ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในดวงใจนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.13K
      2
      24 ต.ค. 56

                   ในขณะที่บนโต๊ะอาหารสำหรับแขก VIP คุณหญิงศรีแก้วก็พร่ำชมบุตรีกับพลตรีเลิศฤทธิ์ผู้เป็นสามีอย่างไม่ขาดปาก
                   "ดูสิค่ะคุณพี่ ยัยน้องกับผู้พันพร้อมดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกเลย คุณพี่ว่าไม๊ค่ะ
                   "ค่อยๆ หน่อยคุณหญิง อย่าให้มันออกนอกหน้ามากนัก เดี๋ยวเค้าก็จะหาว่าเราอยากจะจับลูกสาวใส่พานทองประเคนให้ผู้พันหรอก"
                    "อ้าว ก็จริงนี่ค่ะ ถ้าจับยัยน้องใส่พานทองประเคนได้ น้องก็ทำไปนานแล้วหล่ะค่ะ" คุณหญิงกล่าวโต้ตอบกับสามี ในขณะที่พลตรีเลิศฤทธิ์ได้แต่โคลงศีรษะกับอาการของผู้เป็นภรรยา ในขณะที่โต๊ะอาหารอีกด้าน คุณหญิงพิมพ์ดาวก็ได้ชื่นชมบุตรชายกับว่าที่สะใภ้เช่นเดียวกัน
                    "คุณพี่ค่ะ น้องว่าจบงานนี้แล้วคงต้องหาเวลาสักวัน ไปคุยทาบทามเจรจาสู่ขอหนูน้องให้กับตาพร้อมแล้วหล่ะค่ะ คุณพี่ดูลูกเรากับหนูน้องสิค่ะ ช่างเหมาะสมกันจริงๆ"
                     "เดี๋ยวก่อนคุณหญิง คุณหญิงจะไม่ถามความสมัครใจของลูกก่อนเหรอ" พลเอกพิทักษ์กล่าวทักท้วงภรรยา
                     "โอ๊ย ไม่ต้องถามแล้วหล่ะค่ะ ถามทีไรก็ไม่มีคำตอบให้ แล้วอีกอย่างตอนนี้คนที่เหมาะสมกับตาพร้อมมากที่สุดก็คือหนูน้องนี่หล่ะค่ะ"
                    
    "ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่นะคุณหญิง" นายพลพิทักษ์ได้แต่กล่าวเตือนภรรยา ราวกับจะรู้ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ในอนาคต

                     ท้องฟ้าในกรุงเทพคืนนี้ ดูสว่างไสวกว่าทุกวัน อาจจะเพราะวันนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ งานในห้องจัดเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปหลังจากจบแฟชั่นโชว์ชุดพิเศษ รายการต่อไปก็ดูเหมือนจะเป็นกำหนดการที่มักจะมีอยู่ในงานเลี้ยงทุกงานเสมอ ซึ่งก็คือการร้องเพลงเพื่อหารายได้สมทบทุนการกุศล บรรดาคุณหญิงคุณนายหลายคนต่างขอคิวขึ้นร้องเพลงเพื่อโชว์ความสามารถ ซึ่งก็มีทั้งประเภทที่ร้องไพเราะจับใจไปจนถึงประเภทต้องขอให้เลิกร้อง เมื่อเห็นว่าภายในงานเรียบร้อยดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง อีกทั้งนวดี เพื่อนสาวตัวจี๊ดซึ่งมีธุระด่วนก็ขอตัวกลับไปแล้ว พราวตะวันจึงถือโอกาสปลีกตัวออกมายืนสูดอากาศบริสุทธิ์ และชมท้องฟ้ายามราตรีของเมืองกรุงบริเวณสระว่ายน้ำซึ่งอยู่ทางปลีกขวาของห้องจัดเลี้ยง
                    ภาพหญิงสาวที่ยืนอยู่ริมสระว่ายน้ำ จ้องมองดวงดาวที่พร่างพราวบนท้องฟ้า ราวกับจะอธิษฐานขออะไรสักอย่าง สะกดให้ชายหนุ่มซึ่งกำลังจะเดินกลับเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยงต้องชะงักฝีเท้า และยืนมองหญิงสาวราวกับต้องมนตร์สะกด พราวตะวันในวันนี้ดูไม่เหมือนกับเด็กหญิงพราวตะวันคนเดิมที่ชายหนุ่มเคยรู้จัก จากเด็กหญิงตัวเล็กที่ติดจะขี้อาย และพูดน้อยในวันวาน บัดนี้เด็กหญิงคนนั้นกลับกลายเป็นหญิงสาวที่ดูมีความมั่นใจในตัวเอง พูดจาไพเราะฉะฉานเป็นแบบฉบับของผู้หญิงยุคใหม่ในปัจจุบัน อาจเป็นเพราะความสูญเสียที่เกิดขึ้นในอดีต อีกทั้งได้รับการอบรมเลี้ยงดูด้วยความรักจากผู้เป็นลุง และป้า จึงหล่อหลอมให้กลายเป็นเธอในวันนี้
                     สายลมเย็นยามค่ำคืนในฤดูหนาวพัดผ่านเข้ามาจนทำให้คนตัวเล็กที่เฝ้ามองดวงดาวได้แต่ห่อตัว และยกมือขึ้นโอบกอดตัวเองเอาไว้ ถ้าเป็นเครื่องแต่งกายปกติ หญิงสาวคงไม่มีอาการเช่นนี้ แต่ด้วยฝีมือของผู้เป็นเพื่อนรักจึงกลายเป็นว่าหล่อนต้องมายืนโต้ลมหนาวชมดาวไปพร้อมๆกัน 
                     
    "เป็นเพราะแกคนเดียวเลย ยัยออม ทำให้ระดับความสุนทรีในการดูดาวของฉันลดลงไปเกือบครึ่ง" พราวตะวันได้แต่นึกบริภาษเพื่อนสาวอยู่ในใจ  แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องอุทานออกมาเมื่อพบว่ามีเสื้อสูทตัวหนาคลุมลงมาบนไหล่บาง
                     "เห็นยืนดูดาวตัวสั่นเชียว หนาวหล่ะสิ" น้ำเสียงแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ไม่ต้องหันไปมองก็พอรู้จะว่าเป็นใคร พันตรีพร้อมพิทักษ์ถอดเสื้อสูทตัวหนา และคลุมให้หญิงสาวตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า พราวตะวันจึงทำท่าจะถอดเสื้อคืน
                      "ไม่ได้ร้องขอความช่วยเหลือซักหน่อย"
                      "ก็เป็นคนจิตใจดี เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ก็อยากจะช่วยเหลือ" ชายหนุ่มเริ่มพูดจาเย้าแหย่คนตัวเล็กข้างหน้า เขามีความสุขทุกครั้งเมื่อได้พูดจาต่อปากต่อคำกับเธอ
                      "ผู้พัน มันจะมากไปแล้วนะ"
                      "โอเค โอเค ผมผิด ที่แส่หาเรื่อง"ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กตรงหน้าเริ่มอารมณ์ไม่ดี
                     
    "ฉันว่าผู้พันกลับเข้าห้องไปดีกว่าไม๊ค่ะ ดูท่าทางแล้วอีกซักพัก คนของผู้พันคงมาตาม" หญิงสาวเริ่มเหน็บแนม เพราะไม่อยากมีเรื่องกับหญิงสาวอีกคนที่มักจะแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของชายหนุ่มตรงหน้าเสมอ และอีกอย่างหญิงสาวก็ไม่นิยมยุ่งเกี่ยวกับคนที่มีเจ้าของแล้ว ถึงแม้จะเป็นข่าวลือหรือข่าวจริงก็ตาม 
                        "ผมยังไม่ได้เป็นคนของใคร และยังไม่คิดจะมีใครมาเป็นของตัวเอง" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง กับคนตัวเล็กตรงหน้า ไม่รู้เป็นเพราะอะไรกับผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ เขาจึงไม่อยากให้หล่อนเข้าใจผิด
                        "ก็ใครจะไปทราบล่ะค่ะ ก็ทุกครั้งที่เจอ ผู้พันก็มักจะมีเจ้าของมาตามอยู่เสมอ"
                        "ผมไม่ใช้สัตว์เลี้ยงของใครนะพราวตะวัน" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้ม พลางสาวเท้าเข้าใกล้หญิงสาวด้วยท่าทางคุกคาม เมื่อเห็นท่าทีของคนตรงหน้าด้วยความตกใจจึงทำให้หญิงสาวถอยไปด้านหลัง แต่เป็นเพราะรองเท้าส้นสูงที่ไม่ค่อยจะได้สวมใส่เป็นประจำ ทำให้หญิงสาวเสียจังหวะสะดุดจะล้ม
                        "อุ๊ย" หญิงสาวได้แต่อุทานออกมา และเมื่อเห็นอากัปกิริยาของคนตรงหน้า ด้วยสัญชาตญานที่ถูกฝึกมาอย่างดีชายหนุ่มจึงเอื้อมมือไปดึงแขนเรียวของหญิงสาวไว้ ก่อนที่จะตวัดร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนเพื่อช่วยพยุงไม่ให้ล้ม และคอยจนหญิงสาวพยุงตัวได้ และก่อนที่กำลังจะคลายมือจากร่างบาง ราวกับมีมนต์สะกดจากดวงจันทร์บนท้องฟ้า ด้วยความใกล้ชิด และกลิ่นหอมอ่อนๆจากร่างบางตรงหน้า เมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความสงสัย ชายหนุ่มก็ไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป จากความตั้งใจเดิมที่จะปล่อยร่างบาง ชายหนุ่มกลับค่อยๆโน้มใบหน้าลงเข้าหาใบหน้าของคนตัวเล็ก แล้วฝ่ามืออุ่นหนาก็ถือโอกาสสัมผัสแผ่นหลังเปลือยเปล่าของคนตัวเล็กเช่นเดียวกัน ในขณะที่หญิงสาวได้แต่มึนงง และสงสัยกับอาการของคนตัวโตตรงหน้าแต่เมื่อรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง หญิงสาวซึ่งไม่ได้ไร้เดียงพอที่จะไม่รู้ว่าผู้พันหนุ่มกำลังจะถือโอกาสหาเศษหาเลยกับเธอ ในเบื้องแรกหญิงสาวจึงได้แต่โอนอ่อนผ่อนตาม และเมื่อไม่มีแรงต้านจากคนในอ้อมแขนยิ่งทำให้ชายหนุ่มย่ามใจ เผลอลูบไล้แผ่นหลังเปลือยหนักมือยิ่งขึ้น แต่ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะสัมผัสริมฝีปากบาง ชายหนุ่มก็ต้องร้องออกมา เมื่อริมฝีปากบางเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นใบหูของชายหนุ่มแทน
                       "โอ๊ย" มนต์สะกดจากดวงจันทร์หายวับไปกับตาทันที ก็จะๆไม่ให้ชายหนุ่มร้องออกได้อย่างไรในเมื่อคนตัวเล็กในอ้อมแขนใช้ปากงับเข้าที่ใบหูด้านซ้ายของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง
                       "ปล่อยหูผมเดี๋ยวนี้เลยนะพราว ผมเจ็บ" ชายหนุ่มเอ่ยพลางดันร่างคนตัวเล็กออกจากอ้อมแขน และเมื่อแก้เผ็ดชายหนุ่มตรงหน้าจนพอใจ หญิงสาวจึงถอยออกมาพลางเอ่ยขึ้นว่า
                        "สมน้ำหน้า นึกจะรังแกฉันเหรอ รู้จักพราวตะวันน้อยไป" หญิงสาวท้าวสะเอวจ้องหน้าชายหนุ่ม และกล่าวต่อไปว่า
                        "ฉันขอบอกให้ผู้พันรู้ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงไม่ใช้เพศที่จะมารังแกกันได้ง่ายๆ จำเอาไว้"
                        "จำไว้แน่ ผมจะไม่ยอมโดนกัดหูฟรีเหมือนกัน" ชายหนุ่มโต้ตอบ แถมยังรู้สึกเสียเชิงที่มาโดนคนตัวเล็กตรงหน้าหยามเข้าให้อีก หลังจากนั้นหญิงสาวก็ถอดเสื้อสูทตัวหนาออกจากร่าง และยัดใส่มือผู้เป็น      เจ้าของ              
                        "และขอบคุณในความหวังดีนะค่ะ"  หญิงสาวเอ่ยพลางเดินจากไป ปล่อยให้เจ้าของเสื้อสูทยืนงงกับการกระทำของตัวเอง นั่นสิแล้วเขาจะไปตอแยหญิงสาวจนทำให้เกิดเรื่องทำไม พันตรีหนุ่มก็ยังคงไม่มีคำตอบให้ตัวเองอีกตามเคย

    ---------------------------------------------------------------------------

                        บริเวณล็อบบี้ชั้นล่างของห้องจัดเลี้ยง หลังจากเก็บภาพ และได้เนื้อหาที่จะนำไปเขียนข่าวในวันพรุ่งนี้แล้ว แพรแก้วก็มานั่งตรวจสอบความเรียบร้อยของภาพถ่ายเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าไม่ผิดพลาด
                        "ทานอะไรรึยังลูก" เสียงทักทายดังขึ้นเหนือศีรษะ และเพราะมัวแต่ตรวจสอบความเรียบร้อยของงานจนมองไม่เห็นว่าบัดนี้พลตรีเลิศฤทธิ์ บิดาบังเกิดเกล้าได้มายืนอยู่ตรงหน้า
                        "พ่อเห็นหนู ตั้งแต่หนูเดินเข้ามาในงานแล้ว ใจคอจะไม่มาทักทายพ่อเลยเหรอ" พลตรีเลิศฤทธิ์เอ่ยกับบุตรี น้ำเสียงยังเจือไปด้วยความน้อยใจ และตัดพ้อ
                        "สวัสดีค่ะ" หญิงสาวประนมมือไหว้ทำความเคารพบิดา
                        "หนูเห็นท่านกำลังยุ่ง เลยไม่อยากรบกวน" หญิงสาวกล่าวตอบ แพรแก้วไม่เคยใช้สรรพนามเรียกพลตรีเลิศฤทธิ์ว่า"พ่อ" เลยสักครั้ง ถึงแม้คุณแพรไหมจะพยายามพร่ำบอก แต่หญิงสาวก็สมัครใจที่จะเรียกบิดาว่า"ท่าน" ซึ่งสร้างความเสียใจและน้อยใจให้กับพลตรีเลิศฤทธิ์เสมอมา หญิงสาวยังคงหาเหตุผลมาตอบตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดจึงไม่สามารถเรียกพลตรีเลิศฤทธิ์ได้ว่าพ่ออย่างสนิทใจ ในวัยเด็ก ถึงแม้มารดาจะตัดขาดความสัมพันธ์การเป็นสามีภรรยาจากบิดา แต่ท่านก็ยังพร่ำสอนหล่อนให้รู้จักกตัญญูรู้คุณ และเคารพผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้า เพราะท่านพูดเสมอว่าสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกยังไงก็ไม่มีวันตัดขาด ไม่เคยเลยซักครั้งที่แพรแก้วจะได้ยินมารดาเอ่ยถึงบิดาในทางเสื่อมเสีย
                          "แล้วหนูทานอะไรรึยัง พ่อเห็นแต่หนูทำงาน เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ"
                          "ขอบพระคุณค่ะ แต่หนูสบายดี"
                          "อ้าว คุณพี่มาอยู่ตรงนี้เอง น้องตามหาเสียแทบแย่ กลับกันเถอะค่ะ" น้ำเสียง และการพูดจาแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากคุณหญิงศรีแก้ว ภรรยาของบิดา
                           "คุณหญิงไปรอที่รถก่อนเถอะ เดี๋ยวผมตามไป"
                           "ทำไมต้องให้น้องไปรอที่รถก่อนล่ะค่ะ ไหนๆก็จะกลับแล้ว ไปซะด้วยกันเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา" คุณหญิงเอ่ยพลางปลายสายตาไปยังแพรแก้ว ประดุจจะให้อีกฝ่ายรู้ว่าหล่อนเสียเวลาเพราะใคร หล่อนเห็นสามีเดินมาทักทายบุตรีนอกสมรสตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ยังไม่อยากเข้ามาขัดจังหวะ แต่เมื่อเห็นว่าสามีมีท่าทางอาลัยอาวรณ์บุตรสาวอีกคน จึงรีบเดินเข้ามาขัดจังหวะ
                            "เชิญท่านเถอะค่ะ อย่ามาเสียเวลากับคนอย่างดิฉันเลย" แพรแก้วกล่าวออกไปด้วยความน้อยใจ
                            "ทำไมหนูพูดแบบนั้นหล่ะลูก การมาคุยกับหนูไม่ใช่เป็นการเสียเวลาเลยนะ สำหรับพ่อมันมีค่ามากกว่าอะไรทั้งหมด" พลตรีเลิศฤทธิ์เอ่ยกับบุตรสาว
                            "โอ๊ยจะมาพร่ำพรรณนาอะไรกันค่ะ ไปกันเถอะค่ะ" ว่าแล้วคุณหญิงศรีแก้วก็ดึงพลตรีเลิศฤทธิ์ออกไปจากล๊อบบี้ด้วยท่าทางที่รำคาญ
                           อีกแล้วสินะ เหตุการณ์แบบนี้ทำไมจะต้องมาเกิดกับหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หล่อนไม่เคยชอบการที่จะต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวใหม่ของบิดา ไม่ว่าจะเป็นทั้งคุณหญิงศรีแก้ว หรือว่าพรรณฤดี น้องสาวร่วมบิดาอีกคนของหล่อน เพราะทั้งสองคนมักจะมองหล่อนกับมารดาเหมือนตัวอะไรซักอย่างที่ต้องการมาเกาะพลตรีเลิศฤทธิ์ บ่อยครั้งที่แพรแก้วมักจะบอกมารดาอยู่เสมอเมื่อบิดาให้พลทหารรับใช้นำสิ่งของต่างๆมาให้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอุปโภค หรือบริโภค แม้กระทั่งค่าเล่าเรียนของหล่อน
     
                          
    "อย่าไปรับของของเค้าเลยค่ะแม่ เราสองคนไม่ต้องรับของของใครเราก็อยู่กันได้" และมารดามักจะตอบหล่อนว่า
                           "แต่มันเป็นสิทธิที่หนูควรจะได้"
                           "แต่หนูไม่อยากได้นี่ค่ะ"แพรแก้วก็จะตอบมารดาไปแบบนี้ และทุกครั้งมารดาก็มักจะจบการสนทนาด้วยประโยคที่ว่า
                           "หนูจะปฏิเสธไม่รับสิ่งของ หรืออะไรก็ตามที่คุณพ่อส่งมาให้ก็ได้ แต่แม่อยากบอกให้หนูรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า หนูจะไม่มีวันปฎิเสธความเป็นตัวตนของหนูได้ เพราะยังไงในตัวหนูก็มีความเป็นสุริเยนอยู่ครึ่งหนึ่ง
                           หญิงสาวได้แต่ซบหน้าลงกับฝ่ามือ ราวกับจะเพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง หล่อนเหนื่อยเหลือเกิน เมื่อไหร่นะเหตุการณ์แย่ๆพวกนี้จะจบลงเสียที
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×