สายลมหมุนที่ค่อยๆพัดโหมลงมาอย่างอ่อนโยน กระทบกับต้นไม้ต้นใหญ่ที่กำลังส่ายโอนเอนไปมา กลีบใบสีเขียวแก่ดูเป็นธรรมชาติบินหวือออกจากตัวไม้ยืนต้น ใบไม้เหล่านั้นปลิวไปตามพรายแห่งวายุ เป็นภาพที่น่าดูชมสำหรับผู้หญิงอย่างฉันคนนี้
ทั้งร่างของฉันกำลังอยู่ในช่วงที่มีความสุขอย่างที่สุด สายตาที่กำลังจับจ้องไปยังต้นไม้ที่สวยงาม กับรอยยิ้มที่ฉันคลี่มันออกมา ถ้ามองไปรอบๆแล้ว ไม่รู้ว่าจะแทนความสุขแบบนี้ด้วยคำพูดว่าอย่างไร....
“ขอโทษนะ!!..รอนานไหม?” เสียงแว่วๆออกทุ้มๆของผู้ชายวัยไล่เลี่ยกับฉันดังขึ้นจากข้างหลัง เหมือนกับสมองที่สั่งการอย่างอัตโนมัติ ฉันรีบวิ่งเข้าไปควงแขนของเขาทันที อาจเป็นเพราะฉันอยากจะพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้โกรธเคืองเขาสักนิดที่มาช้ากว่าฉันไปยี่สิบนาที
“ไม่เลยจ้ะ ฉันนึกว่าเธอจะติดรายงานอะไรสักอีก อย่างนี้เราก็ไปเที่ยวกันได้แล้วล่ะ” ฉันรู้ตัวเลยล่ะ ว่าน้ำเสียงของฉันมันสดใสขนาดไหน คงจะร่าเริงจนกระทั่งยัยผู้หญิงที่อิจฉาฉันเหลือบมองมาทางนี้อย่างไม่สู้ดีนัก แต่ช่างเถอะ ฉันไม่แคร์นี่นา อีกอย่าง...ตอนนี้น่ะ...ฉันมีความสุขที่สุดเลย
พวกเราสองคนเดินควงแขนกันเพื่อออกจากประตูหน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ใช่แล้วล่ะ....ฉันคือหนึ่งในผู้ที่มีรายชื่อเป็นนักศึกษาของสถาบันชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองที่ฉันกำลังอาศัยเป็นที่พักพิง แต่ที่นี่ไม่ได้เป็นบ้านเกิดของฉันหรอกนะ บ้านเดิมของฉันอยู่ในชนบท ถ้าให้คิดภาพแล้วก็คงจะไม่ได้เสื่อมโทรมหรือปล่าวเปลี่ยววังเวงอะไรขนาดนั้น บ้านพ่อกับแม่ของฉันเป็นบ้านหลังเล็ก ที่มีห้องอยู่เพียงไม่กี่ห้องเท่านั้นเอง แต่ถ้าจะให้พูดถึงบรรยากาศที่แตกต่างของที่นี่กับที่นั่น ยังไงๆที่นี่ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้วล่ะ อีกอย่างหนึ่งที่ฉันชอบมาก......
คือการที่ได้อยู่กับคนที่เรารักที่สุด และคนที่รักเราที่สุดนั่นเอง........
“ไปไหนกันดีล่ะ? ไปกินข้าวกันไหม? เธอหิวรึยังล่ะ” ผู้ที่ฉันกำลังกอดแขนมองลงมาหาฉันด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนเป็นที่สุด อย่างนี้ล่ะที่ฉันรักมากในตัวของเขา เขามักจะฉาบด้วยแววตาที่อ่อนโยนต่อฉันเสมอ ถึงแม้ว่าบางทีเขาจะใจดีกับคนอื่นๆด้วยก็เถอะนะ
ฉันพยักหน้าตอบตกลง เขาก็เลยจูงมือพาฉันเดินไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง บรรยากาศก็เป็นแบบที่ฉันชอบพอดี เราสองคนมักมีอะไรที่คล้ายคลึงกันจนเพื่อนของฉันคิดว่าเราน่าจะเป็นพี่น้องกันมากกว่าที่จะเป็นคนรักกัน ตั้งแต่เกิดมา นับว่าฉันมีคนที่ “เหมือนจะเป็นคนรัก” มาหลายต่อหลายคนแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม....ฉันถึงต้องโดนอกหักแล้วมานั่งจิบชาในยามบ่ายอยู่คนเดียวทุกครั้ง.....ฉันถึงได้รักและภูมิใจกับคนปัจจุบันของฉันมาก
ในตอนแรกฉันก็แทบแย่ที่จะฝ่าฟันคำคัดค้านของพ่อกับแม่ ที่ไม่อยากให้ฉันมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว แต่พอตื้อไปนานๆเข้า ฉันที่อดรนทนไม่ไหวก็เอาเงินของฉันที่ไปฝากกับธนาคารมาตั้งนานและจ่ายไปกับค่าเดินทางและค่าเช่าที่พัก แน่นอนว่าถึงตอนนี้แม่ต้องยอมอ่อนข้อให้อยู่แล้ว และพ่อของฉันก็ไม่อยากจะบังคับฉันให้มากนัก ทั้งคู่จึงยอมให้ฉันทำอะไรตามใจ ในที่สุดฉันก็ได้เข้ามหาลัยที่ฉันฝันเอาไว้ ได้ที่พักเป็นตัวเป็นตน ได้งานพิเศษที่ฉันรัก และได้คนสำคัญที่จะมาเป็นคู่ชีวิตให้ฉัน......
ฝ่ายคนรักของฉันเอง ดูเหมือนว่าเขาก็มีปัญหากับทางบ้านเหมือนกัน ฉันไม่เคยไปเยี่ยมพ่อกับแม่ของเขาหรอกนะ เพราะพวกเราคบกันได้แค่สองเดือนกว่าๆเท่านั้นเอง และนั่นก็เป็นสถิติที่เยี่ยมยอดที่สุดของฉันด้วย เพราะที่ผ่านมาไม่เกินเดือนหนึ่งฉันก็ต้องถูกปลีกวิเวกแล้ว แต่เท่าที่ฉันรู้มา พ่อของเขาเป็นคนที่เจ้าอารมณ์และใหญ่น่าดูในสังคม และดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่เจ้ากฎเจ้าเกณฑ์กับลูกชายของเขามาก ขนาดที่ไม่ยอมให้ลูกชายของเขาไปเที่ยวตามประสาลูกผู้ชายกับเพื่อนเลยสักครั้ง แน่นอนว่าบ่อยครั้งที่เขาแอบหลบพ่อตัวเองหนีออกไป
“นี่...เอ่อ วันนี้เราแยกกันตรงนี้นะ เพราะฉันจะต้องกลับบ้านไปช่วยงานพ่อน่ะ ขอโทษนะ....กลับเองได้ไหม?” เขาบอกถ้อยคำที่หมู่นี้เขามักจะพูดประจำ ฉันก็เข้าใจนะว่าเขาต้องกลับไปช่วยที่บ้าน เพราะท่าทางงานของเขาจะยุ่งมาก ขนาดต้องสละเวลาที่มีอยู่มาเดทกับฉัน นั่นก็เพียงพอแล้วล่ะ....ฉันเข้าใจดี.....
“อือ....งานท่าทางจะยุ่งมากเลยสินะ ไม่เป็นไรหรอก วันนี้แค่นี้ก่อนก็ได้” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าดูดีที่สุดแล้วเขย่งตัวขึ้นเพื่อหอมแก้มเขาเบาๆ เขาสูงกว่าฉันเพราะฉะนั้นอาจลำบากสักหน่อยถ้าฉันคิดจะแสดงความรักใส่เขา แต่น่าแปลก...ทำไมสีหน้าของเขา....มองมาทางฉันอย่างเศร้าหมองเหลือเกิน......
“ขอโทษนะ......งานยุ่งนะ......”
คำพูดที่เขาบอกกับฉันมาประมาณอาทิตย์หนึ่งได้แล้ว.....แต่ฉันก็ยังไม่รู้สึกตัว....ไม่รู้สึก....แต่ถึงจะรู้ ความเจ็บปวดระทมก็พัดโหมกระหน่ำมาอย่างที่ไม่สามารถตั้งตัวได้เลย.....
ฉันค่อยๆลากสังขารฝีเท้ากลับเข้ามาในที่พักเช่าของฉัน เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็จะเห็นของๆฉันตั้งวางอยู่อย่างระเกะระกะใช้ได้....ก็ฉันมันไม่ใช่คนที่จะรักษาความสะอาดหรือเข้าระเบียบนี่ บางทีคนรักของฉันอาจชอบผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนก็ได้ แต่อย่างฉันน่ะ...ไม่มีทาง.....
ปิ๊บ----ปิ๊บ---
อยู่ๆ เสียงมือถือของฉันก็ร้องส่งมา พร้อมกับข้อความใหม่ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ
“ขอบคุณนะสำหรับวันนี้ ฝันดีนะ ที่รักของฉัน.....”
ฉันมองไปบนหน้าจอ....รอยยิ้มปรากฏเป็นแถบกวางบนใบหน้าของฉัน นิ้วยาวๆของฉันไล่ไปตามปุ่มหมายเลข พร้อมกับส่งข้อความกลับไป
“จ้า ไม่เป็นไรนะ ฝันดีถึงฉันด้วยนะที่รัก”
ฉันไม่ได้คิดเลย...ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ส่งข้อความหาถึงกัน...........
ตอนเช้าตรู่ ที่แสงแดดส่องระยิบระยับเข้ามา พร้อมกับนกน้อยที่กำลังกล่าวทักทายอรุณสวัสดิ์ต้อนรับยามตะวันทอแสง หน้าต่างห้องนอนสีขาวนวลค่อยๆแผ่แสงเข้ามากระทบถึงนัยน์ตาฉัน เป็นเหตุที่ทำให้ร่างน้อยๆค่อยๆลุกขึ้นมาจากภวังค์ แต่สิ่งที่ฉันจะทำเป็นอย่างแรกในตอนเช้าน่ะหรือ?
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ---- เสียงกดโทรศัพท์ดังไปทั่วห้อง ฉันกำลังกดหาหลายเลขปลายสาย
“ขณะนี้ ไม่สามารถติดต่อกับเลขหมายปลายทางได้ กรุณาฝากข้อความ......”
ประโยคที่ผู้หญิงพูดในโทรศัพท์ของฉันสร้างความประหลาดใจให้กับฉันอย่างมาก เพราะปกติเขาจะต้องเปิดโทรศัพท์ทิ้งไว้ตลอดทั้งคืนเพื่อที่จะโทรมาหาฉันหรือฉันโทรไปหาในตอนเช้า ฉันนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งบนเตียง ทำไมเขาไม่เปิดโทรศัพท์นะ หรือว่าเขาลืมตอนที่จะเข้าไปนอน เผลอกดปิด....หรืออะไร....เหตุผลนั้นอาจสำคัญมากๆก็เป็นได้.....
ฉันลากร่างของตัวเองเข้าห้องน้ำ ขณะที่ในหัวใจยังมีปัญหาที่แก้ไม่ตก......
ในวันนี้อากาศก็สดใสอีกเช่นเคย ท้องฟ้าปลอดโปร่งสบายน่าอัศจรรย์ ฉันเดินไปตามทางเดินที่จะเข้าสู่ตัวมหาวิทยาลัยอย่างราบรื่น ผู้คนขวักไขว่เช่นเคยในมหาวิทยาลัย ประตูที่มีป้ายสีทองอร่ามมีผู้คนมารออยู่ตรงหน้าอย่างมาก ฉันมองหาวี่แววของคนที่น่าจะเป็นคนรักของฉัน......แต่มองหาเท่าไหร่...ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา.....ฉันเริ่มรู้สึกไม่ดี เพราะปกติเขาจะไม่ใช่คนที่โดดเรียนโดยเฉพาะตอนเช้าที่มีวิชาสาระสำคัญสำหรับเขา ฉันวิ่งตรงไหยังคณะเรียน พลางมองหาเผื่อว่าเขาจะมาที่คณะแล้ว แต่ปกติเขาต้องรอฉันอยู่ที่เดิมเสมอ......
“อ้าว....หวัดดี ทำไมมาคนเดียวล่ะ แล้วแฟนไปไหนแล้ว?” เพื่อนของฉันเข้ามาทัก และทำท่างงๆว่าทำไมฉันเดินมาคนเดียว
“เอ่อ...ฉันหาเขาไม่เจอน่ะ ฉันโทรไปหาแต่เขาปิดมือถือ” ฉันตอบอย่างร้อนรน เขาหายไปไหน.....
“เอ๋? เหรอ..แปลกใจ แต่ฉันว่าเดี๋ยวเขาก็มาแล้วล่ะ ใจเย็นน่า ไม่มีอะไรหรอก” เพื่อนฉันปลอบ พลางยิ้มให้กำลังใจ และนั่นทำให้ฉันเบาใจไปได้ชั่วครู่หนึ่ง
กลางวันมาเยือน พระอาทิตย์ขึ้นสูงเหนือหัว อากาศร้อนพอดูจนฉันต้องดื่มน้ำไปสี่แก้วมาแล้ว ฉันนั่งอยู่ตรงม้าหินของโรงเรียน....มือหนึ่งถือแก้วน้ำ เพื่อนของฉันสามสี่คนก็อยู่ด้วย พวกเราคุยกันตามประสาผู้หญิง.....แต่มันเหมือนกับขาดความสำคัญอะไรบางอย่าง.....
เขา....ยังไม่มา.....
ฉันลองโทรหาเขาอีกครั้ง แต่คำตอบก็เหมือนเดิมเช่นเมื่อเช้า......
อยู่ที่ไหนกันนะ....
ฉันพาตัวเองออกมาจากมหาวิทยาลัยที่ครึกครื้นและแน่นไปด้วยผู้คน ขึ้นรถสายประจำแล้วเดินต่อไปจนถึงถนนใหญ่ที่หนึ่ง รอบบริเวณคือศูนย์ย่านการค้าแหล่งซื้อของช็อปปิ้งทั้งหลาย ฉันเดินเข้าไปในตัวตึกเพื่อซื้อของจำเป็น ห้างนี้ก็เป็นหนึ่งในที่ๆพวกเราจะมาด้วยกันบ่อยๆ และฉันหวังว่าฉันจะได้เจอเขา......คิดได้ดังนั้น ฉันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เหมือนกับมีความหวังว่าจะได้ยินเสียงอ่อนโยนของเขาอีกครั้ง
และเป็นอีกครั้งที่ฉันต้องผิดหวัง.......
ฉันล้มเลิกที่จะโทรหาเขา และกะไว้ว่าไม่ว่ายังไงคืนนี้เขาต้องเปิดเครื่องรอไว้อย่างแน่นอน
ตอนกลางคืนที่ดึกสงัด ฉันหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อที่จะโทรหาเขา ใจที่เต้นตึกตักไปตามจังหวะการกดปุ่มเริ่มเข้าสู่จุดสูงสุด.....
“กรุณาฝากข้อความ...........”
ฉันทิ้งมือถือลงบนเตียงอย่างหมดหวัง......มีเพียงแต่ความสับสนและงุนงงอย่างที่สุด....
ไม่ว่างเหรอ? ไม่คิดจะเจอฉันเหรอ?
เธออยู่ที่ไหน.....ทำอะไร....?
ทำไม...ไม่บอกฉัน...สักคำ....
เวลาผ่านไปสามวัน....วี่แววของเขาจางหายไป....ฉันเริ่มรู้สึกไม่ดี กลัวว่าเขาจะเจอกับอะไรหรือเปล่า? มือถือของเขาอาจพังไปแล้วก้ได้....แต่ทำไม...หลังจากคืนนั้น คืนที่เขาส่งข้อความมาหาฉันและฉันส่งกลับไป.....ได้รับหรือเปล่า....?......หรือเพียงแค่ไม่สนใจและจากไปอย่างไม่ใยดี....
และแล้ว.....ก็มีข่าวมาถึงหูฉัน......เขาดร็อปการเรียนที่มหาวิทยาลัย ไม่มีแม้แต่ใครที่รู้ว่าเขาไปไหน.....
ทุกคนถามฉัน...เพราะฉันเป็นคนที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด ฉันน่าจะรู้อะไรบ้าง.....
น่าเสียดาย....ที่ฉันไม่รู้อะไรเลย.....ฉันซึ่งอยู่กับเขาเกือบตลอดเวลา....กลับไม่รู้อะไรเลย
ที่จริงแล้ว...เขารักฉันหรือเปล่า? มันเกี่ยวไหมนะกับท่าทางที่แปลกไปของเขา.....
แม้ไม่มีความหวัง แต่ฉันก็ยังเปิดเครื่องเฝ้ารอเธอเหมือนคนโง่....
ไม่รู้เลย...ใช่ไหม.....? ว่ามีคนเฝ้ารอ คอยเป็นห่วง ว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับมา.....
หยาดน้ำใสบริสุทธิ์หลั่งรินออกจากดวงตา.....ซึ่งฉันพึ่งรู้ว่าการทรมานตัวเองเป็นแบบใด.....
----------------------------------------------------------------------------
ผ่านมาได้เดือนหนึ่งกับอีกเศษ ฉันที่ยังคงเฝ้ารอก็ยังเฝ้ารอต่อไป.....ฉันไปที่บ้านของเขาแล้ว แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครอยู่เลย.......ไม่มีข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับเขา ราวกับว่า....ตัวของเขาได้ถูกลบล้างหายไปจากโลกใบนี้แล้ว.....
แต่ฉันก็ยังเฝ้ารอเขาต่อไป ฉันจะคอยเปิดเครื่องรอเขา คอยโทรหาเขา คอยเงี่ยหูฟังเสียงเผื่อว่าเป็นเขาที่ตอบกลับมา.....รอ...มาตลอด.....เหมือนคนโง่เขลาคนหนึ่ง ที่เฝ้ารอเพียงแต่ความรักที่ตัวเองยึดมั่น
ตอนนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ฉันออกจากที่ทำงานพิเศษ ซึ่งก็คือร้านเบเกอรี่หน้าตาน่ารักแห่งหนึ่ง ฉันออกจะมีความฝันแปลกๆว่าอยากจะลองเป็นสาวเสิร์ฟ ที่ใส่ชุดระบายน่ารักๆต้อนรับลูกค้าอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าตอนนี้ความสุขของฉันเหมือนจะถูกหั่นครึ่งไปแล้วก็ตามที.....
ร่างบางของฉันก้าวออกมาถึงถนนใหญ่ ขณะที่กำลังรอสัญญาณไฟอยู่นั้น เสียงมือถือก็ร้องดังขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ....
ปิ๊บ....ฉันกดดู ข้อความใหม่หนึ่งข้อความ.....
ทันทีที่ฉันเห็นเบอร์โทร....ฉันนึกไม่ออกว่าเบอร์นี้เป็นของใคร....
ใจความสั้นๆมีเพียงแค่คำสองคำ แต่มันก็ให้คำตอบที่ลึกซึ้งและกระจ่างแจ้งอย่างที่สุด...
“ขอโทษ ลาก่อน”
ฉันรีบวิ่งออกไปยังสายถนน ทางยาวๆนั้นดูเหมือนว่าจะไม่สิ้นสุด ทุกอณูของฉันมันตื่นตัวขึ้นและพร้อมที่จะรับกับเรื่องราวที่ไม่ว่าจะเป็นเลวร้ายหรือน่าตกใจ เพียงตอนนี้...ที่ฉันรู้ว่า...ฉันต้องวิ่งตามปัจจุบันไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง และห้ามเหลียวหลังกลับมามองอดีตอีกเด็ดขาด
ปิ๊บ ปิ๊บ มือข้างหนึ่งของฉันกดโทรหาเลขหมายที่เมื่อครู่มีข้อความมาส่ง เสียงปลายสายดังขึ้น....ฉันรอจังหวะที่จะพูดกลับ
“ครับ......” ปลายทางพูดก้องขึ้น ฉันจำเสียงนี้ได้....เสียงที่ฉันคอยโหยหามานานแสนนาน....เสียงที่กำหนดความรู้สึกของฉัน เสียงที่สำคัญกับฉันถึงขนาดไม่สามารถอยู่เป็นสุขได้หากไม่มีเสียงนี้
“หายไปไหนมา!!!! ฉันโทรหาเธอหลายรอบ ทั้งวันทั้งคืนแต่เธอก็ไม่รับสาย เธอปิดมือถือทำไมน่ะ!!!! เธออยู่ที่ไหน!!!! ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้ล่ะ.......” ฉันตะโกนกึกก้องใส่เขา....โดยผ่านโทรศัพท์ที่ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน....คนรอบข้างมองมาที่ฉัน ส่งสายตาที่อธิบายไม่ได้มาที่ฉัน แต่ฉันไม่สนใจ.....ฉันจะต้องไปหา...ไปหาเขา.....
“ขอโทษนะ.....ฉัน....เจอเธออีก ไม่ได้แล้ว......”
ถ้อยคำพูดที่เปล่งออกมา....ราวกับสายฟ้าฟาดให้ฉันตกนรกทั้งเป็น.....
โทรศัพท์เครื่องเล็กที่ยังอยู่ในมือ...กลับร่วงหล่นลงกลางพื้น เสียงตุ้บ! น่าแปลกใจ เหมือนกับสภาพจิตใจของฉันในตอนนี้.......
เพราะคำๆเดียว....ประโยคหนึ่ง....ส่งผลให้ฉันเป็นแบบนี้.....
นี่หรือ?.....คำตอบของเธอ....ที่เธอไม่ยอมรับสาย.....ที่ปิดมือถือ....ที่ไม่มาเจอหน้าฉัน....และ.....ไม่บอกฉันอะไรสักคำ.....
เพราะ...อย่างนี้....งั้นเหรอ....
เม็ดฝนหนาๆค่อยๆหยดแหมะลงมา....กระทบกับทั้งร่างของฉันที่กำลังทำอะไรไม่ถูก....มือถือเครื่องน้อยถูกทิ้งอยู่ท่ามกลางสายฝน หยาดน้ำนับไม่ถ้วนตกลงมากระทบเสียงดัง....เสียงอื้ออึงท่ามกลางผู้คนไม่สามารถรบกวนจิตใจฉันได้อีกต่อไป ความเศร้าโศกค่อยๆแผ่ซึมมายังผืนกลางใจ ท้องฟ้าที่มืดมัวช่างสะท้อนกับจิตใจของฉันได้ดีจนฉันอยากจะหันหน้าหนี....
ในวันนี้....สายฝนก็ยังคงตกท่ามกลางความมืดมิดในใจฉันอีกเช่นเคย....
หลายวันผ่านไป....ฉันที่เอาแต่นั่งอยู่กับพื้นในห้องเช่า ไม่มีจิตใจที่จะทำอะไร ทั้งที่เพิ่งถูกบอกเลิกไปเมื่อวันก่อน แต่ทำไมฉันต้องทนทุกข์ทรมานจนถึงบัดนี้....
ฉันตัดสินใจรวบรวมความกล้าเพื่อกดถามหาเขาถึงสาเหตุ และขอให้เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
ฉันไม่รู้เลย ว่านั่นคือการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของฉัน.....
“ฮัลโหล.....” ฉันพูดกรอกเสียง
ไม่มีเสียงใดอื่นตอบกลับ มีเพียงความเงียบเท่านั้น
“ขอร้องเถอะ....บอกฉันได้ไหม? ว่าความจริงเป็นยังไง มาบอกกันแบบนี้ฉันยอมรับไม่ได้หรอกนะ.....ฉันอยู่ไม่ได้ อย่างน้อยก็บอกมาสักคำ......”
ฉันตกใจอย่างที่สุดเมื่อปลายสายนั้นคือผู้หญิง!!! และเธอกำลังร้องไห้......
“ฉัน....ฮึก....ก็ต้องขอร้องคุณเหมือนกัน....รู้ไหมคะ....ว่าคุณทำความลำบากให้คนของฉันขนาดไหน.....เขาไม่สามารถมองมือถือของเขาได้เลย เพราะคุณไงคะ....คุณ....อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะคะ ฉันขอร้อง ถือว่าเขาก็ขอร้องคุณเหมือนกัน....เขาไม่อยากเจอหน้าคุณอีกแล้ว....ฮึก....ฉันไม่อาจดูเขาเจ็บปวดทรมานมากกว่านี้ได้ ได้โปรดเถอะค่ะ....กรุณาเลิกกับเขาอย่างถาวรด้วยนะคะ.....ฮือ.....อย่ารังควานตามตื้อโทรมาหาเขาอีกเลย ไม่งั้นคุณเองก็ต้องเจ็บปวดนะคะ เพราะตอนนี้....ฉันเป็นแฟนเขาค่ะ....”
ฉันกดปิดไปทันที เพราะไม่อาจฟังคำสารภาพที่ยืดยาวของผู้หญิงคนนี้ที่มาอ้างว่าตัวเองเป็นแฟนกับเขา
เขา...ไม่ต้องการฉัน...แล้วเหรอ?....
สำหรับเขา ฉันก็คือคนที่เป็นสะพานให้ใช่ไหม?.....
ที่หายหน้าหายตาไป...เพราะไปมีคนอื่นงั้นเหรอ....
คำบอกเลิกที่เธอให้ไว้ ผู้หญิงคนนี้ก็รู้เห็นด้วยใช่ไหม?
ได้.....ถ้าเธอไม่ยอมโทรกลับมากัน ฉันจะเป็นฝ่ายไปเอง...
ฉันค้นหาที่อยู่ปลายสายทางมือถือ เพราะมือถือของฉันสามารถค้นหาที่อยู่ได้โดยการดูจากเลขหมายปลายทาง ฉันได้คร่าวๆว่าเขาอยู่แถวๆร้านที่ฉันทำงานพิเศษ.....ฉันรีบวิ่งออกจากห้องเช่าทันที.....
ด้วยแรงอะไรไม่ทราบได้....ฉันพาตัวเองมาถึงที่นั่นในเวลาไม่นานนัก.....และ.....ข้างหลังร้านนั่น ฉันเห็น......เขาทั้งสอง.....กำลังยืนกอดกัน.....กอด...ท่ามกลางแสงอาทิตย์
นั่นควรจะเป็นฉัน...ไม่ใช่เหรอ?
ฉันเดินเข้าไปหาพวกเขา....ทั้งสองคนสังเกตเห็นฉันก็เปล่งสีหน้าอย่างตกใจสุดขีด
แต่สำหรับฉัน...มันเหมือนคนที่ทำความผิดทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วมาถูกจับได้ทีหลัง.....
ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก.......
“เธอ...มาทำ...อะไร” เขาพูดเสียงค่อนตะคอกใส่ฉัน แต่ฉันไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว.....
“บอกมาสิ....นี่คือเหตุผลใช่ไหม....นี่คือเหตุผลที่เธอหายหน้าหายตาแล้วไม่ยอมบอกฉันใช่ไหม??!!!” ฉันตะคอกกลับเสียงดัง อาจดังเกินพอที่ทำให้คนด้านหน้าได้ยิน แต่ฉันไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว...ตอนนี้มีเพียงแต่ความโกรธและความอัดอั้นที่ไม่สามารถระบายให้ใครฟังตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ยิ่งเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนนี้ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเจ็บแค้นใจ
“รู้แล้วล่ะ.....ตั้งแต่ที่เธอบอกว่ามีงานด่วนต้องกลับบ้านเร็ว จริงๆแล้วเธอไปมีผู้หญิงคนนี้ใช่ไม๊!!! แล้วที่เธอไม่ยอมเปิดมือถือ เพราะเธอคนนี้ใช่ไหม!!!! รู้ไหม...ฉันเฝ้ารอมาขนาดไหน รู้ถึงความเจ็บปวดที่ฉันต้องเผชิญคนเดียวบ้างไหม!!!! ที่เธอไม่ยอมรับสาย ไม่ยอมโทรกลับ เธอคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันส่งข้อความถึงเธอ” ฉันระเบิดออกมา ใบหน้าในตอนนี้คงจะน่ากลัวและน่าเกลียดจนฉันเองก็ไม่อยากจะมอง ผู้หญิงตัวเล็กนั่นเกาะเสื้อข้างหลังเขาไว้แน่น สายตาบ่งบอกว่ากลัวและอยากให้ฉันไปไกลๆ แต่สายตาของเขา...กลับสงบ...และนิ่งจนฉันไม่คิดว่าเขาจะฟังฉัน.....
“ไม่...ไม่ใช่นะคะ....คือว่า....วันนี้น่ะ เขากลับบ้านไปและต้องมาพบกับฉัน เพราะคุณพ่อของเขา...เอ่อ...บอกให้เขาอยู่กับฉัน....ตลอดอาทิตย์ที่คุณบอกมาเราก็คบกันอยู่ค่ะ เป็นเพราะว่าคุณพ่อของพวกเราตัดสินใจ” อยู่ๆเสียงแม่นี่ก็แข็งขันขึ้นมาซะเฉยๆ ฉันมองตามพวกเขาไป.....
“ใช่...ที่เธอพูดมา....พ่อของพวกเราตั้งใจจะให้พวกเราแต่งงานกัน ก็เลย....บังคับให้พวกเราคบกัน พ่อของฉันบอกให้ฉันบอกเลิกกับเธอ เพื่อที่จะได้มาเป็นแฟนกับคนนี้ แต่ตอนนั้น...ฉันทำไม่ได้ ฉันได้แต่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง”
ไม่รู้ว่าทำยังไง....แล้วทำไมไม่เห็นหัวอกของคนที่เป็นแฟนเธออย่างฉันบ้าง.....
“คืนนั้นที่เราแยกกัน....พ่อของฉันบอกให้พวกเราไปอยู่ด้วยกันอีกทีหนึ่ง แล้วขายบ้านที่เคยอยู่ ตอนที่ฉันส่งข้อความหาถึงเธอ ฉันคิดว่าฉันจะคัดค้านอย่างสุดกำลัง แต่พ่อฉันก็แย่งมือถือไปเมื่อเห็นว่าฉันทำอะไร....และ...โยนมือถือฉันลงท่อระบายน้ำ.....ฉันโกรธมาก รู้ตัวทีอีกก็อยู่ที่บ้านใหม่...และเจอกับ....เธอคนนี้”
เขาพูดร่ายสาธยายยาวถึงสาเหตุ ระหว่างพูดก็โอบไหล่ของผู้หญิงคนนี้ไปด้วย เขาคงคิดว่าจะขอความเห็นใจจากฉันอย่างนั้นสิ.....แววตาของเขามันเศร้าจนฉันเกือบเห็นใจเขาแล้ว.......แต่เสียงที่ขัดหูฉันก็ดังแว่วขึ้น
“ได้ฟังแล้วใช่ไหมคะ....รู้แล้วใช่ไหมคะว่าคุณทำให้เขาเจ็บปวดขนาดไหน ฉันเฝ้าบอกเขาให้ลืมเรื่องเก่าๆไปซะ แล้วมาเริ่มกันใหม่.....เขาแทบจะลืมไปหมดแล้ว ถ้าคุณไม่ปรากฏตัวออกมา แล้วตามตื้อเขาแบบนี้....เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนะคะ เพราะฉะนั้น กรุณาถอยออกไปเถอะค่ะ แล้วอย่ากลับมาอีก ถือว่าฉันขอร้องนะคะ”
“ใช่.....เพราะฉะนั้น....เราไปกันไม่ได้ และฉัน.....ก็รักผู้หญิงคนนี้....เธอเป็นแฟนฉัน”
คำพูดสุดท้าย.....ทำเอาเลือดในกายฉันพุ่งขึ้น.....เหมือนกับรู้ว่าฉันต้องทำอะไรบางอย่าง ฉันพุ่งตรงไปที่ตัวของเขา พร้อมกับงัดคัตเตอร์ที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าตลอดเวลาขึ้นมาและ.....
ฉึก!!!
รู้สึกตัวขึ้นมาอีกที.....มือของฉันและร่างของฉันก็เปรอะไปด้วยเลือดสีแดงที่ไหลเจิ่งนอนกับพื้นผิวดินแล้ว....
แต่คนที่ถูกแทง....กลับเป็นผู้หญิงคนนั้น.....เพราะเธอ....ยื่นมือเข้าไปส่อเพื่อปกป้องคนที่คิดว่าเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว.....
เลือดสดๆไหลออกมา ใบหน้าซีดเผือดของผู้หญิงคนนี้มันทำให้ฉันสะใจอย่างไรบอกไม่ถูก.....แต่ความตกใจและงุนงงก็เข้ามาแทนที่ ยิ่งเห็นสายโลหิตที่กระฉูดออกมาตามริมปากและจมูกมันทำให้ฉันยิ่งสับสน
รู้เพียงแค่....ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกอื่นนอกจากความว่างเปล่า......
น้ำสีแดงที่ติดกลิ่นคาวของผู้หญิงในมือฉัน ยังคงอยู่จนถึงในตอนนี้.....
เท่าที่รู้ ผู้คนวิ่งพล่านเพื่อแจ้งตำรวจ ฉันที่น่าจะหนีไปกลับขยับตัวไม่ได้.....รู้ตัวอีกทีเขาก็แย่งมีดไปจากฉันแล้ว...
เผียะ!! ฝ่ามือกระทบกับใบหน้าฉันเต็มๆ ตามมาด้วยน้ำเสียงเย็นๆที่ฉันไม่เคยได้สัมผัส
“ทำ....แบบนี้....ทำไม....”
“พวกเรารักกัน...” ใบหน้าของเขาซีดเผือด ตามมาด้วยเสียงที่สั่นริกๆ
สุรเสียงที่ดังก้อง มันแทรกซึมผ่านเข้ามาในหูฉันอย่างต่อเนื่อง.....
คนรักเหรอ....
ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนรักของเธอเหรอ.....
แล้วฉันล่ะ....
ฉันไม่ใช่...คนรักของเธอ....เหรอ.....
ใช่สิ....ฉันมันไม่มีความหมายตั้งแต่ตอนที่ฉันส่งข้อความไปหาแล้วนี่.....
ฝนยังคงตกเสมอ....แม้ว่าในตอนนี้ท้องฟ้าจะปลอดโปร่งแล้วก็ตามที.....
ตำรวจคุมตัวของฉันเพื่อไปยังโรงพัก ผู้หญิงคนนั้นถูกพาไปโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ฉันไม่สนหรอก.....เพียงแต่ฉันในตอนนี้มันไม่ใช่ฉันแล้วก็เท่านั้น......
เขาคนนั้นกำลังถูกพาไปยังโรงพักเพื่อสอบปากคำ ก่อนที่เขาจะขึ้นรถตำรวจอีกคัน เขาหันกลับมามองฉันด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก.....ไม่เห็นฉันอยู่ในสายตาแล้ว.....ฉันหมดอนาคตแล้ว....พ่อกับแม่ของฉันจะว่ายังไงนะ ถ้ารู้ว่าฉันแทงคน....ความมืดในใจฉันยังคงเป็นตราบาปจนถึงเดี๋ยวนี้
“นี่.....ถามหน่อยสิ.....”
“เธอคิดอะไรอยู่”
“ตอนที่เธอโกหกฉัน คงจะไม่สบายใจใช่ไหม”
“แล้วทำไม....วันนั้นถึงไม่โทรกลับมาหา”
“ทำไมปล่อยให้ฉันเฝ้ารอ ทั้งๆที่ฉันคิดถึงเธอ แต่เธอกลับทรยศต่อตัวฉันซึ่งๆหน้า”
“เธอไม่เห็นข้อความนั่นสินะ”
“ถึงต้องให้ฉัน....ยืนตากสายฝนท่ามกลางความผิดพลาดอยู่คนเดียว”
ฝนน่ะ....มักจะตกโดยไร้เหตุผลอยู่นับล้านครั้งเรื่อยเลยล่ะ......
Even though feel blue forever, I never forget you.
Why? Because “I love you”
My passion is enough for killing you
With no need to think about the past
------------------------The End---------------------------
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น