Road of Rose
...เมื่อแรกปลูก ดินและฟ้าจักเป็นพยาน ...เมื่อแรกแตกใบ เจ้าแห่งพิภพจักถูกตีตรวน ...เมื่อแรกผลิดอก ผู้มีเวทมนตร์ต้องยอมสยบ ...เมื่อแรกเบ่งบาน มนุษย์จักถูกหลอกใช้ ...และเมื่อตายสิ้น โลกจักลุกเป็นไฟ!
ผู้เข้าชมรวม
3,989
ผู้เข้าชมเดือนนี้
18
ผู้เข้าชมรวม
สงคราม แฟนตาซี พ่อมด เอล์ฟ กุหลาบ คอมเมดี้ ความรัก เวทมนตร์ เรื่องเหนือธรรมชาติ ดราม่า ครบทุกรส ผจญภัย
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
...ครั้งหนึ่งนั้น มีราชาผู้เจ็บแค้น
เขากล่าวไว้ ต่อสาธารณะและปวงประชาราษฎร์ที่โง่เขลา
ด้วยเถากุหลาบที่ชั่วช้าและสามานย์ที่สุด
พวกมันจักถูกร้อยรัด... พวกมันจักต้องทรมานเป็นร้อยเท่าพันทวีของที่ข้าเจ็บ
เมื่อแรกถูกปลูก ผืนดินและแผ่นฟ้าจักเป็นพยาน
เมื่อแรกแตกใบ เจ้าแห่งพิภพจักถูกตีตรวน
เมื่อแรกผลิดอก เหล่าผู้มีเวทมนตร์ทุกน่านฟ้าจักต้องยอมสยบ
เมื่อแรกเบ่งบาน มนุษย์ทุกผู้จักถูกหลอกใช้
กุหลาบต้นนั้นจักตะกรามกินชีวิตทุกชีวิตอย่างบ้าคลั่ง
และเมื่อมันถูกโค่นล้ม... โลกนี้จักถูกชำระ... ด้วย ‘ไฟ’
ชีวิตของเธอ เกิดมาเพื่ออะไร เธอไม่รู้หรอก มินเดรซ่า อีเลียตต์ เอเลนอร์รู้แค่ว่า เธอเกิดมาเป็นเจ้าหญิงพร้อมด้วยลาภยศสรรเสริญของมหาอำนาจแห่งทวีป เธอได้อาศัยอยู่ในยุคที่เงียบสงบหลังสงคราม มีพี่ๆที่น่ารัก วังอันโอ่อ่า บ้านเมืองกำลังฟื้นฟูศิลปะวิทยาการมากมาย โลกกำลังก้าวไปข้างหน้า และเธอก็พร้อมจะก้าวไปพร้อมกับมัน
ทว่า ชีวิตของเธอกลับเปลี่ยนผัน ดอกกุหลาบกำลังเบ่งบาน หนี้กรรมที่ทุกคนทำไว้ กำลังถูกชดใช้ เธอเป็นหมากตัวสำคัญ โลกนี้หมุนไป เธอเองก็เช่นกัน
ผู้คนมากมายกำลังเดินทางบนถนนแห่งชีวิต สวนทางกับเธอบ้าง ก้าวไปพร้อมกันบ้าง จากวันนี้ที่เธอเกิด... สู่วันข้างหน้าที่เธอตาย หนังสือเล่มนี้ บรรจุมันไว้แล้ว ชีวิตของดอกกุหลาบดอกนี้...
Road of Rose
Sawasdee!!
สวัสดีครับ(ไม่ว่าจะอรุณสวัสดิ์ ทิวาสวัสดิ์หรืออะไรสวัดๆก็ตาม) นักอ่าน นักเขียนที่น่ารัก ทุกท่าน กระผม นาย ท.ศ. หรือเรียกว่านายทศก็ได้แล้วแต่สะดวก มาพร้อมหอบนิยายหนึ่งปึ้ก! นิยายเรื่องนี้มีชื่อว่า Road of Rose ครับผม!!!
แถ่น แทน แท๊นนนน!!
ไร้ชื่อไทยสิ้นเชิงเลยทีเดียว
ขณะนี้ เรื่อง Road of Rose เดินทางไปถึง 1 ใน 3 ของที่ผมวางไว้แล้ว ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นไตรภาคขนานใหญ่ซึ่งตอนนี้ผมกำลังจะจบภาคแรก ซึ่งก็คือ The Ice Eyes ดวงตาแห่งการชักนำ ประกอบด้วยสององก์สำคัญ คือ Catch the Mist(หมอกลวงนฤมิต) กับ The Undead Prisoner(ตรวนสั่งตาย) ซึ่งผมดีใจมากๆที่ในที่สุดนิยายของผมก็เดินทางมาถึงจุดนี้...(กระซิกๆ ซับน้ำตาไป) ภาคแรกที่เป็นอารัมภบทของสงครามกำลังจะจบลงแล้ว ซึ่งการที่ผมเขียนมาได้จนถึงตอนนี้ก็ต้องขอบคุณทุกๆท่านที่ร่วมอ่านและคอมเม้นต์มาจนปัจจุบัน ขณะนี้ผมเขียนมา 8 เดือนเต็มแล้ว และคิดว่าจะจบทุกภาคภายในม.6(ตอนนี้ผมอยู่ม.4 บอกความแก่ตัวเองแป๊บ) ซึ่งผมจะพยายามให้ถึงที่สุด เพื่อลากมันให้จบจงได้!!!
ซึ่งแพลนต่อไปก็คือภาคที่ 2 เป็นภาคประจันบาญ คงได้ชื่อว่า Trail of Blood ซึ่งเป็นภาคที่คุณนางเอกแสนซนของพวกเราจะได้โตเป็นผู้ใหญ่สักที หลังจากผมชชวนเธองี่เง่ามาถึง 2 องก์เต็มๆ และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด องก์ที่ 3 จะได้ชื่อ Grail of Burnt Tears สุสานแห่งน้ำตาไปนะครับ
ขอให้สนุกครับผม!
Agreement
ข้อตกลงของนายท.ศ.กับรีดเดอร์ทุกท่านครับผม
1. ข้อแรก นายทศจะมาลง 1 บท ย้ำตัวโตๆนะครับว่า 1 บท ต่อสัปดาห์เท่านั้น นั่นหมายความว่าไม่ว่านายทศจะทำอะไรกับนิยายเรื่องนี้ก่อนวันนัดหมายลงนิยาย คือ นายทศยังลงไม่ครบบทครับ นายทศอาจจะแค่มาตรวจอักษรรอบที่ล้านแปด แต่งโค้ด เล่นตัวอักษรสองสามจุด หรือแม้กระทั่ง อัพหลอก! ฉะนั้นรีดเดอร์ผู้น่ารักที่แอดแฟนคลับเรื่องนี้ไว้ อย่าหลงกลกดเข้ามาดูก่อนหน้าวัดนัดหมายของเราเด็ดขาด เพราะถ้าผิดหวังแล้วนายทศจะไม่รับผิดชอบ และห้ามว่านายทศด้วยนะครับ 5555+
กก***** จากกฎของเว็บมาสเตอร์ ผมจะลงประมาณสองครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละครึ่งบทเพื่อความเป็นธรรมกับนักเขียนท่านอื่นๆแล้วกันนะครับ เพราะปกติผมชอบลงทีละ 3-4 หน้า A4 และบทหนึ่งๆของผมก็มีตั้ง 10 กว่าหน้า บางครั้งก็ปาไป 15 หน้า ซึ่งจะทำให้เกิดการต้มมาม่าขึ้นได้ในภายหลัง จึงขอแก้ไขข้อตกลงนี้นะครับว่า ผมจะพยายามแก้ไขหน้านิยายให้น้อยครั้งที่สุดเพื่อความสบายใจของทุกท่านที่เข้ามาอ่านและแฟนคลับที่ตามอ่านอยู่ โค้งครับโค้ง (แก้ไขส่วนนี้เมื่อ 6-10-15)
2. ข้อสอง วันนัดหมายของเราในช่วงนี้ คือ วันอาทิตย์ ครับ (แก้ไขเมื่อ 3-3-15) ทุกวันอาทิตย์นายทศจะมาลงพร้อมแจ้งข่าวทุกท่านที่แอดไว้ เรื่องเวลาอาจจะไม่แน่นอน แต่ถ้านายทศกำหนดเวลาตายตัวไว้ที่บทนั้นๆแล้ว ตามนั้นเลยครับ (เลทไม่เกินครึ่งชั่วโมงครับ ถ้าเลทกว่านั้นแสดงว่านายทศเกิดปัญหาร้ายแรงกับชีวิตแล้ววว)
3. ข้อสาม หากนายทศไม่มาตามนัด หายไปวันสองวันโดยไม่มีเสียงสวรรค์นรกใดติดต่อกลับ ให้คิดว่านายทศกำลังยุ่งหัวหมุน ติวสอบนู่นี่นั่นละกันนะครับ(นายทศม.ปลายแล้ว โรงเรียนดังมากด้วยแถมเด็กเก่งทั้งโรงเรียน นายทศตายแน่ๆ) แต่ถ้านายทศหายหน้าไปเป็นอาทิตย์และไม่มีใครสามารถหาตัวนายทศเจอ เหมาเลยครับ นายทศ ดองงงงแหล่วววว จะดีลีสนิยายจากลิสต์ก็ไม่ว่าครับ เพราะนายทศจงใจดองมากๆๆๆ
4. ข้อสี่ หากคิดจะสืบประวัตินายท.ศ. ติดต่อมาได้ที่ My.iD จะควิกแมสเสจหน้าวอลล์มาก็ได้ นายทศไม่ลบทิ้ง หรือใครอยากคุยเป็นการส่วนตัว(และรับรู้ความเกรียนของเจ้านี่ : มินเดรสบอกมา) ติดต่อของเฟสหรือไลน์ได้ครับ นายทศไม่กัดแต่อย่างใด
5. ข้อสุดท้าย มันผู้ใดอ่านจนถึงข้อนี้ก็ขอจงแอดแฟนโดยพลัน 555
**หมายเหตุ ข้อสุดท้ายขำๆครับ รีดเดอร์ทุกท่าน โปรดอย่าเครียดๆๆ อิๆๆ
ปล. นิยายเรื่องนี้มีความวายแอบแฝง เนื่องจากผมโดนเม้นต์บ่นไปว่าผิดหวังเรื่องความวายของเรื่องนี้ที่เปิดมาแบบ normal แต่กลับหักหลังกันกลางเรื่อง ผมต้องขอโทษนักอ่านด้วยครับ และเรียนเสียตั้งแต่ตรงนี้ ว่าเรื่องนี้มี กุหลาบสีม่วงเบ่งบานอยู่ตามรายทาง ใครที่ไม่ชอบคู่ชช. ญญ. ก็กดปิดเสียนะครับ ขอโทษที่ไม่แจ้งรสนิยมของตัวเองตั้งแต่แรก ขอบคุณครับ (แก้ไขส่วนนี้เมื่อ 6-10-15)
ช่องนี้ขอเป็นช่วงที่สำหรับไล่เพลงในเพลย์ลิสต์ของนายทศนะขอรับ
แล้วแต่คนชอบเนาะ ทศเปิดเพลงนี้ฟังตลอดเวลาแต่งนิยายเรื่องนี้ เพลงทั้งหกให้แรงบันดาลใจกับทศมากๆ อยากให้รีดเดอร์ทุกคนได้ลองฟัง ว่าธีมของเรื่องนี้เป็นประมาณไหน ว่าง่ายๆ คือ เพลงทั้งหมดรวมเอาอารมณ์ของนิยายเรื่องนี้ไว้ด้วยกันนั่นเอง!
1. Crystallize by Lindsey Stirling : Link here
2. Bourne Soundtrack + Vivaldi’s double cello concerto by ThePianoGuys : Link here
3. The Song of the Caged Bird by Lindsey Stirling : Link here
4. Music of Spheres by Robert Tiso : Link here
5. To Love’s End (Inuyasha) aznliii’s version : Link here
6. Kiss the Rain by Yiruma : Link here
**หมายเหตุ ผมเชื่อมลิงก์ไว้ท้ายเพลงนะครับ เผื่อรีดเดอร์คนไหนเกิดอาการอยากตามไปดูวิดีโอต้นฉบับ และอยากจะบอกว่าใครก็ตามที่รู้จักเพลงในนี้มากกว่า 2 เพลง แสดงว่าคุณเป็นบุคคลหายากของโลกนี้เลยล่ะครับ! (เพราะผมถามเพื่อนๆของผมทุกคน ไม่มีใครรู้จักเพลงในลิสต์นี้เลยสักคนเดียว!!) ฟังดูน่าภูมิใจดีเนาะ 5555+
ผลงานอื่นๆ ของ นายท.ศ. ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ นายท.ศ.
"MissSuika รับวิจารณ์นิยาย"
(แจ้งลบ)Road of Rose โครงเรื่อง (35/40) การลำดับ (20/20) ลำดับโครงเรื่องดูไม่มีปัญหาค่ะ ผู้เขียนน่าจะวางแผนให้เรื่องค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ไปเพราะผู้แต่งอ่านในช่วงแรกอยู่ค่ะ คิดว่าจากนี้ไปเรื่อยๆ นิยายเรื่องนี้คงมีพัฒนาการของเนื้อหาเพิ่มขึ้นตามลำดับ ความสนุก (15/20) ถือว่าเป็นนิยายแนวแฟนตาซีที่เน้นการผจญภัยที่ตัวละครหลักต้องเจอ อ่านแล้วก็สนุกดีค่ะ มีมุกให้ข ... อ่านเพิ่มเติม
Road of Rose โครงเรื่อง (35/40) การลำดับ (20/20) ลำดับโครงเรื่องดูไม่มีปัญหาค่ะ ผู้เขียนน่าจะวางแผนให้เรื่องค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ไปเพราะผู้แต่งอ่านในช่วงแรกอยู่ค่ะ คิดว่าจากนี้ไปเรื่อยๆ นิยายเรื่องนี้คงมีพัฒนาการของเนื้อหาเพิ่มขึ้นตามลำดับ ความสนุก (15/20) ถือว่าเป็นนิยายแนวแฟนตาซีที่เน้นการผจญภัยที่ตัวละครหลักต้องเจอ อ่านแล้วก็สนุกดีค่ะ มีมุกให้ขำได้บ้างถ้าไม่ติดตรงการบรรยายที่ทำให้สะดุดอยู่บ่อยครั้ง แต่โดยรวมแล้วเนื้อหายังไม่เคร่งเครียดเท่าไหร่ (จากที่อ่านอยู่ตอนนี้) ถือว่าเป็นนิยายที่อ่านเพลินๆ ได้เรื่อยๆ ดีค่ะ ตัวละคร (15/20) มินเดรส ผู้แต่งวางให้ตัวละครตัวนี้เป็นสาวห้าว ติดนิสัยแมนๆ มีสาวๆ กรี๊ดกร๊าดแต่ผู้เขียนยังรู้สึกถึงความสาวของตัวละครตัวนี้สูงมากค่ะ ผู้เขียนยังไม่สามารถทำให้ผู้อ่านเชื่อว่าเธอห้าวจริงในหลายสาเหตุ เช่น บทที่สองที่มีการกรีดร้องตอนเจอเซจา แล้วปาข้าวของใส่ ลักษณะแบบนี้ยังเป็นอาการของผู้หญิงที่เวลาเห็นแมลงสาบ เธอจึงได้แต่ฟึดฟัดกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด ลักษณะอาการเหล่านี้ก็ยังคงระบุว่าเธอเป็นผู้หญิงขี้หงุดหงิดด้วยเช่นกัน “เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย!” เธอหวีดร้อง ถ้าลักษณะเป็นทอมบอย ต้องปรับการบรรยายเป็น ตะโกนลั่น ตะคอกดัง โวยวายเสียงดัง เป็นต้น ขณะเดียวกันถ้าเธอห้าวจริงมีลุคทอมบอยจริงก็ไม่ควรใส่ส้นสูงสี่นิ้วนะคะ มันดูขัดแย้งยังไงชอบกล สมมติว่าเธอนิสัยห้าวจริงๆ นะคะ ลองปรับชุดให้ตัวละครตัวนี้ดูเช่น อาจจะเป็นชุดรัดรูปนี่แหละค่ะ แต่ใส่บู๊ตหนังสีดำแทนอะไรทำนองนี้ หรือบุคลิกลักษณะให้ดูเท่มากกว่านี้ และอีกข้อคือการใช้คำเรียกที่มีทั้งเจ้าหญิง เจ้าชายในคราวเดียวกันมันก็ทำให้สับสนนะคะ ถ้าระบุว่าเจ้าหญิงห้าว สาวแกร่ง สาวห้าว อะไรทำนองนี้ก็จะช่วยเดาบุคลิกของตัวละครตัวนี้ไปในทางผู้หญิงแมนๆ ได้นะคะ เซจา เปิดตัวมาทีแรกดูเป็นหนุ่มกวนๆ อยากพูดอะไรก็พูด และดูเป็นผู้นำมินเดรสนะคะ แต่บทหลังๆ คาแรกเตอร์ตัวนี้ดูอ่อนลงไปถนัดตาเลย กลายเป็นบทรองแทนแล้วมินเดรสก็ดูแกร่งขึ้น ซึ่งถ้าผู้แต่งอยากเปลี่ยนให้คาแรกเตอร์เป็นแบบนั้นก็อย่าลืมบอกสาเหตุด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นเซจาจะดูไม่สมบทบาทกับที่วางไว้ตั้งแต่แรก การใช้ภาษา (30/40) การบรรยาย (15/20) ขอเน้นไปที่บทนำนะคะ แม้ผู้แต่จะใช้คำหรูหรา สวยงามในการบรรยายเพื่อเสริมให้เกิดสุนทรียภาพขณะอ่าน แต่มันก็ไม่สามารถทำให้น่าอ่านขึ้นค่ะ เพราะการใช้คำสวยหรูเกินไปอาจทำให้ผู้อ่านต้องมานั่งตีความว่าคำดังกล่าวหมายถึงอะไร เพราะโดยส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่นิยายระดับชั้นครูหรือร้อยแก้วที่ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำสวยหรูขนาดนี้ก็ได้ค่ะ อาจจะหรี่ภาษาลงมาหน่อยให้อยู่ในระดับปานกลางเพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านได้ทุกระดับ ไม่ว่าคนอายุน้อยๆ หรือโตแล้ว เพื่อให้เข้าใจในรอบเดียวไปเลยน่าจะดีกว่า อีกทั้งมันเป็นบทนำที่สะท้อนให้เห็นเนื้อหาโดยคร่าวๆ ถ้าเกิดว่าผู้เขียนตั้งใจเขียนให้เป็นทำนองนี้ ผู้อ่านก็จะคาดหวังว่าภาษาในบทต่อไปต้องสวยหรูตาม แต่กลายเป็นว่ามันเป็นบทบรรยายที่ไม่ได้ดูทางการได้ขนาดบทนำเลยค่ะ ดังนั้นความสมดุลของการบรรยายก็ควรตระหนักถึงด้วยนะคะ และถ้าหากปรับภาษาในบทนำให้ใกล้เคียงกับบทอื่นแล้วก็จะทำให้เกิดความสมดุลขึ้นค่ะ ส่วนในบทอื่นก็ถือว่าพอใช้ค่ะ แต่ต้องระวังให้ดีว่าผู้แต่งจะเขียนบรรยายให้เป็นรูปแบบทางการหรือเขียนบรรยายให้เป็นภาษาพูด ถ้าจะเขียนต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ เพราะเท่าที่อ่านมาการบรรยายของผู้แต่ยังไม่สมดุลค่ะ ยกตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบดังนี้ เช่น เธอไม่เคยคิดว่าจะต้องออกไปตามล่านักโทษด้วยเหตุผลที่งี่เง่าที่สุดของท่านพ่อ ไม่มีเวลา! โอ้ย! พูดเหมือนเธอก็ว่างงั้นแหล่ะ ไหนจะล่าสัตว์ ไหนจะไปดูการแข่งม้า ไหนจะฟันดาบ แล้วเวลาเรียนของเธอล่ะอยู่ไหนหมดกัน ส่วนนี้เป็นการบรรยายโดยมีความรู้สึกของตัวละครแทรกเข้ามาและใช้ภาษาพูดที่เกือบจะเป็นการบรรยายโดยบุคคลที่ 1 แล้ว บรรยากาศอวลกลิ่นเกลือและเต็มไปด้วยฝูงนกนางนวลที่ส่งเสียงร้อง บาทรีน่าพอร์ตยิ่งดูเหมือนเมืองไม่รู้จักหลับด้วยการเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและมีเรือเข้าเทียบท่าทุกๆ 7 นาที อึกทึกด้วยคนจำนวนหลักพันที่ไหลเวียนอยู่ในท่า บ้างก็กะลาสี ทหารหรือชาวประมง แม้กระทั่งนักล่าสมบัติ นักวิจัยทางทะเล เสียงดังโหวกเหวกเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เด็กน้อยที่กำลังจะนอนกลางวัน...หลับไม่ลง ส่วนนี้เป็นการบรรยายโดยใช้ภาษาค่อนข้างทางการและสละสลวยกว่าการบรรยายด้านบน จึงเกิดความไม่สมดุลกันระหว่างการบรรยายในแต่ละฉาก และการบรรยายของผู้เขียนยังมีจุดบกพร่องในเรื่องการใช้ภาษาเพื่อการบรรยายด้วยค่ะ เพราะมีประโยคไม่สมบูรณ์ให้เห็นอยู่ตลอด จึงขอชี้ตัวอย่างและแนะนำส่วนที่ต้องแก้ไขบางบทในหัวข้อการเลือกใช้คำนะคะ ความถูกต้องของหลักภาษา (15/20) ปรัศนี ? ตามความเป็นจริงหลักภาษาไทยไม่มีการใช้ค่ะ เพราะในภาษาไทยมีคำไทยที่เป็นคำถามในตัวมันเองแล้ว เช่น หรือ เหรอ หรือไม่ อะไร ที่ไหน อย่างไร แต่นอกเหนือจากนั้นก็สามารถใช้ได้ในกรณีที่ต้องการว่านี่คือการเน้นเพื่อตั้งคำถามเช่น แน่ใจว่านี่คือเค้ก? หืม? ห๊ะ? เป็นต้น การเคาะไม้ยมก การใช้ไม้ยมกมีอยู่สองแบบค่ะ แบบแรกจะนิยมใช้ในนิยายทั่วไปคือเคาะหลังไม้ยมกครั้งเดียวและพิมพ์ข้อความต่อเช่น รถคันสีแดงๆ นั่นน่ะ และแบบที่สองราชบัณฑิตยสถานกำหนดคือเคาะทั้งหน้าและหลังไม้ยมก เช่น หัวใจของเธอแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เป็นต้น ซึ่งผู้แต่งเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งตลอดการบรรยายเท่านั้นนะคะ จุดไข่เปล่า เช่น “...ต่อด้วยข้อความ” อันนี้ผู้วิจารณ์ได้รับคำแนะนำจากกองบก. ท่านหนึ่งบอกว่าโดยหลักภาษาไทย การใช้จุดไข่ปลามักจะใช้ท้ายประโยคหรือกลางประโยคที่มีการอธิบายยืดยาวและย่นประโยคให้สั้นลง หรือถ้าใส่หน้าข้อความแล้วก็ต้องใส่หลังข้อความในกรณีที่ยกข้อความมาจากที่อื่น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องใส่จุดไข่ปลา ให้ผู้แต่งบรรยายไปว่าตัวละครเว้นระยะการพูด หรือหยุดเงียบชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อไปแทนน่าจะดีกว่าค่ะ การเลือกใช้คำ บทนำ เขาวรรคพลางลุกขึ้นยืนเช่นเดิม ตรงนี้ผู้เขียนตั้งใจเขียนให้สื่อว่าเว้นช่วงขณะพูดแล้วก็กำลังลุกขึ้นยืนใช่ไหมคะ ดังนั้นการใช้วรรคเฉยๆ อาจสื่อความไม่ครบ อาจใช้คำอื่น เช่น เว้นช่วง เว้นวรรค หยุดพูดชั่วครู่ เป็นต้น บทที่ 1 กระเป๋าสะพายข้างสีความมืด ปรับให้ดูกระชับและไม่เยิ่นเย้อ กระเป๋าสะพายข้างสีดำ สีหม่นๆ สีทึมๆ เป็นต้น ดวงตาที่โผล่ออกมาจากผ้า ดำพอๆ น้ำหมึกและคมกริบมองแต่จุดหมายข้างหน้า เมื่อใช้การเปรียบเปรยในคำแรกแล้วก็ควรเปรียบเปรยในคำต่อไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกัน เช่น ดำพอๆ กับน้ำหมึกและคมกริบดั่งดวงตาของพญาเหยี่ยวที่จดจ้องมองแต่จุดหมายข้างหน้า หินขัดมันวาบ แก้เป็น หินขัดมันวับ ความเร็วของชายปริศนาเหลือเพียงเดิน ประโยคเหมือนขาดอะไรบางอย่าง น่าจะเติมได้ว่า ความเร็วของชายปริศนาลดลงเหลือเพียงเดินอย่างช้าๆ เป็นต้น แม้มีทหารไม่มากอย่างวันราชการทั่วๆ ไป แต่ก็ไม่ค่อยแยแสเพราะสิ่งที่ดึงความสนใจเขาไปหมดนั้นคือสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าหนังดำข้างๆ ประโยคนี้อยากถามว่า ทหารมีมากน้อยส่งผลกระทบต่อตัวละครยังไงคะ ถ้าเกิดว่าเป็นการบรรยายแค่สภาพแวดล้อมไม่ได้สำคัญกับตัวละครนักก็น่าจะบรรยายได้ว่า เขาสังเกตเห็นว่า...จำนวนทหารรอบตัวดูน้อยกว่าวันอื่นอยู่พอควร ทว่ามันก็ไม่ได้สลักสำคัญกับเขานัก...เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือกระเป๋าหนังสีดำข้างตัวต่างหาก เป็นต้น ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ อย่างรับรู้ จัดผ้าปิดหน้าและผ้าโพกศีรษะให้เข้าที่ น่าจะเพิ่มคำว่า พลางลงไป จะได้ว่า ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ อย่างรับรู้ พลางจัดผ้าปิดหน้าและผ้าโพกศีรษะให้เข้าที่ สีเขียวชา ผู้วิจารณ์ไม่เคยได้ยิน แต่เคยได้ยินคำว่า สีชา หรือ สีเขียวใบชา เป็นต้น สารไม่เสียหายไม่แต่ปลายกระดาษ ปรับได้ว่า สารไม่เสียหายแม้แต่ปลายกระดาษ ดวงตาสีแดงจางที่ดูจะมีความสุขไปตลอดเวลา ปรับได้ว่า ดวงตาสีแดงจางที่ดูจะมีความสุขได้ตลอดเวลา ชายชุดดำตอบอย่างนอบน้อมแต่ก็ไม่ประจบประแจง ความเด็ดเดี่ยวมั่นคงอยู่ในดวงตา แต่จะว่าตอบก็ไม่ใช่ ยอกย้อนเสียมากกว่า ขาดความต่อเนื่องของประโยคน่าจะปรับได้ว่า แต่จะว่าตอบก็ไม่ใช่ ฟังดูเหมือนยอกย้อนเสียมากกว่า เป็นต้น ท่านนายพลพูดพลางเปิดลิ้นชักนำจดหมายที่เป็นซองสีเหลืองน้ำตาลและประทับครั่งสีแดงชาดที่ผู้เดินสารไม่ทันมองว่าเป็นลายอะไรเพราะมัวแต่ช็อกที่จู่ๆ ตัวเองกลับถูกไล่ออกจากงาน! แต่เขาไม่สน ลายที่ว่ามันก็ต้องเป็นลายโลมาล้อคลื่น สัญลักษณ์เมืองบาทรีน่าพอร์ตอยู่แล้ว!! ประโยคบางประโยคตัดฉับไม่มีความต่อเนื่อง น่าจะปรับได้ว่า ผู้เดินสารไม่ทันเห็นว่าลายที่ว่าคือลายอะไร เพราะเขามัวแต่ตกตะลึงที่จู่ๆ ก็ถูกไล่ออกจากงานเสียอย่างนั้น! แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้มันดี ลายที่ว่าย่อมเป็นลายโลมาล้อคลื่น สัญลักษณ์เมืองบาทรีน่าพอร์ตอยู่แล้วนะสิ! เด็กสาวผมสีแดงอมชมพูบ่นแว้ดเมื่อถูกสาวใช้สี่คนจับแต่งตัวทำผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ล้อมกรอบทองลายเถากุหลาบ ปรับได้ว่า เด็กสาวผมสีแดงอมชมพูบ่นแว้ดเมื่อถูกสาวใช้สี่คนจับแต่งหน้าทำผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ล้อมกรอบทองลอยเถากุหลาบ ผมสีแดงชมพูเข้มเหมือนกุหลาบเลือดเป็นลอนรวบเป็นหางม้าประณีต มีคำฟุ่มเฟือย ปรับได้ว่า ผมสีแดงชมพูเหมือนกุหลาบสีเลือดดัดลอนและรวบเป็นห่างม้าอย่างประณีต ดวงตาสองชั้นหลบในดุเหมือนเหยี่ยว ม่านตาสีชมพูวูบวาบ ใบหน้ายืดยาวด้วยคางมนรี แก้มกลมสวยทั้งๆที่ไม่ได้ยิ้ม บูดบึ้งด้วยซ้ำ ดวงตาสองชั้นหลบในดุคมเหมือนดวงตาเหยี่ยว ม่านตาสีชมพูดเปล่งประกายวูบวาบ ใบหน้าเรียวด้วยค้างมนรี แก้มกลมสวยทั้งๆ ที่ไม่ได้ยิ้มซ้ำยังปั้นหน้าบูดบึ้งเสียด้วยซ้ำ เจ้าหญิง ยังโปรดปรานกุหลาบมอญและกุหลาบมาก ประโยคดูขาดๆ ค่ะ น่าจะอธิบายหรือใส่รายละเอียดเข้าไปอีกเพื่อให้เข้าใจว่าเจ้าหญิงชอบดอกกุหลาบเป็นพิเศษไม่ว่าจะสายพันธุ์อะไรก็ตาม เช่น เจ้าหญิงยังโปรดปรานกุหลาบหลากสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบป่า กุหลาบมอญ กุหลาบหนูขอให้ขึ้นชื่อว่ากุหลาบเจ้าหญิงก็ทรงหลงใหลทั้งนั้น คำที่ไม่เข้าใจความหมาย ไหวเยือก หมายถึงอะไรคะ “แล้วผู้ติดตาม...” เด็กสาวถาม แต่ดูเหมือนใจจะไม่อยู่กับตัวแล้ว เพราะดีใจที่ในที่สุดได้การ์เดียนมาไว้ในครอบครองสักที ขาดคำสันธาน น่าจะปรับได้ว่า แต่ดูเหมือนใจจะไม่อยู่กับตัวแล้ว เพราะดีใจที่ในที่สุดก็ได้การ์เดียนมาไว้ในครอบครองสักที ทุกลมหายใจของมินเดรซ่า อีเลียตต์ เอเลนอร์ ไม่เคยมีคำว่าเรียนไหนหัว ตั้งแต่อุแว้ออกมาจากท้องแม่หรอก! สังเกตว่าคำหลังไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ค่ะ ประโยคก่อนหน้าก็เข้าใจดีอยู่แล้ว แต่พอใส่เข้ามากลับทำให้ประโยคสับสนกลายเป็นประโยคหลังดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าอยากให้มีประโยคนี้ควรสลับประโยคจะได้ว่า ตั้งแต่อุแว้ออกมาจากท้องแม่และทุกลมหายใจของมินเดรซ่า อีเลียตต์ เอเลอนอร์ ก็ไม่เคยมีคำว่าเรียนอยู่ในหัวหรอก! สุรเสียงของราชาฟังดูรื่นเริงชอบกล มันดูเป็นสุขเกินกว่าจะเป็นของพ่อผู้ที่ทำใจไม่ได้กับการที่ลูกสาวคนเดียวกำลังแปลงเป็นลูกชาย มีคำฟุ่มเฟือยคือคำว่า ‘เป็น’ ควรปรับได้ว่า สุรเสียงของราชาฟังดูรื่นเริงชอบกล มันดูสุขเกินกว่าจะเป็นน้ำเสียงของพ่อที่ทำใจไม่ได้กับการที่ลูกสาวเพียงคนเดียวต้องเปลี่ยนเป็นชาย ประกาศิตพลันจบ ที่ แล้วร่างของเขาก็ค่อยๆจางไป ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ดวงตาเป็นประกายกล้าสบตาเจ้านายอย่างเคียดแค้นเป็นครั้งสุดท้ายและก็หายวับไปจริงๆ ปรับได้ว่า สิ้นคำประกาศิต ร่างของเขาก็ค่อยๆ จางลง มือของชายหนุ่มกำแน่น ดวงตาประกายกล้าด้วยความเคียดแค้นขณะจ้องมองผู้เป็นนาย ก่อนร่างของเขาจะหายวับไปกับตา บทที่ 2 คำที่ไม่เข้าใจความหมาย เช่น สมองมัน เหงื่อตกซิก ปรับเป็น เหงื่อแตกซิก ถึงเขาจะรู้ว่าฝีมือบังคับม้าของรัชทายาทหญิงมินเดรซ่าจะเยี่ยมยอดแค่ไหน แต่เขาจะยัดเยียดหน้าที่ตัวล่อทหารให้หล่อนซึ่งเป็นหญิงได้อย่างไร ในเมื่อเขาซึ่งเป็นผู้ชายชาติทหารยังหน้าสลอนอยู่ตรงนี้ ปรับให้ลื่นไหลได้กว่านี้ เช่น ในเมื่อเขาซึ่งเป็นชายชาติทหารที่ยังยืนหน้าสลอนอยู่ตรงนี้ เด็กสาวผมแดงชักม้าให้ยืนชิด ปรับได้ว่า เด็กสาวกระตุกสายจูงให้ม้าเข้าประชิดตัว ซิลเวอร์ดูกระวนกระวายที่มันถูกพาออกมานอกวังและเจอคนมากขนาดนี้ แน่นอนมันยังไม่เคยพบคนเยอะแบบขวักไขว่ เพราะมินเดรสไม่เคยเอามันลงแข่งในสนามใดๆเลย มันยังเด็กและมีนิสัยขี้ตื่นแถมหลับยาก ดังนั้นเธอจึงไม่เคยลองเสี่ยงให้มันต้องลงแข่งม้าใดๆก็ตามหรือแม้กระทั่งเดรสสาจที่เป็นเพียงโชว์ฝีไม้ลายมือการบังคับม้าเท่านั้น เพราะมันไม่ค่อยจะคุ้ม และไม่อยากให้พวกคู่แข่งเห็นม้าที่เธออุตส่าห์สั่งตรงโซอิลด้ามาผสมและคลอดเป็นซิลเวอร์ที่นี่ เนื่องจากซิลเวอร์ถือเป็นหนึ่งในพันธุ์ม้าที่สง่างาม แข็งแกร่งทว่าหายากยิ่งกว่างมหาเพชรในปลักโคลน คลาสสิคฟรีเชี่ยนเคยถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์ช่วงสงคราม แต่ตอนนี้มีการขยายพันธุ์เพิ่มเป็น 36 ตัวจาก 3 ตัวสุดท้ายเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว(รวมพ่อแม่และซิลเวอร์เองแล้วด้วย) ประโยคที่ขีดเส้นใต้ตัดไปเลยก็ได้ค่ะ ถือว่าเป็นประโยคฟุ่มเฟือยเพราะประโยคแรกก็ทำให้เข้าใจแล้วว่าม้าตัวนี้ตื่นคนเยอะๆ และประโยคหลังยังมีประโยคซ้ำความหมายเดิมอยู่หลายที่ อยากแนะให้ผู้เขียนลองเกลาดูอีกรอบนะคะ เช่น ซิลเวอร์ดูกระวนกระวายเมื่อถูกพามานอกวังและต้องเจอกับผู้คนมากมายขนาดนี้ เพราะมินเดรสยังไม่เคยเอามันลงสนามแข่งที่ไหนมาก่อนเลย ซิลเวอร์ยังเด็กเกินไปและมีนิสัยขี้ตื่นซ้ำยังหลับยาก ดังนั้นเธอจึงไม่คิดลองเสี่ยงให้มันทำแบบนั้นแม้แต่เดรสสาจที่เป็นเพียงการโชว์การบังคับม้าก็ตามที อีกอย่างเธอไม่อยากให้คู่แข่งเห็นม้าของเธอที่อุตส่าห์สั่งตรงมาจากโซอิลด้าเพื่อผสมพันธุ์และคลอดเองกับมือ เนื่องจากซิลเวอร์มีความพิเศษตรงที่มันเป็นหนึ่งในพันธุ์ม้าที่หายากยิ่งกว่ามหาเพชรในปลักโคลนเสียอีก เพราะสายพันธุ์คลาสสิคฟรีเชี่ยนนั้นเคยถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์ไปแล้วในช่วงสงคราม แต่โชคยังดีที่มันได้รับการอนุรักษ์และถูกขยายจำนวนขึ้นจากเดิมมีเพียง 3 ตัวสุดท้ายเพิ่มเป็น 36 ตัวในปัจจุบันเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว (ซึ่งในจำนวนนั้นมีพ่อแม่และซิลเวอร์ที่รวมอยู่ด้วย) แต่ถึงอย่างนั้นม้าสายพันธุ์นี้ก็ยังหายากเกินกว่าคนปกติจะซื้อหามาใช้งานอยู่ดี บทที่สาม สิ่งที่ท่านรู้จักดีพอๆกับเงาในกระจกของคุณ ระดับสรรพนามค่ะ ปรับเป็น สิ่งที่ท่านรู้จักดีพอๆ กับเงาในกระจก แค่นี้ก็ได้ค่ะ “ผมยังไม่อยากรู้เรื่องขนมที่นายท่านชอบ ฉะนั้นผมจึงไม่รู้” เซจาตอบกวนๆ ดวงตาของเขายิ้มระยับ “หึ ที่แท้ก็ขี้อวด” เด็กสาวเบ้ปาก ประโยคนี้น่าจะเป็นขี้โม้มากกว่าค่ะ มินเดรสทำหน้าเหมือนโดนผีอำ “อี๋” เธอคราง น่าจะใช้คำบรรยายที่แสดงชัดเจนมากกว่านี้ และเสียงอี๋ น่าจะแสดงอาการรังเกียจซึ่งไม่สอดคล้องกับบทบรรยายก่อนหน้า เช่น มินเดรสทำหน้าเหยเกพลางทำเสียงไม่พอใจ “ฮึ้ย! ไหงท่านพ่อบอกว่าจะยกการ์เดียนให้ข้าตนหนึ่งล่ะ!” “...หยุดเรียกข้าว่านายท่านหรือท่านสักทีเหอะน่า มันฟังแล้วปะแล่มหูแปลกๆ” คำว่าปะแล่ม แปลว่า อ่อนๆ น้อยๆ เป็นคำวิเศษณ์ ความหมายจึงไม่สอดคล้องกับอารมณ์ของประโยค เพราะประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ฟังไม่ได้ชอบในสิ่งที่ตัวละครอีกตัวพูด ดังนั้นควรปรับเป็นว่า แสลงหู น่าจะเหมาะกว่าค่ะ มินเดรสส่งค้อนไปให้ชายหนุ่มที่บังอาจรู้ใจเธอ และเขาก็รับมันไว้ด้วยใบหน้าที่ระบายด้วยเสียงหัวเราะ ถ้าเขียนในประโยคแบบนี้ ค้อนจะกลายเป็นคำนามทันทีค่ะ ดังนั้นต้องปรับให้เป็นคำกริยาที่หมายถึงแสดงความไม่พอใจ คำว่าระบายด้วยเสียงหัวเราะมันแปลกๆ ไม่เคยเห็นใครใช้ ถ้าจะใช้ต้องเป็นว่า ส่วนเขาก็รับมันไว้ด้วยรอยยิ้มกว้างที่ระบายไปทั้งใบหน้า หรือส่วนเขารับมันไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เป็นต้น ซึ่งจะปรับได้ว่า มินเดรสค้อนใส่ชายหนุ่มที่บังอาจรู้ใจ ส่วนเขาก็รับมันไว้ด้วยเสียงหัวเราะ หรือ รับมันไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บทที่สี่ มินเดรสลูบคางอย่างหงุดหงิดในขณะที่อีกมือก็เกาหน้าท้องของเจ้าลาบราดอร์ตาสองสีที่หน้าดูมีความสุขไม่รู้ร้อนของเจ้านายตัวเองเลย เขียนตกไป ต้องเป็น ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมสีเงินหยัก เขียนตกไป หยักศก หรือเป็นลอนสวย เป็นต้น เธอเห็นแล้วส่ายหน้ายุ่บยั่บเดินต่อไปอีก ยุ่บยั่บ หมายถึงอาการเคลื่อนไหวกระดุกกระดิกของสัตว์ตัวเล็กๆ ที่มีจำนวนมาก ดังนั้นไม่ตรงกับความหมายที่จะสื่อค่ะ ตัดออกไปเลยก็เข้าใจ เขาใช้ตัวคร่อมโต๊ะไปปิดปากทำให้มินเดรสเห็นหน้าเขาชัดๆและก็เห็นว่าสมควรแล้วที่เขาเกือบถูกปล้ำ เพราะอะไรน่ะเหรอ? ความหน้าหวานของเจ้าหัวเงินเนี่ยน่ะสิ น่าจะปรับได้ว่า เขาโน้มตัวคร่อมโต๊ะเพื่อปิดปากเด็กสาวทำให้มินเดรสได้เห็นใบหน้านั้นชัดเต็มสองตา และเชื่อสนิทใจกับคำพูดของเขา เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะว่าใบหน้าของชายหัวเงินออกจากหวานหยดขนาดนี้ก็สมแล้วที่เขาเกือบจะถูกปล้ำ เขาปลดฮู้ดลงและทักทาย “ข้าชื่อเกรย์ เป็นแค่คนธรรมดา” มินเดรสสะอึกนิดหน่อยก่อนจะส่งยิ้มให้เกรย์ “คนพิเศษมักพูดตรงข้ามกับความจริงนะ คุณสีเทา” จะเห็นว่าสองประโยคไม่สมดุลกันในเรื่องการใช้สรรพนามเรียกบุคคล ดังนั้นควรปรับให้มันสอดคล้องกัน จะใช้ ข้า ท่าน เจ้า ก็ใช้ให้ตลอดการบรรยาย หรือจะใช่ คุณ เธอ ฉัน ก็ใช้ให้ตลอดการบรรยายเช่นกันค่ะ เราสี่คนจะมาประชุมไพ่พร้อมกันทุกๆวันจันทร์เต็มดวง คำขีดเส้นใต้ผู้แต่งต้องการสื่อว่าเป็นวันจันทร์ หรือว่าวันพระจันทร์เต็มดวงคะ ดังนั้นควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งอย่าให้คลุมเครือค่ะ บทที่ห้า เซจาหน้าแดงพรวดรีบหลีกหน้าทันทีโดยสัญชาตญาณ น่าจะเปลี่ยนคำกริยาดูค่ะ เช่น เซจาหน้าแดงแปร๊ดพลันรีบหันหนีตามสัญชาตญาณ ชายหนุ่มได้ยินเสียงกางเกงยีนส์เสียดสี รวมถึงลูกประคำแก้วที่ร้อยกับกระบี่ประจำตัวและเข็มขัดดังกรุ๊งกริ๊ง น่าจะเพิ่มกรรมลงไป ชายหนุ่มได้ยินเสียงกางเกงยีนส์เสียดสีกับลำตับ รวมไปถึงลูกประคำแก้วที่ร้อยกับกระบี่ประจำตัวและเข็มขัดที่กระทบดังกรุ๊งกริ๊ง รัสเซลว่าพลางดักทาง “มีเรื่องที่ข้าอยากทำในเมืองนั่น อย่าขัดข้า เจ้าหัวเงิน” ควรเปลี่ยนเป็นดักคอมากกว่า หรือ ขัดคอ หรือแย้ง หรือแทรกขึ้น เป็นต้น เขาไม่นึกเลยว่านอกจากร่างภายนอกที่เปลี่ยนไป แรงของมินเดรสจะมากขึ้นแค่ไหน แค่ตอนเป็นผู้หญิง ตบหน้าเขาจนชาได้ก็ว่าไม่ธรรมดาแล้ว คำที่ขีดเส้นใต้ดูขัดๆ น่าจะปรับเป็น แรงของมินเดรสจะมากขึ้นขนาดนี้ ข้อเสนอแนะ อยากให้ผู้แต่งใช้สีตัวอักษรเป็นสีดำน่าจะช่วยให้อ่านง่ายและสบายตามากกว่านี้นะคะ ส่วนตัวหนังสืออาจจะเล็กไปหน่อยแต่ก็ไม่เป็นปัญหามากค่ะเพราะยังสามารถขยายเองได้ รวม 80/100 คะแนน ทางผู้วิจารณ์เพียงแค่พิจารณาในบางส่วนเท่านั้น และคะแนนก็ไม่ใช่ตัวตัดสินนิยายของท่านทั้งหมด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะนำคำวิจารณ์ที่มีประโยชน์ไปปรับปรุง แก้ไขผลงานให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้นิยายเรื่องนี้ชวนอ่าน ชวนติดตามต่อไป หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย อ่านน้อยลง
wondermomo / MissSuika | 1 ธ.ค. 58
0
0
"MissSuika รับวิจารณ์นิยาย"
(แจ้งลบ)Road of Rose โครงเรื่อง (35/40) การลำดับ (20/20) ลำดับโครงเรื่องดูไม่มีปัญหาค่ะ ผู้เขียนน่าจะวางแผนให้เรื่องค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ไปเพราะผู้แต่งอ่านในช่วงแรกอยู่ค่ะ คิดว่าจากนี้ไปเรื่อยๆ นิยายเรื่องนี้คงมีพัฒนาการของเนื้อหาเพิ่มขึ้นตามลำดับ ความสนุก (15/20) ถือว่าเป็นนิยายแนวแฟนตาซีที่เน้นการผจญภัยที่ตัวละครหลักต้องเจอ อ่านแล้วก็สนุกดีค่ะ มีมุกให้ข ... อ่านเพิ่มเติม
Road of Rose โครงเรื่อง (35/40) การลำดับ (20/20) ลำดับโครงเรื่องดูไม่มีปัญหาค่ะ ผู้เขียนน่าจะวางแผนให้เรื่องค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ไปเพราะผู้แต่งอ่านในช่วงแรกอยู่ค่ะ คิดว่าจากนี้ไปเรื่อยๆ นิยายเรื่องนี้คงมีพัฒนาการของเนื้อหาเพิ่มขึ้นตามลำดับ ความสนุก (15/20) ถือว่าเป็นนิยายแนวแฟนตาซีที่เน้นการผจญภัยที่ตัวละครหลักต้องเจอ อ่านแล้วก็สนุกดีค่ะ มีมุกให้ขำได้บ้างถ้าไม่ติดตรงการบรรยายที่ทำให้สะดุดอยู่บ่อยครั้ง แต่โดยรวมแล้วเนื้อหายังไม่เคร่งเครียดเท่าไหร่ (จากที่อ่านอยู่ตอนนี้) ถือว่าเป็นนิยายที่อ่านเพลินๆ ได้เรื่อยๆ ดีค่ะ ตัวละคร (15/20) มินเดรส ผู้แต่งวางให้ตัวละครตัวนี้เป็นสาวห้าว ติดนิสัยแมนๆ มีสาวๆ กรี๊ดกร๊าดแต่ผู้เขียนยังรู้สึกถึงความสาวของตัวละครตัวนี้สูงมากค่ะ ผู้เขียนยังไม่สามารถทำให้ผู้อ่านเชื่อว่าเธอห้าวจริงในหลายสาเหตุ เช่น บทที่สองที่มีการกรีดร้องตอนเจอเซจา แล้วปาข้าวของใส่ ลักษณะแบบนี้ยังเป็นอาการของผู้หญิงที่เวลาเห็นแมลงสาบ เธอจึงได้แต่ฟึดฟัดกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด ลักษณะอาการเหล่านี้ก็ยังคงระบุว่าเธอเป็นผู้หญิงขี้หงุดหงิดด้วยเช่นกัน “เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย!” เธอหวีดร้อง ถ้าลักษณะเป็นทอมบอย ต้องปรับการบรรยายเป็น ตะโกนลั่น ตะคอกดัง โวยวายเสียงดัง เป็นต้น ขณะเดียวกันถ้าเธอห้าวจริงมีลุคทอมบอยจริงก็ไม่ควรใส่ส้นสูงสี่นิ้วนะคะ มันดูขัดแย้งยังไงชอบกล สมมติว่าเธอนิสัยห้าวจริงๆ นะคะ ลองปรับชุดให้ตัวละครตัวนี้ดูเช่น อาจจะเป็นชุดรัดรูปนี่แหละค่ะ แต่ใส่บู๊ตหนังสีดำแทนอะไรทำนองนี้ หรือบุคลิกลักษณะให้ดูเท่มากกว่านี้ และอีกข้อคือการใช้คำเรียกที่มีทั้งเจ้าหญิง เจ้าชายในคราวเดียวกันมันก็ทำให้สับสนนะคะ ถ้าระบุว่าเจ้าหญิงห้าว สาวแกร่ง สาวห้าว อะไรทำนองนี้ก็จะช่วยเดาบุคลิกของตัวละครตัวนี้ไปในทางผู้หญิงแมนๆ ได้นะคะ เซจา เปิดตัวมาทีแรกดูเป็นหนุ่มกวนๆ อยากพูดอะไรก็พูด และดูเป็นผู้นำมินเดรสนะคะ แต่บทหลังๆ คาแรกเตอร์ตัวนี้ดูอ่อนลงไปถนัดตาเลย กลายเป็นบทรองแทนแล้วมินเดรสก็ดูแกร่งขึ้น ซึ่งถ้าผู้แต่งอยากเปลี่ยนให้คาแรกเตอร์เป็นแบบนั้นก็อย่าลืมบอกสาเหตุด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นเซจาจะดูไม่สมบทบาทกับที่วางไว้ตั้งแต่แรก การใช้ภาษา (30/40) การบรรยาย (15/20) ขอเน้นไปที่บทนำนะคะ แม้ผู้แต่จะใช้คำหรูหรา สวยงามในการบรรยายเพื่อเสริมให้เกิดสุนทรียภาพขณะอ่าน แต่มันก็ไม่สามารถทำให้น่าอ่านขึ้นค่ะ เพราะการใช้คำสวยหรูเกินไปอาจทำให้ผู้อ่านต้องมานั่งตีความว่าคำดังกล่าวหมายถึงอะไร เพราะโดยส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่นิยายระดับชั้นครูหรือร้อยแก้วที่ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที ก็ไม่จำเป็นต้องใช้คำสวยหรูขนาดนี้ก็ได้ค่ะ อาจจะหรี่ภาษาลงมาหน่อยให้อยู่ในระดับปานกลางเพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านได้ทุกระดับ ไม่ว่าคนอายุน้อยๆ หรือโตแล้ว เพื่อให้เข้าใจในรอบเดียวไปเลยน่าจะดีกว่า อีกทั้งมันเป็นบทนำที่สะท้อนให้เห็นเนื้อหาโดยคร่าวๆ ถ้าเกิดว่าผู้เขียนตั้งใจเขียนให้เป็นทำนองนี้ ผู้อ่านก็จะคาดหวังว่าภาษาในบทต่อไปต้องสวยหรูตาม แต่กลายเป็นว่ามันเป็นบทบรรยายที่ไม่ได้ดูทางการได้ขนาดบทนำเลยค่ะ ดังนั้นความสมดุลของการบรรยายก็ควรตระหนักถึงด้วยนะคะ และถ้าหากปรับภาษาในบทนำให้ใกล้เคียงกับบทอื่นแล้วก็จะทำให้เกิดความสมดุลขึ้นค่ะ ส่วนในบทอื่นก็ถือว่าพอใช้ค่ะ แต่ต้องระวังให้ดีว่าผู้แต่งจะเขียนบรรยายให้เป็นรูปแบบทางการหรือเขียนบรรยายให้เป็นภาษาพูด ถ้าจะเขียนต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งค่ะ เพราะเท่าที่อ่านมาการบรรยายของผู้แต่ยังไม่สมดุลค่ะ ยกตัวอย่างเพื่อเปรียบเทียบดังนี้ เช่น เธอไม่เคยคิดว่าจะต้องออกไปตามล่านักโทษด้วยเหตุผลที่งี่เง่าที่สุดของท่านพ่อ ไม่มีเวลา! โอ้ย! พูดเหมือนเธอก็ว่างงั้นแหล่ะ ไหนจะล่าสัตว์ ไหนจะไปดูการแข่งม้า ไหนจะฟันดาบ แล้วเวลาเรียนของเธอล่ะอยู่ไหนหมดกัน ส่วนนี้เป็นการบรรยายโดยมีความรู้สึกของตัวละครแทรกเข้ามาและใช้ภาษาพูดที่เกือบจะเป็นการบรรยายโดยบุคคลที่ 1 แล้ว บรรยากาศอวลกลิ่นเกลือและเต็มไปด้วยฝูงนกนางนวลที่ส่งเสียงร้อง บาทรีน่าพอร์ตยิ่งดูเหมือนเมืองไม่รู้จักหลับด้วยการเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงและมีเรือเข้าเทียบท่าทุกๆ 7 นาที อึกทึกด้วยคนจำนวนหลักพันที่ไหลเวียนอยู่ในท่า บ้างก็กะลาสี ทหารหรือชาวประมง แม้กระทั่งนักล่าสมบัติ นักวิจัยทางทะเล เสียงดังโหวกเหวกเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เด็กน้อยที่กำลังจะนอนกลางวัน...หลับไม่ลง ส่วนนี้เป็นการบรรยายโดยใช้ภาษาค่อนข้างทางการและสละสลวยกว่าการบรรยายด้านบน จึงเกิดความไม่สมดุลกันระหว่างการบรรยายในแต่ละฉาก และการบรรยายของผู้เขียนยังมีจุดบกพร่องในเรื่องการใช้ภาษาเพื่อการบรรยายด้วยค่ะ เพราะมีประโยคไม่สมบูรณ์ให้เห็นอยู่ตลอด จึงขอชี้ตัวอย่างและแนะนำส่วนที่ต้องแก้ไขบางบทในหัวข้อการเลือกใช้คำนะคะ ความถูกต้องของหลักภาษา (15/20) ปรัศนี ? ตามความเป็นจริงหลักภาษาไทยไม่มีการใช้ค่ะ เพราะในภาษาไทยมีคำไทยที่เป็นคำถามในตัวมันเองแล้ว เช่น หรือ เหรอ หรือไม่ อะไร ที่ไหน อย่างไร แต่นอกเหนือจากนั้นก็สามารถใช้ได้ในกรณีที่ต้องการว่านี่คือการเน้นเพื่อตั้งคำถามเช่น แน่ใจว่านี่คือเค้ก? หืม? ห๊ะ? เป็นต้น การเคาะไม้ยมก การใช้ไม้ยมกมีอยู่สองแบบค่ะ แบบแรกจะนิยมใช้ในนิยายทั่วไปคือเคาะหลังไม้ยมกครั้งเดียวและพิมพ์ข้อความต่อเช่น รถคันสีแดงๆ นั่นน่ะ และแบบที่สองราชบัณฑิตยสถานกำหนดคือเคาะทั้งหน้าและหลังไม้ยมก เช่น หัวใจของเธอแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เป็นต้น ซึ่งผู้แต่งเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งตลอดการบรรยายเท่านั้นนะคะ จุดไข่เปล่า เช่น “...ต่อด้วยข้อความ” อันนี้ผู้วิจารณ์ได้รับคำแนะนำจากกองบก. ท่านหนึ่งบอกว่าโดยหลักภาษาไทย การใช้จุดไข่ปลามักจะใช้ท้ายประโยคหรือกลางประโยคที่มีการอธิบายยืดยาวและย่นประโยคให้สั้นลง หรือถ้าใส่หน้าข้อความแล้วก็ต้องใส่หลังข้อความในกรณีที่ยกข้อความมาจากที่อื่น ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องใส่จุดไข่ปลา ให้ผู้แต่งบรรยายไปว่าตัวละครเว้นระยะการพูด หรือหยุดเงียบชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อไปแทนน่าจะดีกว่าค่ะ การเลือกใช้คำ บทนำ เขาวรรคพลางลุกขึ้นยืนเช่นเดิม ตรงนี้ผู้เขียนตั้งใจเขียนให้สื่อว่าเว้นช่วงขณะพูดแล้วก็กำลังลุกขึ้นยืนใช่ไหมคะ ดังนั้นการใช้วรรคเฉยๆ อาจสื่อความไม่ครบ อาจใช้คำอื่น เช่น เว้นช่วง เว้นวรรค หยุดพูดชั่วครู่ เป็นต้น บทที่ 1 กระเป๋าสะพายข้างสีความมืด ปรับให้ดูกระชับและไม่เยิ่นเย้อ กระเป๋าสะพายข้างสีดำ สีหม่นๆ สีทึมๆ เป็นต้น ดวงตาที่โผล่ออกมาจากผ้า ดำพอๆ น้ำหมึกและคมกริบมองแต่จุดหมายข้างหน้า เมื่อใช้การเปรียบเปรยในคำแรกแล้วก็ควรเปรียบเปรยในคำต่อไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกัน เช่น ดำพอๆ กับน้ำหมึกและคมกริบดั่งดวงตาของพญาเหยี่ยวที่จดจ้องมองแต่จุดหมายข้างหน้า หินขัดมันวาบ แก้เป็น หินขัดมันวับ ความเร็วของชายปริศนาเหลือเพียงเดิน ประโยคเหมือนขาดอะไรบางอย่าง น่าจะเติมได้ว่า ความเร็วของชายปริศนาลดลงเหลือเพียงเดินอย่างช้าๆ เป็นต้น แม้มีทหารไม่มากอย่างวันราชการทั่วๆ ไป แต่ก็ไม่ค่อยแยแสเพราะสิ่งที่ดึงความสนใจเขาไปหมดนั้นคือสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าหนังดำข้างๆ ประโยคนี้อยากถามว่า ทหารมีมากน้อยส่งผลกระทบต่อตัวละครยังไงคะ ถ้าเกิดว่าเป็นการบรรยายแค่สภาพแวดล้อมไม่ได้สำคัญกับตัวละครนักก็น่าจะบรรยายได้ว่า เขาสังเกตเห็นว่า...จำนวนทหารรอบตัวดูน้อยกว่าวันอื่นอยู่พอควร ทว่ามันก็ไม่ได้สลักสำคัญกับเขานัก...เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือกระเป๋าหนังสีดำข้างตัวต่างหาก เป็นต้น ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ อย่างรับรู้ จัดผ้าปิดหน้าและผ้าโพกศีรษะให้เข้าที่ น่าจะเพิ่มคำว่า พลางลงไป จะได้ว่า ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ อย่างรับรู้ พลางจัดผ้าปิดหน้าและผ้าโพกศีรษะให้เข้าที่ สีเขียวชา ผู้วิจารณ์ไม่เคยได้ยิน แต่เคยได้ยินคำว่า สีชา หรือ สีเขียวใบชา เป็นต้น สารไม่เสียหายไม่แต่ปลายกระดาษ ปรับได้ว่า สารไม่เสียหายแม้แต่ปลายกระดาษ ดวงตาสีแดงจางที่ดูจะมีความสุขไปตลอดเวลา ปรับได้ว่า ดวงตาสีแดงจางที่ดูจะมีความสุขได้ตลอดเวลา ชายชุดดำตอบอย่างนอบน้อมแต่ก็ไม่ประจบประแจง ความเด็ดเดี่ยวมั่นคงอยู่ในดวงตา แต่จะว่าตอบก็ไม่ใช่ ยอกย้อนเสียมากกว่า ขาดความต่อเนื่องของประโยคน่าจะปรับได้ว่า แต่จะว่าตอบก็ไม่ใช่ ฟังดูเหมือนยอกย้อนเสียมากกว่า เป็นต้น ท่านนายพลพูดพลางเปิดลิ้นชักนำจดหมายที่เป็นซองสีเหลืองน้ำตาลและประทับครั่งสีแดงชาดที่ผู้เดินสารไม่ทันมองว่าเป็นลายอะไรเพราะมัวแต่ช็อกที่จู่ๆ ตัวเองกลับถูกไล่ออกจากงาน! แต่เขาไม่สน ลายที่ว่ามันก็ต้องเป็นลายโลมาล้อคลื่น สัญลักษณ์เมืองบาทรีน่าพอร์ตอยู่แล้ว!! ประโยคบางประโยคตัดฉับไม่มีความต่อเนื่อง น่าจะปรับได้ว่า ผู้เดินสารไม่ทันเห็นว่าลายที่ว่าคือลายอะไร เพราะเขามัวแต่ตกตะลึงที่จู่ๆ ก็ถูกไล่ออกจากงานเสียอย่างนั้น! แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้มันดี ลายที่ว่าย่อมเป็นลายโลมาล้อคลื่น สัญลักษณ์เมืองบาทรีน่าพอร์ตอยู่แล้วนะสิ! เด็กสาวผมสีแดงอมชมพูบ่นแว้ดเมื่อถูกสาวใช้สี่คนจับแต่งตัวทำผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ล้อมกรอบทองลายเถากุหลาบ ปรับได้ว่า เด็กสาวผมสีแดงอมชมพูบ่นแว้ดเมื่อถูกสาวใช้สี่คนจับแต่งหน้าทำผมอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ล้อมกรอบทองลอยเถากุหลาบ ผมสีแดงชมพูเข้มเหมือนกุหลาบเลือดเป็นลอนรวบเป็นหางม้าประณีต มีคำฟุ่มเฟือย ปรับได้ว่า ผมสีแดงชมพูเหมือนกุหลาบสีเลือดดัดลอนและรวบเป็นห่างม้าอย่างประณีต ดวงตาสองชั้นหลบในดุเหมือนเหยี่ยว ม่านตาสีชมพูวูบวาบ ใบหน้ายืดยาวด้วยคางมนรี แก้มกลมสวยทั้งๆที่ไม่ได้ยิ้ม บูดบึ้งด้วยซ้ำ ดวงตาสองชั้นหลบในดุคมเหมือนดวงตาเหยี่ยว ม่านตาสีชมพูดเปล่งประกายวูบวาบ ใบหน้าเรียวด้วยค้างมนรี แก้มกลมสวยทั้งๆ ที่ไม่ได้ยิ้มซ้ำยังปั้นหน้าบูดบึ้งเสียด้วยซ้ำ เจ้าหญิง ยังโปรดปรานกุหลาบมอญและกุหลาบมาก ประโยคดูขาดๆ ค่ะ น่าจะอธิบายหรือใส่รายละเอียดเข้าไปอีกเพื่อให้เข้าใจว่าเจ้าหญิงชอบดอกกุหลาบเป็นพิเศษไม่ว่าจะสายพันธุ์อะไรก็ตาม เช่น เจ้าหญิงยังโปรดปรานกุหลาบหลากสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบป่า กุหลาบมอญ กุหลาบหนูขอให้ขึ้นชื่อว่ากุหลาบเจ้าหญิงก็ทรงหลงใหลทั้งนั้น คำที่ไม่เข้าใจความหมาย ไหวเยือก หมายถึงอะไรคะ “แล้วผู้ติดตาม...” เด็กสาวถาม แต่ดูเหมือนใจจะไม่อยู่กับตัวแล้ว เพราะดีใจที่ในที่สุดได้การ์เดียนมาไว้ในครอบครองสักที ขาดคำสันธาน น่าจะปรับได้ว่า แต่ดูเหมือนใจจะไม่อยู่กับตัวแล้ว เพราะดีใจที่ในที่สุดก็ได้การ์เดียนมาไว้ในครอบครองสักที ทุกลมหายใจของมินเดรซ่า อีเลียตต์ เอเลนอร์ ไม่เคยมีคำว่าเรียนไหนหัว ตั้งแต่อุแว้ออกมาจากท้องแม่หรอก! สังเกตว่าคำหลังไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ค่ะ ประโยคก่อนหน้าก็เข้าใจดีอยู่แล้ว แต่พอใส่เข้ามากลับทำให้ประโยคสับสนกลายเป็นประโยคหลังดูฟุ่มเฟือย แต่ถ้าอยากให้มีประโยคนี้ควรสลับประโยคจะได้ว่า ตั้งแต่อุแว้ออกมาจากท้องแม่และทุกลมหายใจของมินเดรซ่า อีเลียตต์ เอเลอนอร์ ก็ไม่เคยมีคำว่าเรียนอยู่ในหัวหรอก! สุรเสียงของราชาฟังดูรื่นเริงชอบกล มันดูเป็นสุขเกินกว่าจะเป็นของพ่อผู้ที่ทำใจไม่ได้กับการที่ลูกสาวคนเดียวกำลังแปลงเป็นลูกชาย มีคำฟุ่มเฟือยคือคำว่า ‘เป็น’ ควรปรับได้ว่า สุรเสียงของราชาฟังดูรื่นเริงชอบกล มันดูสุขเกินกว่าจะเป็นน้ำเสียงของพ่อที่ทำใจไม่ได้กับการที่ลูกสาวเพียงคนเดียวต้องเปลี่ยนเป็นชาย ประกาศิตพลันจบ ที่ แล้วร่างของเขาก็ค่อยๆจางไป ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ดวงตาเป็นประกายกล้าสบตาเจ้านายอย่างเคียดแค้นเป็นครั้งสุดท้ายและก็หายวับไปจริงๆ ปรับได้ว่า สิ้นคำประกาศิต ร่างของเขาก็ค่อยๆ จางลง มือของชายหนุ่มกำแน่น ดวงตาประกายกล้าด้วยความเคียดแค้นขณะจ้องมองผู้เป็นนาย ก่อนร่างของเขาจะหายวับไปกับตา บทที่ 2 คำที่ไม่เข้าใจความหมาย เช่น สมองมัน เหงื่อตกซิก ปรับเป็น เหงื่อแตกซิก ถึงเขาจะรู้ว่าฝีมือบังคับม้าของรัชทายาทหญิงมินเดรซ่าจะเยี่ยมยอดแค่ไหน แต่เขาจะยัดเยียดหน้าที่ตัวล่อทหารให้หล่อนซึ่งเป็นหญิงได้อย่างไร ในเมื่อเขาซึ่งเป็นผู้ชายชาติทหารยังหน้าสลอนอยู่ตรงนี้ ปรับให้ลื่นไหลได้กว่านี้ เช่น ในเมื่อเขาซึ่งเป็นชายชาติทหารที่ยังยืนหน้าสลอนอยู่ตรงนี้ เด็กสาวผมแดงชักม้าให้ยืนชิด ปรับได้ว่า เด็กสาวกระตุกสายจูงให้ม้าเข้าประชิดตัว ซิลเวอร์ดูกระวนกระวายที่มันถูกพาออกมานอกวังและเจอคนมากขนาดนี้ แน่นอนมันยังไม่เคยพบคนเยอะแบบขวักไขว่ เพราะมินเดรสไม่เคยเอามันลงแข่งในสนามใดๆเลย มันยังเด็กและมีนิสัยขี้ตื่นแถมหลับยาก ดังนั้นเธอจึงไม่เคยลองเสี่ยงให้มันต้องลงแข่งม้าใดๆก็ตามหรือแม้กระทั่งเดรสสาจที่เป็นเพียงโชว์ฝีไม้ลายมือการบังคับม้าเท่านั้น เพราะมันไม่ค่อยจะคุ้ม และไม่อยากให้พวกคู่แข่งเห็นม้าที่เธออุตส่าห์สั่งตรงโซอิลด้ามาผสมและคลอดเป็นซิลเวอร์ที่นี่ เนื่องจากซิลเวอร์ถือเป็นหนึ่งในพันธุ์ม้าที่สง่างาม แข็งแกร่งทว่าหายากยิ่งกว่างมหาเพชรในปลักโคลน คลาสสิคฟรีเชี่ยนเคยถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์ช่วงสงคราม แต่ตอนนี้มีการขยายพันธุ์เพิ่มเป็น 36 ตัวจาก 3 ตัวสุดท้ายเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว(รวมพ่อแม่และซิลเวอร์เองแล้วด้วย) ประโยคที่ขีดเส้นใต้ตัดไปเลยก็ได้ค่ะ ถือว่าเป็นประโยคฟุ่มเฟือยเพราะประโยคแรกก็ทำให้เข้าใจแล้วว่าม้าตัวนี้ตื่นคนเยอะๆ และประโยคหลังยังมีประโยคซ้ำความหมายเดิมอยู่หลายที่ อยากแนะให้ผู้เขียนลองเกลาดูอีกรอบนะคะ เช่น ซิลเวอร์ดูกระวนกระวายเมื่อถูกพามานอกวังและต้องเจอกับผู้คนมากมายขนาดนี้ เพราะมินเดรสยังไม่เคยเอามันลงสนามแข่งที่ไหนมาก่อนเลย ซิลเวอร์ยังเด็กเกินไปและมีนิสัยขี้ตื่นซ้ำยังหลับยาก ดังนั้นเธอจึงไม่คิดลองเสี่ยงให้มันทำแบบนั้นแม้แต่เดรสสาจที่เป็นเพียงการโชว์การบังคับม้าก็ตามที อีกอย่างเธอไม่อยากให้คู่แข่งเห็นม้าของเธอที่อุตส่าห์สั่งตรงมาจากโซอิลด้าเพื่อผสมพันธุ์และคลอดเองกับมือ เนื่องจากซิลเวอร์มีความพิเศษตรงที่มันเป็นหนึ่งในพันธุ์ม้าที่หายากยิ่งกว่ามหาเพชรในปลักโคลนเสียอีก เพราะสายพันธุ์คลาสสิคฟรีเชี่ยนนั้นเคยถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์ไปแล้วในช่วงสงคราม แต่โชคยังดีที่มันได้รับการอนุรักษ์และถูกขยายจำนวนขึ้นจากเดิมมีเพียง 3 ตัวสุดท้ายเพิ่มเป็น 36 ตัวในปัจจุบันเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว (ซึ่งในจำนวนนั้นมีพ่อแม่และซิลเวอร์ที่รวมอยู่ด้วย) แต่ถึงอย่างนั้นม้าสายพันธุ์นี้ก็ยังหายากเกินกว่าคนปกติจะซื้อหามาใช้งานอยู่ดี บทที่สาม สิ่งที่ท่านรู้จักดีพอๆกับเงาในกระจกของคุณ ระดับสรรพนามค่ะ ปรับเป็น สิ่งที่ท่านรู้จักดีพอๆ กับเงาในกระจก แค่นี้ก็ได้ค่ะ “ผมยังไม่อยากรู้เรื่องขนมที่นายท่านชอบ ฉะนั้นผมจึงไม่รู้” เซจาตอบกวนๆ ดวงตาของเขายิ้มระยับ “หึ ที่แท้ก็ขี้อวด” เด็กสาวเบ้ปาก ประโยคนี้น่าจะเป็นขี้โม้มากกว่าค่ะ มินเดรสทำหน้าเหมือนโดนผีอำ “อี๋” เธอคราง น่าจะใช้คำบรรยายที่แสดงชัดเจนมากกว่านี้ และเสียงอี๋ น่าจะแสดงอาการรังเกียจซึ่งไม่สอดคล้องกับบทบรรยายก่อนหน้า เช่น มินเดรสทำหน้าเหยเกพลางทำเสียงไม่พอใจ “ฮึ้ย! ไหงท่านพ่อบอกว่าจะยกการ์เดียนให้ข้าตนหนึ่งล่ะ!” “...หยุดเรียกข้าว่านายท่านหรือท่านสักทีเหอะน่า มันฟังแล้วปะแล่มหูแปลกๆ” คำว่าปะแล่ม แปลว่า อ่อนๆ น้อยๆ เป็นคำวิเศษณ์ ความหมายจึงไม่สอดคล้องกับอารมณ์ของประโยค เพราะประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ฟังไม่ได้ชอบในสิ่งที่ตัวละครอีกตัวพูด ดังนั้นควรปรับเป็นว่า แสลงหู น่าจะเหมาะกว่าค่ะ มินเดรสส่งค้อนไปให้ชายหนุ่มที่บังอาจรู้ใจเธอ และเขาก็รับมันไว้ด้วยใบหน้าที่ระบายด้วยเสียงหัวเราะ ถ้าเขียนในประโยคแบบนี้ ค้อนจะกลายเป็นคำนามทันทีค่ะ ดังนั้นต้องปรับให้เป็นคำกริยาที่หมายถึงแสดงความไม่พอใจ คำว่าระบายด้วยเสียงหัวเราะมันแปลกๆ ไม่เคยเห็นใครใช้ ถ้าจะใช้ต้องเป็นว่า ส่วนเขาก็รับมันไว้ด้วยรอยยิ้มกว้างที่ระบายไปทั้งใบหน้า หรือส่วนเขารับมันไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เป็นต้น ซึ่งจะปรับได้ว่า มินเดรสค้อนใส่ชายหนุ่มที่บังอาจรู้ใจ ส่วนเขาก็รับมันไว้ด้วยเสียงหัวเราะ หรือ รับมันไว้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บทที่สี่ มินเดรสลูบคางอย่างหงุดหงิดในขณะที่อีกมือก็เกาหน้าท้องของเจ้าลาบราดอร์ตาสองสีที่หน้าดูมีความสุขไม่รู้ร้อนของเจ้านายตัวเองเลย เขียนตกไป ต้องเป็น ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมสีเงินหยัก เขียนตกไป หยักศก หรือเป็นลอนสวย เป็นต้น เธอเห็นแล้วส่ายหน้ายุ่บยั่บเดินต่อไปอีก ยุ่บยั่บ หมายถึงอาการเคลื่อนไหวกระดุกกระดิกของสัตว์ตัวเล็กๆ ที่มีจำนวนมาก ดังนั้นไม่ตรงกับความหมายที่จะสื่อค่ะ ตัดออกไปเลยก็เข้าใจ เขาใช้ตัวคร่อมโต๊ะไปปิดปากทำให้มินเดรสเห็นหน้าเขาชัดๆและก็เห็นว่าสมควรแล้วที่เขาเกือบถูกปล้ำ เพราะอะไรน่ะเหรอ? ความหน้าหวานของเจ้าหัวเงินเนี่ยน่ะสิ น่าจะปรับได้ว่า เขาโน้มตัวคร่อมโต๊ะเพื่อปิดปากเด็กสาวทำให้มินเดรสได้เห็นใบหน้านั้นชัดเต็มสองตา และเชื่อสนิทใจกับคำพูดของเขา เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะว่าใบหน้าของชายหัวเงินออกจากหวานหยดขนาดนี้ก็สมแล้วที่เขาเกือบจะถูกปล้ำ เขาปลดฮู้ดลงและทักทาย “ข้าชื่อเกรย์ เป็นแค่คนธรรมดา” มินเดรสสะอึกนิดหน่อยก่อนจะส่งยิ้มให้เกรย์ “คนพิเศษมักพูดตรงข้ามกับความจริงนะ คุณสีเทา” จะเห็นว่าสองประโยคไม่สมดุลกันในเรื่องการใช้สรรพนามเรียกบุคคล ดังนั้นควรปรับให้มันสอดคล้องกัน จะใช้ ข้า ท่าน เจ้า ก็ใช้ให้ตลอดการบรรยาย หรือจะใช่ คุณ เธอ ฉัน ก็ใช้ให้ตลอดการบรรยายเช่นกันค่ะ เราสี่คนจะมาประชุมไพ่พร้อมกันทุกๆวันจันทร์เต็มดวง คำขีดเส้นใต้ผู้แต่งต้องการสื่อว่าเป็นวันจันทร์ หรือว่าวันพระจันทร์เต็มดวงคะ ดังนั้นควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งอย่าให้คลุมเครือค่ะ บทที่ห้า เซจาหน้าแดงพรวดรีบหลีกหน้าทันทีโดยสัญชาตญาณ น่าจะเปลี่ยนคำกริยาดูค่ะ เช่น เซจาหน้าแดงแปร๊ดพลันรีบหันหนีตามสัญชาตญาณ ชายหนุ่มได้ยินเสียงกางเกงยีนส์เสียดสี รวมถึงลูกประคำแก้วที่ร้อยกับกระบี่ประจำตัวและเข็มขัดดังกรุ๊งกริ๊ง น่าจะเพิ่มกรรมลงไป ชายหนุ่มได้ยินเสียงกางเกงยีนส์เสียดสีกับลำตับ รวมไปถึงลูกประคำแก้วที่ร้อยกับกระบี่ประจำตัวและเข็มขัดที่กระทบดังกรุ๊งกริ๊ง รัสเซลว่าพลางดักทาง “มีเรื่องที่ข้าอยากทำในเมืองนั่น อย่าขัดข้า เจ้าหัวเงิน” ควรเปลี่ยนเป็นดักคอมากกว่า หรือ ขัดคอ หรือแย้ง หรือแทรกขึ้น เป็นต้น เขาไม่นึกเลยว่านอกจากร่างภายนอกที่เปลี่ยนไป แรงของมินเดรสจะมากขึ้นแค่ไหน แค่ตอนเป็นผู้หญิง ตบหน้าเขาจนชาได้ก็ว่าไม่ธรรมดาแล้ว คำที่ขีดเส้นใต้ดูขัดๆ น่าจะปรับเป็น แรงของมินเดรสจะมากขึ้นขนาดนี้ ข้อเสนอแนะ อยากให้ผู้แต่งใช้สีตัวอักษรเป็นสีดำน่าจะช่วยให้อ่านง่ายและสบายตามากกว่านี้นะคะ ส่วนตัวหนังสืออาจจะเล็กไปหน่อยแต่ก็ไม่เป็นปัญหามากค่ะเพราะยังสามารถขยายเองได้ รวม 80/100 คะแนน ทางผู้วิจารณ์เพียงแค่พิจารณาในบางส่วนเท่านั้น และคะแนนก็ไม่ใช่ตัวตัดสินนิยายของท่านทั้งหมด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะนำคำวิจารณ์ที่มีประโยชน์ไปปรับปรุง แก้ไขผลงานให้ดียิ่งขึ้นเพื่อให้นิยายเรื่องนี้ชวนอ่าน ชวนติดตามต่อไป หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย อ่านน้อยลง
wondermomo / MissSuika | 1 ธ.ค. 58
0
0
ความคิดเห็น