The MoonLight Flower - The MoonLight Flower นิยาย The MoonLight Flower : Dek-D.com - Writer

    The MoonLight Flower

    The Legend of The MoonLight Flower

    ผู้เข้าชมรวม

    547

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    547

    ความคิดเห็น


    24

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  26 พ.ค. 52 / 17:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ตำนานของดอกมูนไลท์ ดอกไม้ที่เปล่งประกายยามเมื่อต้องแสงจันทร์ที่สาดส่อง

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

         ดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่บนผืนฟ้าทีกว้างใหญ่ มันสาดแสงมากระทบกับเหล่าดอกไม้เบื้องล่างที่กำลังเปล่ง

      ประกายราวกับเพชรน้ำงาม เหล่ามูนไลท์ต่างชูดอกกันอย่างผลิบาน

         "มากันครบรึยัง" เสียงนั้นกล่าวถามอย่างอ่อนโยน

         "ครบแล้วครับ"

         "นี่ลอเรสอย่าเห็นแก่ตัวสิ เฟอร์ดีนยังไม่มาเลยนะ" เด็กสาวที่มีผมสีน้ำตาลยาวระต้นคอคนหนึ่งแย้งขึ้นมา เธอมีดวงตา

      สีน้ำทะเลที่แลดูน่ารัก สดใส

         "ก็เจ้านั่นมันช้านี่นา"

         หญิงชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกได้แต่แย้มรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน

         ก๊อก ก๊อก

         แอด

         ประตูไม้โอ๊คเก่าๆถูกเปิดออก เผยให้เห็นผู้มาเยือนตัวเล็กๆคนหนึ่งที่กำลังยืนส่งรอยยิ้มแห้งๆมาให้

         "ข้าขอโทษท่านยายที่ข้ามาช้า"

        "กว่าจะมานะเจ้า" เด็กชายนามลอเรสอดที่จะแขวะขึ้นมาไม่ได้

         "พอเถอะน่าลอเรส  เฟอร์ดีนเข้ามาเถอะ"

         "ทีนี้ก็คงครบแล้วสินะ" หญิงชราถามพลางกวาดตาไปทั่วๆกระท่อมเล็กๆ ด้วยอายุอานามที่มากขึ้นเรื่อยๆ

      ทำให้เธอมองเห็นอะไรได้ไม่ค่อยดีนัก

         "วันนี้คุณยายจะเล่าเรื่องอะไรคะ" เสียงใสแจ๋วจากเด็กสาวตัวเล็กๆดังขึ้นมา

        "คุณยายจะเล่าเรื่องหุบเขาสีขาวใช่มั้ยครับ" 

        "นี่อัลเดร เราฟังเรื่องนี้จะสิบรอบแล้วนะ ฉันเบื่อแล้ว"  เสียงใสเสียงเดิมแย้งขึ้นมา

        "อย่าทะเลาะกัน เฟน่า อัลเดร นี่พวกเรารู้จักดอกมูนไลท์กันรึเปล่า" หญิงชราห้ามสงครามย่อยๆที่ทำท่าจะขยายตัว

      ขึ้น

         "ดอกไม้ประจำหมู่บ้านเราเหรอครับ" โดเอลถามขึ้นมา เขาก็เป็นหนึ่งในเหล่าเด็กๆที่จะมานั่งฟังเรื่องเล่าของหญิง

      ชราผู้นี้ทุกคืนที่จันทร์เต็มดวง

         "ใช่แล้วล่ะ โดเอล ดอกมูนไลท์ดอกไม้ประจำหมู่บ้านแสงจันทร์ หมู่บ้านของเรา  เรื่องราวของมันก็มีอยู่ว่า"

         เสียงที่นุ่มและอ่อนโยนนั้นราวกับกล่อมเหล่าเด็กตัวน้อยๆให้จมอยู่ในภวังค์ ตำนานแห่งดอกมูนไลท์ได้ถูกเล่าขาน

      ขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว 




          ณ  บนผืนสวรรค์อันกว้างใหญ่ เหล่าเทพทั้งหลายต่างสัญจรไปมาเพื่อที่จะทำภารกิจตัวเองให้บรรลุและเสร็จสิ้น

      และในมุมเล็กๆมุมหนึ่งนั่นเอง เทพองค์หนึ่งก็ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เทพจันทรา กำลังฉายแสงที่หยิบยืมมาจาก

      เทพดวงตะวัน เขาฉายแสงไปทั่วผืนฟ้าในยามค่ำคืนเพื่อให้มนุษย์ที่เห็นมันนั้นรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย

           ณ ป่าเล็กๆแห่งหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด สิงสาราสัตว์ต่างๆรวมทั้งเทพแห่งแมกไม้และ

      เหล่าภูตนางไม้   นางไม้ตนหนึ่งกำลังจ้องมองดวงจันทร์อย่างชื่นชม  เธอหลงรักองค์เทพจันทรามาโดยตลอด

      เพราะแสงที่สาดส่องของเขามักจะอยู่เป็นเพื่อนเธอในยามที่เหงาและมืดมิด  และครั้งหนึ่งที่เธอได้เห็นรอยยิ้มอันอ่อน

      โยนของเทพเจ้านภาในยามรัตติกาลนี้  เธอก็ให้คำมั่นกับตัวเองว่า  จักไม่เหลียวตามองผู้ใด  จะจงรักภักดีกับเขาผู้นั้น

      เพียงผู้เดียว   และวันนี้ก็เป็นเช่นเหมือนวันอื่นๆ เธอมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเป็นสง่าและคอยแต่พร่ำเพร้อถึงเทพจัน

      ทราและรอยยิ้มอันอ่อนโยนดั่งแสงจันทร์ของเขาอย่างมิอาจหยุดได้  


           ที่ชายป่าอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนกันอยู่ใต้แมกไม้  แสงดวงจันทร์มิอาจหลุดลอดเข้าไปได้

      เลย 

           "โรชา ข้ามีเรื่องต้องบอกกับเจ้า"  ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยขึ้นมาอย่างหนักแน่น ซึ่งสร้างความสงสัยให้แก่หญิงสาว

      ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาเป็นยิ่งนัก

           "มีเรื่องอะไรเหรอเฟรด ทำไมสีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีเลยล่ะ" เธอถามพลางใช้นิ้วเรียวบางเกลี่ยไรผมที่ใบหน้าคมสัน

      ของชายตรงหน้าที่เริ่มมีเหงื่อซึม

            มือหยาบกร้านค่อยๆไปประคองมือเล็กนั้นแล้วนำมันมากุมไว้ตรงทีอกซ้ายของเขา

           "ข้าเป็นมนุษย์หมาป่า" 

           "ท่านล้อข้าเล่นแน่ๆ" หญิงสาวส่ายหน้าและฝืนยิ้มดูท่าทางที่จริงจังของเขามันคงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ แต่เธอก็ยัง

      พยายามที่จะหลอกตัวเอง...อย่างนั้นเหรอ

           "เหตุใดข้าต้องล้อเล่น เชื่อข้าเถอะ ข้ากับเจ้าเราต้องเลิกพบกันซะ"

          แทนคำตอบฝ่ามือเรียวบางปะทะเข้ากับใบหน้าของชายหนุ่มอย่างรุนแรง น้ำตาไหลรินจากดวงตาคู่สวย

      แล้วเธอก็ตรงเข้าสวมกอดเขาทันที

           "ท่านคิดว่าคำสัญญาที่ข้าเคยพูดไว้มันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นอย่างนั้นหรือ สิ่งที่ข้าเคยกล่าวไว้ว่า ข้าจะอยู่กับท่าน

      ตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป"

           "โรชา" เสียงของชายหนุ่มสั่นเครือ เขาค่อยๆใช้มือลูบเส้นผมนุ่มสวยที่ซุกอยู่กับอกเขาอย่างแผ่วเบา

          "ข้าขอบคุณเจ้า ข้าขอบคุณเจ้าจริงๆ โรชา"

          ณ  บนผืนฟ้า

          วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เทพจันทราได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังเนื่องจากคืนนี้เป็นคืนจันทร์เพ็ญ

          สายตาอันอ่อนโยนของเทพแห่งท้องนภาในยามค่ำคืนได้มองเห็นหญิงชายคู่หนึ่งยืนอยู่ใต้แมกไม้

          รอบกายของพวกเขาช่างดูอบอวลไปด้วยความรักที่แสนบริสุทธิ์

         เทพจันทราผู้อ่อนโยนจึงได้แต่แสดงความยินดีต่อหญิงชายคู่นั้นโดยการแผ่แสงสีทองนวลงามไปอาบคู่รักที่ยืนอยู่

      ใต้แมกไม้ใหญ่ ด้วยอำนาจแห่งเทพแสงนวลนั้นจึงลอดกลุ่มแมกไม้ได้อย่างง่ายดาย เทพผู้อ่นโยนกระทำลงไปโดยมิ

      อาจรู้เลยว่าภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้น

         
          ณ  โลกแห่งความจริง  (ขอแวบสักครู่นะคะ)
       
          "แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อเหรอครับท่านยาย"    ลอเรสเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นอดถามขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นหญิงชรา

      เว้นช่วงไว้
       
          "ใจเย็นๆสิเด็กน้อย ขอยายพักดื่มน้ำครู่นึง" หญิงชรากล่าวดังนั้นแล้วหยิบแก้วน้ำข้างกายขึ้นมาซดอย่างกระหาย

          "เอาล่ะเหล่าเด็กน้อย ยายพร้อมแล้วงั้นเรามาฟังกันต่อนะจ้ะ" หญิงชราโปรยรอยยิ้มและเริ่มพาเหล่าชีวิตน้อยๆจม

      เข้าสู่อีกโลกหนึ่งอีกครั้ง

       
          กลับมา ณ โลกแห่งตำนาน

          เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน เหล่าชีวิตท้งหลายก็เริ่มวงจรชีวิตอีกครั้ง บ้างออกหากิน บ้างเข้าหลบพักผ่อนตามที่อยู่อาศัย

      ทุกชีวิตต่างสงบสุข หากแต่ก็ยังมีอีกชีวิตหนึ่งที่พึ่งตื่นจากการหลับไหล

          ร่างหนาค่อยๆยันตัวขึ้นพิงกับต้นไม้ อาการปวดหัวแผ่ซ่านไปทั่ว เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับเขานะ หากแต่ม่านตาของ

      เขาก็ต้องถูกเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างของหญิงสาวที่รักนอนอยู่ข้างกาย ร่างของนางชโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด

      กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งชวนสะอิดสะเอียน ชายหนุ่มเพียรเค้นความทรงจำที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

      ภาพแต่ละภาพไหลเวียนเข้ามาในหวราวกับฉายหนัง

          ย้อนกลับไปเมื่อคืน หลังจากที่ได้บอกความจริงกับหญิงที่รักแล้วทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างปกติสุข

      เว้นเสียแต่ว่าหากแสงจันทร์เต็มดวงในคืนนั้นได้สาดส่องมาโดนตัวเขาเข้า

          "โรชา ข้าโดนแสงจันทร์วันเพ็ญแล้ว อีกไม่นานข้าจะกลายร่าง เจ้ารีบหนีไปเถิด" ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างร้อนรน

      เขาพยายามผละออกจากร่างบางที่ยึดเขาไว้
       
         "ไหนล่ะ ท่านโกหกข้าใช่มั้ยล่ะ ข้าไม่เห็นท่านจะกลายร่างเลย"

        "โรชา ข้ามีสายเลือดเพียงครึ่งหนึ่งที่เป็นมนุษย์หมาป่า ข้าจึงใช้เวลานานกว่าสายเลือดแท้ในการกลายร่าง แต่นี่เป็น

      โอกาสอันดีที่เจ้าจะหนีไป รีบหนีไปเถิดก่อนที่ข้าจะกลายร่างและไม่สามารถห้ามตัวเองได้"

         หากแต่ร่างบางยังคงดื้อดึง เธอยังคงกอดเขาไว้แน่น ซุกใบหน้าเนียนไว้กับแผ่นอกที่แข็งแรงนั่น

        เมื่อยิ่งต้องแสงจันทร์นานขึ้นร่างแข็งแรงนั้นก็ค่อยๆแปรเปลี่ยน เล็บที่เริ่มงอกยาวออกมา เขี้ยวแบบสัตว์เดรัจฉานที่

      เริ่มงอกออกมาแทนที่ฟันที่เคยมีเยี่ยงมนุษย์ ในร่างกายเจ็บปวดทรมานราวกับกำลังถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น

      เขารู้ดีว่าวิธีบรรเทาอากาศเจ็บปวดนี้มีเพียงการดื่มเลือดของหญิงสาวเท่านั้นที่ช่วยเขาได้ แต่นี่คนตรงหน้าคือบุคคล

      ที่มีอิทธิพลต่อจิตใตของเขาที่สุดแล้วเขาจะทำได้เช่นไร  หากแต่เวลายิ่งผ่านไปนานเท่าใดการควบคุมร่างกายและ

      จิตใจก็ยิ่งดูยากขึ้นเท่านั้น

          "เราสัญญากันแล้วว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ข้าทิ้งท่านไม่ได้หรอก" น้ำเสียงหวานนั่นฟังดูหนักแน่นราวกับกำแพง

      หินที่ไม่มีวันทลายลงได้

         "โฮก ระ รีบไปซะ"  ความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างกาย หากเขายังอยู่ที่ตรงนี้และหากโดนแสงจันทร์มากกว่านี้เพียง

      นิดคงควบคุมอะไรไม่ได้อีกแน่นอน และหากเธอยืนกรานที่จะไม่ไป...เขาก็จะไปเอง
          
         ดูราวกับว่าราตรนี้จะไม่เป็นใจให้คู่รักคู่นี้เสียแล้ว  สายฝนเริ่มกระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก  เสียงสายฟ้าที่ฟาดลงมาบน

      พื้นธรณีช่างกึกก้องยิ่งนัก

         'อ่า ข้ามีความทรงจำเพียงเท่านี้หรอกหรือ'  ชายหนุ่มเค้นความทรงจำของเขาในค่ำคืนที่ผ่านมาอย่างสุดกำลัง

        'นี่มันอะไรกัน'  แต่เขาก็ต้องหยุดการเค้นความทรงจำทันทีที่รู้สึกว่ามีกลิ่นแปลกประหลาดโชยมาแตะจมูก

         มันเป็นกลิ่นสะอิดสะเอียนชวนคลื่นไส้ยิ่งนัก  เหมือนกลิ่น...คาวเลือด

         "ระ โรชา" เหมือนเสียงถูกดูดกลืนลงไปในลำคอ ภาพหญิงสาวที่มีร่างชุ่มไปด้วยเลือดปรากฏสู่สายตาของเขาอีกครั้ง

      หลังจากจมเข้าสู่ความทรงจำ   แขนขาวซีดดูตัดกับสีเลือดที่กำลังหลั่งรินยิ่งนัก

         "เกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของข้าเหรอโรชา ข้าเป็นคนทำร้ายเจ้างั้นเหรอ" เขาประคองร่างเล็กนั้นไว้กับแผ่นอก

      เธอช่างดูซีดเซียวยิ่งนัก

         "ไม่ใชท่านหรอก" พูดเพียงประโยคสั้นๆเธอก็กระอักโลหิตออกมาจนเลอะเปรอะเปื้อน แต่ชายหนุ่มไม่สนเรื่องนั้น

      มือหยาบกร้านลูบใบหน้านั้นอย่างแผ่วเบา 

         "เจ้าอย่าพูดอีกเลยโรชา มันจะทำให้เจาอาการหนักขึ้นนะ ข้าจะพาเจ้าไปรักษา" ชายหนุ่มได้เพียงแต่ห้ามปรามหญิง

      สาวในอ้อมกอดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา หยาดน้ำใสๆคลอเบ้าตา

         "ทะ ท่านอย่าร้องไห้สิ" มือขาวซีดนั้นพยายามที่จะปาดหยดน้ำตาออกจากใบหน้าของชายหนุ่ม

         "ไม่ต้องพาข้าไปรักษาหรอก  ข้าคงไปต่อไม่ไหวแล้ว แต่ขอให้จำไว้สิ่งหนึ่งนะ แค่กๆ"  ชายหนุ่มได้เพียงแต่ส่ายหน้า

      และรั้งตัวหญิงสาวให้ชิดมากขึ้น เขาเริ่มออกเดินและเร่งฝีเท้าเพื่อจะพาหญิงสาวผู้เป็นที่รักไปรับการรักษาโดยให้รับ

      การกระทบกระเทือนให้น้อยที่สุด
       
          "อย่าฝืนลิขิตเลย" เสียงนั้นเริ่มกระท่อนกระแท่นจับใจความไม่ค่อยได้ นิ้วเรียวสัมผัสใบหน้าที่คมสันเยี่ยงชายชาตรี

      นั้นอย่างแผ่วเบา

          "แต่ขอให้ท่านจำไว้นะ เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดผิดและข้าจะรักท่านตลอดไปและอยู่ในใจท่านตลอดไป" ชายหนุ่มที่กำลัง

      เร่งฝีเท้าพลันหยุดนิ่ง ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เมื่อสัมผัสจากนิ้วนั้นค่อยๆตกลงจนแขนขาวซีดข้างนั้นห้อยลง

      ข้างตัวอย่างมิอาจกลับคืนได้อย่างเดิม

           "นี่มันไม่ยุติธรรม" ชายหนุ่มตะโกนก้อง เขาทรุดตัวลงช้าซบหน้าลงกับร่างที่ไร้วิญญาณอย่างโหยหาและอาลัย

          

          พลันสายตาของเขาก็ปะทะกับวิหารใหญ่เบื้องหน้า วิหารองค์เทพจักพรรดิออลไลออส มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด

      ใน
      ดินแดนสามภพ เขาค่อยๆอุ้มร่างไร้วิญญาณเข้าไปในวิหาร เวลานี้ยังเช้าเกินไปนักจึงยังไม่พบเห็นนผู้ใดแวะ

      เวียน
      มาสักการะมหาเทพในยามนี้

           "ท่านออลไลออส หากท่านยังเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่รู้ซึ่งถึงทุกสิ่งในไตรภพนี้ ก็ขอท่านโปรดฟังคำของข้า ท่าน

       

      เห็นมั้ยนางในอ้อมกอดข้า นางคือผู้ที่ข้ารักที่สุด โรชา" นิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยผมที่ปิดใบหน้าขาวซีดนั้นออกอย่าง

       

      ช้าๆ ในกระแสเสียงของเขาจับได้ถึงความเศร้าใจ อาการพร่ำเพร้อและความอาฆาตที่อัดแน่นอยู่ข้างใน

          "เมื่อคืนนี้ ทั้งๆที่ข้าและนางกำลังจะได้มีชีวิตที่หวานชื่น แต่กลับน่าเศร้ายิ่งนัก เมื่อเทพจันทราสาดแสงของ

      เขามาโดนข้าผู้มีสายเลือดของมนุษย์หมาป่าอยู่ครึ่งหนึ่งในคืนวันเพ็ญ  เหตุการณ์ที่ข้าไม่อยากให้เกิดก็พลันอุบัติ

       

      ขึ้นอย่างไม่น่าให้อภัย" เสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยความเศร้าที่หยั่งรากลึกและความอาฆาตที่ปนเปไปด้วยเช่นกัน

           "นางโดนข้าทำร้าย แต่ในเวลานั้นข้ามิอาจควบคุมจิตสำนึกได้ แต่เหนือสิ่งอืนใดนั้นหากคืนนั้นข้าไม่โดน

      แสง
      จันทร์เข้าแล้วล่ะก็ ทั้งๆที่ข้าเลือกที่จะยืนใต้แมกไม้ใหญ่เพื่อที่จะได้บดบังแสงจากจันทรา แต่ราวกับเทพองค์

      นั้น
      กลั่นแกล้งข้า แสงจันทราสาดส่องผ่านใต้แมกไม้เหล่านั้นและโดนข้าในที่สุด  ได้ฟังอย่างนี้แล้วท่านต้อง

      จัดการ
      เทพจันทราให้ข้านะท่านออลไลออส หากท่านยังอยากรักษานามแห่งองค์จักพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งไตรภพอยู่

      ละก็
      ท่านต้องจัดการห้ามให้ท่านเทพจันทราส่องแสงกระทบพื้นผิวโลกในคืนวันเพ็ญเด็ดขาด ไม่รู้ว่ายังมีอีก

      เท่าไรที่
      สังเวยวิญญาณให้เทพบ้าเลือดองค์นั้น "ยามนี้เขาไม่ฟังผู้ใดอีกแล้ว มีเพียงแต่คำอุทธรณ์ที่ส่งไปถึงมหา

      เทพผู้
      ยิ่งใหญ่เพียงเท่านั้น

       

           ณ บนผืนสวรรค์ที่มีอาณาเขตกว้างไกล

       

             ณ ใจกลางสวรรค์ วิหารทองคำขนาดใหญ่ช่างโดดเด่นและน่าจับตายิ่งนัก องค์มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่แห่งสามภพ

       

      ออลไลออสประทับอยู่บนบัลลังก์ทองที่โอ่อ่าหรูหรา หากแต่ใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยเค้าของความตึงเครียด

       

            ความรักทำให้สรรพชีวิตลุ่มหลงและเดินทางผิดถึงเพียงนี้เชียวหรือมหาเทพทำได้เพียงถอนใจ หากเวลานี้

       

      ล่ะก็เขตที่เทพจันทราอยู่ยังเป็นช่วงอรุณ  เขาก็อาจเรียกเทพจันทราเข้ามาคุยด้วยได้


            ณ  ขอบฟ้าอันไกลโพ้น

            เทพแห่งสรวงสวรรค์องค์หนึ่งพักผ่อนอยู่ในสวนหญ้าขนาดเล็ก  ลมที่พัดพาความสดชื่นของหมู่มวล
        
      ดอกไม้เข้าปะทะกับใบหน้าคมสันนั้นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก

             ~ก๊อก ก๊อก~
       
            เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เทพองค์นั้นจำต้องตื่นจากภวังค์ ร่างสูงก้าวขาไปยังประตูหน้าที่พักของเขา

           "อ้าว  ท่านเพกาซ" ร่างสุงดูแปลกใจไม่ใช่น้อยเมื่อเห็นเทพร่างเล็กองค์หนึ่งที่กำลังขี่เจ้าม้าเพกาซัสอยู่

      หน้าประตูของเขา

            "เป็นสาส์นจากท่านมหาเทพน่ะท่าน"
         
            คำอธิบายนั้นยิ่งทำให้ร่างสูงมีอาการงุนงงหนักกว่าเดิมและเลิกคิ้วขึ้น

            "ท่านอ่านเองเถิด ข้าก็ไม่อาจรู้ได้เหมือนกัน ข้าต้องไปทำหน้าที่ของข้าต่อแล้ว"

            "ขอบคุณท่านมากท่านเพกาซ" ร่างสูงก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณให้แก่ผู้ส่งสาส์นแห่งสวรรค์

             ร่างสูงก้าวยาวๆไปที่เก้าอี้ตัวโปรดและลงมือแกะจดหมายทันที



       








      ---------------------------------------------------------------------------------------------

      ยังไม่สมบูรณ์จ้า  เดี๋ยวว่างๆมาอัพต่อ  (ว่าแต่จะมีคนอ่านมั้ยเนี่ย)

      รู้สึกว่ายิ่งแต่งยิ่งเพี้ยนแล้วเรา  (เพี้ยนทั้งเรื่อง ทั้งคนเขียนเลย)

      เน่าแล้ว   แต่งไม่จบแน่เลย

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      "เก่งจริงๆเลย^^"

      (แจ้งลบ)

      ใช้ภาษาเก่งมาก ผูกเรื่องได้ดี น่าติดตามและจะติดตามต่อไปจ้าาา ^________^ อ่านเพิ่มเติม

      ใช้ภาษาเก่งมาก ผูกเรื่องได้ดี น่าติดตามและจะติดตามต่อไปจ้าาา ^________^  

      Pinkiiez-PriNcess | 2 พ.ค. 52

      • 2

      • 0

      คำนิยมล่าสุด

      "เก่งจริงๆเลย^^"

      (แจ้งลบ)

      ใช้ภาษาเก่งมาก ผูกเรื่องได้ดี น่าติดตามและจะติดตามต่อไปจ้าาา ^________^ อ่านเพิ่มเติม

      ใช้ภาษาเก่งมาก ผูกเรื่องได้ดี น่าติดตามและจะติดตามต่อไปจ้าาา ^________^  

      Pinkiiez-PriNcess | 2 พ.ค. 52

      • 2

      • 0

      ความคิดเห็น

      ×