ทัศนคติในการทำงาน - ทัศนคติในการทำงาน นิยาย ทัศนคติในการทำงาน : Dek-D.com - Writer

    ทัศนคติในการทำงาน

    เราบางคนมีโอกาสได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรักในขณะที่คนจำนวนมาก ไม่มีโอกาสอย่างนั้น อย่างไรก็ตามเรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนมุมมองโดย หันมารักและหลงไหลในสิ่งที่เราทำได้ โดยไม่ต้องรอให้ตาบอดแบบคุณเรณูก็ได้ '

    ผู้เข้าชมรวม

    786

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    786

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ต.ค. 53 / 12:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ทัศนคติบอด
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ชนะโทรไปบริษัทนี้เป็นหนที่สองในรอบสัปดาห์นี้
      บริษัทนี้เป็นลูกค้ารายใหม่ที่เขากำลังติดตามเรื่องอยู่
      เสียงของโอเปอร์เรเตอร์ซึ่งรับสายด้วยเสียงที่เป็นมิตร
      และอ่อนโยนกล่าวว่า
      ' สวัสดีคะบริษัทเอบีซีอิงค์ ยินดีต้อนรับคะ '
      คุณชนะกล่าวว่า ' ผมขอเรียนสายกับคุณสมจิต
      ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์หน่อยครับ '
      โอเปอร์เรเตอร์กล่าวทักขึ้นมาว่า ' นั่นคุณชนะใช่ไหมคะ'
      ชนะรู้สึกแปลกใจความสามารถในการจดจำเสียงของพนักงานคนนี้ได้
      เขากล่าวตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจ
      ' ใช่แล้วครับ ขอบคุณที่จำได้ครับ ' เธอกล่าวว่า
      ' ยินดีคะ ดิฉันจะโอนสายให้นะคะ '

      หลังจากที่ชนะสนทนาเรื่องงานกับสมจิตจบ
      ชนะจึงถามสมจิตขึ้นมาว่า ' คุณสมจิต ผมขอชม
      พนักงานรับโทรศัพท์ของคุณหน่อยครับ
      เธอเก่งจริงๆเลยที่จำเสียงผมได้
      เป็นการให้บริการที่เกินความคาดหวังของผมจริงๆเลยครับ
      ผมเองไม่ได้เป็นลูกค้าประจำ และก็ไม่ได้โทรมาบ่อยๆ
      ขนาดที่เธอจะจำเสียงผมได้ด้วย เธอมีเคล็ดลับอะไรครับ '

      สมจิตพูดว่า ' เธอชื่อเรณูคะ เธอได้รับคำชมอย่างนี้บ่อยๆ
      หากคุณฟังเรื่องของเธอมากขึ้นกว่านี้คุณจะ ยิ่งประทับใจ
      สนใจฟังไหมละคะ'
       
      ชนะรีบกล่าวตอบด้วยความกระตือรือร้นว่า
      ' สนใจสิครับ ช่วยกรุณาเล่าให้ฟังหน่อยครับ '

      สมจิตเริ่มต้นเล่าอย่างอารมณ์ดี ' คุณเรณูเธอตาบอดคะ
      เธอจึงต้องอาศัยการฟังเพียงอย่างเดียว
      ทำให้! เธอสามารถจดจำชื่อคนได้ดี
      เธออาศัยอยู่ที่สมุทรปราการแ ละมาทำงานที่ออฟฟิศนี่
      ซึ่งอยู่แถวดอนเมือง ซึ่งถือว่าไกลมากโดยเฉพาะสำหรับเธอ
      ซึ่งต้องเดินทางโดยรถเมล์เหมือนคนปกติ
      ส่วนใหญ่ก็ จะมีคนตาดีอย่างพวกเราที่คอยช่วยดูสายรถเมล์
      และส่งเธอขึ้นรถให้ เธอไม่เคยมาสายเลย
      และก็ไม่เคยเรียกร้องขอรถรับส่งแต่อย่างใด
      ไม่เหมือนพนักงานปกติของพวกเราหลายคน
      ตอนที่เราย้ายสำนักงานจากในเมือง ต้องขอรถรับส่งให้ด้วย
      แถมหลายๆคนที่มีรถส่วนตัวก็ยังมาทำงานสาย
      พร้อมกับเหตุผลสารพัด คิดแล้วอายแทนคนตาดีเลยคะ '

      เธอหยุดเว้นจังหวะสักครู่ก่อนจะเล่าต่อว่า
      ' คุณเรณูมีทัศนคติที่ดีมากๆกับงานของเธอ
      เธอเคยเล่าให้ดิฉันฟังว่าสำหรับเธอแล้วการรับโทรศัพท์ไม่ใช่งานแต่มันคือชีวิต  เงินเดือนที่บริษัทให้กับเธอ ทำให้เธอสามารถเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้อย่างดี นอกจากนี้เธอยังมีเงินเหลือกว่าครึ่งสะสมไว้อีก ที่จริงแล้วเพื่อนคนตาดีหลายคนเคยหยิบยืมจากเธอในยามฉุกเฉิน

      คุณเรณูกล่าวว่าบริษัทเรา เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า และสังคมมอบโอกาสให้เธอได้พิสูจน์ว่าเธอมีคุณค่าและสามารถมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคมได้  เธอบอกว่าเธอพยายามทำงานของเธออย่างสุดความสามารถ ซึ่งรวมทั้งพยายามจำชื่อของผู้ที่โทรเข้ามาด้วย

      เธอบอกว่าทุกคืนก่อนเข้านอน เธออยากรีบนอนไวๆ
      เพื่อจะได้รีบตื่นขึ้นมาทำงาน เธออดใจรอจะมาทำงานไม่ไหว
      แหมอย่าหาว่าดิฉันบ่นเลยคะ แต่พวกตาดีๆอย่างพวกเรากลับภาวนา
      ให้ถึงวันหยุดเร็วๆเสียนี่กระไร'     สมจิตจบเรื่องด้วยเสียงหัวเราะเบาๆอย่างคนอารมณ์ดี

      เมื่อชนะมาเล่าเรื่องนี้ให้กับผมฟังในรถระหว่างที่เราเดินทางไปพบลูกค้าที่นวนคร
      ผมจึงเสริมความเห็นของผมไปว่า ' เราน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คนที่มาเข้าอบรม กับเราฟังบ้างนะ
      บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินคนบ่นว่างานหนัก หรือไม่ก็ปัญหาเรื่องงานมีมาก

      สิ่งที่คุณเรณูมีแตกต่างกับเรา ไม่ใช่ว่าเธอตาบอดหรอกครับ ความจริงพวกเราต่างหากที่บอด  

      เราทัศนคติบอดไงละ  เราได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆมากมาย จากนายจ้างจนเคยชิน
      กระทั่งมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น

      ยิ่งนานวันเรายิ่งเรียกร้องมากขึ้นโดยเฉพาะช่วงปลายปีแบบนี้
      ในขณะที่คุณเรณูกลับมองแตกต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง
      บางคนเบื่องานจนอยากลาออกไปอยู่กับบ้านเฉยๆ

      มันทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Dr. Denis Waitley
      ผู้แต่งหนังสือขายดีชื่อ 'The psychology of winning'
      เขายกรายงานวิจัยในอเมริกาที่บอกว่าผู้เกษียณอายุออกจากงานไป
      โดยไม่มีภาระกิจอะไรทำมีอายุเฉลี่ยเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น พวกเขาตายเพราะความรู้สึก
      ด้อยคุณค่า หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่าเฉาตายนั่นเองครับ 
       
      เราบางคนมีโอกาสได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรักในขณะที่คนจำนวนมาก
      ไม่มีโอกาสอย่างนั้น อย่างไรก็ตามเรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนมุมมองโดย
      หันมารักและหลงไหลในสิ่งที่เราทำได้ โดยไม่ต้องรอให้ตาบอดแบบคุณเรณูก็ได้ '


      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×