ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในดวงใจนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 8

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.09K
      2
      24 ต.ค. 56

    ������������������� บัดนี้หน้าเวทีเต็มไปด้วยผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนจำนวนมากจากหลายสำนักข่าวที่ มารอทำข่าวงานนี้รวมทั้ง แพรแก้ว สุริเยน นักข่าวสาวไฟแรงจากสำนักพิมพ์ชื่อดัง แพรแก้วเป็นสาวห้าวร่างเล็ก หน้าตาจัดว่าเข้าขั้นสวยถึงสวยมาก เนื่องจากเป็นสาวร่างเล็ก ด้วยความสูงไม่ถึงมาตรฐานหญิงไทย เมื่อใครเห็นๆหล่อน จึงคิดว่าหล่อนเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา ประกอบใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์ ทั้งๆที่ความจริงหล่อนมีอายุ 27 ปีแล้ว วันนี้หล่อนแต่งกายด้วยชุดเอี๊ยมสียีนส์ ใบหน้ารูปไข่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางเพียงบางเบา ทำให้ดูเหมือนเด็กสาวแรกรุ่น ผมยาวสลวยถูกรวบเป็นหางม้าไว้ทางด้านหลังเพื่อความสะดวกในการทำงาน
    �������������������
    วันนี้หญิงสาวต้องทำหน้าที่เป็นทั้งผู้สื่อข่าว และช่างภาพไปพร้อมๆกัน ทำให้รอบตัวหล่อนเต็มไปด้วยอุปกรณ์ในการทำข่าวมากมาย โดยปกติแล้วสายงานของหญิงสาวเป็นสายงานข่าวทางกองทัพ แต่ด้วยนักข่าวรุ่นน้องที่รับผิดชอบงานข่าวสังคมด้านนี้โดยตรงไม่สบาย บก
    .จึงไหว้วานให้เธอมาแทนหญิงสาวไม่ชอบการทำข่าวสังคมมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากเหตุผลส่วนตัวบางประการ และโดยเฉพาะงานนี้ งานที่ต้องเผชิญหน้ากับบิดาบังเกิดเกล้า ยิ่งทำให้เธอรู้สึกลำบากใจ แต่ด้วยภาระหน้าที่ซึ่งมารดาคอยสั่งสอน และปลูกฝังตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เธอจำต้องแยกเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกัน
    ������������������� แท้ที่จริงแล้วแพรแก้วก็คือบุตรีนอกสมรสระหว่างพลตรีเลิศฤทธิ์ กับคุณแพรไหม อดีตข้าราชการครูในโรงเรียนประจำอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยร้อยโทเลิศฤทธิ์ในขณะนั้นได้ย้ายไปช่วยราชการในตัวอำเภอ และมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับคุณแพรไหม ต่อมาได้คบหาดูใจกันจนถึงขั้นมีความสัมพันธ์กันและทำให้คุณแพรไหมตั้งท้องในที่สุด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ร้อยโทเลิศฤทธิ์จะมาแต่งงานกับคุณหญิงศรีแก้ว
    ในขณะนั้นทางครอบครัวฝ่ายบิดาร้อยโทเลิศฤทธิ์ต้องการสะใภ้ที่มาส่งเสริมความก้าวหน้าในชีวิตราชการของบุตรชาย จึงได้ตัดสินใจส่งคนไปเจรจากับคุณแพรไหม พร้อมกับมอบเงินให้จำนวนหนึ่ง และยื่นข้อเสนอให้คุณแพรไหมเลิกยุ่งเกี่ยวกับร้อยโทเลิศฤทธิ์อีกต่อไป จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้คุณแพรไหมใจแข็งพอที่จะตัดร้อยโทเลิศฤทธิ์ออกจากชีวิต และไม่รับเงินที่ทางครอบครัวฝ่ายชายมอบให้ ทั้งๆที่ตั้งท้องได้เพียง 3 เดือน และหลังจากนั้นอีก 6 เดือนคุณแพรไหมก็ให้กำเนิดเด็กหญิงหน้าตารักน่าชัง และตั้งชื่อให้ว่า แพรแก้ว โดยชื่อพยางค์แรกเพื่อให้คล้องกับชื่อจริงของเธอและชื่อพยางค์ที่สองคือคำว่า "แก้ว" เพื่อให้รู้ว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นแก้วตาดวงใจ

    ��������������� "โอ๊ย" เสียงร้องดังขึ้นจากทางเบื้องหลังแพรแก้ว ทำให้หญิงสาวต้องหันกลับไปมอง ก็พบว่า บัดนี้รองเท้าผ้าใบคู่เก่งของเธอได้ขึ้นไปวางนิ่งสนิทอยู่บนรองเท้าหนังสีดำมันวาวของชายหนุ่มร่างใหญ่ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือหล่อนไปเหยียบเท้าชาวบ้านนั่นเอง เมื่อประเมินด้วยสายตาแล้ว ราคาของรองเท้าคงจะสูงไม่เบา แถมกระเป๋าเป้ใบโตที่สะพายมายังไปกระแทกถูกเจ้าของเสียงร้องดังกล่าวด้วย ก็จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อหล่อนมีปัญหาเรื่องส่วนสูงมาตั้งแต่เด็กๆ หล่อนมักจะตัวเล็กที่สุดในชั้นเสมอและพอโตมาความสูงก็ยังมาหยุดที่ 158 เซนติเมตรอีก แล้วงานนี้สำนักข่าวของหล่อนก็ถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งเกือบด้านหลังสุด หล่อนก็มองไม่เห็นหน่ะสิ กระโดดกระย่องกระแย่งไปมาเลยพลอยให้เหยียบเท้าคนข้างหลังเข้า
    ��������������� "ขอโทษค่ะ" หญิงสาวยกมือไหว้ขอโทษเจ้าของรองเท้าราคาแพง
    ��������������� "ไม่เป็นไร ยกโทษให้แต่คราวหลังก็ระวังหน่อยแล้วกัน"
    ���������������� "ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันมองไม่เห็นเลยต้องกระโดดไปกระโดดมา พอดีวันนี้ไม่ได้เอาเก้าอี้ที่เป็นอุปกรณ์เสริมมาด้วย เลยทำให้คุณต้องพลอยเจ็บตัว"�
    ���������������� "นั่นสิ ผมว่าคุณกระโดดไปกระโดดมาดูแล้วเหมือนตัวประหลาดดี" พันตรีธงไทยเริ่มวิจารณ์อากัปกิริยาของนักข่าวสาวตรงหน้า ชายหนุ่มถูกคุณหญิงพิมพ์ดาว มารดาของพันตรีพร้อมพิทักษ์วานให้มาเก็บภาพบุตรชาย และว่าที่สะใภ้ แล้วตำแหน่งที่ชายหนุ่มมายืนก็ตรงกับนักข่าวสาวร่างเล็กตรงหน้าพอดี ชายหนุ่มยืนอยู่ด้านหลังคนตัวเล็กที่ชะเง้อชะแง้ไปยังหน้าเวที หลายครั้งที่กระเป๋าเป้ใบโตของหล่อนฟาดเข้ากับแผงอกของเขาอย่างจัง ชายหนุ่มพยายามสะกิดเตือนเพื่อให้หญิงสาวรู้สึกตัวอยู่หลายครั้ง แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่สนใจ ชายหนุ่มจึงได้ปล่อยเลยตามเลย จนกระทั่งหญิงสาวถอยเข้ามาเหยียบเท้าของเขาเข้าอย่างจัง
    ������������������
    "อีตานี้เป็นใคร มาว่าหล่อนเป็นตัวประหลาด" เมื่อเห็นกิริยาเริ่มไม่พอใจของหญิงสาว พันตรีธงไทยจึงเอ่ยขอโทษออกมา เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะพูดเกินเลย แต่การได้ต่อปากต่อคำกับนักข่าวตัวเล็กตรงหน้าคนนี้ทำให้เค้ารู้สึกอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
    ������������������ "เออ เอาเป็นว่าผมขอโทษล่ะกันที่ว่าคุณเป็นตัวประหลาด"
    ������������������ "ถูกต้องแล้วค่ะที่คุณขอโทษฉัน เพราะนั่นเป็นวิสัยที่ดีของสุภาพบุรุษ" หญิงสาวรับคำขอโทษ แถมยังเหน็บแนมให้ชายหนุ่มได้ออกอาการเจ็บๆคันๆอีกด้วย แต่แล้วบทสนทนาก็มีอันสะดุดลงเมื่อพิธีกรบนเวทีประกาศไฮไลท์ของงานการแสดงเดินแบบของนายแบบและนางแบบกิตติมศักดิ์ในคืนนี้
    ������������������� "สำหรับแฟชั่นโชว์ชุดต่อไป เราได้รับเกียรติจากสุภาพบุรุษในฝันของสาวๆหลายคน งานในค่ำคืนนี้จะไม่มีสีสันหากขาดสุภาพบุรุษท่านนี้ค่ะ ขอเสียงปรบมือต้อนรับ พันตรีพร้อมพิทักษ์ รัชตการค่ะ"เมื่อสิ้นเสียงประกาศของพิธีกรบนเวที ไฟบนเวทีก็ดับลง สปอร์ตไลต์ทุกดวงส่องไปยังทางออกกลางเวที เสียงดนตรีจากวงออร์เคสตร้าชั้นนำของประเทศบรรเลงเพลงประกอบ แล้วบุคคลที่ทุกคนรอคอยก็ก้าวออกมาจากด้านหลังเวที ชายหนุ่มก้าวออกมาด้วยความมั่นใจ และท่าทางที่สง่างาม เมื่อชายหนุ่มเดินมาสุดปลายทางแคตวอร์ค แสงเแฟลชจากกล้องหลายสิบตัวก็สว่างขึ้นจนทำให้ห้องจัดเลี้ยงสว่างไสวไปทั้งงาน และก่อนที่พิธีกรจะประกาศต่อไปว่า
    ������������������� "ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านค่ะ และสุภาพสตรีที่จะปรากฏตัวต่อสายตาทุกท่านต่อไปนี้ เป็นบุตรีพลตรีเลิศฤทธิ์กับคุณหญิงศรีแก้ว แม่งานคนสำคัญของค่ำคืนนี้ คุณพรรณฤดี สุริเยนค่ะ" เมื่อสิ้นเสียงพิธีกรประกาศ หญิงสาวก็ก้าวออกมาในชุดราตรีสุดหรูที่สั่งตัดเป็นพิเศษสำหรับงานนี้ โดยมีพันตรีพร้อมพิทักษ์ เดินเข้าไปรับ ชายหนุ่มส่งมือให้หญิงสาวและเดินเคียงคู่กันออกมา โดยหญิงสาวเป็นฝ่ายคล้องแขนฝ่ายชายพร้อมกับก้าวเดินออกมาอย่างช้าๆ ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันราวกับเจ้าชาย และเจ้าหญิง แสงแฟลชจากกล้องทุกตัวรัวเข้าใส่คู่นายแบบ และนางแบบตรงหน้า ทุกสำนักข่าวต่างต้องการภาพจากงานครั้งนี้ แล้วยังเนื้อข่าวที่จะต้องตีพิมพ์อีก รับรองงานคืนนี้จะต้องเป็นข่าวใหญ่ในหน้าสังคมของวันพรุ่งนี้แน่นอน
    ��������������������� "ยังกับงานแต่งงาน แกว่าไม๊ยัยพราว" นวดีเอ่ยขึ้นขณะที่ยืนคุยอยู่กับพราวตะวัน
    ��������������������� "อืม" หญิงสาวเพียงแต่รับคำสั้นๆ โดยไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
    ����������������������
    "อ้าว แกจะไม่แสดงความคิดเห็นหน่อยเหรอ"
    ��������������������� "ไม่หล่ะ ไม่ใช่เรื่องของเรา ใครจะแต่งกับใครก็ช่างเขาเถอะ" พราวตะวันเอ่ยในขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่เวที และไม่รู้ว่าหล่อนตาฝาดรึเปล่า เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่บนเวทีส่งสายตาจ้องมองมาทางหล่อน หากพราวตะวันรู้ว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ หล่อนก็คงคิดไม่ผิด เพราะชายหนุ่มบนเวทีพยายามส่งสายตามายังหญิงสาวจริงๆ หลายครั้งที่พันตรีพร้อมพิทักษ์พยายามกระพริบตาสู้แสงแฟลชเพื่อมองหาคนตัวเล็กว่าอยู่ตรง ณ จุดใดของงาน และที่สำคัญอยู่กับใคร เมื่อเห็นว่าอยู่กับนวดีก็ค่อยเบาใจขึ้น อย่างน้อยก็ไม่มีใครมาทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดและรำคาญใจ

    ���������������������� ในบรรยากาศเดียวกัน ตรงบริเวณหน้าเวที แพรแก้วใช้ความพยายามอย่างหนักในการเก็บภาพคู่ของนายแบบและนางแบบบนเวที ขณะเดียวกับที่พันตรีธงไทยรู้สึกถึงความลำบากของหญิงสาว จึงแย่งกล้องออกมาจากมือเล็ก ก่อนที่จะรัวกดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพให้นักข่าวสาว
    �������������������� "เฮ้ย คุณ" แพรแก้วได้แต่เพียงอุทานเมื่อกล้องในมือถูกแย่งไป แต่ด้วยความสูงของชายหนุ่มทำให้ต้องปล่อยเลยตามเลย เพราะถ้าจะให้หล่อนไปปีนแย่งกล้องกลับคืนมาก็คงดูไม่ดีเท่าไรนัก ดีเหมือนกันมีคนช่วย ถ้าเพียงลำพังรูปที่หล่อนถ่ายออกมา อาจจะเต็มไปด้วยภาพของแผ่นหลัง หรือไม่ก็ศีรษะของนักข่าวจากสำนักอื่นเป็นแน่ และเมื่อคิดว่าได้ภาพถ่ายที่น่าพอใจ ชายหนุ่มจึงยื่นกล้องคืนหญิงสาว พร้อมทั้งกล่าวว่า
    �������������������� "คุณไปเลือกดูเอาก็แล้วกัน คิดว่ารูปที่ถ่ายไปน่าจะพอใช้ได้ และคิดว่าน่าจะดีกว่ารูปที่คุณถ่ายเอง" นั่นไง เหน็บแนมหล่อนเข้าอีกจนได้ ก็ในเมื่อความสูงของหล่อนมันไม่เอื้ออำนวย แถมตัวช่วยก็ไม่ได้เอามา มันก็ต้องเข้าอีหรอบนี้ตามเคย หลายครั้งที่แพรแก้วมักจะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนการทำงานเสมอ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มันฉุกระหุก ก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย ได้แค่ไหนก็แค่นั้น
    �������������������� "ขอบคุณค่ะ" หญิงสาวกล่าวพลางรับกล้องคืนจากชายหนุ่ม และเมื่อตรวจสอบดูรูปที่ชายหนุ่มถ่ายให้ ก็พบว่าฝีมือการถ่ายภาพของเขา เข้าขั้นใช้ได้ทีเดียว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×