คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ Open screen ม่านดาราที่ถูกเปิดกับความฝันสีเพลิง
ประกายไฟสีเข้มที่ซักสาดและโอนอ่อนไหวต่อสายลมแว่ว กลิ่นคาวเลือดชวนคลื่นเหียนฉาบทั่วทุกย่างก้าวที่เดินผ่าน สายธารโลหิตไหลนองหยาดลงสู่พื้นดินกับร่างไร้วิญญาณนับคณานอนเกลื่อนอย่างทรมาน...เจ็บปวด ราวกับเส้นด้ายบางแห่งชีวิตถูกปลิดด้วยคมของดาบและไกปืนท่ามกลางความพิโรธแห่งเทพอัคคี
ร่างเล็กเดินฝ่าเปลวเพลิงสีเข้มสะท้อนประกายแดงแสดไล้เลียใบหน้าอ่อนเยาว์ ฝ่ามือบอบบางกำด้ามดาบคมแน่น ดวงเนตรน้ำเงินไพลินอันงดงามชุ่มนองด้วยหยาดอัสสุชลที่หลั่งริน
ทำไม...ต้องฆ่าคนล่ะ?
ทำไม...ต้องต่อสู้กันด้วย?
ทำไม เพราะอะไร...เพราะอะไรถึงลงท้ายแบบนี้...?
...หรือ...
มันเป็นเพราะเรา...เพราะเราคนเดียว...
มณีสีน้ำเงินบทดวงหน้าแข็งกร้าวขึ้น ย่างก้าวเล็กๆที่ผ่านตามเปลวเพลิงห้อมล้อม...ราวกับถาดโถมความเจ็บปวด ...หนัก...บ่าบอบบางของเด็กชายที่ไม่อาจจะทนแบกรับอะไรได้ต่อไปอีก...ก้าวเดินเหยียบย่ำความระทมตามรอยเท้าสายตามุ่งมองไปอย่างข้างหน้านึกชิงชังในชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง
ริมฝีปากบางขยับพึมพำไร้เสียงลอด ลำแสงแปลบปลาบบาดนัยน์ตาพวยพุ่งออกมาจากปลายด้ามดาบเงินพิสุทธิ์สลักลายอักขระโบราณส่องสะท้อนแสงกับเปลวเพลิงสีแดงเข้ม...ราวกับแสงโลหิต...
ปลายดาบลงปักกับพื้น ชั่วพริบตาแสงสว่างสะอาดก็ส่องสะท้อนออกมาจากรอยปริของดินครอบคลุมอาณาเขตทั่ว...ความตายอยู่ใกล้เพียงแตะปลายจมูก...
แสงสว่างสีสะอาดค่อยแผ่วจางตามแรงเพลิง ประกายไฟสีแดงสะท้อนสีขาวจากปลายดาบตัดกับ...หยาดโลหิต...ที่ไหลนองแทบเท้าเล็กๆ เด็กชายก้มลงมองดูร่างไร้วิญญาณนับสิบที่ตนเป็นผู้กระทำ...ทำลงไป...เพราะแค้น? เพราะปกป้อง...ชีวิตตัวเอง?...ชีวิตคนอื่น?
หรือเป็นเพราะเธอ...
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มตวัดมองปลายดาบชุ่มรอยเลือด...หยาดน้ำสีแดงเข้มรินรดลงจากปลายดาบลงสู่พื้นทีละหยด...ทีละหยด...ราวกับน้ำตา...น้ำตาที่ไหลรินจากพืนน้ำ...พืนน้ำยามรัตติกาลที่ไหวระริก...ความเจ็บปวดหลั่งรินออกจากนัยน์ตา...
ฝ่ามือเล็กปล่อยดาบออกข้างตัวก่อนร่างบอบบางทรุดลงกับพื้น ดวงหน้าหวานอ่อนเยาว์เงยหน้ามองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มสะท้องประกายแดง...ราวกับท้องนทีที่ปาดป้ายด้วยสีเลือด...เสียงร้องไห้ระงมกับร่างที่สั่นเทา...กอดตัวเองท่ามกลางน้ำตา...กอดตัวเอง...เพราะอยู่เพียงตัวคนเดียว...ความมืดมิดกลืนกินทุกสิ่ง...ความระทม...ตราบาป...กัดกินหัวใจ...
เอ๋ !? เป็นอะไรไปไม่ร่าเริงเลยนะ?
ยิ้มหน่อยสิคะ...บลิทซ์
ดวงเนตรสีไพลินมณีเปิดขึ้นเพื่อหลุดจากห้วงนิทรารมย์...ฝันร้าย ร่างสูงของชายวัย สิบหก เหยียดกายขึ้นจากที่นอนก่อนจะทิ้งตัวเอนพิงกับหมอนแรงๆ ฝ่ามือยกขึ้นเสยเส้นผมสีดำขลับที่เลื่อนลงมาปรกใบหน้าคมคายจนสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นของหยาดเหงื่อที่ไหลซึมเปียกเรือนผม เสียงลมหายใจพ่นเบาบางออกจากริมฝีปากก่อนจะกดเปลือกตาแน่น
“ฝัน ถึงเรื่องนั้นอีกแล้วเหรอ” ถ้อยคำน้ำหนักบางเบาราวกับไร้เสียง ดวงหน้าคมซบลงกับฝ่ามือปล่อยน้ำใสไหลรินออกจากนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับไพลินมณีที่แสนงดงาม...ที่เปรอะเปื้อนรอยน้ำตามาตลอด 2 ปี...หากแต่ก็ไม่อาจจะชดเชยบาปที่กระทำได้...
ถ้อยคำสวดภาวนาอย่างแผ่วเบาแกจากริมฝีปากบางราวกับไม่อย่างให้คนข้างกายที่อยู่ในห้วงภวังค์ได้ยิน เสียงบทสวดอันไพเราะ แต่ทั้งที่เพราะถึงขนาดนั้น ทำไมถึง...กลับฟังดูเจ็บปวดดุจคำสวดที่ร้องขอความเมตตาเพื่อชดเชยบาปในอดีต...
ดวงหน้าอ่อนเยาว์เมินหนีจากภาวะในห้องก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย ไร้ซึ่งหนทาง และความหวัง
หากแต่...ในตอนนั้น หลังจากห้วงภวังค์แห่งฝันร้าย ทำไมนะ ทำไม...เรารับรู้ถึงแสงสว่างที่แสนอบอุ่นในความมืดมิดนั้น? ทำไมถึงได้ยินเสียงหวานอ่อนโยนที่เหมือนกับจะคุ้นเคยนักทั้งๆทีไม่เคยได้ยินมาก่อน?แล้ว ทำไมเราถึงได้รู้สึกถวิลหาเรียกร้องอะไรบางอย่างจากดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกันนะ
ไม่เข้าใจเลย?
ถ้าหากในสมัยที่วิทยาศาสตร์ล้ำพัฒนาก้าวไกลเกินกว่ามวลมนุษย์สามัญจะหยั่งถึง เกิดมีคำถามคำหนึ่งที่อยากจะถาม
เชื่อเรื่องผู้ใช้เวทมนตร์ไหม?
ซึ่งรู้ทันทีว่าหลังจากที่เอ่ยคำถามนั้นสิ่งที่จะหลุดออกจากปากแทนที่จะเป็นคำตอบนั้นเองก็กลับเป็น ‘เสียง’หัวเราะขบขันราวกับเห็นเป็นเรื่องตลกหาสาระแทบไม่ได้ แต่ได้โปรดเชื่อเถอะว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง...
85 ปีก่อน เมื่อใกล้จุดสิ้นสุดยุคของปีศักราช กลียุคที่วิทยาศาสตร์อารยธรรมได้เจริญรุ่งเรืองสุดจะพรรณนา ความสะดวกสบายหลั่งไหลเข้ามาสู่เหล่ามนุษยชนจนสิ่งที่เรียกว่า ‘มนุษย์จักรกล’ นั้นคือปัจจัยหลักที่ห้า แต่หารู้ไม่ว่าความหมายในสิ่งงดงามของบทประพันธ์ที่ชื่อว่า ‘วิทยาศาสตร์’ แล้วมันก็เหมือนกับกระจกสองด้านที่มีทั้งด้านที่ส่อง ‘แสงสว่าง’ และ ‘ความมืด’ เหมือนกัน
มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าสิ่งรอบตัวพัฒนาล้ำหน้าแต่สิ่งที่สิ่งที่อยู่ภายในตัวเองกับหยุดอยู่นิ่งหรือถดถอยลง...สิ่งที่อยู่ภายในเรียกจิตใจ...ความสำนึก โลกสีครามอันบริสุทธิ์ค่อยถูกกลืนหายด้วยคลื่นเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
การกระทำที่เห็นแก่ส่วนตนโดยไม่ใส่ใจกับสิ่งที่พระเจ้าประทาน กับสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าภาคภูมิใจมากที่สุด...ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ใกล้หมดสิ้นจากการนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์อย่างไม่รู้จักพอและนั่นคือการทำลายล้างโลกทางอ้อม
มนุษย์หาความสะดวกสบายอย่างไม่นึกกริ่งเกรง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปลูกสร้างขึ้น ทัศนีย์ทดแทน สมองจักรกล หรือแม้แต่ ชีวิต...
พระผู้เป็นเจ้าถ้าหากพระองค์สร้างสติปัญญาความสามารถของมนุษย์อย่างไร้สิ้นสุดแต่ไร้จิตใจที่จะรักสิ่งรอบข้าง แล้วพระองค์จะทรงสร้างเศษสวะชั้นสูงนี้ขึ้นมาทำไม? พระองค์...มิคิดจะหยุดยั้งหรือ ลบล้าง สิ่งเหล่านี้เหมือนเมื่อครั้งกาลก่อนบ้างเลยงั้นหรือ
คำถามไร้ซึ่งคำตาบใดๆที่ในใจของใครหลายคนเอ่ยถาม...ถ้อยคำภาวนา...หายจางด้วยความสิ้นหวัง...
และคำตอบ คำตอบที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานคำตอบผ่านทางกุญแจดอกสุดท้ายแห่งทางรอดของมวลมนุษย์ กุญแจดอกสำคัญที่จะไขประตูแห่งทางรอด ผู้สร้างถ้อยคำภาวนา...ที่เริ่มใหม่ด้วยความหวัง...แห่งชีวิตของโลกสีคราม...
เซเรส ซีซัส
เด็กหนุ่มวัยสิบแปดจากตระกูลชนชั้นสูงตระกูล ‘ซีซัส’ ที่ลุกขึ้นกล้าประกาศบุคคลในเงามืดที่ไร้ซึ่งตัวตนในสังคมที่มีอยู่บนโลกนี้ ผู้ขอยืมอำนาจลึกลังแห่งธรรมชาติ ใช่ อย่างทุกคนเข้าใจและอย่างที่ทุกคนรู้ บุคคลที่สามารถบัลดาลสิ่งอัศจรรย์ที่วิทยาศาสตร์มิอาจจะรุกล้ำสิ่งที่เรียกว่า
ผู้ใช้เวทมนตร์
การเคลื่อนไหวทุกอย่างของเหล่าผู้ใช้อำนาจได้ผ่านการจัดตั้ง การจัดตั้งองค์กร เพื่อพัฒนาด้านการผสมผสานสองสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญแห่งสองฝ่าย และนั่นคือการผนวกเวทมนต์กับวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน องค์กรรูนจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์เหล่านั้น
ถ้าหากวิทยาศาสตร์หยิบยืมธรรมชาติไว้เพื่อให้โลกก้าวพัฒนา เวทมนตร์เองก็คือสิ่งที่คอยเกื้อค้ำจุนเพื่อไม่ให้ธรรมชาติสูญสลายไปเช่นกัน
.
เรื่องเมื่ออดีตคืออดีต และ ปัจจุบันนี้ก็คือปัจจุปัน เพราะตอนนี้ คือปี A.P.ที่ 85 เป็น 85ปีหลังจากการปรากฏตัวให้โลกรับรู้ถึงการมีอยู่ของตัวตน...แสงสว่างแห่งชีวิตได้เจิดจรัสและทอดแสงประภาสแห่งธารชีวิตใหม่อีกครั้ง ราวกับมือหนึ่งที่หยิบยื่นความหวังมาสู่ที่มืดมิด แสงทองแห่งการเริ่มต้นก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
ศักราชใหม่... ALPHA...
แต่แสงสว่างก็ย่อมมีเงามืด ยิ่งแสงสว่างมีมากเท่าไรเงาก็ยิ่งทอดยาวมากขึ้นเท่านั้น...สิ่งที่เกิดจากหายนะครั้งใหญ่...การทำลายล้างมนุษย์ด้วยน้ำมือมนุษย์...มวลมณีที่ส่องสว่างที่สุดในหมู่ดาว อิกดราซิล
และในวันนั้น...แสงสว่างแสงใหม่...จากเปลวเทียนเบาบางที่ใกล้จะมอดดับด้วยสายลมระทมตรอม...แสงสว่าง...จากท้องนภา...ราตรีที่แสนอบอุ่น...ไร้ซึ่งความเยียบเย็น...
วันนั้น...คือวันที่ชีวิต...จะส่องประกายอีกครั้ง...
ความคิดเห็น