จะหาคนอย่างเธอได้ที่ไหน? - จะหาคนอย่างเธอได้ที่ไหน? นิยาย จะหาคนอย่างเธอได้ที่ไหน? : Dek-D.com - Writer

    จะหาคนอย่างเธอได้ที่ไหน?

    ในตอนนี้ถ้าผมจะสำนึกผิด แล้วบอกขอโทษเป็นพันๆ ครั้ง บอกรักสักกี่พันครั้งมันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป เพราะเธอย่างก้าวออกจากชีวิตของผมไปแล้ว....ผมยอมรับ ผมมันโง่ ทรนงตัวเอง ผยองในความเป็นตัวเอง อ๊ากกกกกกกกกกกกก อยากตะโกนให้ดังก้องฟ้าถ้าเธอจะให้อภัย ผมขอ

    ผู้เข้าชมรวม

    113

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    113

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 พ.ย. 57 / 18:39 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    จะหาคนอย่างเธอได้ที่ไหน?

                       ในตอนนี้ถ้าผมจะสำนึกผิด แล้วบอกขอโทษเป็นพันๆ ครั้ง บอกรักสักกี่พันครั้งมันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป เพราะเธอย่างก้าวออกจากชีวิตของผมไปแล้ว....ผมยอมรับ ผมมันโง่ ทรนงตัวเอง ผยองในความเป็นตัวเอง อ๊ากกกกกกกกกกกกก อยากตะโกนให้ดังก้องฟ้าถ้าเธอจะให้อภัย ผมขอโทษ ถึงจะพูดจะบอกออกไปอย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะทุกคำเหล่านั้นมันไม่มีใครรับฟัง ในนาทีนี้ผมขอใช้หัวใจทั้งดวงเพื่อคิดถึงเธอ รู้สึกผิดมากมายกับความรู้สึกที่เรามองว่าเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ แต่สำหรับเธอมันยิ่งใหญ่มันเป็นปัญหาใหญ่ เรื่องใหญ่ที่เรามองข้ามมองว่ามันไม่เป็นเรื่อง ถึงตอนนี้เราคิดได้หาจุดบอดนี้ได้แต่มันสายเกินไป สายเกินที่เธอจะกลับเข้าในอ้อมกอดนี้อีกแล้ว สายเกินไปไหมที่ผมจะใช้หัวใจมองให้เห็นคุณค่าของเธออีกสักครั้ง จะทันไหมเธอ....อยากให้เธอกลับ...มา...จริงๆ

                       ถึงผมจะคร่ำครวญอย่างไรก็ไม่บังเกิดผลอะไรเลย นึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้วยิ่งเศร้าหนักไปอีก “ชล ว่างมั้ยเราอยากชวนไปหาไรกินตอนเย็นๆ” เสียงวสาดังมาตามเสียง “เอิ่ม ชลมีงานด่วนคงเสร็จไม่ทันอ่ะ วันหลังแล้วกันนะ” วสาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบกลับมา “ไม่เป็นไรวันหลังก็ได้ เราจะรอนะ ถ้าว่างก็บอกเราด้วย” ผมก็ยังคงเฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร ไม่นึกรู้ด้วยซ้ำว่าเธอน้อยใจมั้ย เสียความรู้สึกมั้ย เธอจะรอผมมั้ย  ถ้าวันนั้นผมสละเวลาพูดกับเธอมากกว่านี้ แบ่งเวลาให้มากกว่านี้เรื่องราวทั้งหมดคงไม่เป็นแบบนี้ทั้งหมดนี้โทษใครไม่ได้เลย ผมต้องโทษตัวเองที่โง่เอง บ้าเอง ยิ่งไปกว่านั้นผมลืมไปเลยว่ารับปากอะไรไว้กับวสา “ชล จำได้มั้ยวันนี้ชลสัญญาอะไรไว้” ผมทำหน้างงกับวสา “ชลลืมแน่ๆ เลยใช่มั้ย ไม่เป็นไรค่ะ ชลสัญญาว่าจะพาวสาไปทานข้าวตอนที่ว่างไงค่ะ” ดูสิ่งที่ผมทำกับเธอสิ “อ้อ ขอโทษนะ ชลลืมเสียสนิทงานมันเยอะไปหน่อย อีกอย่างชลอยากสร้างหลักปักฐานให้ดี เพื่อวสานะ” วสายิ้มรับน้อยๆ “ค่ะ แต่ชลก็ต้องพักผ่อนบ้างนะ สนใจวสาด้วย” ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมาขำท่าทางของเธอ “เอาน่า.....อดทนกับชลหน่อยนะ ทานข้าวคนเดียวบ้างคงไม่เป็นไร” คำพูดเหล่านั้นทิ่มแทงจิตใจของวสามากมายแค่ไหน นับวันความห่างไกลยิ่งทวีออกไปทุกที ทุกที จนบางครั้งแทบไม่มีเสียงของวสาเข้ามาในโสตประสาทหูของผมเลยทีเดียว ผมยังคงไม่รู้อะไรยังคงเฮฮากับงานและงาน “ทำไมช่วงนี้ไม่โทหาชลเลย วสา”วสาหน้านิ่งๆ แต่คำตอบเสียดแทงที่ใจผมเหลือเกิน “วสา ไม่อยากรบกวนเวลาทำงานของชลน่ะ”

    ผมสะอึกกับคำตอบ “อืม วสาต้องเข้าใจนะ ชลมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ” วสามองหน้าผมอย่างน้อยใจเต็มที่ น้ำตาเอ่อคลอเบ้า “ถ้างั้น ชลก็อยู่กับงาน อยู่กับสิ่งที่ชลรักมากมายละกัน วสาก็จะอยู่ในส่วนของวสา ชลทำงาน ชลไปเที่ยวกับเพื่อน ชลมีเวลา แต่กับวสา ชลบอกว่า ไม่ว่างทำงาน ดีเนาะรักงานรักเพื่อนจัง” ผมพยายามอธิบายแต่ทุกอย่างเหมือนยิ่งแย่ “ชลว่า วสาพาลแล้วนะ เอาไว้อารมณ์ดีๆ แล้วค่อยคุยกันดีกว่า” ผมตัดบทเพราะไม่อยากทะเลาะแต่เหมือนโหมกระพือให้ไฟลุกโชนขึ้นไปอีก “พอเหอะชล วสาจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว วสาคิดว่าเราควรจะจบกันเพียงแค่นี้จะดีกว่า วสาไม่อยากที่ต้องรอและรอตลอดเวลา รอโดยไม่มีจุดหมาย รอโดยที่อีกฝ่ายเขาไม่ได้ใส่ใจกับการที่ต้องรอของอีกคนเลย” ผมอึ้งกับคำพูดนั้น เหมือนถูกฆ้อนทุบที่หัวอย่างแรงกับทุกคำพูดที่วสาระเบิดออกมา “วสาๆ มันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นนะ วสาพูดแบบนี้วสาไม่เข้าใจชลเลยนะ ชลทำงานชลมีสังคม” ผมยังคงพยายามต่อ “ใช่ชลมีสังคม ชลมีงาน แต่ชลไม่เคยมีวสา ชล! วสาเป็นคนนะไม่ตุ๊กตาที่จะนั่งนิ่งไม่รู้สึกรู้สากับการกระทำของชล” ผมหน้าชา มึนงง ตกลงผมผิดใช่มั้ยผมถามตัวเอง “วสา ทำไมวสาไม่เข้าใจในสิ่งที่ชลทำเลย ชลทำเพื่อเรานะ” วสาปาดน้ำตา “ชลอย่าพูดคำนี้ดีกว่า ในขณะที่วสาพยายามที่จะเข้าใกล้ แต่ชลกับถอยห่างวสาออกไปมากกว่า ฉะนั้นเราควรถอยคนละก้าวดีมั้ย เผื่อว่าอะไรๆ จะดีขึ้น ถ้าไม่ดีขึ้นเราก็เลิกกันไปเลยก็ได้นะ วสายอมเจ็บตอนนี้เลยดีกว่า” ใจของผมตอนนี้ยังดึงดันรั้นว่าตนเองถูกต้อง “งั้นชลคงดึง วสาไม่ได้ซินะ” ผมพูดไม่ทันจบวสาก็ก้าวออกไปจากตรงนั้นทันที ผมได้แต่ทุบกำปั้นลงกับเสาอย่างโมโห “โธ่!!! เว้ยอะไรนักหนาว่ะเนี่ย” ผมสบถออกมาอย่างถือดี ไม่รู้ตัวสักนิดว่าทำร้ายจิตใจวสาแค่ไหน ลำพองในความคิดของตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง วสายืนนิ่งในมุมมืดมองมาที่ผมแล้วปาดน้ำตาพยายามนึกถึงสิ่งดีงามที่เคยทำร่วมกันยิ่งทำให้วสาบ่น้ำตาแตกเหมือนทำนบพังก็ไม่ปาน วสาพยายามเข้าใจแต่ทำไมผมกลับยิ่งทำตัวเหินห่างออกไป วสาให้ผมมีเวลาได้อยู่กับตัวเองจากอาทิตย์เป็นเดือน ที่ไม่มีเสียง ไม่มีไลน์ ไม่สัญญาณใดๆ เข้ามาเลยวสาเงียบหายราวกับเราไม่รู้จักกันเลย ผมอดรนทนไม่ไหวจึงโทไปหา แต่วสาก็ไม่รับสายไปหาเธอก็ไม่อยู่ “วสาคุณไปไหน” ผมได้แต่กระวนกระวายใจนี่วสาจะทิ้งเราจริงๆ หรือ ไม่นะ วสาทำแบบนั้นไม่ได้นะ ผมพยายามและพยายามแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ความเศร้าเข้าครอบงำความเงียบเหงาเข้ามาเป็นเพื่อนโดยมิได้นัดหมาย จะมองไปทางไหนเห็นเงาของเธออยู่เต็มไปหมด ผมเฝ้าครุ่นคิดและทบทวนให้เวลากับตัวเอง....วสาเงียบหายไป ผมพยายามติดต่อแต่วสาใจแข็งเหลือเกิน ผมอยากบอกว่า “ชลขอโทษ ชลเข้าใจในสิ่งที่วสาพยายามจะบอกแล้ว เรากลับมาเหมือนเดิมเถอะนะ” ผมพยายามไปในที่ๆ เราชอบไปแต่ไร้วี่แวว ถ้าวันนั้นผมฟังเธอบ้างมีสติไตร่ตรองให้มากกว่านี้เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น “วสา ชล ขอโทษ ให้โอกาสชลอีกสักครั้งได้ไหม” น้ำตาลูกผู้เริ่มหลั่งไหลเมื่อนึกมาถึงจุดนี้

                       “น้องชล เป็นอะไรทำไมหมู่นี้ดูเศร้าๆ วสาสบายดีมั้ย” พี่กล้วยเป็นพี่สาวที่ใจดีคนนึงที่ทำงาน “ตามประสาคนหนุ่มครับพี่ วสาสบายดีครับแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร” พี่กล้วยทำหน้าฉงนแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากเนื่องจากเป็นคนนอก แต่ผมซิเจ็บแปลบขึ้นมาในอกทันทีเหมือนเป็นปมเป็นแผลอยู่ในใจ พอโดนอะไรสะกิดนิดหน่อยก็หวาดผวาเจ็บลึกเหมือนถูกตอกหมุดย้ำลงไป วันนี้ผมต้องขับรถผ่านร้านที่เราเคยนั่งทานอาหารด้วยกัน กินขนมด้วยกันมันยิ่งตอกและย้ำกับความคิดของผม ผมจอดรถลงเดินทอดน่องเข้าไปในร้านช้าๆ เดินไปยังมุมที่เราเคยนั่งสั่งอาหารด้วยกันอย่างเลื่อนลอย เด็กเสิร์ฟนำเมนูมายื่นส่งให้ผมรับมาด้วยอาการ งงๆ ผมเปิดเมนูอ่านแต่ไม่สั่งอะไรเลยเพราะยิ่งเห็นรายการอาหารที่เราเคยกินด้วยกันมันยิ่งเศร้า ผมเลยสั่งอะไรที่ง่ายๆ นั่งเขี่ยอาหารในจานไปมา ยิ่งนึกยิ่งเจ็บยิ่งคิดก็ยิ่งจุกสุดท้ายผมจึงวางตังค์ไว้บนโต๊ะแล้วลุกเดินออกไปเฉยๆโดยที่ไม่ได้แตะอะไรเลย

                       วันเวลาช่วยอะไรได้เยอะจริงๆ ทำให้ความคิดกระจ่างจิตก็ได้ ช่วยซ่อมแซมความรู้สึกที่แตกดับไปก็ได้ ช่วยรักษาสภาพจิตใจของคนก็ได้ ในส่วนของผมคงจะเป็นอย่างแรกเพราะไอ้เจ้าเวลามันช่วยให้ผมกระจ่างในความคิดทางด้านจิตใจเป็นอย่างมากมาย จากที่เคยทะนงตัวเองบัดนี้เหมือนดั่งคนที่ไร้ซึ่งความผยองความทรนงได้หมดสิ้นไปแล้ว มองเห็นความผิดพลาดที่เคยกระทำ ทุกครั้งที่สบตา ทุกครั้งที่รู้สึก ผมรู้ดีกว่าใครว่าตัวเองรู้สึกดีเหลือเกินกับวสา คนเราเมื่อคิดที่จะคู่กันต้องรู้จัก 3 ข้อนี้ คือ หนึ่ง ขอโทษจะผิดหรือไม่ก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยทำและไม่เคยคิดจะทำ สอง ไม่เป็นไร และอภัยเสมอเพราะเราต้องมีความหนักแน่นให้แก่กัน สาม ขอบคุณ ขอบใจ เมื่อเราได้รับพลังจากจิตใจของอีกฝ่าย ทั้งหมดนี้ผมไม่เคยทำเลย แล้วคนสองคนจะลงเอยด้วยดีได้อย่างไร ถ้าหากยังคงทิฐิใส่กัน เฮ้อ!!!! คงเหมือนผมในตอนนี้ที่รู้สึกผิดในตอนที่สายไป หรือเกือบสายไปนะ ผมอยากขอถ้าผมยังมีโอกาสขอ ขอให้มันยังมีโอกาสที่จะเอ่ยคำขอโทษอย่างจริงใจนี้ด้วยเถอะ

                       เช้าวันใหม่ในตอนสายๆ แดดทอแสงสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ผมปรือตามองแสงที่สาดส่องเข้ามา สะบัดความขี้เกียจเบาๆ เช้านี้สดใสที่สุดเพราะเป็นวันที่ผมจะเลือกไปง้อคนที่ผมรักสุดใจ ก่อนที่จะลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวรีบอาบน้ำให้ไวที่สุดผมจะไม่ทิ้งโอกาสที่เหลือน้อยเต็มที่ของผมอีกแล้ว ผมใช้เวลาไม่นานก็มายืนอยู่ที่หน้าของวสา คนที่ผมรักหมดหัวใจ ผมกดกริ่งหน้าบ้านเบาๆ ไม่นานประตูบ้านก็เปิดออกมา หญิงสาวรูปร่างบอบบางผมยาวปะบ่าเดินออกมาจากบ้านพร้อมถาดอาหารสำหรับใส่บาตรยามเช้า “มาทำไมหรอ ชล” ผมยิ้มบางๆ ก่อนที่จะเข้าไปช่วยเธอจักเรียงอาหารสำหรับใส่บาตร “ชล คิดถึงอยากขอโทษ” วสาทำหน้าอึ้งๆ “งั้นก็มาตักบาตรด้วยกันก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกัน โน่นพระมาแล้ว” เราสองคนช่วยกันตักบาตรจนครบทุกรูป “สบายดีมั้ย ชล” วสาถามพร้อมกับยกของเข้าบ้าน “ชล ช่วยนะ ไม่สบายเลย คิดถึงวสา ชลเข้าใจวสาแล้ว และพร้อมที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ถ้าวสายังต้องการผู้ชายที่บ้างานและคิดเองคนเดียวอย่าง ชล” วสามองหน้าผมอย่าช่างใจ “ชล คนเราเปลี่ยนตัวเองกันได้ง่ายๆ ที่ไหน แต่พูดเพื่อให้ได้ประโยชน์ตามที่ตนต้องการนั้นง่ายกว่านะ” ผมเริ่มใจไม่ดีกับคำตอบนั้น “วสาๆ ฟังชลนะ ชลเข้าใจแล้วว่าคนเราจะทำงานและคิดไปเองคนเดียวไม่ได้ ต้องมีเวลาต้องเข้าใจยอมรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกันด้วย” วสายิ้มบางๆ ให้ผม มันทำให้ใจของผมชื้นขึ้นมาเป็นกองเลยเชียว “วสาจะให้โอกาสชลอีกครั้งก็ได้ แต่ชลต้องสัญญาว่าจะฟังเหตุผลของวสาบ้าง ไม่บ้างานจนเกินไปนะค่ะ” เมื่อได้ยินคำนี้ผมอยากจะกระโดดให้ตัวลอยนักเชียว “วสา ชลดีใจเป็นที่สุด ชลขอบคุณวสามากนะ ที่ให้โอกาสชล ขอบคุณมากครับ” วสาขำเบาๆ “งั้น ทานอาหารเช้ากับวสาก็แล้วกัน” ผมรีบตกลงทันที “ครับๆ” เช้านี้เป็นเช้าที่ผมมีความสุขที่สุดในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา “วันนี้ชลให้เวลา วสาทั้งวันเลยครับจะใช้ทำอะไร ชลจะเป็นลูกมือให้ครับ” วสาพยักหน้ารับ “จริงนะ งั้นวันนี้ชลต้องเป็นสารถีพาวสาเที่ยว 1 วันนะค่ะ” ผมกับวสาหัวเราะพร้อมกันอย่างมีความสุข ความสุขของผมกลับมาอีกครั้งเพราะผมลดทิฐิ และให้เวลากับตัวเองเพื่อค้นพบความจริงที่เราทุกคนเอง ก็ควรที่จะทำแบบผมหากคุณคิดว่าคุณไม่ผิด นั่นแหระคุณคิดผิด คุณลองมองย้อนกลับให้เวลาช่วยพิสูจน์แล้วจะพบว่า ที่ผมพูดนั้นเป็นจริงทุกคำ ความรักก็เหมือนกันถ้าจะมองให้มันยุ่งยากมันก็ยากและยุ่งเหยิงสารพัดปัญหา แต่ถ้ามองให้เรียบง่ายสวยงามค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปก็จะพบกับความสุขอย่างมากมายมีความอบอุ่นในใจมีพลังในการที่จะฟันฝ่าอุปสรรคอย่างประหลาด นี่แหระที่เรียกว่า

    อานุภาพ แห่งความรัก  สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนอย่างผมยอมเชื่ออีกอย่างคือ ความรักเพียงอย่างเดียวนั้นคงยังไม่พอ หากต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน การอภัยและการยอมรับซึ่งกันและกันไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หากเราไม่ใจกว้างและยอมรับสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าคู่รักคู่ไหนก็ย่อมที่จะก้าวไปด้วยกันนั้นยากแน่ๆ นี่คือสิ่งที่ผมค้นพบ

                       “ชล รอนานมั้ยค่ะ หิวหรือยัง” นั่นไงคนที่ผมเปิดใจให้กว้างยอมในสิ่งที่เธอเป็นได้ทุกอย่างมาแล้ว “ไม่นานครับ หิวนิดหน่อยนะ วันนี้วสาอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ยครับ” วสายิ้มละไม “งั้น วสาขอเป็นสเต๊กนะ สเต๊กปลาอยากทานมานานแหระ ร้านประจำดีมั้ยค่ะ ไม่ได้ไปนานแล้ว” ผมพยักรับ “งั้นตกลงตามนี้ ร้านสเต๊กที่เราไปกันประจำ วันนี้ให้วสาทั้งวันเลยครับ ” วสาหัวเราะเสียงใส ผมชอบมากเลยยามที่เธอหัวเราะ ผมมีความรู้สึกว่าโลกทั้งโลกมันสดใส สว่างไสวขึ้นมาทันที ผมจ้องหน้าเธอครู่ใหญ่จนเธอเอียงคอมองอย่างสงสัย “อะไรติดหน้า วสาหรา จ้องใหญ่เชียว” “เปล่าจ๊ะ แค่จะมองแล้วซึบซับเก็บความน่ารักของวสาเอาไว้ในใจนานๆ” วสาตีที่แขนเบาๆ “ไปๆ ไปกันเถอะ เลอะเทอะใหญ่แล้ว” วสาดันหลังให้ผมเดินเบาๆ ผมหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข

                       ท่ามกลางความสุขที่หวนกลับมาอีกครั้ง ผมสัมผัสได้ว่ามันช่าง หอมหวาน อบอวลไปด้วยความสุขที่เต็มเปี่ยมและมีพลังแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลย ทุกอย่างผสมผสานกันอย่างลงตัว เหมือนกับว่าความสุขได้ลอยวนอยู่รอบๆ ตัวผม ครั้งนี้เหมือนเป็นบทเรียนและตัวอย่างที่มีค่ามากมายนัก มันยิ่งทำให้ผมเรียนรู้และเข้าใจการที่ดำเนินความรักของผมไปต่ออย่างไร ถึงจะมีปัญหาน้อยที่สุดหรือแทบจะไม่มีปัญหาเลย แล้วคุณๆ ล่ะครับมีความคิดอย่างไรกับการดำเนินความรัก มีแง่คิดอย่างไรแชร์กันได้นะครับ ผมยินดีที่จะรับฟังและนำมาปรับใช้กับชีวิตคู่ของผมเสมอ สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่า เมื่อเราพบคนที่ใช่ ก็ควรที่จะรักษามันเอาไว้ให้ดีที่สุดนะครับ เพราะถ้าเสียเขาไปแล้วยากครับที่จะประสานให้กลับคืนมาดังเดิม ขอบคุณทุกคนที่สละเวลาอ่านเรื่องราวความรักในแบบฉบับของผม “ชล รัตนกาล” และผมก็คิดว่าผมคงจะหาใครที่เป็นแบบเธอไม่ได้อีกแล้ว!!!!!

    ชล รัตนกาล และผมก็คิดว่าผมคงจะหาใครที่เป็นแบบเธอไม่ได้อีกแล้ว!!!!!
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×