ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Until The End Of Time

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ Open screen ม่านดาราที่ถูกเปิดกับความฝันสีเพลิง

    • อัปเดตล่าสุด 26 ต.ค. 50



                 

    ประกายไฟสีเข้มที่ซักสาดและโอนอ่อนไหวต่อสายลมแว่ว กลิ่นคาวเลือดชวนคลื่นเหียนฉาบทั่วทุกย่างก้าวที่เดินผ่าน สายธารโลหิตไหลนองหยาดลงสู่พื้นดินกับร่างไร้วิญญาณนับคณานอนเกลื่อนอย่างทรมาน...เจ็บปวด ราวกับเส้นด้ายบางแห่งชีวิตถูกปลิดด้วยคมของดาบและไกปืนท่ามกลางความพิโรธแห่งเทพอัคคี

     

    ร่างเล็กเดินฝ่าเปลวเพลิงสีเข้มสะท้อนประกายแดงแสดไล้เลียใบหน้าอ่อนเยาว์ ฝ่ามือบอบบางกำด้ามดาบคมแน่น ดวงเนตรน้ำเงินไพลินอันงดงามชุ่มนองด้วยหยาดอัสสุชลที่หลั่งริน

     
               ทำไม...ต้องฆ่าคนล่ะ?
     

    ทำไม...ต้องต่อสู้กันด้วย?

     

    ทำไม…เพราะอะไร...เพราะอะไรถึงลงท้ายแบบนี้...?

     

    ...หรือ...

     

    มันเป็นเพราะเรา...เพราะเราคนเดียว...

     

     มณีสีน้ำเงินบทดวงหน้าแข็งกร้าวขึ้น ย่างก้าวเล็กๆที่ผ่านตามเปลวเพลิงห้อมล้อม...ราวกับถาดโถมความเจ็บปวด ...หนัก...บ่าบอบบางของเด็กชายที่ไม่อาจจะทนแบกรับอะไรได้ต่อไปอีก...ก้าวเดินเหยียบย่ำความระทมตามรอยเท้าสายตามุ่งมองไปอย่างข้างหน้านึกชิงชังในชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง

     

        ริมฝีปากบางขยับพึมพำไร้เสียงลอด ลำแสงแปลบปลาบบาดนัยน์ตาพวยพุ่งออกมาจากปลายด้ามดาบเงินพิสุทธิ์สลักลายอักขระโบราณส่องสะท้อนแสงกับเปลวเพลิงสีแดงเข้ม...ราวกับแสงโลหิต...

     

         ปลายดาบลงปักกับพื้น ชั่วพริบตาแสงสว่างสะอาดก็ส่องสะท้อนออกมาจากรอยปริของดินครอบคลุมอาณาเขตทั่ว...ความตายอยู่ใกล้เพียงแตะปลายจมูก...

     

    แสงสว่างสีสะอาดค่อยแผ่วจางตามแรงเพลิง ประกายไฟสีแดงสะท้อนสีขาวจากปลายดาบตัดกับ...หยาดโลหิต...ที่ไหลนองแทบเท้าเล็กๆ เด็กชายก้มลงมองดูร่างไร้วิญญาณนับสิบที่ตนเป็นผู้กระทำ...ทำลงไป...เพราะแค้น? เพราะปกป้อง...ชีวิตตัวเอง?...ชีวิตคนอื่น?

     

    หรือเป็นเพราะเธอ...

     

    นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มตวัดมองปลายดาบชุ่มรอยเลือด...หยาดน้ำสีแดงเข้มรินรดลงจากปลายดาบลงสู่พื้นทีละหยด...ทีละหยด...ราวกับน้ำตา...น้ำตาที่ไหลรินจากพืนน้ำ...พืนน้ำยามรัตติกาลที่ไหวระริก...ความเจ็บปวดหลั่งรินออกจากนัยน์ตา...

     

       ฝ่ามือเล็กปล่อยดาบออกข้างตัวก่อนร่างบอบบางทรุดลงกับพื้น ดวงหน้าหวานอ่อนเยาว์เงยหน้ามองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มสะท้องประกายแดง...ราวกับท้องนทีที่ปาดป้ายด้วยสีเลือด...เสียงร้องไห้ระงมกับร่างที่สั่นเทา...กอดตัวเองท่ามกลางน้ำตา...กอดตัวเอง...เพราะอยู่เพียงตัวคนเดียว...ความมืดมิดกลืนกินทุกสิ่ง...ความระทม...ตราบาป...กัดกินหัวใจ...

     

     เอ๋ !? เป็นอะไรไปไม่ร่าเริงเลยนะ?

     

     ยิ้มหน่อยสิคะ...บลิทซ์

                   

     ดวงเนตรสีไพลินมณีเปิดขึ้นเพื่อหลุดจากห้วงนิทรารมย์...ฝันร้าย ร่างสูงของชายวัย สิบหก เหยียดกายขึ้นจากที่นอนก่อนจะทิ้งตัวเอนพิงกับหมอนแรงๆ ฝ่ามือยกขึ้นเสยเส้นผมสีดำขลับที่เลื่อนลงมาปรกใบหน้าคมคายจนสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นของหยาดเหงื่อที่ไหลซึมเปียกเรือนผม เสียงลมหายใจพ่นเบาบางออกจากริมฝีปากก่อนจะกดเปลือกตาแน่น

     

    “ฝัน…ถึงเรื่องนั้นอีกแล้วเหรอ” ถ้อยคำน้ำหนักบางเบาราวกับไร้เสียง ดวงหน้าคมซบลงกับฝ่ามือปล่อยน้ำใสไหลรินออกจากนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับไพลินมณีที่แสนงดงาม...ที่เปรอะเปื้อนรอยน้ำตามาตลอด 2 ปี...หากแต่ก็ไม่อาจจะชดเชยบาปที่กระทำได้...

     

     ถ้อยคำสวดภาวนาอย่างแผ่วเบาแกจากริมฝีปากบางราวกับไม่อย่างให้คนข้างกายที่อยู่ในห้วงภวังค์ได้ยิน เสียงบทสวดอันไพเราะ…แต่ทั้งที่เพราะถึงขนาดนั้น …ทำไมถึง...กลับฟังดูเจ็บปวดดุจคำสวดที่ร้องขอความเมตตาเพื่อชดเชยบาปในอดีต...

     

     ดวงหน้าอ่อนเยาว์เมินหนีจากภาวะในห้องก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย…ไร้ซึ่งหนทาง…และความหวัง

                   

    หากแต่...ในตอนนั้น…หลังจากห้วงภวังค์แห่งฝันร้าย…ทำไมนะ…ทำไม...เรารับรู้ถึงแสงสว่างที่แสนอบอุ่นในความมืดมิดนั้น? ทำไมถึงได้ยินเสียงหวานอ่อนโยนที่เหมือนกับจะคุ้นเคยนักทั้งๆทีไม่เคยได้ยินมาก่อน?แล้ว…ทำไมเราถึงได้รู้สึกถวิลหาเรียกร้องอะไรบางอย่างจากดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกันนะ…

     

      ไม่เข้าใจเลย?

     

     

     ถ้าหากในสมัยที่วิทยาศาสตร์ล้ำพัฒนาก้าวไกลเกินกว่ามวลมนุษย์สามัญจะหยั่งถึง เกิดมีคำถามคำหนึ่งที่อยากจะถาม…

     

     เชื่อเรื่องผู้ใช้เวทมนตร์ไหม?

     

     ซึ่งรู้ทันทีว่าหลังจากที่เอ่ยคำถามนั้นสิ่งที่จะหลุดออกจากปากแทนที่จะเป็นคำตอบนั้นเองก็กลับเป็น ‘เสียง’หัวเราะขบขันราวกับเห็นเป็นเรื่องตลกหาสาระแทบไม่ได้…แต่ได้โปรดเชื่อเถอะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง...

     

     

    85 ปีก่อน เมื่อใกล้จุดสิ้นสุดยุคของปีศักราช กลียุคที่วิทยาศาสตร์อารยธรรมได้เจริญรุ่งเรืองสุดจะพรรณนา ความสะดวกสบายหลั่งไหลเข้ามาสู่เหล่ามนุษยชนจนสิ่งที่เรียกว่า ‘มนุษย์จักรกล’ นั้นคือปัจจัยหลักที่ห้า  แต่หารู้ไม่ว่าความหมายในสิ่งงดงามของบทประพันธ์ที่ชื่อว่า ‘วิทยาศาสตร์’ แล้วมันก็เหมือนกับกระจกสองด้านที่มีทั้งด้านที่ส่อง ‘แสงสว่าง’ และ ‘ความมืด’ เหมือนกัน

     

    มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าสิ่งรอบตัวพัฒนาล้ำหน้าแต่สิ่งที่สิ่งที่อยู่ภายในตัวเองกับหยุดอยู่นิ่งหรือถดถอยลง...สิ่งที่อยู่ภายในเรียกจิตใจ...ความสำนึก  โลกสีครามอันบริสุทธิ์ค่อยถูกกลืนหายด้วยคลื่นเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

    การกระทำที่เห็นแก่ส่วนตนโดยไม่ใส่ใจกับสิ่งที่พระเจ้าประทาน กับสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าภาคภูมิใจมากที่สุด...ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ใกล้หมดสิ้นจากการนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์อย่างไม่รู้จักพอและนั่นคือการทำลายล้างโลกทางอ้อม               

    มนุษย์หาความสะดวกสบายอย่างไม่นึกกริ่งเกรง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปลูกสร้างขึ้น ทัศนีย์ทดแทน สมองจักรกล…หรือแม้แต่…ชีวิต...

    พระผู้เป็นเจ้าถ้าหากพระองค์สร้างสติปัญญาความสามารถของมนุษย์อย่างไร้สิ้นสุดแต่ไร้จิตใจที่จะรักสิ่งรอบข้าง…แล้วพระองค์จะทรงสร้างเศษสวะชั้นสูงนี้ขึ้นมาทำไม? พระองค์...มิคิดจะหยุดยั้งหรือ ลบล้าง สิ่งเหล่านี้เหมือนเมื่อครั้งกาลก่อนบ้างเลยงั้นหรือ            

    คำถามไร้ซึ่งคำตาบใดๆที่ในใจของใครหลายคนเอ่ยถาม...ถ้อยคำภาวนา...หายจางด้วยความสิ้นหวัง...

     

    และคำตอบ…คำตอบที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานคำตอบผ่านทางกุญแจดอกสุดท้ายแห่งทางรอดของมวลมนุษย์ กุญแจดอกสำคัญที่จะไขประตูแห่งทางรอด ผู้สร้างถ้อยคำภาวนา...ที่เริ่มใหม่ด้วยความหวัง...แห่งชีวิตของโลกสีคราม...

     

     

                   

      เซเรส ซีซัส 

     

     

    เด็กหนุ่มวัยสิบแปดจากตระกูลชนชั้นสูงตระกูล ‘ซีซัส’ ที่ลุกขึ้นกล้าประกาศบุคคลในเงามืดที่ไร้ซึ่งตัวตนในสังคมที่มีอยู่บนโลกนี้  ผู้ขอยืมอำนาจลึกลังแห่งธรรมชาติ ใช่…อย่างทุกคนเข้าใจและอย่างที่ทุกคนรู้…บุคคลที่สามารถบัลดาลสิ่งอัศจรรย์ที่วิทยาศาสตร์มิอาจจะรุกล้ำสิ่งที่เรียกว่า…

     

    ผู้ใช้เวทมนตร์

     

    การเคลื่อนไหวทุกอย่างของเหล่าผู้ใช้อำนาจได้ผ่านการจัดตั้ง…การจัดตั้งองค์กร เพื่อพัฒนาด้านการผสมผสานสองสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญแห่งสองฝ่าย และนั่นคือการผนวกเวทมนต์กับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน …องค์กรรูนจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์เหล่านั้น

     

    ถ้าหากวิทยาศาสตร์หยิบยืมธรรมชาติไว้เพื่อให้โลกก้าวพัฒนา…เวทมนตร์เองก็คือสิ่งที่คอยเกื้อค้ำจุนเพื่อไม่ให้ธรรมชาติสูญสลายไปเช่นกัน

     

     

    ………………………………………….

     

    เรื่องเมื่ออดีตคืออดีต และ ปัจจุบันนี้ก็คือปัจจุปัน เพราะตอนนี้…คือปี A.P.ที่ 85 เป็น 85ปีหลังจากการปรากฏตัวให้โลกรับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวตน...แสงสว่างแห่งชีวิตได้เจิดจรัสและทอดแสงประภาสแห่งธารชีวิตใหม่อีกครั้ง ราวกับมือหนึ่งที่หยิบยื่นความหวังมาสู่ที่มืดมิด แสงทองแห่งการเริ่มต้นก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง

     

    ศักราชใหม่... ALPHA...

     

    …แต่แสงสว่างก็ย่อมมีเงามืด ยิ่งแสงสว่างมีมากเท่าไรเงาก็ยิ่งทอดยาวมากขึ้นเท่านั้น...สิ่งที่เกิดจากหายนะครั้งใหญ่...การทำลายล้างมนุษย์ด้วยน้ำมือมนุษย์...มวลมณีที่ส่องสว่างที่สุดในหมู่ดาว อิกดราซิล…

     

     

    และในวันนั้น...แสงสว่างแสงใหม่...จากเปลวเทียนเบาบางที่ใกล้จะมอดดับด้วยสายลมระทมตรอม...แสงสว่าง...จากท้องนภา...ราตรีที่แสนอบอุ่น...ไร้ซึ่งความเยียบเย็น...

     

    วันนั้น...คือวันที่ชีวิต...จะส่องประกายอีกครั้ง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×