประทับอยู่บนบัลลังก์ทองที่โอ่อ่าหรูหรา หากแต่ใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยเค้าของความตึงเครียด
‘ความรักทำให้สรรพชีวิตลุ่มหลงและเดินทางผิดถึงเพียงนี้เชียวหรือ’ มหาเทพทำได้เพียงถอนใจ หากเวลานี้
ล่ะก็เขตที่เทพจันทราอยู่ยังเป็นช่วงอรุณ เขาก็อาจเรียกเทพจันทราเข้ามาคุยด้วยได้
ณ ขอบฟ้าอันไกลโพ้น
เทพแห่งสรวงสวรรค์องค์หนึ่งพักผ่อนอยู่ในสวนหญ้าขนาดเล็ก ลมที่พัดพาความสดชื่นของหมู่มวล
ดอกไม้เข้าปะทะกับใบหน้าคมสันนั้นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
~ก๊อก ก๊อก~
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เทพองค์นั้นจำต้องตื่นจากภวังค์ ร่างสูงก้าวขาไปยังประตูหน้าที่พักของเขา
"อ้าว ท่านเพกาซ" ร่างสุงดูแปลกใจไม่ใช่น้อยเมื่อเห็นเทพร่างเล็กองค์หนึ่งที่กำลังขี่เจ้าม้าเพกาซัสอยู่
หน้าประตูของเขา
"เป็นสาส์นจากท่านมหาเทพน่ะท่าน"
คำอธิบายนั้นยิ่งทำให้ร่างสูงมีอาการงุนงงหนักกว่าเดิมและเลิกคิ้วขึ้น
"ท่านอ่านเองเถิด ข้าก็ไม่อาจรู้ได้เหมือนกัน ข้าต้องไปทำหน้าที่ของข้าต่อแล้ว"
"ขอบคุณท่านมากท่านเพกาซ" ร่างสูงก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณให้แก่ผู้ส่งสาส์นแห่งสวรรค์
ร่างสูงก้าวยาวๆไปที่เก้าอี้ตัวโปรดและลงมือแกะจดหมายทันที
---------------------------------------------------------------------------------------------
ยังไม่สมบูรณ์จ้า เดี๋ยวว่างๆมาอัพต่อ (ว่าแต่จะมีคนอ่านมั้ยเนี่ย)
รู้สึกว่ายิ่งแต่งยิ่งเพี้ยนแล้วเรา (เพี้ยนทั้งเรื่อง ทั้งคนเขียนเลย)
เน่าแล้ว แต่งไม่จบแน่เลย
ผลงานอื่นๆ ของ รอยยิ้มสีขาว ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ รอยยิ้มสีขาว
"เก่งจริงๆเลย^^"
(แจ้งลบ)ใช้ภาษาเก่งมาก ผูกเรื่องได้ดี น่าติดตามและจะติดตามต่อไปจ้าาา ^________^ อ่านเพิ่มเติม
ใช้ภาษาเก่งมาก ผูกเรื่องได้ดี น่าติดตามและจะติดตามต่อไปจ้าาา ^________^
Pinkiiez-PriNcess | 2 พ.ค. 52
2
0
"เก่งจริงๆเลย^^"
(แจ้งลบ)ใช้ภาษาเก่งมาก ผูกเรื่องได้ดี น่าติดตามและจะติดตามต่อไปจ้าาา ^________^ อ่านเพิ่มเติม
ใช้ภาษาเก่งมาก ผูกเรื่องได้ดี น่าติดตามและจะติดตามต่อไปจ้าาา ^________^
Pinkiiez-PriNcess | 2 พ.ค. 52
2
0
ความคิดเห็น