คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ---{{ Road of Rose : เปิดภาคที่ 1 บทโหมโรง ผู้ไว้อาลัยคนสุดท้าย }}--- (Rewrite)
t
h
e
m
y
b
u
t
t
e
r
ขออนุญาตรีไรท์นะครับ ต้องการปรับระดับภาษาให้มันพอดีกันกับพาร์ทอื่น เนื่องจากแต่งไว้นานมากตั้งแต่ยังม.ต้นแล้วเว้นมานานจึงค่อยเริ่มบทที่ 1 สำนวนเลยดูมึนๆ
อย่างไรก็ตาม เนื้อหายังคงเหมือนเดิมครับ มีคนมาไหว้ศพใครสักคนเหมือนเดิม (ใครสักคน... คนที่วกกลับมาอ่านใหม่อีกรอบก็อย่าเพิ่งบีบคอผมนะครับ เอาจริงๆเถอะ ผมว่าน่าจะมีคนรู้แล้วว่าใครมาไว้อาลัยและใครที่นอนอยู่ในโลง 5555555)
เดาง่ายเนาะครับ
ส่วนบทอื่นๆจะรีไรท์ตามไปเรื่อยๆ ครั้งละ 3-5 บท(ไม่อยากรบกวนใครสักเท่าไหร่ คงจะเริ่มลงพาร์ทรีไรท์พร้อมกับองก์ที่ 3 ไปด้วยแจ้งเตือนจะได้ไม่เด้งรัวๆ) ^^
-Prologue-
ผู้ไว้อาลัยคนสุดท้าย
เมื่อถูกมีดบาด สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือ เลือดไหล
หรือไม่จริงกันล่ะ...
หลังจากเลือดไหล เลือดก็จะเริ่มแข็งตัว ร่างกายจะพยายามรักษาตัวเอง
เลือดแข็งตัวและบาดแผลเริ่มสมาน ถ้าแค่มีดเล่มเล็กๆละก็ เมื่อนานปี แผลก็จะหายไป
เลือนรางไปในวันหนึ่งนั้นเอง
เหมือนกันกับใจคน แต่แค่ว่า
มนุษย์มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้บาดแผลของพวกเขาเยียวยาได้เร็วนัก นั่นก็คือ ความคิด
ความคิดที่ผุดขึ้นมาวินาทีต่อวินาทีทำให้มนุษย์ค่อยๆหลงลืมสิ่งที่พวกเขาเคยเจ็บปวด
บาดแผลของพวกเขาจะค่อยๆสมาน แต่ในแผลที่อาการหนักและผ่านเวลาสมานตัวไม่มาก
การสะกิดก็อาจจะทำให้เลือดไหลได้อีกครั้ง….
ชายร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทยิ้มบางๆให้กับความคิดนั้น
เขาหมุนดอกไม้ดอกใหญ่สีน้ำเงินอ่อนๆในมือไปมา
ดวงตาสีฟ้าอมเทาเหมือนก้อนน้ำแข็งเลื่อนลอยไปไกลในห้วงความคิด
กลางหุบเขาทะมึนมืด ล้อมรอบด้วยรั้วหินภูเขาไฟโบราณ
เป็นที่ตั้งของสุสานอันกว้างใหญ่ ทว่ามีเพียงร่างเดียวที่หลับใหลอยู่ใต้ผืนดินนั้น
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นสุสานของขุนนางผู้มั่งคั่ง
ทว่ากลิ่นอายของมนตราชวนสยดสยองกลับทำให้ใครต่อใครล้วนไม่กล้าท้าทาย
แม้กระทั่งโจรที่อดอยากปากแห้งก็จำต้องถอยหนี
สายลมอันเยือกเย็นพัดมา เสื้อนอกทำจากขนจิ้งจอกขาวสะบัดตาม
สร้อยสีทองที่เขาสวมก็เช่นกัน จี้ทองคำรูปกางเขนคว่ำซึ่งประดับด้วยเพชรพลอยขยับเบาๆ
เขาหลับตาลงชั่วขณะหนึ่งเพื่อให้ความคิดที่กำลังฟุ้งซ่านหยุดลงและพยายามอย่างยิ่งที่จะสำรวมตนให้ถูกสถานที่
เขาต้องเคารพสถานที่ของคนตาย ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นอะไรสำหรับเขาก็ตาม
กลิ่นหอมของดอกไทซาเนียไม่ได้ทำให้เขาสงบเหมือนใครบางคน ตรงกันข้าม
มันทำให้เขายิ่งกระวนกระวายและสมาธิกระเจิดกระเจิง
สุสานอันเงียบสงัดไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวและกริ่งเกรง
ทว่ายิ่งทำให้เขาผยองลำพองใจมากขึ้นเท่านั้น
“เด็กโง่”
เขาพูดพร้อมกับลืมตาขึ้น
ดวงตาอันเย้ยหยันมองป้ายหลุมศพอันโดดเดี่ยวที่อยู่ตรงหน้า
“คนขี้ขลาด”
ชายหนุ่มบริภาษ ตาคู่นั้นยิ่งลุกวาว
“เจ้าควรจะมายืนอยู่ตรงหน้าข้า!”
เขาเกือบจะตวาดด้วยโทสะ “ชี้ปลายดาบใส่ข้าและท้าทายข้า
ไม่ใช่มาเย้ยหยันข้าด้วยร่างอันไร้วิญญาณของเจ้า!”
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าได้ตายตาหลับหรอก”
เสียงกระซิบของเขาชวนให้ขนลุกซู่ “สงครามที่เจ้าประกาศไว้
เจ้าต้องเป็นคนจบมัน ข้าไม่ยอม ไม่มีวันยอม!”
“เพราะอะไร…
เพราะนังเด็กนั่นน่ะเหรอที่ทำให้เจ้ายอมพลีชีพ
เพื่อความรักโง่ๆของเจ้าน่ะเหรอ ไร้สาระ” เจ้าของผมสีดำที่แม้แต่แสงสว่างยังไม่กล้ากล้ำกรายถามอย่างเดือดดาล
“พิษแค่นั้นทำอะไรเจ้าไม่ได้สักนิด อย่านึกนะว่าเจ้าจะหลอกข้าได้
ทำไมล่ะ คิดว่าตายไปแล้วจะหยุดข้าได้?”
ชายคนนั้นกำมือข้างขวาที่ไม่ได้ถือดอกไม้ไว้แน่นเพื่อสะกดความร้อนรุ่มในอก
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“เพราะเจ้าอ่อนแอ
ถึงถูกพวกราชวงศ์งี่เง่านั่นหลอกใช้
แล้วทำไมคนอย่างเจ้าถึงอ่อนแอได้ขนาดนี้กันนะ...” เขาเหน็บแนม
สายตาของเขากราดมองกลอนไว้อาลัยบนหินจารึกอย่างเคียดแค้น
ทุกคำพูดที่เขียนไว้แสดงเจตจำนงอันไร้ความสำนึกผิดของพวกมัน!
จากอดีตสู่กาลปัจจุบัน
จากสายลมเปลี่ยนผันสู่ผู้เป็นหนึ่งเดียว
ขอเทพยดาทั้งหมดมวลจงสถิต
นิรมิตเมืองมายาในความฝัน
ให้ความเจ็บปวดร้าวประสบครัน
รางเลือนพลันหมดเวรอย่าได้มี
ษมาโทษได้โปรดเถิดผู้เหนือหล้า
อย่าโทษาผู้น้อยเลยผู้ทรงศรี
หลับให้สบายในนคราแห่งกาฬี
นิทรานี้ขอให้ยาวชั่วกัลปา
อาลัยยิ่ง
“ข้าไม่วันปล่อยให้เจ้าได้หลับสบายตราบใดที่ข้ายังถูกเผาอยู่ในเพลิงนี่”
เขาพูด ในมือปรากฏก้อนพลังสีฟ้าเรืองรอง “ข้าจะสะกิดแผลของเจ้าซ้ำๆ
ให้เจ้ารับรสความเจ็บปวดให้ถึงที่สุด
ข้าจะไม่ยอมให้คนอย่างเจ้าได้นอนขี้เกียจอยู่ในโลงโง่ๆนั่นอีกแม้แต่นาทีเดียว!”
ตู้ม!
ก้อนพลังสีฟ้าสาดซัดใส่แผ่นหินอาลัยเต็มพิกัดและทำให้มันแตกสบายเป็นเศษผงในทันที
หินอันมีมูลค่ามหาศาลนั่นที่พวกพ่อมดช่วยกันตราตรึงเวทมนตร์สำหรับกักขังวิญญาณอย่างยากลำบากเสียหายโดยไม่อาจจะกู้คืนได้ในพริบตา
ที่เหลืออยู่ก็เพียงฝุ่นควันจางๆ สีเทาอมแดงที่ลอยฟุ้งไปทั่วทั้งสุสาน
หน้าดินหลังที่ที่แผ่นหินเคยตั้งอยู่หายไปเกือบทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงอานุภาพของพลังนั้นอย่างชัดเจน
เหล่าผืนป่าต่างกรีดร้องด้วยความพรั่นพรึง
สายลมหวีดหวิวและคร่ำครวญให้กับความพินาศ
เขายังไม่พอใจ เพียงกรีดนิ้ว หน้าดินเหนือหลุมถูกควักออกทันที ซึ่งเผยให้เห็นโลงศพที่ทำจากหินแก้วสีดำมะเมื่อมและปิดด้วยทองเปลวอันน่ารังเกียจเป็นลายเถากุหลาบและหนามที่เกี่ยวร้อยไว้
เขาทำลายฝาโลงเป็นจุณ เศษทองและฝุ่นแก้วฟุ้งตลบ
นัยน์ตาสีน้ำแข็งของเขาที่ส่องแสงวูบวาบในม่านฝุ่นไม่มีแม้แต่ความลังเล
ใต้ฝาโลงที่เคยปิดไว้เผยให้เห็นผู้ที่ตกอยู่ในห้วงนิทรารมย์อันสงบเงียบ
“อาลีวารีคงจะดีใจถ้าเจ้าคืนชีพและกลับไปกับข้า”
เขาเค้นเสียงพูดด้วยความขุ่นมัว
ปล่อยดอกไม้สีฟ้าที่มีลักษณะคล้ายลิลลี่แต่ใหญ่กว่าเล็กน้อยลงในหลุมที่เขาเพิ่งขุดขึ้นก่อนจะหมุุนตัวและเดินออกไป
“แผ่นดินจงพังทลาย
สายน้ำจงไหลทะลัก ต้นไม้ต้นไหนก็ตามจะไม่มีวันได้หยัดยืน
ท้องฟ้าที่หม่นมัวจะต้องรองรับมหาพายุ” ชายปริศนาพูดแต่ละคำด้วยใจที่ชิงชัง
สมคำพูดอันเป็นวาจาสิทธิ์ แผ่นดินเริ่มไหวคลอนและมวลดินแตกออก
ต้นไม้ค่อยๆล้มลงไปอย่างน่าสะพรึงพร้อมๆกับเสียงฟ้าคำรามลั่นด้วยความพิโรธ เขาออกเดินอย่างไม่หวั่นเกรง
ทุกย่างก้าวของเขา ทุกสิ่งหมอบศิโรราบด้วยความพรั่นพรึง
“จงตื่น…
บุตรแห่งทิวาและราตรีผู้เต็มไปด้วยบาดแผล คู่ต่อสู้ที่สมเนื้อสมเนื้อกับข้าก็มีแต่เจ้า
ด้วยความเคียดแค้นชิงชังที่ข้ามี
อย่าหวังว่าเจ้าจะได้ตายตาหลับหากข้ายังมีลมหายใจ!”
ความคิดเห็น