[One Shot] เรื่องเล่ายามค่ำคืนของคิริซากิไดอิจิ
Fandom :: Kuroko no Basuke
Pairing :: Hanamiya x Kuroko
Rating :: PG
Story by :: CoffeeMate in D
หมายเหตุ :: ขอซักเรื่องเถอะ ทนไม่ไหวแล้วค่ะ TvT
“ฉันว่าค่ายนี้มันมีผี”
“หา?”
วงล้อมเล่นไพ่เพื่อกระชับความสัมพันธ์และพัฒนาสมอง (ตามที่ฮาระอ้าง) ของคิริซากิไดอิจิเงยหน้าขึ้นมาจากไพ่ในมือเพื่อมองหน้าคนที่อยู่ๆ ก็โพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ยามาซากิ ฮิโรชิ ตำแหน่งชู้ตติ้งการ์ด....เจ้าของประโยคที่ทำให้อึ้งกันไปทั้งห้องยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยหากเคร่งเครียด บ่งบอกให้รู้ว่าที่พูดออกมานั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“พูดบ้าอะไรของนายวะ ยามาซากิ”
เซโตะ เคนทาโร่ถามเหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ มือหนึ่งยื่นลงไปจั่วไพ่ 2 ใบขึ้นมาจากกอง
“จริงๆ นะ ฉันคิดมานานแล้วว่าที่นี่มันแปลกๆ”
“แปลกยังไง?” ฮาระ คาซึยะถามขึ้นมาบ้าง
“ไม่รู้สิ อธิบายไม่ถูก แต่พวกนายไม่รู้สึกอะไรกันบ้างรึไง”
ยามค่ำคืนกลางฤดูร้อน เสียงจิ้งหรีดดังระงมจนรู้สึกหนวกหู ห้องญี่ปุ่นกว้างขวางพอที่จะให้ชายฉกรรจ์จำนวน 5 คนนอนอัดกันได้อย่างไม่รู้สึกอึดอัดเท่าไหร่นัก ที่พักนี้ค่อนข้างกลางเก่ากลางใหม่ สไตล์ญี่ปุ่นโบราณเหมือนออนเซ็นทั่วไป มีประตูบานเลื่อนกั้นส่วนที่เป็นห้องนอนกับระเบียงทางเดิน ไฟสีส้มสลัวให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แต่ก็ทำให้รู้สึกวังเวงด้วยในเวลาเดียวกัน
ขณะนี้พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการเข้าค่ายฤดูร้อน เก็บตัวเพื่อฝึกซ้อมบาสเก็ตบอลเป็นเวลา 5 วัน 4 คืน ค่ายถูกจัดขึ้นจากการร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนทั้งหมดในแถบคันโตที่เข้าร่วม Winter cup ปีที่แล้ว แม้จะไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่ผู้ดำรงตำแหน่งโค้ชควบคู่กับกัปตันทีมอย่างฮานามิยะ มาโคโตะเล็งเห็นว่านี่คือโอกาสที่ดีที่จะได้ล้วงความลั------เอ่อ------เก็บข้อมูลโรงเรียนคู่แข่งร่วมตารางที่ยังไงก็ต้องเจอกันอีกในการแข่งขันครั้งต่อไป คิริซากิไดอิจิจึงตกลงเข้าร่วมกันเก็บตัวครั้งนี้ด้วย แม้จะต้องอยู่ท่ามกลางบรรยากาศและสายตาที่ไม่เป็นเท่าไหร่มิตรนักของโรงเรียนอื่นก็ตาม (ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในโรงเรียนทั้งหมด ทีมที่ส่งจิตอาฆาตมาให้พวกเขารุนแรงที่สุดก็คือเซย์ริน)
มันเป็นเรื่องปกติที่ชินเสียแล้วกับการพบเจอ ด้วยชื่อเสียงที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ที่พวกเขาร่วมด้วยช่วยกันสร้างตลอดการแข่งขันที่ผ่านมา มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องถูกมองด้วยสายตาโกรธแค้น แต่แม้ถูกแยกออกไปฝึกซ้อมกับกลุ่มอื่นๆ หรือแม้แต่ในตอนที่พวกเขาต้องเข้าฐานฝึกแบ่งตามตำแหน่ง ก็ดูเหมือนจะไม่มีคนไหนที่ดูสะทกสะท้านกับการโดนจิตสังหารทิ่มแทงมาจากทุกทิศทุกทางเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้จะบอกว่าเตรียมใจมาดีหรือเป็นพวกด้านชากันแน่
แต่เรื่องนั้นขอยกเอาไว้ก่อน ปัญหาจริงๆ ตอนนี้ไม่ใช่สายตาจากคนที่เห็นตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้า แต่เป็นอะไรบางอย่างจากสิ่งที่มองไม่เห็นต่างหาก
“ฉันสังเกตมาหลายคืนแล้ว ทุกครั้งที่เรานอนกัน มันเป็นความรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีใครที่ไม่ใช่พวกเราอยู่ในห้องด้วยก็ไม่รู้”
“หา?” ฮาระเลิกคิ้ว......แต่ไม่มีใครมองเห็นหรอก เพราะมันถูกผมหน้าม้าสีเทานั่นบังเสียมิดหมดแล้ว “ไร้สาระน่า โรงแรมบ้านี่ถึงจะเก่าแต่การรักษาความปลอดภัยก็ดีใช้ได้ อีกอย่างถ้ามีอะไรหายไปจริงๆ พวกเราก็ต้องรู้สิ”
“ก็ไอ้ที่ฉันพูดถึงมันไม่ได้หมายถึงพวกขโมยยังไงเล่า!!!”
“ฉันไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย”
“นั่นก็เพราะว่าพอหัวถึงหมอนเมื่อไหร่นายก็หลับเป็นตายทุกทียังไงละวะ!!! ไอ้บ้าเซโตะ!!!”
โหวกเหวกโวยวายกันอยู่พักหนึ่ง คนที่นั่งเงียบๆ มาตลอดก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“.........ฉันก็รู้สึกเหมือนกันนะ”
ฟุรุฮาชิ โคจิโร่....Small Forward ประจำทีมผู้มีสีหน้าเรียบเฉยและดวงตาเหมือนปลาตายอยู่ตลอดเวลาเป็นเจ้าของประโยคนั้น ดวงตาทุกคนหันกลับมามอง ไพ่ที่เล่นค้างไว้เป็นอันต้องถูกพักลงกลางคัน เพราะคำพูดของยามาซากิอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องไร้สาระเสียแล้ว ในเมื่อมีคนที่รู้สึกได้มากกว่า 1 คน
“หมายความว่าไง ฟุรุฮาชิ”
“มีอยู่คืนนึงฉันบังเอิญตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยหรี่ตามองว่ามีใคร มันมีแต่ห้องโล่งๆ ไม่เห็นอะไรเลย ได้ยินแต่เสียงฝีเท้าเดินไปเดินมา แถมบางทียังได้ยินเสียงซุบซิบเหมือนคนคุยกันอยู่ในห้องด้วย”
“เหวอ เอาจริงดิ่”
“จะว่าไป......”
ฮาระที่เมื่อครู่นี้เพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ตอนนี้เหมือนกับว่าจะนึกอะไรสักอย่างออกได้ขึ้นมาบ้างแล้ว
“ขวดน้ำที่ฉันวางไว้หัวเตียงไม่คืน ตื่นขึ้นมามันดันเปลี่ยนที่ด้วย”
“ไม่ใช่ว่านายละเมอปัดมันเองหรอกเหรอ”
“ไม่ใช่โว้ย มันไม่ได้ล้ม! แค่เปลี่ยนที่! นายเข้าใจไหม จากซ้ายไปขวา ทั้งๆ ที่ขวดน้ำนั่นมันก็ยังตั้งอยู่เหมือนตอนที่ฉันวางมันแต่แรกนั่นแหละ”
ความเงียบเกิดขึ้นอย่างกะทันหันชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่ทุกๆ คนในวงล้อมนั้นจะขนลุกซู่ขึ้นมาพร้อมกัน
“แปลกๆ แล้วนะแบบนี้” ฮาระพึมพำ
“สรุปว่าพวกนายทุกคนเจอกันหมด?” เซโตะเลิกคิ้ว
“ฉันบอกแล้วว่ามันมีอยู่จริงๆ” ยามาซากิที่เป็นคนเปิดประเด็นนี้ขึ้นมาตั้งแต่แรกแสดงจุดยืน
“แต่มีอยู่คนนึงในห้องเราที่ตั้งแต่แรกจนป่านนี้ยังเงียบอยู่ไม่ใช่เหรอ” เซโตะพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ทำไมพวกนายไม่ลองถามหมอนั่นดูบ้างล่ะ”
ว่าแล้วเซ็นเตอร์ของคิริซากิไดอิจิก็หันไปหาอีกหนึ่งสมาชิกที่ไม่ได้มาร่วมวงสนทนาด้วยและนั่งเช็คอะไรบางอย่างในมือถือเงียบๆ อยู่ตรงมุมห้องด้านในมาตั้งแต่ต้น
“ว่าไง ฮานามิยะ อยู่นี่มา 3 คืนนายเจออะไรกับเขาบ้างไหม”
“หา?”
คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์มือถือทำหน้าเหมือนจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ เขาเป็นเด็กหนุ่มผมสีดำ ผิวขาวจัดเหมือนลูกคุณหนูแต่มีกล้ามเนื้อกระชับแน่นตามแขนขาเหมือนอย่างที่นักกีฬาที่ดีควรจะมี ต่อให้นับเรื่องคิ้วที่เป็นเอกลักษณ์แล้วก็ยังต้องถือว่าฮานามิยะ มาโคโตะเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่งทีเดียว การเรียนก็อยู่ในระดับท็อป คนที่เรียกได้ว่าเป็นมันสมองของทีมบาสคิริซากิไดอิจิ แต่นอกจากลักษณะนิสัยที่สุภาพเรียบร้อยซึ่งเป็นเพียงหน้ากากภายนอกแล้ว ฮานามิยะยังมีอีกด้านหนึ่งที่เป็นตัวร้ายขนาดเรียกกันในวงการบาสเก็ตบอลว่าเป็น “แบดบอย” ผู้ชายร้ายกาจที่มีความสุขกับการได้เห็นความทุกข์ของคนอื่น ตัวการที่ทำให้ทีมบาสของคิริซากิไดอิจิถูกเรียกได้ว่าขึ้นชื่อเรื่องการเล่น “Rough Play” ก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน....เขานี่แหละ
ฮานามิยะดูไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่ถูกขัดจังหวะแถมยังโดนลากเข้าไปอยู่ในวงสนทนาที่เขาไม่ได้สนใจ ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มร้ายๆ แบบที่คนร่วมทีมเห็นกันจนชิน พอๆ กับที่ชินรอยยิ้มสุภาพเหมือนเด็กหนุ่มที่นิสัยดีมีกาลเทศะที่อีกฝ่ายมีให้กับพวกอาจารย์หรือคนอื่นๆ ในโรงเรียนนั่นแหละ
“เฮอะ! ผีเผอที่ไหน ไร้สาระ”
“ฉันว่าแล้ว หมอนี่ไม่เจออะไรหรอก” ฮาระยักไหล่ “ผีที่ไหนจะกล้าหลอกฮานามิยะ ถ้ากล้าก็คงเป็นผีที่โง่น่าดู”
“เฮ้ย! หมายความว่าไงวะ”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ”
“ฉันก็เหมือนกัน”
กลับกลายเป็นว่าทุกคนดันมีความคิดเห็นตรงกันไปเสียอย่างนั้น ฮานามิยะรู้สึกหงุดหงิดจนต้องจิ๊ปาก
“ชิ! เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ พวกแกนอนกันได้แล้ว วันพรุ่งนี้จะมีมินิเกม ถ้าใครคนใดคนหนึ่งในพวกแกทำให้ทีมเสียชื่อละก็ กลับไปโดนฝึกพิเศษแน่”
“โหดเหมือนเคย”
ยามาซากิพึมพำเบาๆ
พอเหลือบดูเวลา นาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงข้างฝาก็บอกว่าตอนนี้เลยเที่ยงคืนมาเยอะมากแล้วจริงๆ ด้วยนิสัยของเด็กมัธยมปลาย ต่อให้พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าแค่ไหนแต่ก็คงไม่มีทางที่จะนอนหัวค่ำกันเป็นแน่ แต่ความเหน็ดเหนื่อยจากการเข้าค่ายที่สะสมกันมาหลายวัน ทำให้คนอื่นๆ ต่างก็ล้มเลิกวงสนทนาแล้วแยกย้ายกันไปเข้านอน
พวกเขาหันหัวชนกัน แบ่งที่นอนกันเป็น 2 ฟาก ฝั่งหนึ่งมียามาซากิ ฟุรุฮาชิ และเซโตะ อีกฝั่งเป็นฮาระกับฮานามิยะ เรียงลำดับตั้งแต่หน้าประตูเข้ามาถึงด้านใน ลำดับพวกนี้เป็นไปอย่างมั่วซั่วตามแต่ว่าใครจะอยากนอนตรงไหนในการเข้าค่ายครั้งนั้นๆ ยกเว้นก็แต่ฮานามิยะที่จองที่นอนด้านในสุดติดกับผนังเสมอ
พอทุกคนประจำที่กันหมดเรียบร้อยแล้ว ฮาระที่อยู่ใกล้สวิตซ์ไฟกลางห้องมากที่สุดก็ลุกขึ้นกระตุกเชือกให้ไฟปิด ห้องทั้งห้องตกอยู่ใต้แสงจันทร์มืดสลัวทันที
เสียงพึมพำราตรีสวัสดิ์ดังขึ้นอยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่มันจะกลายเป็นความเงียบงัน
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ ห้องกว้างเหลือเพียงแค่เสียงเข็มนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะในความเงียบ แสงจันทร์ที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างทำให้มองเห็นภายในห้องได้ไม่ชัดนัก เงาของกิ่งก้านต้นไม้ใหญ่ด้านนอกที่ทอดยาวเข้ามาเป็นเหมือนมือของอสุรกายในจินตนาการที่ทำให้รู้สึกกลัวเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ลมหายใจแผ่วเบาของคนในห้องแสดงให้รู้ว่าทุกคนหลับกันหมดเพราะความเหนื่อยล้า มันเหมือนเป็นคืนที่เงียบสงบและไม่มีเหตุการณ์ใดๆ แต่อึดใจใหญ่ต่อจากนั้น สิ่งที่ได้ยินก็ไม่ได้มีแต่ความเงียบและเสียงเข็มนาฬิกาอีกต่อไป
ระเบียงไม้ด้านนอกส่งเสียงดังเอี๊ยด มันจะดังแบบนี้ก็ต่อเมื่อมีใครสักคนกำลังเดินอยู่ตรงระเบียง ซึ่งแน่นอน....มีใครคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ด้านนอกนั่นแน่ๆ เพราะฮานามิยะ มาโคโตะที่ยังไม่หลับได้ยินเสียงฝีเท้าลอดเข้ามาในประสาทหูของเขาอย่างถนัด ฝีเท้านั้นก้าวช้าๆ แต่สม่ำเสมอ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงตรงตำแหน่งที่เป็นประตูห้องของเหล่านักกีฬาคิริซากิไดอิจิพอดิบพอดี
เงาของใครคนหนึ่งทาบทับลงบนประตูส่วนบนที่ค่อนข้างโปร่งแสง ร่างปริศนายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนประตูที่ไม่ได้ล็อกจะค่อยๆ ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา
เสียงประตูเปิดออกแล้วปิด ฮานามิยะนอนหลับตาฟังฝีเท้าที่หยุดยืนนิ่งสักพักหลังจากปิดประตูเข้ามาในห้อง รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของใครสักคนที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในห้องนี้มาตั้งแต่แรกอย่างชัดเจน ฝีเท้านั้นเริ่มขยับเคลื่อนไหวอีกครั้งหลังจากหยุดไปพักหนึ่ง ค่อยๆ เดินช้ามาตามทางเดินที่เว้นไว้ ลึกเข้ามาในห้อง...ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงตรงหัวนอนของเขา
ฮานามิยะ มาโคโตะลืมตา เงาของใครคนหนึ่งก้มมองลงมาสบตากันกับเขาพอดี
“มาอีกแล้วเรอะ”
เขากระซิบกับเงานั้นเบาๆ
“สวัสดีครับ”
เงานั้นกระซิบตอบ
แสงจันทร์ค่อยๆ สว่างขึ้นเนื่องจากเมฆที่บดบังเคลื่อนหายไป สว่างพอจะทำให้มองเห็นอะไรๆ ในห้องได้ถนัด เงาที่ยืนอยู่ตรงหัวนอนของเขานั้นเป็นเด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่ง ใบหน้าที่มองลงมานั้นเรียบเฉยติดจะไร้อารมณ์ ดวงตาคู่โตสีฟ้าอ่อน และเรือนผมสีเดียวกัน
คุโรโกะ เทตสึยะ......
ผู้เล่นมายาหมายเลข 11 ของเซย์ริน
เป็นเรื่องที่รู้กันในหมู่นักกีฬาบาสเก็ตบอลระดับมัธยมปลายว่าคิริซากิไดอิจิกับโรงเรียนมัธยมปลายเซย์รินมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีต่อกันนัก แม้อันที่จริงแล้วจะไม่มีโรงเรียนไหนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทีมของฮานามิยะเลยก็เถอะ แต่กับเซย์รินนั้นมันแย่ยิ่งกว่าโรงเรียนไหนๆ เนื่องด้วยการแข่งขัน Winter cup ที่ผ่านมา ที่คิริซากิไดอิจิเป็นต้นเหตุในการทำให้เข่าของคิโยชิใช้การไม่ได้จนต้องไปเข้ารับการผ่าตัดถึงอเมริกา แม้การผ่าจะเรียบร้อยดีแล้วก็ต้องพักฟื้นและรักษาอย่างต่อเนื่องไปอีกนาน หมดโอกาสในการเล่นบาสร่วมกับเพื่อนๆ ที่เหลือไปโดยสิ้นเชิง ความแค้นครั้งนี้ไม่อาจมีใครให้อภัยได้ แล้วถ้าอย่างนั้น ทำไมคุโรโกะ เทตสึยะที่เป็นหนึ่งในทีมบาสเซย์รินและในระหว่างการแข่งขันก็แสดงออกชัดว่าโกรธฮานามิยะมากกว่าใครถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?
เรื่องนั้นขอเก็บเอาไว้อธิบายในโอกาสต่อไป
“เปิดผ้าห่มให้ผมเข้าไปอยู่ด้วยสักทีได้ไหมครับ ก่อนที่คนอื่นๆ จะตื่นขึ้นมา”
“เฮอะ! ไม่อยากให้ใครเห็นแล้วอุตส่าห์มาถึงนี่ทำไม”
ถึงจะปากร้ายอย่างนั้นแต่ก็ยอมขยับตัวเปิดผ้าห่มให้แต่โดยดี คุโรโกะพึมพำขอบคุณ สอดตัวเข้าไปนอนตะแคงใต้ผ้าห่มด้านที่ติดกับกำแพง ขยับนิดหน่อยให้ได้ท่าที่สบาย ก่อนฮานามิยะจะตวัดปลายผ้าให้คลุมทั้งตัวของอีกฝ่าย อ้อมแขนกอดร่างที่เล็กกว่านั้นเอาไว้ในอกได้พอดิบพอดี ใช้ทั้งผ้าห่มและตัวเขาเองบังคุโรโกะให้พ้นจากสายตาของใครก็ตามที่อาจจะบังเอิญตื่นมามอง
อากาศตอนกลางคืนของหน้าร้อนแม้จะเย็นกว่าช่วงกลางวันแต่ก็ไม่ได้นับว่าสบาย การที่ผู้ชาย 2 คนมานอนชิดติดกันในผ้าห่มผืนเดียวที่ต้องคลุมแทบทั้งตัวทั้งแต่หัวจรดเท้านั้นไม่ใช่เรื่องสนุกเลยแม้แต่นิดเดียว แต่น่าแปลกที่คนปากร้ายอย่างฮานามิยะกลับไม่บ่นอะไรออกมาสักคำ หมอนมีแค่ใบเดียว ดันนั้นคุโรโกะจึงจำเป็นต้องนอนหนุนแขนของอีกฝ่าย เพราะส่วนสูงที่น้อยกว่านิดหน่อยทำให้ศีรษะอยู่บริเวณอกของฮานามิยะพอดิบพอดี ผู้เล่นมายาของเซย์รินขยับตัวอีกนิด แม้ท่านอนแบบนี้ทำให้เนื้อตัวต้องแนบชิดกันแทบทุกส่วนแต่ทั้ง 2 ฝ่ายกลับไม่มีทีท่าอึดอัดขัดเขินแต่อย่างใด คนตัวเล็กกว่ายกมือขึ้นกำอกเสื้อของฮานามิยะเอาไว้โดยอัตโนมัติเหมือนเป็นนิสัยที่ทำจนชิน เปลือกตาหลับลง ทำท่าจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
“เฮ้”
เสียงฮานามิยะกระซิบเบาๆ
“มาถึงก็จะนอนเลยหรือไง”
คุโรโกะปรือเปลือกตาขึ้นนิดๆ
“จะให้ทำอะไรอีกละครับ ผมเหนื่อยแล้วก็ง่วงจะตายอยู่แล้ว”
“ได้ยินว่าวันนี้เกือบจะเป็นลมกลางคันอีกแล้วไม่ใช่หรือไง ร่างกายจะอ่อนแอไปถึงไหนกัน คุโรโกะคุง~”
“ก็แค่อากาศร้อนหรอกครับ”
คุโรโกะพึมพำ ซุกหน้าเข้ากับอกกว้างให้มากขึ้น รู้สึกได้ถึงฝ่ามือแข็งแรงที่ลูบขึ้นลงเบาๆ อยู่ที่แผ่นหลัง ให้ความรู้สึกสบาย
“เหนื่อยขนาดนี้ยังอุตส่าห์มาที่นี่ได้ทุกคืน ไม่กลัวพวกรุ่นพี่คนสำคัญของนายตื่นมาเจอหรือไง เด็กดี”
คุโรโกะนิ่วหน้ากับคำเรียกที่ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ดูเหมือนการแหย่ให้โกรธชัดๆ เขาถอนหายใจเบาๆ พยายามทำใจว่านิสัยอีกฝ่ายก็เป็นอย่างนี้แหละ เรื่องยั่วให้คนอื่นโมโหล่ะถนัดไม่มีใครเกิน
“ไม่มีใครรู้หรอกครับ ผมรอทุกคนหลับกันหมดก่อนแล้วค่อยออกมา”
“เฮอะ! แต่ทางนี้น่ะเกือบจับได้แล้วนะ อย่าคิดว่าคิริซากิไดอิจิจะมีแต่คนหัวทื่อเหมือนโรงเรียนนายสิ”
“พวกรุ่นพี่กับคนอื่นๆ ในทีมผมไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย” คุโรโกะพึมพำ “.......อาจจะยกเว้นคางามิคุง”
ฮานามิยะหัวเราะหึๆ กระชับอ้อมแขนกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น วางคางลงบนกลุ่มผมนุ่มก่อนจะกระซิบต่อ
“เพราะเมื่อคืนก่อนนายเผลอเดินเตะขวดน้ำของฮาระนั่นแหละ”
“ก็มันมืดนี่ครับ อีกอย่างผมก็วางไว้เหมือนเดิมแล้วนะ”
“มันสลับที่กันต่างหากล่ะ บา~กะ”
“อุ่ก...”
นั่นก็เป็นอีกหนึ่งคำพูดติดปากของฮานามิยะ มาโคโตะ แม้จะได้ฟังตั้งหลายครั้งแล้วแต่ไม่ว่าเมื่อไหร่คุโรโกะก็ยังต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจอยู่ดี
“เขาว่าคนที่บอกว่าคนอื่นบ้านั่นน่ะเป็นคนบ้าเสียเองนะครับ ฮานามิยะซัง”
“นายนั่นแหละ บา~กะ กลัวจะโดนจับได้แท้ๆ ยังอุตส่าห์แอบมาจนถึงนี่ อยากรู้นักว่าถ้ารุ่นพี่ที่รักของนายรู้เข้าจะทำหน้าแบบไหนกัน”
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ อีกแค่ไม่กี่วันการเข้าค่ายครั้งนี้ก็จบ โอกาสที่จะได้นอนด้วยกันแบบนี้ก็จะหมดลงแล้วนี่นา”
“ใครว่าหมด ก็บอกว่าให้ไปที่คอนโดไงล่ะ สมองนายนี่เล็กยิ่งกว่าเม็ดถั่วอีกหรือไง แค่นี้ยังจำไม่ได้”
“ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ แต่ใครจะไปให้โง่ล่ะครับ”
“โฮ่ย!” ฮานามิยะคิ้วกระตุก “หมายความว่ายังไงน่ะ คุโรโกะคุง”
“เอ็บอ๊ะอั๊บ (เจ็บนะครับ)”
มือหนาดึงแก้มของอีกฝ่ายจนยืดติดมือ คุโรโกะลูบแก้มตัวเองป้อยๆ หลังจากที่ฮานามิยะยอมปล่อย
“เรื่องอะไรจะไปละครับ ผมรู้หรอกว่าคุณจะทำอะไร”
“รู้ทั้งรู้แต่ก็ไม่ยอมหนี ยังอุตส่าห์มาหาฉันได้ทุกคืนๆ จริงๆ แล้วนิสัยนายก็ใช่ย่อยเลยนะ”
“เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกันครับ”
ปลายนิ้วขาวลูบเนื้อผ้าตรงหน้าอกของคนที่กอดอยู่เล่นเบาๆ การกระทำที่ฮานามิยะรู้ดีว่าคุโรโกะไม่ได้มีเจตนาอะไร แต่ก็สร้างความปั่นป่วนบางอย่างขึ้นกับร่างกายเขาเนื่องด้วยอีกฝายนอนอยู่ใกล้แค่นี้ สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมและไออุ่นจากเนื้อตัวกันและกันได้ดี มือที่ซนเกินไปนั่นจึงต้องถูกหยุดไว้ด้วยมือใหญ่ที่จับเอาไว้มั่น
“คนละเรื่องกันยังไง” เขาถามเบาๆ
“ก็ถ้าเป็นที่นี่ ผมมั่นใจว่าฮานามิยะซังคงไม่ทำอะไรผมแน่ครับ”
“โฮ่ แน่ใจเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันจับนายปล้ำตอนนี้เลยดีไหม ไหนๆ ทุกคนก็หลับกันหมดแล้วนี่”
“คุณไม่ทำหรอกครับ”
“ลองดูกันไหมล่ะ”
ดวงตา 2 คู่จ้องกันอยู่ในความมืด ดวงตาสีฟ้าใสคู่โตสบกับดวงตาคมกริบอีกคู่ที่อยู่ใกล้กันราวอากาศกั้นนิ่งราวกับจะวัดใจ แต่ก่อนที่ใครจะได้ขยับทำอะไร ฮานามิยะก็ต้องกลั้นหายใจเฮือก เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนร่วมทีมที่นอนอยู่ห่างออกไปขยับลุกขึ้นมาจากที่นอน
“ฮานามิยะ....?”
เสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้นเบาๆ ก่อนหน้านั้นฮานามิยะจัดการตวัดผ้าห่มคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าของคุโรโกะแล้วกอดทับไว้อีกชั้น มือวางอยู่บนหลังศีรษะของอีกฝ่ายแล้วกดให้แนบลงมากับอก เหมือนจะรู้หน้าที่ คนที่เถียงกับเขาอยู่เมื่อครู่นี้ปิดปากเงียบแล้วพยายามกลบเกลื่อนตัวตนของตัวเองทันที
“มีอะไรเหรอ ยามาซากิ”
ฮาระที่นอนอยู่ฝั่งเดียวกับเขาแต่ห่างออกไปเพราะห้องด้านนี้นอนกันแค่ 2 คนน่าจะได้ยินเสียงเลยตื่นขึ้นมาถามด้วย ฮานามิยะ มาโคโตะได้ยินเสียงเพื่อนร่วมทีมคุยกันเบาๆ อยู่ในความมืด
“เมื่อกี้ฉันเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง น่าจะดังมาจากทางฮานามิยะ เลยลุกขึ้นมาถามดู”
“หมอนั่นหลับไปแล้ว ไม่มีอะไรหรอกน่ะ นายนอนเถอะ”
“แต่ว่า.....”
“อย่าปอดแหกไปหน่อยเลย ถ้ามีผีจริงๆ ก็ให้มันรู้ไปสิ เรามีกันตั้งหลายคน นายคงจะแค่หูฝาดนั่นแหละ นอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”
“......ก็ได้”
แล้วเสียงเหล่านั้นก็เงียบไป พร้อมกับเสียงขยับเบาๆ ของฟูกที่ดังขึ้นให้รู้ว่า 2 คนนั้นคงกลับเข้าไปนอนเหมือนเดิม
ความเงียบคืบคลานเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ ในห้องอีกเลย ฮานามิยะนอนลืมตาอยู่ในความมืด เขาหันหลังให้กับฮาระแถมยังอยู่ติดกับกำแพง เลยทำให้ไม่มีใครเห็นว่าเขายังคงตื่นอยู่ เซโตะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผล็อยหลับไปตั้งแต่หัวถึงหมอนแล้ว ฟุรุฮาชิก็เป็นคนนอนดี ถ้าได้หลับครั้งนึงจะไม่ค่อยตื่นจนถึงเช้า นอกจาก 2 คนนั้นที่นอนไวกว่าคนอื่น ที่เหลือก็คงไม่มีปัญหาอะไร
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนหลังจากนั้น แต่เสียงต่างๆ เงียบไปหมดแล้ว และเหลือเพียงลมหายใจที่ดังเป็นจังหวะแผ่วเบาของคนในห้อง ฮานามิยะถอนหายใจเบาๆ ตั้งท่าว่าจะหลับบ้าง เสียงกระซิบของคนที่อยู่ในอกก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมบอกแล้ว ฮานามิยะซังไม่ทำอะไรหรอกครับ”
“............ยังไม่หลับอีกหรือไง”
เขาก้มหน้าลงมอง เห็นนัยน์ตาสีฟ้าคู่โตมองช้อนขึ้นมา คุโรโกะยิ้มบางๆ ไม่ได้ตอบคำถามแต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน
“คืนพรุ่งนี้คืนสุดท้ายแล้ว ผมยังจะมาที่นี่ได้อีกหรือเปล่าครับ”
เพิ่งเกือบจะโดนจับได้ไปเมื่อกี้นี้เองแท้ๆ แต่ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลยนะ หมอนี่
ฮานามิยะถอนหายใจเบาๆ
“อยากทำอะไรก็ทำ”
“ขอบคุณครับ”
อ้อมแขนแข็งแรงของนักกีฬากระชับคนตัวเล็กกว่าในอ้อมแขนแน่นขึ้น ไม่สนใจสักนิดว่าอากาศจะร้อนแค่ไหน ราวกับไม่ว่ารอบด้านจะเป็นอย่างไร ก็ขอแค่ได้กอดอีกฝ่ายเอาไว้อย่างเดียวก็พอ
“นอนได้แล้ว เทตสึยะ”
จูบหนักๆ กดทับลงมาที่หน้าผาก คุโรโกะ เทตสึยะหลับตาลงอย่างว่าง่าย
“ราตรีสวัสดิ์ครับ มาโคโตะซัง”
“อือ”
เพียงไม่นานเท่านั้น คน 2 คนที่กอดกันแน่นอยู่บนที่นอนผืนเล็กๆ ชิดริมห้องก็หลับลงแทนจะพร้อมกัน ทีนี้ก็เหลือเพียงความเงียบ เสียงเข็มนาฬิกา และลมหายใจที่ดังเป็นจังหวะในห้องมืดๆ ห้องนั้นของจริง
คุโรโกะกับฮานามิยะตื่นมาก่อนที่จะมีใครก็ตามในค่ายนั้นลืมตาตื่นขึ้นครึ่งชั่วโมง หลังจากส่งอีกฝ่ายให้เดินกลับห้องของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฮานามิยะก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน ทำภารกิจส่วนตัว เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ถึงเวลาปลุกคนอื่นๆ ที่เหลือให้ตื่นกันพอดี
เรื่องเสียงกระซิบกับฝีเท้าปริศนาที่วนเวียนอยู่ในห้องพักของคิริซากิไดอิจิทุกค่ำคืนนั้นเดิมทีเป็นเรื่องที่ตั้งใจให้รู้กันแค่ในกลุ่ม แต่เช้าวันต่อมาระหว่างที่ยามาซากิกับฮาระคุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง ทาคาโอะ คาซึนาริ...Point Guard ของชูโตคุที่ผ่านมาได้ยินเข้าบังเอิญเกิดสนใจเลยเข้ามาร่วมวงฟังด้วย แล้วหลังจากนั้นข่าวลือที่ว่าพวกคิริซากิไดอิจิเจอผีในห้องพักก็กระจายไปทั่วทั้งค่ายภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว
ต้นเหตุจริงๆ ของเสียงที่พวกเขาได้ยินในค่ำคืนนั้นยังเป็นปริศนาจนกระทั่งสิ้นสุดการเข้าค่ายฝึกซ้อม แต่ที่แน่ๆ คนไขปริศนาของเรื่องนี้ได้มีอยู่ 2 คน
ฮานามิยะ มาโคโตะกับคุโรโกะ เทตสึยะนั่นเอง
END
--------------------------------------------------------------
แอนโธมีเหลืออีกเล่มไม่ยอมแต่ง มานั่งแต่งอะไรก็ไม่รู้ TAT โฮรววววววววววววววววว //เอาหัวโขกกำแพง สำนึกผิดซะ!!!!!!!!
แต่ฮานะคุโระคือดีงามจริงๆค่ะ อดใจไม่ไหวเลยขอซักหน่อยเถอะ ถ้ามีเวลาว่างอาจจะมี One shot เรื่องต่อๆไปของคู่นี้คลอดออกมา แต่ตอนนี้ต้องแวบไปปั่นแอนโธต่อก่อนนะคะ ฟิ้ววววววววววววววววววว
หลงรักคู่นี้เข้าซะแล้วสิ////
คู่นี้เป็นอะไรที่แรร์มาก
จริงๆชอบคู่นี้นะ แต่แรร์ซะเหลือเกินนนน T^T
ฮานะคุโร เป็นอะไรที่แบบ ... ฮานะเหมือนจะ S หน่อยๆ (รึเปล่า?) 5555.