[REBORN !]...ฟิกสั้นๆ...
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะกับการที่มีหมอนั่นอยู่ด้วยมันกลายเป็นเรื่องปกติไป... ฟิกสั้นๆ (ที่ไม่ค่อยสั้นสักเท่าไหร่) เขียนขึ้นมาด้วยความบ้า + แรงฮึดชั่วขณะ...อ่านๆไปเถอะอย่าคิดมาก
ผู้เข้าชมรวม
1,416
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
REBORN !
: ฟิกสั้นๆ (ที่ไม่ค่อยสั้นสักเท่าไหร่) เขียนขึ้นมาด้วยความบ้า + แรงฮึดชั่วขณะแท้ๆ เหตุเพราะจู่ๆเพื่อนมันก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุย คุยกันไปคุยกันมาความเห็นเริ่มที่จะไม่ลงรอยกันดื้อๆ ก็เลยเอามาระบายกับฟิกซะงั้น = =^
: ฟิกนี้เหมาะสำหรับคนที่อ่านเรื่อง REBORN ! แล้วสามารถจดจำลักษณะของตัวละครในเรื่องได้โดยไม่งง (เพราะในเรื่องเราจะไม่ออกชื่อตัวละครเลย ให้ไปคิดกันเอาเองว่าใครเป็นใครมั่ง ^.^)
: เหตุการณ์ภายในฟิกเป็นช่วงหลังจากปะทะกับเด็กโกคุโยแล้ว แต่ยังไม่ปะทะกับพวกวอริเออร์ ดังนั้นเราจะไม่เขียนให้เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องจริงแต่อย่างใด(ฉะนั้นถึงเราจะชอบเบลแค่ไหนเราก็จะไม่ให้ออก กระซิก กระซิก)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะกับการที่มีหมอนั่นอยู่ด้วยมันกลายเป็นเรื่องปกติไป...
“ฮะ ฮะ ฮะ”
ทุกๆเช้าๆของผมมันมักจะจะเริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงๆนี้ ก่อนที่ ‘หมอนั่น’ ที่เป็นเจ้าของเสียงจะโผล่หน้ามาในคลองสายตาพร้อมๆกับกล่าวคำทักทาย
“โอ๊ส! นายนี่ตื่นเช้าดีนะ”
ผมไม่รู้ว่ามันเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอรู้ตัวทุกๆเช้าหมอนั่นมักจะโผล่มาแถวๆบ้านของผมเสมอ ทั้งๆที่บ้านของมันไม่ได้อยู่แถวๆนี้เลยสักนิด
ทุกเช้า ทุกเช้า ไม่ว่าจะเป็นวันธรรมดา วันหยุดราชการ หรือกระทั่งวันหยุดนักขัตฤกษ์ก็ตามที หมอนั่นมักจะเป็นคนแรกที่ผมจะได้เจอในแต่ละวันเสมอ
ไปโรงเรียนก็ไปกับหมอนั่น เรียนรึก็เรียนห้องเดียวกัน กลางวันก็นั่งกินข้าวด้วยกัน แม้แต่ตอนกลับบ้านก็ยังไม่วายต้องกลับด้วยกันอีก ทั้งๆที่บ้านของผมกับหมอนั่นอยู่คนล่ะทางกันเลยแท้ๆ
พอผมเล่าเรื่องนี้ให้ ‘ท่านผู้นั้น’ ฟัง ท่านก็ยิ้มแห้งๆไม่พูดอะไร จนกระทั่งโดนผมตื้อมากๆเข้า ท่านก็ถามออกมาประโยคหนึ่ง
“แล้วนายรู้สึกรำคาญเขาบ้างหรือเปล่าล่ะ?”
แค่ประโยคเดียว ประโยคเดียวจริงๆที่ทำให้หัวของผมว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกไปเสียเฉยๆ ก่อนที่ปากจะตอบไปตามความเคยชิน
“ระ..เรื่องนั้น..มันก็แน่นอนอยู่แล้วล่ะครับ..!!”
ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้แน่นอนที่ว่า มันหมายถึงอะไร...รำคาญแน่นอน...หรือ...อย่างอื่น...ผมไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ
“ขอโทษที ฉันไม่นึกว่าจะทำให้นายรำคาญขนาดนั้น” เสียงๆหนึ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินในเวลาแบบนี้ดังขึ้นจากด้านหลัง ผมสะดุ้งโหยงสุดตัวก่อนหันไปมองที่ด้านหลัง...หมอนั่นยืนอยู่ตรงนั้น...มองผมด้วยสายตาที่ผมไม่เข้าใจ เพียงครู่เดียว..ก่อนที่หมอนั่นจะยิ้มเหมือนปกติ
ซึ่ง...ผมไม่ชอบเลย...
“ฉันมาตามพวกนายน่ะ หมดพักเที่ยงแล้วนะ..ไปกันเถอะ” พูดจบหมอนั่นก็หมุนตัวหันกลังเดินจากไป แต่ก่อนที่จะไปนั่นหมอนั่นหันกลับมา และขอโทษผมอีกครั้ง...
เสียงของหมอนั่นสั่น...สั่นอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนตั้งแต่รู้จักกันมา...
“เอ๊ะ!! เดี๋ยวสิรอฉันด้วย” ท่านผู้นั้นร้องไล่หลังหมอนั่น ก่อนหันกลับมาทางผม “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าในตอนนี้นายรู้สึกยังไง แต่ว่า...ในฐานะเพื่อน ฉันขอแนะนำนะว่านายควรที่จะถามใจตัวเองให้ดีๆจะดีกว่า แค่นี้แหล่ะ” แล้วท่านก็หมุนตัวออกวิ่งไปตามระเบียง
ในตอนนั้นภายในหัวของผมมีแต่เสียงของหมอนั่นดังกลับไปกลับมา ภาพของหมอนั่นที่มองตรงมาที่ผมในเสี้ยววินาทีที่ผมหันกลับไปมอง ก่อนจะซ้อนทับขึ้นมาด้วยคำพูดสุดท้ายของท่านผู้นั้น
“..นายควรที่จะถามใจตัวเองให้ดีๆจะดีกว่า...”
ตลอดช่วงบ่ายนั้นผมก็คลุกตัวอยู่แต่ในห้องพยาบาล ผมไม่สนหรอกว่าทำแบบนี้(โดดเรียน)มันถูกหรือเปล่า เพียงแต่ในตอนนี้ผมกำลังสับสน อยากจะระบายกับใครสักคน และคนๆแรกที่ผมนึกออกก็ทำให้ผมแล่นตรงมาที่นี่
พอผมเล่าจบ...ให้ตาย ปฏิกิริยาไม่ต่างจากท่านผู้นั้นเลย ไม่สิ...อาจจะหนักกว่าหน่อยๆเสียดัวยซ้ำ ผมว่าผมก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ทำไมต้องมีปฏิกิริยาแบบนี้กันด้วยล่ะ..?
ไม่มีคำแนะนำใดต่างไปจากที่ท่านผู้นั้นให้ผมมา คือให้ถามใจตัวเอง อาจจะมากกว่าหน่อยตรงที่คราวนี้บอกให้เร็วๆด้วย อย่าทิ้งให้ค้างคานาน เดี๋ยวจะลำบาก
มันหมายความว่าไงนะ...ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย...?
แล้วผมก็กลับบ้าน...นานแล้วนะที่ไม่ได้เดินกลับคนเดียวแบบนี้ ทุกทีจะมีหมอนั่นอยู่ด้วยแท้ๆ อ๊ะ!ไม่ได้ๆ อย่าไปคิดสิ อย่าคิดๆ...ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลก ไม่ดีเลย ไม่ชอบ...ความรู้สึกแบบนี้เอาซะเลย...
ผมก็เลยระบายความเครียดลงกับเจ้าพวกจิ๊กโก๋แถวๆนั้นซะเลย ว้า~แค่ระเบิดลูกสองลูกก็ไม่ลุกกันซะแล้ว เซ็ง....
ไม่ได้พอมือเลย...
วันถัดมา...บอกตรงๆว่าไม่อยากไปโรงเรียนเลย อ่ะๆไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจหรอกนะ เพียงแต่ยังรู้สึกว่าเข้าหน้าหมอนั่นไม่ติดเท่านั้นเอง..
ผมเดินลากขาอย่างเสียอารมณ์สุดๆ ก่อนใครบางคนจะตบบ่าผมจากด้านหลัง ต้องเป็นหมอนั่นแน่ๆ...ผมคิดแบบนั้น แต่ก็เปล่า...
“มีธุระอะไรเจ้าหัวสนามหญ้า”
“ฮ่า อย่าอารมณ์บูดนักสิเจ้าหัวปลาหมึก ว่าแต่..นายนี่ตื่นเช้าดีนะ!”
ฉึก...
เจ้าหัวสนามหญ้าบ้ามวยพูดประโยคเดียวกับหมอนนั่นเป๊ะๆเลยอ่ะ แล้วใครวะหัวปลาหมึกที่ว่า...
“เป็นอะไรไปฮึ! สนใจปรึกษาปล่าว?” เจ้านั่นถามเหมือนจะสนใจจริงๆ ผมก็เลย...เล่าให้ฟัง แล้วคุณรู้อะไรมั๊ย เจ้านั่นให้คำแนะนำเหมือนอีกสองคนแด๊ะเลย! พอผมบอกไปแบบนั้น เจ้านั่นก็ร้องจ๊ากดังลั่น
“ก็~ไป~ง้อ~เค้า~ซี~ย้~า!!!!!!!”
เอ่อ...ไม่ใช่เจ้าหรอกนะที่พูด แต่เป็นอีกคนที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“แล้วหล่อนมาเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยห๊ะ!!”
“เกี่ยวซียะ!! นั่นน่ะเพื่อนฉันทั้งคนนี่!” ว่าไม่ว่าเปล่า เจ้าหล่อนทั้งผลักทั้งยันให้ไป “ไปซะ ไปไป๊! ง้อไม่ได้ก็เอาหัวมุดรูไปเลย แล้วก็ขอโทษเค้าซะด้วย!!!”
และแล้วเช้านั้นผมก็ไปโรงเรียนด้วยอารมณ์แบบที่เห็น...= =*
ผมทำอะไรผิดเหรอ..? แล้วทำไมต้องขอโทษด้วยล่ะ...?
การเรียนในวันนั้นน่าเบื่อเป็นบ้า แถมยังน่าอึดอัดสุดๆอีกต่างหาก
หมอนั่น...ไม่หันมามองทางผมเลย....
กลางวันก็หายตัวไปเฉยๆ ท่านผู้นั้นบอกกับผมว่าหมอนั่นมีธุระที่ชมรมช่วงนี้ก็เลยยุ่งๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าหมอนั่นกำลังหลบหน้าผมมากกว่า ก็ที่แล้วๆมาผมไม่ยักกะเห็นหมอนั่นโผล่หัวไปที่ชมรมเลยนี่นา...อยู่ข้างๆผมตลอดเลย...
และแล้ววันนั้นผมก็ต้องกลับบ้านคนเดียวอีกครั้ง.....
วันถัดมา...ถัดมา...ถัดมา...และถัดมา....
สุดท้ายผมก็ยังไม่ได้พูดกับหมอนั่นสักคำ...ขนาดหน้าผมหมอนั่นยังไม่มองเลยด้วยซ้ำ
หมอนั่นคงจะเกลียดผมแล้วจริงๆ....
ในตอนนั้นเองผมก็เริ่มคิดถึงข้อเสนอที่ยัยจอมจุ้นนั่นพูดขึ้นมาจริงๆจังๆเป็นครั้งแรก...ขอโทษ...คำที่ผมไม่เคยคิดที่จะพูดกับหมอนั่นมาก่อน และเป็นคำที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องพูด...
ผมตั้งใจว่าในวันนี้ผมจะต้องพูดคำๆนี้ให้ได้....
แต่แล้ว....
“วันนี้เขาไม่มาหรอก..” ประโยคเดียวที่ผ่าเปรี้ยงเข้ากลางใจ ไหนเค้าว่าคนบ้าไม่เป็นหวัดไงล่ะ...หรือหมอนั่นจะเป็นอะไรไป....
“อย่าคิดอะไรร้ายๆเชียว” เสียงของท่านผู้นั้นดังขึ้นอีกครั้ง “..ก็แค่เป็นหวัดเท่านั้นเอง”
“เป็นหวัด! ไหนว่าคนบ้าจะไม่เป็นหวัดไงครับ!” อ่ะ...เผลอพูดความในใจไปซะได้
“อย่าพูดแบบนั้นน่า...เย็นนี้ถ้าว่างก็แวะไปเยี่ยมเค้าหน่อยละกัน คิดซะว่าไปแทนฉันก็ได้นะ วันนี้เจ้านั่นมันจะให้ฉันฝึกพิเศษน่ะ ไม่ว่างไปเลย” ท่านบอกอย่างไม่ค่อยจะชอบใจนัก รู้สึกพักหลังๆนี่โดนฝึกพิเศษบ่อยน่าดูเลยนะครับท่าน...= =*
ผมไม่ค่อยแน่ใจกับเหตุการณ์หลังจากนั้นสักเท่าไหร่ แต่รู้ตัวอีกทีสองขามันก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านๆหนึ่งซะแล้ว ร้านขายซูชิ...บ้านของ..หมอนั่น...
ประตูร้านปิดสนิท ป้ายหยุดบริการแปะหราอยู่กลางประตูร้าน....
ผมละล้าละลังอยู่พักใหญ่ ก่อนที่คุณลุงคนหนึ่งจะหันมาเห็นผมเข้า คุณลุงคนนั้นโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างชั้นสองของร้าน เหมือนว่าเขาจะจำหน้าผมได้ก็เลยควักมือเรียกให้ผมเข้าไปในร้าน....
“มาเยี่ยมลูกชายลุงเหรอเจ้าหนุ่ม” ลุงทักด้วยท่าทางเป็นกันเอง เนื่องจากจำได้ว่าเป็นเพื่อนของลูกชายตน ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าของคุณลุงคนนี้มีส่วนคล้ายหมอนั้นอยู่มาก...ไม่สิ หมอนั่นต่างหากที่เป็นฝ่ายคล้ายคุณลุงคนนี้ “พอดีเลย! ลุงมีธุระพอดี ช่วยเฝ้าบ้านให้ลุงหน่อยสิ”
“เอ๊ะ!”
“ฝากลูกชายลุงด้วยนะเจ้าหนุ่ม”
“อ่า...ครับ..” ทำไมผมถึงตอบรับออกไปแบบนั้นนะ แต่ว่าตอนที่คุณลุงเขาออกปากว่าฝากด้วยนะ มันชวนให้รู้สึกแปลกๆเหมือนมันจะมีความหมายอะไรสักอย่างแฝงอยู่ด้วยยังไงก็ไม่รู้สิ
เพราะงั้นเลยเผลอตอบรับออกไป...
คุณลุงเดินหัวเราะ ฮะ ฮะ ออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังจะหนีเจ้าหนี้ แป๊บเดียวก็หายตัวแว้บไปซะแล้ว
ความรู้สึกไม่ถูกชะตา คือสิ่งแรกที่เกิดขึ้นในตอนที่เจอหน้าเป็นครั้งแรก ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากพูดคุย...แต่ว่า ในเวลานี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้น...
ถึงจะเจอหน้าก็ไม่ได้รู้สึกอยากจะหนีห่าง...
พอหมอนั่นพูดออกมาก็อดไม่ได้ที่จะพูดตอบออกไป...
ทำไมนะ...?
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...?
ผ้าชุบน้ำถูกบิดไปบิดมาก่อนวางแปะลงบนหน้าผาก ใบหน้าของหมอนั่นแดงเรื่อด้วยพิษไข้ ผมนั่งจ้องหมอนั่นอยู่นาน แต่หมอนั่นก็ไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกตัว
อยากจะ..ได้ยินเสียง....
ลมหายใจสม่ำเสมอบอกชัดว่ากำลังหลับลึก เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนว่าคงกำลังฝันอะไรสักอย่าง ทำให้อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบเบาๆให้หัวคิ้วนั้นคลายออก
อยาก...เห็นรอยยิ้ม....
หมับ!!
มือถูกคว้าอย่างไม่ทันตั้งตัว เลยส่งผลให้สะดุ้งโหยงไปทั้งร่าง ดวงตาของหมอนั่นปรือน้อยๆมองมายังผม มือของหมอนั่นร้อนกรุ่น
“อา..ฉันนี่น้า...สงสัยไข้จะขึ้นจนเห็นภาพหลอนเลยแหะ” เสียงแหบพร่าดังลอดออกมา ก่อนที่ตาคู่นั่นจะปิดลงอีกรอบ “แต่ถึงจะเป็นภาพหลอนก็เถอะ แต่ช่วยอยู่ด้วยกัน...อยู่กับฉัน..นะ”
ไม่ห่างจากตัวบ้านนัก คนคู่หนึ่งกำลังซุ่มมองอยู่เงียบๆ
“แบบนี้ดีแล้วสินะพ่อหนุ่ม” ผู้เป็นเจ้าของบ้านกระซิบถามเด็กหนุ่มข้างๆตัว
“ครับ ต้อง...ขอโทษด้วยนะครับ” คนต้นคิดกระซิบกลับ “ลูกชายคุณลุงป่วยอยู่แท้ๆที่ผมยังขอให้คุณลุงผละตัวออกมา”
“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ถ้าสองคนนี้ดีกันได้สักทีก็ดีเหมือนกัน ลุงเห็นเจ้านั่นเป็นแบบนั้นแล้วในฐานะพ่อมันก็ปวดใจ ท่าทางยังกะผีตายซาก วันๆไม่พูดไม่จา ข้าวปลาก็ไม่กินแบบนั้นมันก็ต้องล้มจนได้ล่ะ” ผู้เป็นพ่อถอนใจ “ถ้าเจ้าหนุ่มนั่นส่งผลมากขนาดนั้นมันก็ต้องยอมล่ะนะ”
“ครับ”
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผมสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างงงๆและรับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมา หมอนั่นตื่นแล้ว และนั่งมองผมนิ่งๆอยู่อย่างนั้น ไม่พูดไม่จา ไม่ขยับตัวจนดูเหมือนหุ่นไร้ชีวิต ผมขยับตัวแต่ไม่สามารถดึงมือของตัวเองกลับมาได้ มือร้อนๆของหมอนั่นยังคงจับมือของผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ผมก็เลยได้แต่เลยตามเลยยอมให้มันจับอยู่อย่างนั้น
“มาทำไม”
อึก...ประโยคแรกก็ทำผมสะท้านเจ็บไปหมดทั้งใจอย่างไม่รู้ว่าทำไม ผมกัดฟันแน่น ทำตัวให้ดูนิ่งที่สุด หวังว่าอย่างน้อยๆก็ขอให้นิ่งได้เท่าๆกับที่เสียงของหมอนั่นส่งออกมา
“เดี๋ยวฉันก็ทำให้นายรำคาญอีกหรอก” เหมือนคำตัดพ้อ ผมเงยหน้ามองหมอนั่นตรงๆเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันมานี้ ดวงตาที่เคยวาววับเสมอคู่นั้นดูพร่าจาง
สมองกำลังปั่นเร็วจี๋เพื่อหาคำพูด แต่คำของหมอนั่นที่ตามมาก็ทำให้สะอึก ความคิดต่างๆในหัวกระเจิงหายหมด
“ถ้ามาเพราะหมอนั่นบอกให้มาล่ะก็ขอบใจ แต่อย่าตามใจหมอนั่นนักเลย ฉันไม่...อุ๊บ!!”
ชั่วเวลานั้นอะไรเป็นอะไรไม่สนแล้ว ผมกดไหล่ทั้งสองข้างของหมอนั่นให้หงายกลับลงนอนโดยที่ตัวของผมอยู่ด้านบนของหมอนั่น คงเป็นเพราะพิษไข้ หมอนั่นที่เคยมีแรงมากกว่าผมจึงไม่สามารถขืนแรงผมได้เลย
“อย่าบ้านักเลย! เออสิวะ รุ่นที่สิบเป็นคนบอกให้ฉันมาแล้วแกจะทำไม!!” ผมตะโกนใส่หน้าคนป่วย “แต่ถ้าฉันไม่อยากมาเองจะใครที่ไหนก็บังคับฉันไม่ได้!! เข้าใจไหม!!!”
หมอนั่นเบิกตากว้างอยู่ภายใต้ร่างของผม หยดน้ำสองสามหยดร่วงลงบนใบหน้าของมัน..อะไรน่ะ...
“บ้าเอ๊ย!! แกมันบ้า! คิดเองเออเองอยู่คนเดียว ไอ้บ้า! แล้วก็อย่ามาว่ารุ่นที่สิบนะโว้ยไอ้นี้นี่!!!” ถึงตอนนี้ผมพึ่งจะรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังร้องไห้ พอจะผละตัวออกมือของหมอนั่นก็รวบตัวของผมให้ลงไปนอนอยู่บนตัวมัน
“เฮ้ย! ปล่อย!”
“..ขอโทษ..” คำๆเดียวที่หยุดการกระทำของผมได้ชะงัก ผมเลิกขัดขืนดิ้นรนปล่อยให้น้ำตาไหลออกไปอย่างเงียบๆ...ทำไมถึงร้องไห้นะ...ไม่เข้าใจ.....
“ขอโทษนะ...ฉันขอโทษ”
เช้าวันถัดมาผมค่อยๆพาตัวเองเดินออกจากบ้านอย่างช้าๆ ในหัวสับสนไปหมด เมื่อวานผมทำอะไรลงไปบ้างนะ รู้สึกเหมือนจะปวดหัวยังไงชอบกล จำ...ไม่ค่อยได้ ผมได้เคลียร์กับหมอนั่นแล้วหรือยังนะ ผมได้ขอโทษมันหรือยัง....
...แล้วผมกลับมาบ้านได้ยังไง...
“ไง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นตรงหน้าทำให้ผมเงยหน้าขึ้นก่อนที่จะเผลอเดินชนเนื่องจากสติไม่ค่อยอยู่กับตัว รอยยิ้มสดใสที่รู้สึกเหมือนไม่ได้เห็นมานานประดับชัดอยู่บนใบหน้าของคนที่พึ่งจะนึกถึงไปเมื่อครู่
ผมเผลอยิ้มตอบอย่างไม่รู้ตัว....
“นายนี่ตื่นเช้าดีนะ” หมอนั่นขึ้นต้นด้วยประโยคเดิมๆที่ผมรู้สึกคิดถึงขึ้นมาจับใจ
“เออ...แล้วไข้นายหายดีแล้วเหรอ?”
“อืม ได้นอนเต็มอิ่ม แถมมียาดีมาคอยพยาบาลให้ด้วย ตื่นเช้ามาเลยไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”
“ยาดีบ้านแกสิ! มีการมาคอยพยาบาลให้ด้วย!!” แว๊กกลับก่อนนึกบางอย่างขึ้นได้ “เมื่อวานฉันไปบ้านนายใช่มะ แล้ว...เกิดอะไรขึ้นบ้างอ่ะ แล้ว...ฉันกลับมาบ้านตัวเองไงยังไง...?”
“อ้าว? จำไม่ได้?”
“ไม่งั้นจะถามเรอะ!?”
หมอนั่นนิ่งคิดแป๊บหนึ่ง ก่อนหัวเราะ หึ หึ
“ไม่-บอก-หรอก”
“เฮ้ย!”
“ฮะ ฮะ ฮะ”
“...........................”
“...........................”
“นาย...ไม่โกรธฉันแล้วนะ”
“โกรธ...? เรื่องอะไร?”
อ่ะ....
“ไม่เฟ้ย!! ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ!!!!!”
แล้วในแต่ละวันของผมก็กลับมาเป็นแบบเดิม อยู่กับหมอนั่น คุยกับหมอนั่น ทะเลาะกับหมอนั่น เรื่องเดิมๆที่กลายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ...
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะกับการที่มีหมอนั่นอยู่ด้วยมันกลายเป็นเรื่องปกติไป...
แต่ว่านั่นก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นี่นะ...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขออีกนิด.....
ว่าแต่...มีใครพอจะบอกผมได้บ้างว่าในวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง.........
ทำไมผมถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่~า.....
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
End....^_^....
ผลงานอื่นๆ ของ Chal ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Chal
ความคิดเห็น