คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : CHAPTER 7
CHAPTER 7
ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ บางสิ่งในท่าทางของเธอ
ทำให้ฉันรู้ว่า ฉันขาดเธอไม่ได้ และมันต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ฉันมี ฉันอยากให้เธออยู่ต่อกับฉัน
คิ้วบางของคนตัวเล็กขมวดกันจนยุ่งเมื่อค้นพบว่าตัวเองเลือกเนคไทที่จะให้พี่ชายใส่ไปทำงานไม่ได้ซักที สีน้ำเงินก็ดูดี สีส้มอ่อนก็สวย แบคฮยอนตัดสินใจไม่ถูก เขาเอาเนคไทสองสีเทียบกันอยู่อย่างนั้นตรงหน้าอกของพี่ชาย
“ถ้าเลือกนานขนาดนี้ จะได้ไปเรียนไหมเนี่ย? “
“........”
“แบคฮยอนเด็กดื้อ เพื่อนๆนายคงเป็นห่วงแล้วนะ”
พี่เลี้ยงขมวดคิ้วพร้อมกับทำหน้าเบื่อหน่าย ตัวเองแกล้งทำหน้าดุใส่น้องชาย หากแต่ก็ยอมยืนเป็นหุ่นให้แบคฮยอนแต่งตัวและเลือกชุดให้อยู่ตั้งนาน
“ฮื้อ บ่นเป็นตาแก่ไปได้ เอาล่ะ ผมเลือกก็ได้ครับ สีส้มนั่นแหละ เหมาะกับพี่ที่สุด นี่ ถ้ายิ้มด้วย พี่จะต้องหล่อมากแน่เลยนะครับ..พี่ชายใครน้า”
แบคฮยอนอมยิ้มก่อนจะโอบแขนไปรอบคอของพี่ชายเพื่อสวมเน็กไทให้ คนตัวเล็กก้มลงตั้งใจผูกเนคไทให้อย่างบรรจง ลู่หานก้มลงมองภาพน้องชายแล้วใจหาย ถ้าแบคฮยอนรู้ความจริง ใบหน้าขาวใสน่าทะนุถนอมนั้นคงจะต้องเสียใจมาก และน้องชายคงนี้อาจจะไม่ได้มอบรอยยิ้มที่แสนมีค่านั้นให้เขาอีกต่อไป
“แบคฮยอน..”
“หืมมม”
“จูบลาพี่หน่อยได้ไหม?”
น้องชายสะดุดกับคำพูดของพี่ชายทั้งๆที่ยังผูกเนคไทไม่เสร็จ มาอารมณ์ไหนกันอีกนะ แบคฮยอนใช้มือเล็กทัดผมสีทองให้กับพี่ชายอย่างกับต้องการปลอบใจ
“ฮ่าๆ เดี๋ยวก็กลับมาบ้านแล้วไม่เห็นต้องจูบลาเลยนี่ครับ”
พอเห็นสีหน้าของพี่ชายหม่นลง แบคฮยอนก็อดสงสารไม่ได้ พี่ชายเป็นอะไร อยู่ดีดีก็อ้อนเขาซะมากมาย ร่างบางชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะใช้ริมฝีปากจุ๊บเบาๆไปที่นิ้วของตัวเองแล้วทาบไปยังริมฝีปากของคนสูงกว่า
“งั้น...จะให้แค่นี้พอ เดี๋ยวเหลิงใหญ่ ตั้งใจทำงานนะพี่ชาย สู้ๆ”
ร่างบางยิ้มหวานให้จนเห็นเขี้ยวเล็กขี้เล่น ลู่หานเงียบไม่พูดอะไรต่อ จากนั้นแบคฮยอนก็บอกให้ลู่หานยืนรอตรงนี้ก่อน ขาเล็กรีบวิ่งไปที่ห้องนอนตัวเองก่อนจะหยิบกล้องโพลารอยด์ขึ้นมาแล้วรีบวิ่งกลับมาหาพี่ชาย
“ผมจะถ่ายรูปโพลารอยด์นะ พี่ชายจะเป็นคนแรกเลย”
แชะ
แบคฮยอนกดทันทีโดยที่ลู่หานยังไม่ได้ยิ้มหรืออะไรเลย คล้ายกับถ่ายตอนเผลอ
ครืดดดด...
กรอบสี่เหลี่ยมดำไหลออกมาจากกล้องโพลารอยด์ แต่เมื่อพอมองแล้ว มันเป็นเพียงรูปเปล่า ไม่ปรากฏอะไรทั้งนั้น
“แบคฮยอน รูปแรกของโพลารอยด์อันนี้มันเป็นอันทดลอง เวลาเราถ่ายครั้งแรก มันจะไม่มีรูปพี่ขึ้นหรอกนะ มันจะมีแต่กรอบว่าง“ ลู่หานเอ่ยขึ้นบอกเมื่อเห็นว่าน้องชายถือกรอบอยู่อย่างนั้นด้วยความสงสัย
“หรอครับ...งั้น.. “ แบคฮยอนยิ้มให้กับกรอบสี่เหลี่ยมนั้นแล้วยกขึ้นมามองผ่านไปยังพี่ชายผมทองแล้วเสียงเล็กๆก็เอ่ย
“แชะ” เสียงเล็กๆเอ่ยขึ้นแล้วหัวเราะออกมา
“โอเค งั้นถือว่าถ่ายแล้ว ไม่เป็นไรหรอก ผมจำรอยยิ้มพี่ชายได้อยู่แล้วละครับ”
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวั่นไหวเมื่อได้ฟังประโยคนั้น ลู่หานเลือกที่จะฝืนยิ้มบางให้ก่อนจะบอกให้แบคฮยอนไปเรียนได้แล้ว น้องชายตัวเล็กลงมายังชั้นล่างแล้วตั้งใจจะเอาถุงขยะในครัวไปทิ้ง แต่แล้วสายตาก็ต้องสะดุดกับบางอย่างที่อยู่ในถังขยะ มันเป็นซุปบรอคโคลี่ที่เขาเก็บไว้ให้พี่ลู่หานเมื่อสามวันก่อน คิ้วบางพันกันยุ่งจนไม่สามารถอธิบายได้
ทำไม.....ซุปถึงมาอยู่ในถังขยะได้ละ? น้องชายหันหลังกลับไป ตั้งใจจะเดินไปสอบถามพี่เลี้ยง
เพียงแค่ยังไม่ทันได้เห็นหน้าพี่ชาย คนตัวเล็กก็ได้ยินเสียงสตาร์ทรถที่ดังขึ้นซะก่อน แบคฮยอนรีบวิ่งไปยังหน้าบ้าน แล้วมองตามรถยนต์คันหรูที่เคลื่อนออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความสับสนในใจ..
ไม่ทันซะแล้ว สงสัยพี่เขาคงต้องรีบไปทำงานสิ่นะ ใบหน้าขาวเล็กนั้นฉายแววกังวล
พี่ลู่หาน...
พี่ชายเทซุปของแบคฮยอนทิ้งหรือเปล่าครับ....?
วันนี้โอเซฮุนเดินมาที่มหาวิทยาลัยด้วยความดีใจ เขาจะได้เจอแบคฮยอนแล้ว เพื่อนรักตัวเล็กโทรมาขอโทษที่โดดเรียนไป แบคฮยอนบอกว่าพี่ลู่หานพาไปเที่ยวต่างจังหวัด น้ำเสียงของแบคฮยอนดีขึ้นมากทำให้เซฮุนสบายใจ
ตั้งแต่ที่แบคฮยอนโดนทำร้าย เซฮุนก็ไม่ได้เจอหน้าเพื่อนรักเลย ความเป็นห่วงและความคิดถึงก็เลยเกิดขึ้นมา คยองซูก็เหมือนกัน พวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่พอไม่มีแบคฮยอน มันก็เหมือนไม่ครบแก๊งค์เพื่อนรักซักนิด
“เออ งั้นเดี๋ยวฉันไปรอที่ห้องเลยนะฮุน ซื้อแซนวิชมาเผื่อด้วย หิว” คยองซูโทรมาบอกหลังจากที่ตนเองมาที่ห้องสมุดตั้งแต่เช้าแล้วอ่านหนังสือเพลินจมลืมเวลาจนต้องโทรหาเพื่อน
เซฮุนตอบรับแล้วเดินผ่านโถงกลางของตึกเพื่อไปยังโรงอาหาร รุ่นน้องมากมายโค้งคำนับให้ แต่เซฮุนก็แค่ปรายตามองเท่านั้น มีเพียงแต่รุ่นน้องที่ชมรมเชียร์หลีดเดอร์ที่เซฮุนพยักหน้าให้ยิ้มเล็กน้อยทักทาย ขาเรียวยาวสีหน้าเรียบเฉยเดินไปยังร้านขายแซนวิซ ก่อนสายตาจะเหลือบเห็นรุ่นน้องคนนั้น คนที่เขาเพิ่งตบหน้าไป
“ปาร์ค ชานยอล” กำลังมองมาจากที่นั่งทานข้าวในโรงอาหาร ชานยอลกำลังยิ้มเล่นให้เพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่พอดวงตากลมโตของเขาสบตากับเซฮุน เขาก็หุบยิ้มในทันใด รุ่นพี่ตัวขาวยักไหล่ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น ไม่สนใจนักฟุตบอลของคณะเลยซักนิด
“ผมขอโทษนะ”
ชานยอลลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารแล้วรีบเดินมาหาเซฮุน รุ่นน้องตัวโตโค้งตัวเก้าสิบองศาท่ามกลางความฮือฮาของคนอื่นๆที่อยากรู้ว่าสองคนนี้มีอะไรกันหรือเปล่า เซฮุนเหลือบตามองก่อนจะขมวดคิ้ว
“นายจะขอโทษฉันทำไม คนที่สมควรได้รับคำขอโทษคือแบคฮยอน ไม่ใช่ฉัน“
“ผมไปขอโทษพี่เค้าแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม ผมอยากขอโทษพี่..”
“พี่ไม่ได้โกรธผมใช่ไหม? พี่ไม่ยิ้มเลย...ผมเสียใจ”
“ฉันไม่ใช่คนยิ้มง่าย”
“ฉันเคยบอกนายไปแล้วว่าฉันไม่ชอบคนขี้เล่น”
รุ่นพี่ตัวขาวเดินจากไปโดยที่ไม่สนใจว่า ชานยอลจะทำหน้าอย่างไร และรู้สึกอย่างไร
เซฮุนไม่ชอบยิ้มให้ใครง่ายๆ ก็แค่เท่านั้น....
หลายคนอาจจะมองว่าเซฮุนเป็นคนขี้เหวี่ยง ทุกอย่างต้องเป๊ะไปหมด และไม่สนใจใคร แต่หากมองดีดี มันอาจจะเป็นการป้องกันตัวอีกรูปแบบนึงเท่านั้นของก็เป็นได้
ไม่ยิ้มให้กับใครมาก ไม่เล่นกับใครมาก ไม่ใจดีกับใครมาก จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดมากหากต้องเสียใจ
อย่างไรก็ตามโอเซฮุนก็ไม่ได้หวังว่า จะให้คนที่ไม่รู้จักโตอย่างชานยอล เข้าใจซักนิด..
“แบคฮยอน เป็นยังไงบ้าง ฉันได้ยินว่านายถูกทำร้ายหรอ?”
จาง อี้ชิง ผู้ซึ่งร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาทักทายแบคฮยอนเลือกเดินเข้ามาสอบถามความเป็นมาหลังเลิกคาบเรียน หน้าตาท่าทางสงสารเห็นอกเห็นใจ แต่มองดีดีจะพบว่าอี้ชิงแอบยิ้มที่มุมปาก ท่าทีนั้นของนางพญาหลงตัวเองทำให้คยองซูและเซฮุนทำหน้าเอือม
“ตอแหล”
ไม่ใช่แบคฮยอนหรอกที่พูดแต่เป็นคยองซูที่เอ่ยคำนี้ออกมาอย่างดังๆ และทุกคนก็ได้ยินกันทั่วห้อง แบคฮยอนไม่ได้เล่าให้ใครฟังหรอกเรื่องที่เขาขอร้องให้อี้ชิงช่วย หากแต่คยองซูเกลียดขี้หน้าอี้ชิงอยู่แล้ว ทำให้คยองซูเลือกจะพูดโดยไม่สนใจใคร
“ฉันก็แค่เป็นห่วงน้องชายของแฟนฉันไม่ได้หรือไง คยองซูจะใจร้ายเกินไปแล้วนะ”
อี้ชิงทำน้ำตาคลอคล้ายจะร้องไห้ หากแต่เพื่อนรักสามคนพอได้ยินคำว่าน้องชายของแฟน ก็ทำให้สะดุด ใจของแบคฮยอนแทบหล่นลงไปกับพื้น หัวสมองเต็มไปความสับสน มือน้อยสั่นเมื่อค่อยๆเก็บดินสอใส่กระเป๋า
“น้องชายแฟน? แฟนนายนี่ใคร?” เซฮุนกอดอกถามอย่างต้องการรู้คำตอบในทันที ท่าทางของเซฮุนดูเอาเรื่องอยู่พอสมควร
“แฟนฉัน..ก็พี่ชายของแบคฮยอนไง พี่ลู่หานน่ะ พี่เค้ายังไม่ได้แบคฮยอนหรอ”
“แฮะๆ สงสัยคงเพราะเราเพิ่งคบกันไม่กี่วันก่อนน่ะ”
จางอี้ชิง มอบรอยยิ้มที่สวยงามดังเดิม แถมยังแกล้งยื่นมือไปจับมือเล็กของแบคฮยอนให้อย่างสดใส
“ยังไงฉันก็ฝากตัวด้วยนะ“
แบคฮยอนไม่เข้าใจอะไรซักนิด ใบหน้าเรียวเล็กดูหม่นลงอย่างชัดเจน คยองซูและเซฮุนมองมาที่เขาด้วยสายตาเป็นกังวล ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะกลับมาไม่สดใสอีกครั้ง และสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่มีวันกลับมาเป็นแบบเดิม แบคฮยอนก้มหน้าลงก่อนจะเงยหน้าฝืนยิ้มสุดกำลัง
“ดะ ได้สิ ฉันก็ต้องฝากตัวกับนายเหมือนกันนะ อย่าลืมดูแลพี่ลู่หานดีดีละ”
แบคฮยอนบอกกับอี้ชิงไปทั้งที่ภายในใจสะท้อนแววของความไม่มั่นใจอะไรซักนิด พี่ครับ พี่กำลังแกล้งอะไรผมเล่นหรือเปล่า ผมสับสนไปหมดแล้ว ถ้าผมถามพี่ พี่จะตอบผมว่ายังไงครับ พี่ช่วยบอกผมทีได้ไหม
ในเย็นวันนั้น แบคฮยอนเลือกที่จะขอตัวกลับบ้านก่อนและปฏิเสธไม่ไปทานเค้กกับเพื่อนรัก คนตัวเล็กขับรถเต่ากลับบ้านพร้อมน้ำตาที่ไหลริน เขาเพียงแค่อยากได้รับคำตอบ เขาแค่อยากได้ยินทุกอย่างจากปากพี่ชาย...
“ทำไมยังไม่นอน?” ลู่หานเอ่ยขึ้นเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน นี่ตีสองแล้ว แต่แบคฮยอนยังคงนั่งรอเขาอยู่ที่โซฟา ใบหน้าดูซีดเซียวเหมือนอยากนอนเต็มที หากแต่คนตัวเล็กเลือกอยู่รอที่จะคุยกับลู่หาน แบคฮยอนยืนขึ้นแล้วยังส่งยิ้มบางมาให้
“ก็รอพี่กลับบ้านไงครับ ผมอุ่นซุปให้ไหม?”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่หิว” ลู่หานตอบแบบไม่ใส่ใจ แถมยังรีบเดินขึ้นไปข้างบน หากแต่น้องชายวิ่งมาจับมือไว้
“พี่ไปไหนมาหรอครับ”
“ฉันไปหาอี้ชิงมา แฟนฉันฉันก็ต้องดูแล” ลู่หานตอบแบบส่งๆ สีหน้าดูเหน็ดเหนื่อยและรำคาญเป็นอย่างมาก..
“พี่...ไม่เห็นบอกผมเลยว่าเป็นแฟนกับอี้ชิงแล้ว”
“นายเป็นใครถึงจะได้รู้ทุกเรื่องของฉัน? บางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องของนาย”
“พี่ครับ.....”
“ฉันเหนื่อย อยากจะนอน ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม?”
แบคฮยอนยังจับมือพี่ชายแน่นกว่าเดิมแล้วเอื้อนเอ่ย คนเป็นน้องน้ำตาคลอเบ้าแล้วจ้องมองไปในดวงตากลมของพี่ชาย
“เดี๋ยวก่อนสิครับ ผมมีเรื่องจะถามหน่อย”
“ผมจะไม่โกรธหรืออะไรทั้งนั้นหรอกนะที่พี่คบกับอี้ชิงเขา แต่ผมแค่อยากรู้ว่า....ที่ผ่านมา....พี่รักผมบ้างหรือเปล่า”
“พี่เคยมีช่วงเวลา......ที่รักผมบ้างไหม?”
เสียงถอนหายใจยาว พร้อมกับผมทองที่ส่ายหน้าอย่างระอาเอือม
“จะพูดยังไงดีละ ฉันคิดว่า....”
“ไม่เคยนะ” แบคฮยอนปล่อยมือเล็กนั้นที่จับพี่ชายอยู่อย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกเหมือนว่าหัวใจของเขาตกลงไปที่ตาตุ่ม น้ำตาสีใสเริ่เอ่อคลอเบ้า...
“แล้ว....เรื่องที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบระหว่างผมกับพี่ละครับ?”
“ขอโทษด้วยนะแบคฮยอนที่แกล้งเล่นกับความรู้สึกนายมากไปหน่อย”
“แต่ได้เห็นหน้านายตอนอยากได้ฉันขนาดนั้นแล้วเพลินดีนะ กล้าหอมกล้าทำอะไรแบบนั้น นายคงชำนาญทำกับคนอื่นมาเยอะแล้วสิ”
“ว้า ฉันดันเผลอตัวซื้อบ้านให้นายเป็นหลังๆไปซะได้ ยังไงก็ทำงานชดใช้และกัน ถ้าหมดเมื่อไหร่นายก็ไปหาผัวคนอื่นแทนฉันแล้วกันนะ อี้ฝานมันก็รวย เด็กนั่นก็ท่าทางมีตัง นายก็เกาะอย่าให้หลุดมือละ”
“คนรับใช้ก็คือคนรับใช้ ไม่ใช่น้องชาย หรือ คนสำคัญอะไรทั้งนั้นหรอก”
“ฉันบอกให้นายจูบลาฉันแล้ว แต่นายไม่ทำ เพราะงั้นฉันจูบลายนายแทนเองก็ได้”
ลู่หานใช้ริมฝีปากแตะเบาๆไปที่แก้มของน้องชาย ก่อนจะยิ้มเหยียด หนวดไรสากที่มาสัมผัสแบคฮยอนนั้น ทำให้คนเป็นน้องรู้สึกแย่มากไปกว่าเดิม คำพูดขี้เล่นไม่คิดอะไรออกมาจากปากของพี่ชาย แล้วขาก็เดินขึ้นบ้านไปอย่างไม่ใส่ใจ
“I’M SORRY”
ทุกการกระทำของลู่หานคล้ายกับน้ำเย็นที่สาดมาเต็มทั่วใบหน้าของน้องชาย แบคฮยอนรู้สึกชาไปทั้งร่าง
เจ็บเหลือเกิน....
เจ็บ..
เจ็บจนที่ไม่รู้ว่าควรร้องไห้ หรือแค่นยิ้มให้กับความโง่เขลาของตัวเอง
เป็นแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง และแบคฮยอนก็เลือกจะกลับมาหาคนคนนี้ทุกครั้ง
มันไม่สมควรเป็นแบบนี้ เราไม่สมควรเอาหัวใจของเราไปให้ใครอีกคนปู้ยี้ปู้ย้ำจนไม่มีชิ้นดีแบบนี้.. มือหนาของพี่ชายคู่นั้น คือมือที่เคยเช็ดน้ำตาให้ และเป็นมือข้างเดียวกับที่ขยี้หัวใจแบคฮยอนแหลกสลาย
สถานะที่เปลี่ยนไปตามใจของลู่หาน วันนึงก็เป็นน้องชาย วันหนึ่งก็เป็นคนสำคัญ
หากแต่อีกวันก็กลับกลายเป็นคนรับใช้ตามเดิม
แบคฮยอนไม่รู้จะทำอย่างไรอีกต่ไปแล้ว มันเหนื่อยนะ เหนื่อยหัวใจจนทนไม่ไหว
ก้อนเนื้อเต้นดังไปพร้อมกับความปวดร้าวช่างเป็นสิ่งที่แสนทรมาณ
แบคฮยอนเฝ้าถามตัวเองว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยมือของพี่ลู่หานไปจริงหรือเปล่า เขาจะทนมันต่อไปอีกนานได้ไหม?
แต่พอทบทวนดูแล้วเขากลับทรมาณทุกวินาทีที่มีลู่หานอยู่ ความสุขก็สุขเพียงเล็กน้อยดังหยาดน้ำค้างในตอนเช้าที่โดนแสงแดดแผดเผาให้แห้งเหือดตอนกลางวัน เขาแค่อยากมีความสุขบ้าง ความสุขที่จะไม่ต้องโดนทำร้ายจากใครซักคน
แบคฮยอนคนโง่โง่ที่เลือกจะจ้องแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ทั้งๆที่มันทำให้ตาของเขาบอด บอดจนมองไม่เห็นความจริง..ว่าลู่หานไม่เคยคิดรักเขาซักนิดเลย
“ฮึกกกกก ฮืออออออออออออออ”
น้องชายตัวเล็กร้องไห้ทรุดลงกับพื้น โดยใช้มือทั้งสองข้างเช็ดน้ำตาให้กับตนเองอยู่อย่างนั้น เจ็บปวดหัวใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร
ในตอนนี้ น้องชายเข้าใจทั้งหมดแล้ว เพราะพี่เลี้ยงใจร้ายคือคนที่มีจิตใจเย็นชา คนไม่มีหัวใจคนนั้นไม่มีวันจะหันมาใจดีให้กับซินเดอเรลล่าหรอก ในวันนี้ แบคฮยอนรู้ความจริงแล้ว .... เราควรพอซักที ปล่อยวางจากเขาเสียที เราควรปล่อยเขาไปซักที
เวลาผ่านไปด้วยความทรมาณ หากแต่สุดท้ายทุกวินาทีก็ผ่านพ้นมาได้
สองคนพี่น้องไม่พูดกันเลยนับตั้งแต่วันนั้น ลู่หานทำงานอย่างบ้าคลั่ง ส่วนแบคฮยอนก็ไปเรียน ทำงานบ้าน และใช้ชีวิตต่อไปคล้ายกับเมื่อก่อน แบคฮยอนไม่สนใจว่าใครอีกคนจะเป็นอย่างไร จะกลับบ้านดึกเพราะเมามายมาวันไหน หรือจะกลับมามีอะไรทานหรือเปล่า
ทั้งสองใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังเดียวกัน หากแต่เหมือนอยู่กันคนละโลกจนถึงวันที่ทุกคนต้องไปที่บริษัทเพื่อนำเสนอโปรเจคโฆษณา
แผนการตลาดใหม่ในเครืออู๋และเครือลู่คือการร่วมหุ้นกัน นั่นหมายถึงว่าสัญญาของทั้งสองบริษัทเป็นความลับ มีเพียงนักศึกษาบางกลุ่มที่เป็นคนนำเสนอโปรเจคเท่านั้นที่รู้ความลับ หลายคนอาจจะไม่เข้าใจ แต่แผนการตลาดนี้เป็นวิธีหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว
ทั้งสองบริษัทจะทำเป็นเหมือนคู่แข่งกัน กล่าวคือจะทำผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกัน และออกขายในนามคนละบริษัท ถ้าจะให้เปรียบเป็นเครื่องดื่ม ทั้งสองบริษัทก็จะผลิตน้ำคนละยี่ห้อ เช่น โค้กกับเป็ปซี่และทำเหมือนว่าแข่งขันกัน ทั้งที่ท้ายสุดแล้ว เงินที่ได้ จะนำมาหารครึ่ง ซึ่งทำให้เราอาจเรียกได้ว่าทั้งสองบริษัทนั้นจะวินวิน ทั้งคู่
ลู่หานเป็นคนคิดแผนการตลาดและวางโครงสร้างตลาดเองทั้งหมด นับว่าเป็นการบุกตลาดรูปแบบใหม่ที่แตกต่างไป เขาเป็นคนที่เก่งเอามากๆลยจริงๆ
วันนี้เจ้าชายหิมะสะพายเป้เข้าบริษัทอย่างสบายใจ เขาไม่อยู่ในสูทหรืออะไรที่เป็นทางการซักนิด อาจเพราะเจ้าชายเป็นคนหล่ออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้ดูดีมากมาย เพียงแค่เสื้อเชิ้ตเปิดอกสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำ ก็สะกดพนักงานบริษัทให้หลงเสน่ห์ไปหลายราย
ดวงตาคมของเจ้าชายพยักหน้ารับคำทักทายจากลูกน้องหลายคนก่อนจะเหลือบไปเห็นคนๆหนึ่งที่เคยเล่นมาด้วยกันพร้อมกับเขาและลู่หานตั้งแต่เด็ก แน่นอน...ตัวร้ายคนนั้นโตขึ้นเยอะมาก
“ไง ยัยหนูผีอลิซ ไม่เจอนาน”
“เหอะ บางที...ฉันก็ชื่ออี้ชิงนะ” อี้ชิงตอบกลับมาแล้วเบ้ปากใส่อี้ฟาน แถมยังมองหัวจรดเท้าแบบหยามเหยียด
“ยังร้ายเหมือนเดิมเลยนี่นะ”
“นายก็ยังทำท่าทางเป็นเจ้าชายเย็นชาเหมือนเดิม...ทั้งที่ไม่ใช่ จริงมั้ย? เป็นแค่คนบ้าชอบวาดรูป”
“หึ ฉันไม่ได้จะมาที่นี่เพื่อมาเถียงมาอะไรกับเธอหรอก ฉันมาทำงาน ไม่ได้มาท่องเที่ยวใน วอนเดอร์แลนด์”
อี้ชิงเบะปากมากกว่าเดิมไม่พูดอะไรต่อ เขารำคาญเพื่อนรักของลู่หานคนนี้มาก เพราะคนตัวสูงชอบรู้ทันแผนการของเขาตลอด แถมพวกเขาสองคนยังไม่เคยชอบขี้หน้ากันซักนิด นั่นคงเป็นเพราะอี้ฝานคงสัมผัสได้ถึงความไม่จริงใจของอี้ชิงที่แสดงออกละมั้ง
“กลุ่มของเรานำเสนอเรื่อง รอยยิ้มครับ ผมคิดว่ามันจะมีค่ามากและลูกค้าน่าจะประทับใจ”
เสียงที่เอ่ยขึ้นทำให้ทุกคนในบอร์ดบริหารยิ้มไปตามๆกัน ยิ่งเห็นรูปตัวอย่าง คือปาร์คชานยอลยิ้มกว้างกับเด็ก ยิ่งเห็นด้วยว่าโปรเจคที่นำเสนอนั้นทำมาดีมาก
“ฉันคิดว่าคอนเซปนายดูเด็กไป มันจะตีตลาดได้ไม่ทั้งหมด”
แบคฮยอนยืนอยู่หน้าโปรเจคเตอร์แล้วมองไปยังผู้บริหารผมทองที่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง แถมยังเขียนอะไรยุกยิกในกระดาษตลอดเวลา หน้าตาท่าทางจริงจังเอ่ยขึ้นมาตำหนิจนทำให้เลขารู้สึกขนลุกเกรียว แต่หากคนเป็นน้องก็ไม่ได้สนใจ แถมยังแค่นยิ้มออกมา
“ยังไงกลุ่มของผมก็เสนอโปรเจคนี้ให้เครืออู๋นะครับ ผมคงต้องถามความเห็นของคุณอี้ฝานคนเดียว ว่าชอบหรือเปล่า”
แปะ
เลขาหญิงเผลอปรบมือเสียงดังก่อนจะหลบตาลงเมื่อเห็นว่าลู่หานขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมามอง เธอชื่นชมแบคฮยอนมาก เพราะโปรเจคคอนเซปต์ทุกอย่างลงตัว แถมยังเป็นคนเดียวที่กล้าเถียงกับคุณลู่หานได้อย่างหนักแน่นและมั่นคง
“อืม ฉันชอบนะ แบบนี้ก็น่ารักดี”
และแน่นอนเจ้าชายยิ้มให้กับแบคฮยอน ซึ่งคนตัวเล็กก็ยิ้มกว้างตอบกลับไปเช่นกัน การประชุมผ่านไปด้วยความทุลักทุเลพอสมควร เพราะกลุ่มของแบคฮยอนไม่คุยกับลู่หานเลย แถมลู่หานก็เอาแต่นั่งนิ่งเฉย ขีดเขียนอะไรลงไปในเอกสารพร้อมกับทำเป็นไม่ได้สนใจซักนิด..
“เก่งมากเลยนะคะ คุณแบคฮยอนเป็นน้องชายของคุณลู่หานหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ เราสองคน....ไม่ได้ผูกพันกันทางสายเลือด”
คุณเลขาเอ่ยถามแบคฮยอนเมื่อทั้งสองคนเดินมาชงกาแฟด้วยกัน แบคฮยอนยิ้มให้ก่อนจะหลบตาลงแล้วมีสีหน้าที่เศร้าสร้อย เขาไม่รู้ตัวเลยว่า พี่ชายผมทองเดินผ่านมาทางนั้นพอดี ลู่หานจึงหยุดแอบฟังอยู่หลังเสา
“ผมแค่อยู่ที่บ้านคุณลู่หานชั่วคราวนะครับ คาดว่าอีกซักพักคงย้ายออก.”
“อ๋อ เป็นอย่างนี้เองหรอกหรอค่ะ ยังไงวันนี้คุณแบคฮยอนก็เก่งมากเลย เดี๋ยวดิฉันขอตัวซักครู่นะคะ เชิญคุณแบคฮยอนตามสบายเลยนะคะ”
แบคฮยอนพยักหน้าอ่อนให้เลขาสาวที่เดินออกไป ทิ้งให้แบคฮยอนคนโกโก้อยู่คนเดียว เขานึกไปถึงคนที่อยู่ในห้องประชุมเมื่อครู่ ถึงจะไม่อยากมองหน้า หากแต่ก็ค้นพบว่าตัวเองเหลือบไปมองใบหน้านั้นบ่อย แต่นั่นยิ่งทำให้แบคฮยอนไม่อยากเจอหน้าพี่ชายตัวเองเลยซักนิด
แน่นอน...ด้วยความที่เหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทำให้คนตัวเล็กเดินไปอย่างไม่ทันระวังว่าเขากำลังชนกับไหล่ของใครคนหนึ่ง
“อะโอ้ย “ โกโก้หกร้อนหกรดราดมือของตัวเอง ความร้อนทำให้แบคฮยอนต้องร้องออกมา
“ทำไมซุ่มซ่าม”
ไหล่หนาที่คนตัวเล็กเดินชน คือพี่เลี้ยงใจร้ายนั้นเอง ลู่หานจับมือนั้นไว้แล้วยกขึ้นมา เขาเผลอลืมตัวจะจับขึ้นมาดู หากแต่ก็ได้รับการสะบัดแบบไม่ใยดี
“อย่า....”
“อย่ามาแตะตัวผม”
แววตาโกรธเคือง และรังเกียจอย่างมากส่งมาจากแบคฮยอน
เพียงแค่วินาทีเดียวที่สายตาแบบนั้นมองมา ก็ทำให้คนเป็นพี่ชายใจแทบหล่นลงไปกับพื้น
ในตอนนี้....ลู่หานเข้าใจดีแล้วว่า ท่าทีที่เขาเคยทำเอาไว้กับน้อง น้องรู้สึกอย่างไร
“คุณลู่หาน ผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยครับ คุณลู่หานพอจะมีเวลาว่างไหม?”
เสียงเล็กเอ่ยขึ้นมาที่ห้องนั่งเล่นระหว่างที่ลู่หานกำลังอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา วันนี้ลู่หานรู้สึกเหนื่อยแปลกๆ อย่างไรก็ตาม เขาแสดงออกเพียงไม่เอ่ยอะไรออกมา คนใบหน้าคมพยักหน้าแล้ววางหนังสือลง เขาถอดแว่นสายตาออกแล้วเอ่ยถาม
“อืม นายมีอะไรละ”
“ผมเอาตุ๊กตาหมามาคืนให้นะครับ คิดว่าไม่จำเป็นแล้ว”
คนเป็นน้องชายเอ่ยขึ้น แบคฮยอนใช้เวลาในการคิดทบทวนตัวเองอยู่นาน ในที่สุด เขาก็ค้นพบแล้ว ว่าเขาเลือกที่จะตัดใจ เขาจะไม่รักพี่ชายอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเหนื่อยกับการร้องไห้เต็มที เขาไม่อยากใจอ่อนแล้ววิ่งกลับไปหาพี่ชายแบบเดิมอีกแล้ว ตุ๊กตาหมาถูกส่งคืนให้เจ้าของก่อนเสียงเล็กๆจะเอื้อนเอ่ยต่อ
“ส่วนเรื่องบ้านที่ทะเลสาบ ยังไงผมจะชดใช้เงินคืนให้แน่นอน เงินเก็บที่ผมทำงานพิเศษเอาไว้ผมจะเอาให้ทั้งหมด และผมจะขายรถเต่าทิ้งไปด้วย คิดว่าเงินรวมทั้งหมดน่าจะได้ประมาณ ห้าแสน ถ้าเหลืออีกกี่บาทคุณลู่หานก็หักเงินเดือนของผมไปทั้งหมดเลยนะครับ”
“ถ้าเรียนจบผมจะไปหางานทำแล้วจะส่งเงินเดือนมาให้คุณทุกเดือนจนครบ เราคงจะได้ไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”
“และสร้อยข้อมือเส้นนี้ ผมคืนให้แล้วนะครับ.”
“ผมว่ามันควรจะกลับคืนให้เจ้าของซักที”
ลู่ หาน ชะงักพร้อมกับลุกยืนขึ้นในทันที สร้อยข้อมือ เป็นสิ่งที่แบคฮยอน หวง และรักมันมาก พี่ชายยื่นมือหนาไปหวังจะเพียงจับมือของคนตัวเล็ก เขายังไม่ทันเอ่ยอะไร แต่เขาเพียงต้องสะดุดกับคำพูดของน้องชายซะก่อน
“อ้อ ลืมไป ถ้าเล่นกับหัวใจผมจนสนุกแล้วละก็...ช่วยคิดว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างผมกับคุณเลยแล้วกันนะครับ อย่างที่คุณลู่หานบอกนั้นแหละ คนอย่างผมไม่มีสิทธิ์คิดอะไรมากอยู่แล้ว ถ้าอนาคต ผมจะจูบหรือทำแบบนั้นกับใครคนอื่นอีกหลายคน คงจะไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณลู่หานอีกต่อไป จริงไหมครับ?”
“ผมคิดว่าตัวเองก็ชอบเหมือนกัน กับการที่เป็นคนร่านและอ่อยคนอื่น...คุณลู่หานเองก็น่าจะพอใจ...”
แบคฮยอนไม่ได้ขว้างสร้อยข้อมือของตัวเองทิ้งอย่างไม่ใยดี เขาเพียงแค่ปลดล็อคการพันธนาการนั้นด้วยด้วยเองก่อนจะปล่อยให้มันร่วงหล่นกับพื้นไปอย่างง่าย สร้อยข้อมือที่ไม่เคยถอดออกตลอดสิบปี มันสมควรที่จะหายไปจากข้อมือของเขาเสียที
คนเป็นน้องชายเดินเข้ามาลู่หานพร้อมกับทำแบบที่ลู่หานเคยทำเช่นเดียวกัน ริมฝีปากนั้น จรดไปยังแก้มของพี่ชายก่อนจะเอ่ย
"ลาก่อนนะครับ " และแล้ว..น้องชายก็เดินหันหลังจากไปอย่างไม่คิดจะหันหลังกลับมาอีกเลย...
พี่ชายใจร้ายคุกเข่าลงกับพื้นแล้วค่อยๆใช้มือหนาหยิบสร้อยข้อมือนั้นขึ้นมาแนบชิดกับอก ก่อนน้ำตาจะไหลแบบไม่รู้ตัว น้องไม่เคยถอดมันออกเลยมาตลอดสิบปี ในตอนนี้แบคฮยอนเลือกที่จะไม่สวมมันอีกต่อไปแล้ว
น้องทิ้งเขาไปแล้ว นี่หรือคือสิ่งที่ลู่หานคาดหวัง ?
เขาเข้าใจดี ว่าวันนี้มันคงมาถึง วันที่น้องรังเกียจ และขับไสไล่ส่งเขาอย่างไม่มีชิ้นดี แม้จะเตรียมใจรับผลกระทบต่อการกระทำของตัวเอง หากแต่พอรู้ว่าแบคฮยอนจะไม่มีวันรักเขาอีกต่อไป หัวใจของลู่หานก็แตกเป็นเสี่ยง เขาเจ็บจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อจากนี้ไป
เบื้องลึกภายในจิตใจ มันมีเศษเสี้ยวเล็กของความรู้สึกที่พร่ำบอกลู่หานอยู่อย่างนั้น...
ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเป็นแบบนี้แล้ว
อย่าทิ้งพี่ อย่าทิ้งพี่ไปเลยนะได้โปรด
หากแต่ทุกอย่างมันสายเกินไป
เพราะในวันนั้น วันที่มีถนนอยู่สองทางเลือก ลู่หานเลือกที่จะทิ้งแบคฮยอนไว้ข้างหลัง
ลู่หานเลือกที่จะทำให้น้องร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง น้ำตาของแบคฮยอนต้องเสียให้กับพี่เลี้ยงใจร้ายอย่างเขานับไม่ถ้วน
พี่น้องสองคนต่างน้ำตาไหลอยู่อย่างนั้น เพียงแต่พวกเขามองไม่เห็นกันและกัน ว่าต่างคนต่างเจ็บปวดแค่ไหน
ตลกดีนะ ทั้งๆ ที่เธอน่ะเจ็บปวด แต่ฉันกลับกลายเป็นคนที่ต้องการความช่วยเหลือ
เพราะเมื่อไม่มีแสงสว่าง มันกลับกลายเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกินที่จะรู้ว่าใครกำลังทรมาณ
“คุณลู่หานคะ ไปรษณีย์มาถึงแล้วนะคะ”
แม่นมยื่นโปสการ์ดสองใบมาให้ลู่หานในวันที่แบคฮยอนออกไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ลู่หานรู้สึกผิดที่เขาต้องเปิดอ่านก่อน แต่ถึงอย่างไร พวกเขาสองคนก็ไม่มีสิทธิ์อ่านมันด้วยกันอีกแล้ว ตัวอักษรเล็กที่เป็นระเบียบปรากฏอยู่บนโปสการ์ดเทศกาลรูปดอกไม้ไฟที่เราสองคนไปเที่ยวด้วยกัน
ผมเขียนไม่เก่ง แต่ผมอยากจะบอกว่า ที่ผ่านมา ผมคิดถึงพี่มากที่สุดในโลก
ผมรักพี่ที่สุดในโลก
ขอบคุณนะครับ
ถ้าไม่มีพี่..ผมคงไม่มีแรงกำลังใจอยู่บนโลกนี้ต่อไปแล้ว
เสี่ยวลู่คือคนสำคัญ และเขาคนนั้นจะสำคัญตลอดไป
-พยอน แบคฮยอน-
ความคิดเห็น