ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Until The End Of Time

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 Before Crisis ตอนที่ 1 สายชลแห่งนภาที่หลั่งรินบนเปลวเพลิง(1/3)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 557
      0
      26 ต.ค. 50


                  ร่างสูงสง่าเดินลัดตามริมฟุตบาตอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ในคนพลุกพล่าน ดวงจักษุสีน้ำเงินไพลินกวาดมองโดยรอบก่อนจะเอนหลังลงพิงกับกำแพงด้วยความนึกรำคาญใจ ทั้งที่ยืนหยุดอยู่นิ่งๆ...ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร...แต่เสียงคุยที่พยายามกดให้เป็นกระซิบมันกลับเล็ดรินเข้ามา เสียงกร่นถามกันให้ขรมว่าเขาจะใช่
    คนๆนั้นหรือเปล่าเข้าสู่โสตประสาทของเขาได้อย่างง่ายดายราวกับสายน้ำ  

     

    เด็กหนุ่มร่างสูงปัดสายตาทิ้งลงสู่พื้นคอนกรีตเมื่อรู้สึกเมือเหมือนมีคนเพ่งตามองตรงมาทางเขา เพื่อเพ่งพินิจรายระเอียดราวกับเห็นว่าเขาเป็นตัวประหลาด…สิ่งที่แปลกแยกออกจากสังคมหรือไม่...เขาก็คงไม่มีตัวตนในสังคนนั้น...ตั้งแต่แรก...

     

    หนวกหูจัง…

     

    ทำไมถึงต้องออกมาในที่แบบนี้ด้วยนะ?

     

    ขอร้องล่ะ...อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้น...

     

     ชายหนุ่มกำมือจนสั่นระริกข้างตัวพลางข่มเปลือกตาลงแน่นก่อนจะสะบัดดวงหน้าไปมาละความคิดไร้สาระทิ้ง แล้วล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงหยิบวัตถุสีดำเครื่องบางออกมาจากกระเป๋าและนั่นก็คือโทรศัพท์มือถือ... ปลายนิ้วเรียวยาวจรดบรรจงกดลงปุ่มเบอร์ที่คุ้นเคยแล้วยกวางแนบหูรอเพื่อสัญญาณ

     

    ติ๊ด...

    ติ๊ด…

    ติ๊ด…

     

    กริ๊ก…

     

    หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ The Number is…

     

                    เสียงตอบกลับหลังจากสัญญาณบอกรับได้เรียกอารมณ์โทสะของชายหนุ่มให้คุกรุ่นจนน่ากลัว ฝ่ามือกำโทรศัพท์แน่นจนสั่นริกเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิดที่มีจากการที่ต้องมาอยู่ในฝูงชนพลุกพล่านเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ออกซิเจนจำนวนมากสูดเข้าทางปาก ก่อนถ้อยคำเย็นยะเยียบจะพูดกรอกผ่านปลายสายโทรศัพท์ไปอย่างไม่ใยดีถึงความรู้สึกคนที่พูดด้วย

     

                    “ นี่รู้ไหมครับรูล? ว่าคดีทำร้ายร่างกายส่วนใหญ่มักเกิดจากคู่กรณีพูดพาอวัยวะเบื้องล่างที่ใช้เดินกระแทกปากเสมอเลยนะครับ”

     

                    “ง่ะ…นี่ไม่คิดจะรับมุขกันบ้างเลยเหรอไงนะ บลิทซ์ ?” เสียงตอบแห้งๆแก้เก้อจากปากคนปลายสายทำให้บลิทซ์หลุดปล่อยลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหนาระอาในตัวของขายหนุ่มคนที่รับอยู่ปลายสาย เขาโคลงศีรษะเบาๆแล้วเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง

     

                    “รูล ผมไม่คิดอยากจะรับมุขฝืดๆของนายหรอกนะครับ” คำตอบด้วยน้ำเสียงหวานนุ่มอันแสนเย็นชาของคนที่ไม่นึกอยากจะขำกับมุขที่เรียกเสียงหัวเราะไม่ได้สำหรับเขาของรูล เพื่อนที่สนิทที่สุดสำหรับเขา คนที่รู้จักกันร่วม สิบ ปี ...รูล อบิสซอลล์...

     

                    “เง้อ…นี่มุขฉันมันแป้กจริงๆเหรอ...” รูลร้องน้ำเสียงเข้มทอดยาวเพื่อแสดงอาการผิดหวังขั้นรุนแรงให้ชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อวัยเด็กที่อยู่ปลายสายโทรศัพท์ได้รับรู้ก่อนจะเสยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มจนออกดำที่ปรกหน้าปรกตาจนน่ารำคาญออกจากสายตา

     

                    “ก็ใช่น่ะสิครับ!!” บลิทซ์เอ่ยตอกย้ำน้ำเสียงดังหนักแน่นสวนกลับมาแทบจะทันทีที่พูดจบ รูลยกโทรศัพท์ให้ลำโพงออกห่างจากหูเพราะกลัวถูกคลื่นเสียงทรงอำนาจทำลายระบบประสาทการได้ยิน บลิทซ์นิ่งนิดเหมือนคิดบางอย่างออกก่อนจะขยับปากขึ้นพูด “ว่าแต่ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนเหรอครับ?” เสียงนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุยตามจุดประสงค์เหตุผลเดิม

     

                    “อยู่ในใจของนายงาย... เสียงใสกิ๊กอย่างเริงร่าของรูลตอบกลับมาอีกครั้ง  บลิทซ์ยกไหล่ขึ้นนิ่วหน้าคิ้วเรียวเลื่อนขมวด

     

                    ถ้าอยู่ใกล้ๆ ก็อยากจะยันสักโครม...

     

    นี่คือสิ่งแรกที่แล่นวาบขึ้นปรากฏในความคิดของบลิทซ์ ตกลงอายุที่มากกว่า ปีหนึ่งนี่ก็ไม่เคยที่จะช่วยให้ความคิดของรูลเป็นผู้ใหญ่ตามอายุขึ้นมาบ้างเลยเหรอไงนะ! 

     

    “อย่างนั้นเหรอครับ...เอาล่ะครับ ผมจะถามอีกครั้งหนึ่งนะ รูล นาย - อยู่ - ที่ - ไหน!!!” น้ำเสียงเน้นย้ำประเด็นคำถามอีกครั้งอย่างเย็นชาบรรจงใส่ความจริงจังผสมโมโหลงไปในแต่คำพูดทุกถ้อยทุกคำที่ออกจาริมฝีปากบาง

     

                    “ จ้าๆเย็นไว้หน่อยสิพ่อหนูน้อย...” รูลว่า ดวงตาสีแดงประหลาดที่เข้มมากเสียจนออกเป็นสีเหมือนกับเลือดฉายแววขันในทีแต่พอได้ยินสียงกระแอมดังๆลอดจากลำโพงโทรศัพท์ก็รู้แทบบัดนั้นทันทีเลยว่า ถ้ายังพูดทีเล่นอยู่อาจมีหลั่งเลือด!!

     

                     “ คือตอนนี้ฉันอยู่ที่เขต 4 น่ะ” เสียงทุ้มตอบอย่างเรียบๆอาจเพราะกลัวอารมณ์ของคนปลายสายก็ได้ เพราะจากประสบการณ์ที่รู้จักกันร่วม สิบ ปีเต็ม เรื่องการหลั่งเลือดนั้น…คนอย่างบลิทซ์มันทำจริงแน่!!! แถมยังทำด้วยหน้ายิ้มอีกต่างหาก !!!

     

                    “พูดแบบนี้ก็จบแต่แรกแล้วนะครับ” เสียงตามสายพูดด้วยเสียงปรกติ “งั้นเดี๋ยวผมจะไปหานะครับ แล้วรูลก็รออยู่ตรงล่ะห้ามแว่บไปไหน ผมไม่อยากวิ่งโร่ไปทั่วเมืองตามหาตัวนายอีกนะครับ” สิ้นคำสัญญาณจากปลายโทรศัพท์ก็ถูกตัดลงทันทีอย่างไม่รีรอให้รูลพูดตอบ  เด็กหนุ่มมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายแล้วอมยิ้มน้อยๆ นึกขำในทีท่าน้ำเสียงที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัวราวกับเป็นผู้ปกครองที่ต้องคอยดูแลเด็กของบลิทซ์  

     

                    และ เด็ก ที่บลิทซ์ต้องดูแลใช่ใครที่ไหนไกลก็ตัวเขาเองนี่แหละ ลองคิดดูสิว่า คนอย่าง  บลิทซ์  ซีซัส เด็กผู้ชายที่เกิดในตระกูลนักเวทเลือดบริสุทธิ์ในตำนานผู้ก่อตั้งองค์กรระดับโลกต้องมาวุ่นรอบเพื่อเมืองเดินว่อนตามหาเพื่อนสมัยเด็กอย่างเขา แค่นึกก็พาลจะให้หัวเราะก๊ากอย่างเป็นบ้าเป็นหลังชนิดที่ไม่อายคนรอบข้างออกมาจริงๆถึงเขาจะรู้ก็เถอะว่าต้นเหตุคือเขาเอง...แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆนี่นา...

     

                    “ เฮ้อ…ก็การที่ได้แกล้งเด็กซื่อแถมยังบื้อไม่ทันคนน่ะมันสนุกจะตาย...ฮ่ะ ฮ่ะ ชักจะชั่วร้ายเกินไปแล้วสินะเรา...”  ถ้อยคำจากปากเอ่ยอย่างสบายๆด้วยเสียงหัวเราะน้อยๆ สองมือยกขึ้นอ้อมด้านหลังสอดวางท้ายทอยก่อนจะเหยียดยิ้ม

     

                     …ในสายตาของบลิทซ์แล้วเขาอาจจะเป็นเด็กที่ต้องให้ดูแล แต่สำหรับเขาแล้ว…บลิทซ์คือคนสำคัญ ที่ไม่อาจจะหาใครเปรียบได้ เป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่งที่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่ก็เหมือนมีสายใยบางๆที่โยงพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน สิ่ง...ที่เขารู้สึก...ผูกพันกับหมอนั่นมันมากกว่าคำว่าเพื่อนสนิท…มัน...เหมือนกับว่าบลิทซ์เป็นคนๆหนึ่งในครอบครัว คนสำคัญ…ที่เขาขาดไปไม่ได้...ก็อธิบายไม่ถูกนะแต่รู้แค่ว่าหมอนั่นคือคนที่เขาอยากปกป้อง...ก็พอแล้ว...

     

                    และแน่นอนเลยว่ามันไม่ใช่เพราะความรัก’ !!!

     

                    เพราะต่อจะให้หมอนั่นมันสำคัญยังไงแต่เขาก็ยังชอบผู้หญิงอยู่นะ!...ไม่ใช่พวกวิปริตอย่างที่ใครๆเขาใจผิดสักหน่อยหนึ่ง !!!

     

      แต่จะอะไรมันก็ช่างเถอะในเมื่อมันก็ออกจะดูเหมือนว่าเป็นเขาที่ต้องให้น้องชายคอยวิ่งตามดูแลอยู่ก็ตามทีเถอะ แต่ไอ้ที่การได้แหย่น้องชายคนนี้ก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่งของเขา ทั้งอีกนัยหนึ่งคืออยากจะสอนให้เด็กน้อยตากลมๆหน้าหวานๆ แสนซื่อที่ฉลาดในเรื่องที่คนอื่นเขาโง่แต่ดันโง่ในเรื่องที่เขาฉลาดกันอย่างบลิทซ์ได้รู้จักโลกภายนอกรั้วบ้านที่เหมือนกับปราสาทซะบ้าง

     

                    ชายหนุ่มเดินลากขาเท้าเรี่ยกับพื้นสายตาสีแดงเข้มจัดที่ออกจะคล้ายกับสีเลือดดูแปลกประหลาดทอดมองไกลอย่างไม่มีจุดหมายก่อนจะชะงักที่หน้าร้านค้าร้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะการดีไซน์ตัวร้านนั้นคล้ายคลึงเรือนไม้ รายล้อมด้วยมวลมาลีเจ้าหญิงแห่งหมู่พรรณพฤกษา

     

                    ร้านขายดอกไม้งั้นเหรอ...

     

                    ถ้อยคำความนึกคิดปรากฏในโสตเท้าก้าวย่างไปด้านหน้าให้ใกล้กับตัวร้านอย่างไม่รู้ตัวราวกับถูกดึงดูดด้วนกลิ่นเย้าแห่งหมู่บุษบางาม ฝ่ามือหนายกขึ้นช้อนดอกไม้กลีบเล็กอย่างถนอมมือด้วยความกลัวช้ำ ดอกไม้เล็กสีสะอาดตัดกลีบกับสีนวลๆออกเป็นสีเหลืองที่แต้มประดับเหมือนกับนำพู่กันมาระบายยิ่งเข้าใกล้กลิ่นหอมหวานก็กรุ่นคลุ้งพาให้ต้องในภวังค์

     

                    “สนใจดอกไม้ดอกนี้เหรอคะ?”

     

                    "อือ…"  เสียงตอบคำถามดังในลำคอของรูลเบาๆ เด็กหนุ่มตอบโดยที่ไม่ได้มองหน้าเจ้าของเสียงที่ถามเลยสักนิด ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วมือไปตามลายเส้นกลีบของดอกไม้  "นี่มันดอกอะไรเหรอ?"

     

                    " White Daisy ค่ะ" เสียงปริศนาตอบอย่างร่าเริง เสียงที่สดใสไร้เดียงสาแต่ก็แฝงความเป็นผู้ใหญ่ในทีเรียกให้รูลละสายตาจากมวลดอกไม้นั้นหันไปมองกับเจ้าของเสียงทันทีราวกับต้องด้วยมนต์สะกดที่ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะอธิบายได้

                    ...

                    ...

                    ...

     

                    ราวกับทุกสรรพสิ่งมิอาจเคลื่อนไหวคล้ายกับว่าร่างกายกำลังถูกเวทมนต์บางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถที่จะรับรู้ถึงอะไรได้อีกราวกับ...ถูกสาปให้เป็นหินสลักอยู่ชั่วครู่...ไม่แม้แต่จะเข้าใจในความรู้สึกที่เกิดขึ้น...แต่แค่เพียงครึ่งหนึ่งของเสี้ยววินาทีเท่านั้น...ภาพแรกที่ปรากฏฉากให้เห็นในดวงจักษุสีทับทิมเลือดงดงามคู่นั้นมัน…

     

                    เรือนผมสีน้ำตาลแดงยาวถึงกลางหลังทอดประกายเป็นสีเพลิงกับแสงแดด ดวงหน้านวลขาวระเรื่อสีชมพูหวานใสได้รูป ริมฝีปากบางยกขึ้นส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้เขา ดวงเนตรสีฟ้าสะอาดราวกับวันฟ้าใสฉายแววในความซุกซนของเจ้าของแต่ก็เต็มไปด้วยอบอุ่นที่เจืออยู่อย่างเต็มเปี่ยม

     

                    รูลยกมือขึ้นทาบหน้าอกจับจังหวะเต้นระรัวของหัวใจที่ไม่ได้เป็นทำนอง ความคิดทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่งที่เคลื่อนคล้อยตามกาลเวลาเอ่อราคาเอ่อเท่าไร่เหรอ...?”  น้ำเสียงเข้มเอ่ยไม่เต็มคำ สายตาหลุบต่ำอย่างไม่กล้าสบตรง

     

                    เออ...รู้แล้วน่าว่าสวยแต่...แล้วตูจะใจเต้นหาพระหาแสงอะไรวะเนี่ย?! เอ...หรือเพราะว่าอย่างนี้น่ะมัน...

     

    ... ตรงสเป็ค?...เฮ้ย!? ไม่ใช่!!! โอ๊ยๆๆๆ แกชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้วเว้ย ไอ้รูล !!!

     

    กระถางละ 150 เครนส์ค่ะเสียงใสของหญิงสาวตอบเรียกความคิดอันไร้สาระให้ออกจากสมองของเด็กหนุ่ม พลางส่งรอยยิ้มที่กึ่งๆเหมือนจะเป็นเพราะทางการค้ามาให้เขา

     

     เหรอเหอืม งั้นขอฉันสักกระถางละกัน แล้วก็ช่วยจัดให้หน่อยนะ  รูลว่าแล้วกระแอมเบาๆ ถึงแม้เธอคนนั้นจะไม่รู้ความคิดของเขาแต่มันก็น่าอายอยู่ดีน่ะแหละ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะเหยียดกายขึ้นเต็มส่วนสูง มุมปากบางยกขึ้นยิ้มพลางทอดตามองอย่างเลื่อนลอยตามร่างเล็กที่เดินลับเข้าไปในตัวร้านเพื่อจัดแจงตามออเดอร์ที่เขาสั่ง

     

    เหมือน...เทพธิดาในหมู่ดอกไม้เลยนะเนี่ย ? !

     

    ตั้งแต่เกิดมาสิบเจ็ดปีก็เพิ่งจะเจอคนสวยขนาดนี้ครั้งแรกเลยแหะ

     

      มาอยู่ตรงนี้เองเหรอครับ รูล  เสียงเรียกสะกิดด้านหลังเล่นทำเอารูลสะดุ้งโหยงอย่างตกใจจนหลุดออกจากภวังค์ฝัน  เขาหันหลังคล้อยกลับมามองชายเส้นผมสีนิลขลับดั่งฟ้าในคืนไร้แสงดาว ดวงตาสีน้ำเงินไพลินที่จับจ้องมาทางเขาดูเหนื่อยล้า ลมหายใจที่พยายามปรับมิให้ถี่ส่งเสียงดังคล้ายหอบจากการวิ่งจนเหนื่อย เม็ดเหงื่อพุดพรายไหลตามลำคอก่อนที่แขนเสื้อขาวจะยกขึ้นปาดเช็ด

     

     ฮือ...จะมาก็มาแบบให้ซุ่มเสียงหน่อยสิ บลิทซ์ คนอย่างฉันก็ตกใจเป็นนะ รูลเอ่ยขึ้นเบาๆน้ำเสียงเข้มบีบให้สูงน้อยๆฟังดูเป็นเชิงหยอกล้อ

     

                    “เหรอครับ...ขอโทษนะครับเอ่อ..ตกใจมาไหม?”ถ้อยประโยคที่พูดด้วยน้ำเสียงซื่อๆตามวิสัยก่อนชายหนุ่มวัยสิบหกจะเอียงคอลงมองหน้าร้านดอกไม้ด้วยความฉงนปนสงสัยเมื่อเห็นคนอย่างรูลยืนอยู่ในที่แบบนี้

     

                    “ว่าแต่รูลมายืนทำอะไรตรงนี้เหรอครับ?”

     

                    ยืนหน้าร้านดอกไม้...มาซื้อข้าวมั๊ง? ถามแปลกเนอะฉันก็มาซื้อดอกไม้น่ะสิ" คำตอบที่ดูยั่วประสาทของรูลหลุดออกมาจากปากบลิทซ์นิ่วหน้าคิ้วขมวดในคำตอบนึกอยากจะลองเหวี่ยงหมัดหนักๆใส่ท้องของเจ้าเพื่อนคนนี้สักทีสองทีอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนที่ความคิดจะสัมพันธ์กับร่างกาย เสียงอีกเสียงก็ดังแล่นขึ้นขัดเสียก่อน

     

                    “ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ อะ...อ๊ะ…!”  เจ้าของเสียงหวานสดใสชะงักเท้าเมื่อเห็นคนอีกคน ในขณะที่บลิทซ์เองก็แทบจะไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่เห็น

     

                    นางฟ้า…เหรอ…?

     

                    ความคิดอย่างเพ้อฝันราวกับไม่ใช่ตัวตนแล่นขึ้นสู่จิตสำนึก …หากบอกให้รูลได้รู้ว่าตอนนี้เขารู้สึกเช่นไรคงโดนหัวเราเยาะไปจนวันตายแน่ แต่เขาก็คงยอมให้เป็นเช่นนั้น…ถ้าหากเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง…คนที่เหมือนกับไม่ใช่มนุษย์แต่…แต่เป็นนางฟ้า นางฟ้าที่จำแลงลงมา...ใช่…ความงดงามวิจิตรราวกับสิ่งที่พระเจ้าประทานนี้ มันทำให้เขาไม่อยากเชื่อว่าเธอคือมนุษย์สามัญ…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×