ก.สุดมัน - ก.สุดมัน นิยาย ก.สุดมัน : Dek-D.com - Writer

    ก.สุดมัน

    นักมวยน้องใหม่ ที่ต้องเผชิญหน้ากับนักมวยสุดถึก จะเอาอะไรไปสู้เค้า

    ผู้เข้าชมรวม

    128

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    128

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 มี.ค. 65 / 16:55 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ตอนเรียนมหาลัยปีหนึ่ง ผมและเพื่อนอีกสองคนที่จบชั้นมัธยมมาด้วยกัน ตัดสินใจว่าเราต้อง

    เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว ต้องเข้าร่วมการแข่งขันชกมวยสากลสมัครเล่นของชั้นปีหนึ่งให้ได้

     

    เพื่อนคนแรกเรียนคณะบัญชี คนที่สองเรียนรัฐศาสตร ์ ส่วนผมเรียนคณะอักษรศาสตร์ เอก

    ภูมิศาสตร ์ ด้านการทำแผนที่

     

    ผมได้รุ่นพี่ที่คณะที่เป็นมวยสไตล์บ็อกเซอร์ช่วยสั่งสอนให้

     

    ก่อนถึงวันชกรุ่นพี่พาไปสำรวจสนาม เวทีที่โรงยิมของมหาลัยนั้น เก่าคร่ำคร่าด้วยผ่านการใช้

    งานมายาวนาน เชือกหย่อนคล้อย แผ่นเบาะรองขนาดเมตรคูณเมตรที่วางเรียงแล้วมีผ้าใบคลุมอีกชั้น

    ก็ไม่ราบเรียบ มีร่องรูอยู่บ้างถ้าจะสังเกตเห็น ผมขึ้นไปซ้อมชกลมอยู่สักครู่ พอได้บรรยากาศ ก็พากัน

    กลับไปรอวันแข่งขันจริง ด้วยใจจดจ่อ

     

    เมื่อวันชกมาถึง ระหว่างที่รอเวลาขึ้นเวที ก็ได้เห็นเพื่อนที่อยู่คณะบัญชีขึ้นต่อยเป็นคู่แรกกับคณะ

    ครุศาสตร์ ไม่ทันครบยก ก็แพ้น็อคไปอย่างรวดเร็ว ผมทันได้ถามเพื่อนระหว่างนอนบนเปลว่าเป็น

    อย่างไรบ้าง

    มันบอกว่า “ไม่ไหวว่ะ คำนวณแล้ว ต่อยต่อไปให้ครบสามยก โดนมันอัดเละแน่ ยอมแพ้น็อคดี

    กว่า” เรียกว่า สรุปผลประกอบการแล้วไม่คุ้ม แทงบัญชีหนี้สูญดีกว่า

    เพื่อนรายต่อมา จากคณะรัฐศาสตร์ เจอกับคณะวิศวะ เพื่อนผมมันสู้ยิบตา ก่อนที่กรรมการจะ

    ยุติการชก เนื่องจากโดนไล่ถลุงอยู่ข้างเดียว

    เช่นเคย ทัศนะหลังเกม เพื่อนผมบอกว่า “เราจะปกป้องอธิปไตยของร่างกายเรา จนกว่าจะมี

    อำนาจการปกครองที่เหนือกว่ามาสั่งให้ยุติ” เออ เอากับมันสิ เอาแนวคิดทางรัฐศาสตร์มาอธิบายความ

    พ่ายแพ้ได้เฉยเลย

     

    แล้วก็ได้เวลาที่ผมจะได้ขึ้นชกบ้าง คู่ต่อสู้ของผมไม่ใช่คนจากคณะใด แต่เป็นเด็กหอพัก คือเป็น

    นิสิตคณะอะไรก็ได้ที่อาศัยอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กต่างจังหวัด ไม่ต้องห่วง

    เรื่องลำหักลำโค่น เตี้ย ตัน อึด และถึกเป็นที่สุดแล้ว

     

    ยกแรก ผมได้เปรียบความยาวของช่วงชก ทำให้คู่ต่อสู้ต้องเดินตรงเข้ามา หายใจฟืดฟาดอย่าง

    กับกระทิงหลุดออกมาจากคอก ผมมองเห็นหมัดแรก หมัดสอง และหมัดสาม ที่รัวออกมา แต่ทำอะไร

    ผมไม่ได้ เมื่อผมอาศัยการตั้งการ์ดสูง ต่อยในสไตล์ไฟท์เตอร์ แยปนำ และโยกตัวหลบหมัดอย่าง

    คล่องแคล่ว และก็ ปัง ! วิ้ง ! เมื่อหมัดทีสี่่มันออกมาจากไหนไม่รู้ เข้ากกหูเต็มเปา เวลาที่เหลือของยก

    แรกก็เป็นการยำใหญ่ใส่สารพัดของไอ้วัวกระทิงจากหอพักที่ไล่ถล่มผมจนเสียงระฆังหมดยกดังขึ้น ผม

    แพ้คะแนนในยกนี้

     

    ยกสอง ผมตัดสินใจเปลี่ยนแผน ตั้งการ์ดรัดกุม ต่อยในสไตล์ไฟท์เตอร์ พยายามดัน ๆ ผลัก ๆ

    ให้ไอ้วัวกระทิงมันไปพ้น ๆ หน้า และจากการเหวี่ยงหมัดมั่ว ๆ ไป ทำให้ไอ้วัวกระทิงก้มหลบ พร้อมทั้ง

    สาวท้าวก้าวเข้ามากะต่อยเข้าปลายคาง ซึ่งถ้าโดนเข้าไปก็เลิกกันตรงนั้นได้เลย แต่ทว่า เท้าของไอ้วัว

    กระทิงดันไปเหยียบตรงร่องรูที่ผมหมายตาไว้แล้ว มันก็เลยวืดล้มลงเข่าแตะพื้น กรรมการปราดเข้านับ

    แปดทันที จบยกสอง ยกนี้ผมได้คะแนนนำ คะแนนรวมสองยกกลับมาเสมอกัน ต้องตัดสินกันที่ยก

    สุดท้าย

     

    ขึ้นยกสาม ผมรู้สึกแปลกใจว่า เวทีมวยทำไมมันเหมือนสระว่ายน้ำที่เราต้องลอยตัวไปเรื่อย ๆ

    เท้่าไม่ติดพื้น ระยะเวลาสามนาทีในหนี่งยก ทำไมมันช่างยาวนาน ผมได้แต่ปัดป้องเป็นส่วนใหญ่ และ

    โต้ตอบได้เป็นส่วนน้อย ตัวถลำเถลือกรูดกับเชือกข้างเวทีแทบจะครบทุกด้าน ทุกหมัดที่ไอ้วัวกระทิง

    สรรหามาให้ ส่องแสงประกายวิบวับ ส่งเสียงวิ้ง ๆ ก้องกังวานอยู่ในหูตลอดเวลา

     

    หมดยกสาม ผมแพ้คะแนนไปอย่างราบคาบ ไม่มีพลิกล็อค ไม่มีปาฎิหาริย์ใดใด แต่อย่างน้อย

    ความรู้ทางภูมิศาสตร์การสำรวจพื้นที่ ก็ช่วยให้ผมไม่ต้องแพ้เละเทะเหมือนไอ้เพื่อนทั้งสองคนนั่น แค่นี้

    ก็ภูมิใจแล้วครับ

     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×