กล่องความทรงจำ....
"เพื่อนรัก" เป็นความหมายที่ดี แต่ทำไมถึงทำกันได้แบบนี้...
ผู้เข้าชมรวม
159
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
กล่องความทรงจำ....
ณ มหาวิทยาลัย.........
ห้องเรียนสีขาว เก้าอี้ถูกชน ผลัก ดันอย่างระเกะระกะจากนักศึกษาที่เรียนก่อนหน้าแล้ว
“เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง? ถึงบ้านกี่โมง” เสียงฝ้ายเอ่ยขึ้นก่อนลงนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆฉันที่นั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว
“เที่ยงคืนครึ่ง ไม่มีอะไร แค่ไม่มีใครคุยด้วยก็เท่านั้น” ฉันตอบ ทั้งที่ในมือยังคงถือโทรศัพท์อยู่
“อย่าคิดมากน่า ถ้าพ่อกับแม่ เขาไม่ห่วง ก็คงไม่โทรมาหากูหรอก” ฝ้ายบอก มือที่คล้ายว่าจะแตะบ่าฉัน ชะงักและชักกลับมาเสยผมยาวที่รวบไว้ซะเฉยๆ
“อืม” ฉันรับคำเพื่อนส่งๆ แล้วหันมาสนใจกับโทรศัพท์ในมือ ไม่คิดที่จะสนใจกับคำพูดที่มาจากคนข้างแม้แต่น้อย
ฉันคุยโทรศัพท์มาเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่มาถึงมหาวิทยาลัย ในช่วงว่างที่รอเวลาเข้าเรียน ในขณะนี้ได้เวลาเรียนแล้วแต่ฉันก็ยังวางมันไม่ลงสักที พี่สาวที่รู้จักกันทางเน็ตเป็นเวลา 6 ปี คือปลายสายที่คุยอยู่กับฉัน เขาบอกให้ฉันวางสายเพราะได้เวลาเรียน แต่ฉันอ้อนวอน ขอร้องให้อย่าวาง อยู่เงียบๆ เฉยๆ ไม่ต้องคุย วางสายไว้ แล้วไปทำงานโดยไม่ต้องสนใจก็ได้ แต่อย่าตัดสายฉันทิ้ง ....
เหตุที่ฉันไม่อยากให้พี่วางไป มาจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉัน เพื่อนสนิทของฉัน ที่เพิ่งทักฉันเมื่อตะกี้นี้ วันนี้ฉันรู้สึกไม่อยากเจอ เคว้งคว้าง โดดเดี่ยวไม่มีใคร ไม่พอใจ และไม่อยากให้เขามาอยู่ใกล้ฉันเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ติวเตรียมสอบกันไปได้ 1 ชั่วโมงอาจารย์ก็บอกคะแนนเก็บเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าแต่ละคนต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือกันมากน้อยเพียงใดและยังเป็นการเช็คชื่อไปพร้อมๆกัน
ฉันเป็นคนแรกที่เดินออกจากห้อง หลังจากที่ขานชื่อไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่สนใจว่าอาจารย์จะมองอยู่หรือไม่ ไม่สนใจเพื่อนอีกคนว่าจะเดินตามมาหรือเปล่า ไม่แม้แต่จะหันไปมอง ....
.....เจ็บ..... เจ็บมาก.....ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ....
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนที่คบกันมา เรียกได้ว่าเกือบจะ10 ปี สามารถทำกันได้ขนาดนี้ บรรยายไม่ถูกเลยว่าเป็นอารมณ์แบบไหน ยังไง รู้แต่ว่าไม่อยากพบ ไม่อยากเจอ ไม่อยากคุยไม่อยากรู้จัก และไม่สนใจในตัวมันอีกแล้ว......
ขณะที่นั่งรถกลับบ้าน
ไอเย็นจากแอร์บนรถตู้ปรับอากาศทำงานด้วยประสิทธิภาพอย่างดี ทำให้ฉันเริ่มเย็นลงได้บ้างจากที่เป็นมาถึงแม้ว่าตอนนี้ เขาคนนั้นยังนั่งอยู่ข้างฉันก็ตามที ฉันยอมตัดสายจากพี่ที่คุยอยู่ด้วยกันตลอดเวลาที่ผ่านมา เพราะพี่เขาต้องเข้าประชุมด่วน.... หลับตาลงอย่างอ่อนล้า เพียงฉับพลันภาพเรื่องราวต่างๆ จากเมื่อวานก็เลื่อนเข้ามาในโซนประสาทเป็นฉากๆ แทนความมืดมนจากการหลับพักสายตา ....
เวลา 17.30 น. ของเมื่อวาน
ฉัน ฝ้ายและนันน้องชายของฝ้าย เราทั้ง 3 ไปดูหนังกันที่เมเจอร์ โดยมีเพื่อนของฝ้ายอีก 2คนรออยู่ที่นั่น หนังฉายรอบทุ่มตรง เกือบ 2 ชั่วโมงหลังจากดูหนังกันเรียบร้อยแล้ว เรา 3 คน ก็แยกกับเพื่อนฝ้ายอีก 2 คนเพราะต่างคนต่างกลับ
ฉัน ฝ้ายและนัน จะกลับพร้อมกัน เนื่องจากเย็นนี้ฝ้ายจะมาบ้านฉัน เพราะพ่อ-แม่ของฝ้ายไม่อยู่บ้าน กว่าจะกลับก็อาจจะเกือบ 5 ทุ่ม เที่ยงคืน ท่านทั้ง 2 จึงให้ฝ้ายกันนันมาอยู่บ้านฉันก่อน แล้วจะมารับกลับ เราทั้ง 3 ออกมามารอที่ป้ายรถเมล์ตอนเวลาใกล้ๆ 3ทุ่ม อยู่ๆฝ้ายก็บอกกับฉันว่า
“เฮ้ย...เดี๋ยวกลับบ้านเลยนะ พ่อกับแม่กลับมาถึงบ้านแล้ว ท่าว่าเราต้องโดนด่าแน่แก”
“อืม” ฉันรับคำก่อนจะมองหารถกลับอย่างลนๆ รู้สึกกังวัลอย่างมาก ก็ไม่ได้บอกแม่ไว้ด้วยว่าจะมาดูหนัง ตอนแรกคิดว่าจะนั่งแท็กซี่กลับกัน เพราะเราไปกับ 3 คน แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้แล้ว พลันสายตาก็มองเห็นรถสายหนึ่งฉันจำได้ว่า รถสายนี้ผ่านงามวงศ์วาน และสามารถนั่งไปลงที่คิวรถตู้ที่ฉันจะกลับบ้านได้ฉันจึงเอ่ยลาฝ้ายและนัน ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“งั้นเนียร์ไปก่อนนะ รถตู้มันหมด 3 ทุ่มเดี๋ยวไม่ทัน พรุ่งนี้ค่อยเจอกัน” ฉันพูดพลางโบกมือลา
“เออ...กลับบ้านดีๆนะแก” ฝ้ายตอบกลับ
นี่ก็ 3 ทุ่มกว่าแล้วกลับบ้านไปแม่ต้องว่าแน่เลย แล้วจะบอกแม่ว่าไงละทีนี้ ในใจก็คิดคำแก้ตัวไว้มากมาย เอาวะ...โกหกนิดๆหน่อยๆ คงไม่บาปนัก
เอ๊ะ...แล้วทำไมป่านนี้มันยังไม่ถึงซะทีล่ะ 3 ทุ่มครึ่งแล้วนะนี่ พะวงหน่อยๆมีความรู้สึกแล้วล่ะว่า นั่งรถผิดแน่ๆ ด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อนฉันจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาเพื่อนสาวของฉัน....
“ไงแก...ถึงไหนแล้ว” ฉันกรอกเสียงถามทันทีที่เพื่อนรับโทรศัพท์
“เกือบถึงแล้ว พ่อมารออยู่ที่เดิมแล้ว” ฝ้ายตอบ
“แล้วแกล่ะ ถึงไหนแล้ว” ปลายสายเอ่ยถามกลับมา
เออ...จริงถามทางเลยดีกว่า...
“เฮ้ย...รถที่แกนั่งเลี้ยวไปทางไหนวะ ของเราเลี้ยวซ้ายรึว่ามันอ้อม...”ฉันถาม
“เปล่า เลี้ยวซ้ายมันไปไหนไม่รู้”
อ้าว ....ซวยแล้วทีนี้ นั่งรถผิด ทำไงดีนี่ ตายๆๆๆ จะถึงบ้านกี่โมงล่ะนั่น
“รถที่แกนั่งมันไม่ผ่านคิวรถนะ แกนั่งผิดแล้วล่ะ” ฝ้ายบอกกลับมา ถ้าฉันหูไม่ฝาดฉันได้ยินฝ้ายหัวเราะเบาๆ หลังจากที่เงียบไปก่อนพูดประโยคหลังออกมา
“ทำไงดีอะ” ฉันถามกลับ ไม่เคยกลับบ้านดึกๆคนเดียวแบบนี้ รู้สึกใจหายยังไงก็ไม่รู้
“ไม่รู้ เอาเป็นว่าแกก็ลงรถ แล้วก็หาทางกลับมาที่เดิม จากนั้นก็นั่งรถมาคิวรถตู้แก” ฝ้ายบอกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ เย้ยหยันน้อยๆ
“แล้วจะให้นั่งอะไรล่ะ” ฉันตื่นเต้นจนประสาทไม่สั่งงาน คิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“จะไปรู้แกเหรอ เราไม่รู้เหมือนกัน ก็ลงมันป้ายรถเมล์แถวๆนั่นแหละ เออ...จะลงรถแล้วแค่นี้นะ”พูดจบฝ้ายก็วางสายทันที
มึนไปเลยฉัน.....ให้นั่งรถอะไรกลับล่ะนั่น ตรงนี้มันที่ไหนก็ไม่รู้ อะไรกัน ทำไมต้องวางสายใส่กันแบบนี้ด้วย ฉันรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก อะไรกัน เพื่อนหลงทางนะ แล้วทำไมถึงเป็นไม่รู้ร้อนแบบนี้ ไม่ห่วงกันบ้างเลยรึไงกัน ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นกับฉันจะทำยังไง ไม่ห่วงเพื่อนกันบ้างเลยเหรอ ฉันคิดอยู่นาน จนท้ายที่สุดฉันก็ตัดสินใจโทรกลับไปที่บ้าน
“แม่...เนียร์นะ” เสียงฉันอ่อยลงอย่างอัตโนมัติ หลังจากที่มีคนรับโทรศัพท์
“อยู่ไหนแล้ว” แม่ถามกลับอย่างรวดเร็ว
“อยู่บนรถ ท่าทางว่าเนีร์จะนั่งรถผิด”
“ไปไหนมา” แม่ถาม
“ไปดูหนังกับฝ้ายมา 134 ก ไปบางกะปิใช่ปะ”
“คุยกับพ่อเองแล้วกัน” แม่ว่า ก่อนยื่นโทรศัพท์ให้พ่อ
“ตอนนี้อยู่ไหน” พ่อถาม
“น่าจะอยู่แถวลาดพร้าวมั้งนะ134ก ไปบางกะปิ ใช่ไหม”ฉันตอบเสียงอ่อย พร้อมถามย้ำไปอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“ทำไมไม่โทรหาพ่อก่อน แล้วนี่อยู่กับใคร” พ่อเอ๊ดก่อนถามต่อ
“เพิ่งนั่งรถมาตอนนี้อยู่คนเดียว แยกกับฝ้ายแล้ว”
“กลัวมั้ย จะให้ไปรับรึเปล่า” น้ำเสียงที่พ่อถามมาอย่างห่วงใยจนฉันรู้สึกผิด ที่ไม่ยอมบอกว่าจะมาดูหนัง
“ไม่ต้องหรอก มันไปบางกะปิใช่ปะล่ะ เดี๋ยวนั่งรถตู้ย้อนกลับมาก็แล้วกัน” ฉันบอก
“มีอะไรก็โทรมานะ” พ่อบอก
“อืม...แค่นี้นะ”
พ่อโทรมาเช็คฉันอีกทีตอนที่ฉันนั่งรถตู้กลับมางามวงศ์วาน ก่อนพ่อจะวางพ่อบอกว่า ใกล้ถึงแล้วให้โทรหาพ่อรอบนึง เพื่อที่พ่อจะได้ไปรอรับ แต่ฉันบอกพ่อไปว่าไม่ต้อง เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะนั่งรถไปลงตลาดบางใหญ่จากนั้นพ่อค่อยมารับที่นั่นก็ให้พ่อมารับที่นั่นเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันแน่ หรืออาจเป็นบทลงโทษที่ฉันโกหกบุพการีก็เป็นได้ โทรศัพท์ของฉันแบตหมดชนิดที่ว่าเปิดเครื่องใหม่ไม่ได้เลยทีเดียว ทั้งๆที่ปกติ ปิดเครื่องไว้ 15 นาทีก็จะเปิดใหม่ได้ถึงจะไม่นานเท่าไหร่ แต่ก็ยังพอจะคุยกันรู้เรื่อง...
.....ไม่มีรถเลย....
ฉันยืนรอได้เกือบ 10 นาทีแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่า ตลอดเวลาที่ฉันยืนรอรถนั่น ไม่มีรถตู้ผ่านมาเลยสักคัน ทั้งที่รถตู้บ้านฉันวิ่งตลอดคืน จนในที่สุดฉันก็เดินไปหยอดเหรียญโทรศัพท์สาธารณะบอกพ่อว่า รถมันหมดแล้วไม่มีผ่านมาเลย โทรหาพ่อให้ท่านออกมารับ
ฉันกลับมาถึงบ้านเที่ยงคืนครึ่ง ไม่น่าเชื่อเลย สิ่งที่ฉันได้ยินจากที่แม่เล่าให้ฟังจะเป็นจริงไปได้....
“แม่โทรหาฝ้ายแล้ว ฝ้ายตัดสายแม่ทิ้ง แม่ไม่เข้าใจทำไมฝ้ายทำแบบนี้”
“บอกเลยนะว่าไม่ชอบใจเอามากๆ ไปด้วยกัน ทำไมไม่กลับมาด้วยกัน”
“ทำไมต้องปล่อยให้เนียร์นั่งรถหลงไปถึงนู่นโดยไม่บอก”
ฉันตัวชาไปนานทีเดียวกับสิ่งที่แม่กล่าว นี่เหรอเพื่อนรักของฉัน... ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกมากนาน ไม่คิดไม่เชื่อเลยในสิ่งที่แม่บอก จนกระทั่ง ‘ฟ้า’ เพื่อนอีกคนที่สนิทกันตั้งแต่ประถม โทรมาหาฉัน เมื่อฉันกลับถึงบ้านได้ 5 นาทีฟ้าเล่าให้ฉันฟังว่า......
ฝ้ายรู้ว่ารถสายนั่นไม่ผ่านงามวงศ์วาน แต่ฝ้ายก็ปล่อยให้ฉันนั่งไปโดยที่ไม่บอก
“กูเบลอๆว่ะ” นี่คือประโยคที่ฝ้ายบอก เมื่อฟ้าถาม
“กูบอกมันแล้ วแต่มันไม่เชื่อกูเอง” ฝ้ายตอบเมื่อฟ้าถามว่าทำไมไม่บอกฉัน ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามาไม่ได้
“ใช่...” ฉันตอบฟ้า จริง! เพราะฝ้ายบอกว่า ‘มันไปไม่ถึง’ เมื่อฉันชวนเธอขึ้นรถมาด้วยกัน ฉันถามฟ้ากลับนะ ว่า ‘มาไม่ถึง’ กับ ’มาไม่ได้’ มันต่างกันมากมั้ย ยอมรับว่า รับไม่ได้มากยิ่งขึ้นเมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจากฟ้าที่เล่ามา
คืนนั้นฉันไม่ได้นอน พอๆ กับที่ฟ้าไม่ได้นอนฉันร้องไห้กับเขาทางโทรศัพท์ ตัวเขาก็ยินดีที่จะอยู่เป็นเพื่อนฉัน....ฟังสิ่งที่ฉันระบายออกมา แม้ว่าเขาจะง่วงเพียงใด
นี่เหรอคำว่า ‘เพื่อน’ ระยะเวลาที่ผ่านมา 8 ปีร่วมทุกข์ ร่วมสุข สนุกกันมา ทำไมถึงกลับกลายเป็นแบบนี้ เราอยู่ด้วยกันทุกวันกินข้าวด้วยกัน ไปเที่ยวไปนอนที่บ้านด้วยกันบ่อยๆ แล้วนี่เหรอคือสิ่งตอบแทนที่ได้รับกลับมา จากความหมายของคำว่า ‘เพื่อน’
“ก็มัวแต่ทำตัวเป็นติดพ่อ ติดแม่อยู่แบบนี้ แล้วจะรู้อะไรล่ะ”
“ไปกับเพื่อนละไปไม่ได้ แต่กับครอบครัวนี้ไปจัง”
“ไปเชื่ออะไรมากมายกับพ่อแม่ ชีวิตเป็นของตัวเองนะ หัดทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างสิ”
“ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างเหอะ ชวนไปไม่เคยไปด้วยทุกที”
“ระวังจะไม่ทันคนล่ะ แล้วเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนกัน...”
จู่ๆ คำพูดและประโยคต่างๆ ที่ฝ้ายเคยพูด เคยบอกกับฉันทั้งด้วยการประชด หรืออะไรก็ตามทีก็ได้แล่นขึ้นมาในความคิดทันที นี่หรือเปล่าเป็นสิ่งที่ฝ้าย ต้องการที่จำทำให้ฉันได้รู้ว่า...
ถ้าไม่ไปกับเพื่อนก็จะเป็นแบบนี้ ก็เลยจงใจที่จะแกล้งให้ฉันหลงทาง และหาทางกลับบ้านเอง ส่วนตัวเองก็คอยยิ้มเยาะ เก็บความสะใจไว้คนเดียว ฉันมองโลกในแง่ร้ายมาไปรึเปล่า .....
มันอาจไม่ใช่ หรือ อาจจะใช่ก็ได้
‘ไม่รู้สิ แม่จำไม่ได้แล้ว.....’
นี่เป็นประโยคที่แม่พูดไว้ ยามที่ฉันให้ท่านเล่าเรื่องราวทั้งหมด ที่แม่ได้คุยกับฝ้าย ...... ฉันไม่เชื่อเหรอว่าแม่จะจำไม่ได้ ฉันคิดว่าแม่คงไม่อยากจะพูดมากกว่า ท่านคงไม่อยากพูดถึงอีก ท่านคงไม่อยากบอกฉันใหรับรู้มากกว่า ไม่แน่นะ สิ่งแม่ไม่ได้พูดออกมา อาจจะเป็นคำตอบที่ฉันอยากรู้มากที่สุด ว่าทำไม ฝ้าย ถึงได้ทำกับฉันแบบนี้......
นี่ก็ 2 ปีผ่านมาแล้วสำหรับเหตุการณ์ครั้งนั้นที่เกิดขึ้น ฉันไม่เคยลืมมันเลย
ณ เวลานั้น จน ถึงทุกวันนี้ ฉันก็ยังคิดอยู่เสมอว่า ทำไมฝ้ายทำอย่างนี้ ......
....ถ้าฝ้ายบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมฝ้ายไม่ห้ามฉัน เมื่อฉันจะขึ้นรถสายนั้น ....
....ถ้าเขาเป็นห่วงฉัน ทำไมถึงไม่โทรถามว่าฉันเป็นอย่างไรบ้าง ถึงบ้านรึยัง ....
....ถ้าฝ้ายไม่คิดจะแกล้งฉัน ทำไมมือที่เอื้อมมาจะจับไหล่ฉันวันนั้น ถึงได้ชะงักไปและหลังจากวันนั้น ทำไมฝ้ายถึงหลบตาฉันทุกครั้งที่ฉันมอง และพูดกับเธอ.....
นับจากวันนั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่สามารถที่จะรู้สึกกับฝ้ายเหมือนเดิมได้อีก ฉันออกห่างจากเขา ไม่โทรหาเขาไม่ไปไหนกับเขา เจอหน้ากันก็ทักทายตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งเลยแค่การมองหน้าแล้วเดินผ่านไป
ผลงานอื่นๆ ของ ลายเส้น ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ลายเส้น
ความคิดเห็น