โลกจะกว้างไปถึงไหนกันนะ - นิยาย โลกจะกว้างไปถึงไหนกันนะ : Dek-D.com - Writer
×

    โลกจะกว้างไปถึงไหนกันนะ

    เรื่องจริงล้วนๆๆๆ แค่อยากจะหาที่ระบายยยยย

    ผู้เข้าชมรวม

    102

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    102

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  18 มี.ค. 56 / 00:00 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูรายการอีบุ๊กทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    โลกนี้จะกว้างไปถึงไหนกัน

                    เมื่อคืนที่ 16 มีนาคม 2556 จนถึงเช้าวันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2556 เป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุด ตลอดหลายปีมานี้มีผู้หญิงคนนึงที่ผมเพิ่งรู้จักกับเธอได้สามเดือน เป็นครั้งแรกๆที่เราสองคนได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกซึ่งกันและกัน ผมได้ปลอบประโลมเธอในยามที่เธอเศร้าใจ ผมได้อยู่ข้างๆเธอในตอนที่เธอร้องไห้หนักอก ถึงแม้ว่าเธอจะทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วเธอก็ยังเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งที่ยังมีความรู้สึก  และเมื่อคืนก็เป็นเวลาที่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ต้องการใครสักคนที่จะรับฟังความรู้สึกของเธอ ช่วงเวลาที่เธอลำบากใจ และผมได้รับเกียรตินั้น เราไม่ใช่แฟนกัน เราไม่ใช่คนรักกัน แต่ผมรักเธอ(ข้างเดียว)มาตลอดสามเดือนนี้ เราได้ใช้เวลานอน(ผ่านโทรศัพท์)ด้วยกันเมื่อคืนนี้ ถึงแม้มันจะผ่านสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ก็ตาม ผมไม่ได้ทำอะไรแบบนี้มาตั้งแต่มัธยมแล้วนะ แต่บางที มันก็ดีเหมือนกันตรงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเธออยู่ข้างๆกายผมไม่ห่างเลย ถึงแม้เราจะอยู่คนละที่กัน เธออยู่แถวพระราม 9  ผมอยู่บางนา ได้ยินเสียงเธอหายใจ เสียงเธอบ่นว่านอนไม่หลับ เสียงเธอพลิกตัวไปมา แล้วในที่สุดถึงแม้ว่าผมจะพยายามที่จะหลับ ทีหลังเธอ แต่ผมแน่ใจว่าผมได้เผลอหลับไปก่อนในคืนนี้….

                    รุ่งอรุณของเช้าวันที่ 17 มีนาคม 2556 ผมตื่นสายอยู่บนโซฟาตัวโปรดของผม ในสภาพที่หูฟังยังคารูหูอยู่ นี่เราเผลอหลับไปหรือนี่ ช่างแย่จริงๆ ผมบ่นกับตัวเองพึมพำ ผมยังอยากฟังเสียงเธอหายใจตอนหลับมากกว่านี้ ซึ่งผมว่า มันค่อนข้างจะออกแนวโรคจิตนิดๆ วันนี้เป็นวันที่ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างที่กำลังจะเข้ามาในชีวิต ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะสามารถรับมือกับมันได้ดีแค่ไหน อะไรที่ว่านี่คือ ความโหวงเหวง  โหวงเหวงของคุณหมายถึงอะไร ? ผมอธิบายมันไม่ได้จริงๆ และผมเพิ่งได้เข้าใจมัน เมื่อตอน 21:?? ผมจำนาทีที่แน่นอนไม่ได้ ความรู้สึกตอนนั้นผมพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ ตอนที่เขา อำลา และจากไปยังที่ไกลแสนไกล ที่เรียกว่าญี่ปุ่น นี่คุณรู้ไหม ผมวางแผน คิดไว้ซะอย่างดิบดี ว่ามันต้องเป็นการร่ำลา ที่พิเศษสุด ผมไม่เคยไปสนามบินเลยนะตั้งแต่มันถูกสร้างขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกของผมที่จะได้เหยียบสนามบินสุวรรณภูมิที่ตระการตา  และที่จะไปส่งใครสักคนเดินทางข้ามไปยังอีกดินแดนหนึ่งที่ไม่ใช่บ้านเรา อันที่จริงแล้วมันค่อนข้างเป็นการล่ำลาที่ไม่มีแก่นสาร แผนที่ผมเตรียมไว้ ผมนึกมันไม่ออกเลยผมได้แค่ยืนมองเธอยิ้มและคุยกับเพื่อนๆ และเดินจากไป มันไม่มีอะไรพิเศษเลย ไม่มีความโรแมนติกซ์ ซึ่งผมแอบหวังนิดๆ ที่อยากจะเห็นฉากเธอน้ำตาคลอ แต่ผมคงจะหวังมากไป แต่ถึงมันจะเป็นการร่ำลาที่ไม่มีอะไรพิเศษมากนัก แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเธอก็โหวงเหวง ไม่ได้ต่างจากผมเท่าไหร่ แน่นอนหละ มันอาจจะไม่ใช่ความรู้สึกที่มีต่อผม อาจจะเป็นเพราะเธอต้องจากบ้านไปไกล ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ไม่มีพี่น้องคอยให้เธอทะเลาะด้วย ไม่มีเพื่อนให้คอยติ่ง(อาการของคนบ้าดาราเกาหลี ซึ่งเธอเป็นหนักมาก แต่ผมก็ยอมรับมันได้ ณ จุดนี้ อันที่จริงมันเป็น First Impression ของผมที่มีต่อเธอเลยก็ว่าได้) ด้วยกันผมออกจากบ้านตั้งแต่ บ่ายโมง เพื่อไปอัดรูป ที่ร้านแถวๆซีคอน มันเป็นรูปที่ผมบรรจงตัดเอง อันที่จริงมันเป็นแค่การแอบแคปเจอร์ ตอนที่ Skype คุยกันแล้วเอารูปมาแปะติดกันเฉยๆแหละ และผมเชื่อว่ามั่นอย่างยิ่งว่าเด็กประถมก็คงทำได้ แต่ผมก็ภูมิใจกับมัน ในบรรดารูปที่ผมแคปไว้ผมเลือกรูปที่เธอยิ้มน่ารักที่สุด ซึ่งอันที่จริงผมไม่รู้หรอกว่า การอัดรูป มันดีกว่าการปริ้นท์สีเลเซอร์ ผมไม่ได้โม้ผมพูดจากใจจริง ผมชินกับการทำรูปเล่มรายงานที่ว่าปริ้นเลเซอร์หมึกมันมีคุณภาพดีกว่า แต่ลืมนึกถึงการอัดรูปไป ได้ยังไงกัน โง่จริงๆ พอไปถึงร้านปริ้นท์ พี่พนักงานเขาก็ทำหน้างงๆว่า ทำไมไม่ไปร้านอัดรูปหละ ?  ไอ้ผมก็ไหนๆก็อุตส่าห์มาแล้วก็ลองดูสักตั้งละกัน ปริ้นท์ออกมาหนึ่งใบ เสียตังไป 35 บาท สุดท้ายสีและขนาดที่ออกมามัน ไม่สดสวยประจวบกับพกกระเป๋าตังไม่ได้เพราะมันใหญ่เกินไปมันไม่ใช่ขนาดรูปที่สากลโลกเขาใช้กัน  ตอนผมเอ่ยปากบอกน้าเจ้าของร้านว่า ช่วยตัดให้ด้วยได้ไหมครับ เขาพูดพึมพำออกมาว่า อะไรกัน ต้องตัดด้วยหรอ ผมได้ยินแบบนั้นผมจึงเอ่ยปากไปว่าไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมตัดเองก็ได้ น้าแกก็คงจะเหมือนรู้สึกผิด เลยเอาไปตัดให้ผม สุดท้ายผมก็ต้องไปอีกร้านหนึ่ง ที่เป็นร้านอัดรูปโดยเฉพาะแน่นอนว่าการเดินหาร้านไม่ใช่อุปสรรคอะไร แค่เข้าไปสะกิดพี่ที่ร้านปริ้น แล้วก็ถามเขาแค่นั้นเอง

                    ในขณะที่เดินทางอยู่นั่น ผมได้โทรไปหาเธอเพื่อที่จะถามว่าเธอจะออกจากบ้านกี่โมง แต่ในขณะนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงเปียโน.. คุณต้องไม่เข้าใจความรู้สึกผมตอนนั้นแน่ๆ คุณลองนึกภาพตามผมเหมือนคนบ้า นั่งยิ้มปริ่มน้ำตาอยู่คนเดียวบนรถเมล์ฟรี สาย 145 พ่อหนุ่มคนข้างๆก็มองผมด้วยสายตาแปลกๆแต่ผมไม่สน เพราะนี่เป็นเสียงเปียโนที่เพราะที่สุดในชีวิตผมตั้งแต่เกิดมา ผมขอให้เธอเล่นให้ฟังตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว แต่เธอปฏิเสธ แต่จู่ๆมาวันนี้ เธอก็บรรจงดีดมันให้ผมฟัง ที่เธอโทรมาผมไม่ได้พูดอะไรกับเธอสักคำ ผมแค่บอกกับเธอเบาๆว่าเล่นต่อสิอยากฟัง ผมได้แต่นั่งฟังเพลงที่เธอบรรเลงมันขึ้น ถึงมันจะไม่ได้เป๊ะเวอร์เหมือนเหล่ามืออาชีพ แต่นั่นไม่ได้สำคัญอะไรเพราะอวัยวะที่ผมใช้ฟัง มันไม่ใช่หู แต่เป็นหัวใจ”.

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                    นี่ผมไม่ได้เสี่ยวจริงๆนะพี่ชาย

                    สุดท้ายผมก็มาถึงร้านอัดรูป ผมไม่รีรอที่จะเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของพี่พนักงาน ถุย !! ผมล้อเล่น อันที่จริงก็รีบเข้าไปถามเขาว่าทำได้ไหม ทำแบบนี้ๆ ได้ไหม สุดท้ายผมก็ได้รูปออกมาสองใบ (ใบหนึ่งเป็นภาพที่ผมตัดแปะจากภาพที่ผมแคปไว้ซึ่งเป็นรูปเธอและผม อีกรูปหนึ่งเป็นรูปเดอะแก๊งของเธอ ผมแค่คิดว่าการเดินทางไปต่างประเทศนั้นเธอ ต้องการกำลังใจอย่างมาก ถ้าเกิดเธอมองรูปผมแล้วไม่เกิดกำลังใจ เธอมองรูปเพื่อนๆเธออาจจะมีกำลังใจผมแค่คิดแผนเผื่อไว้ ซึ้งอันที่จริงแล้วผมรู้ว่าเธอก็คงเลือกที่จะมองภาพดาราเกาหลีของเธอ นี่คุณรู้ไหมว่าเธอพกลูกBasketball ของดาราเกาหลีที่เธอเคยได้ที่ไทยขึ้นเครื่องไปด้วยเธอ หนะสุดยอดติ่งตัวแม่จริงๆ ญี่ปุ่นหนะเหรอ ไม่สามารถหยุดความอาร์ทของเธอได้หรอก ผมจะบอกให้ ฮิ! )ขนาด 4p ในราคาย่อมเยา (สำหรับผม) คือสิบสองบาทถ้วน ไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม โถ๊!! กะอีแค่เงิน 12 บาท ทำไมจะจ่ายไม่ได้ ขนาด 35 บาทยังโง่จ่ายมาแล้วเลยเมื่อกี้นี้ .. หลังจากได้รูปมาไว้ในครอบครองทำให้รู้สึกเหมือนกับมีพลังงานบางอย่างเพิ่มขึ้นมาในร่างกาย เอาล่ะวะ มีอาวุธสำหรับวันนี้แล้วผมนึกในใจ และผมก็นึกขึ้นได้ ว่าเธอคงอยากได้หนังสือไว้อ่านสักเล่ม ผมเคยถามเธอแล้วว่าเธออ่านแนวไหน เธอบอกว่าเป็นแนวไหนก็ได้ที่ไม่ใช่รักหวานแหวว เธอบอกกับผมว่าเธอชอบหนังสือของคุณ นิ้วกลม พอผมนึกขึ้นได้ ผมก็ลองไปตามล่าหาความจริงดูว่า คุณนิ้วกลม คือผู้ใด ผมเดินเข้าไปร้านหนังสือแห่งหนึ่ง เดินไปตรงมุม แนะนำก็ได้เจอหนังสือของคุณนิ้วกลม ผมก็ยืนมองสักพัก นึกในใจว่าแล้วตูจะเอาเล่มไหนดีฟร่ะ !!  เอาล่ะ เล่มนี้ละกัน ญี่ปุ่นไม่มีขาเหมาะกับเธอดี เพราะเธอกำลังจะไปญี่ปุ่น นี่รู้ไหมว่าเธอหนะ ไม่ยอมรับของง่ายๆแน่ถ้าเกิดบอกว่า ซื้อมาให้ ผมจึงต้องจำใจ อ่านให้จบ 30? กว่าหน้า สามร้อยกว่าหน้า มันเยอะมากเลยครับ เพื่อที่จะบอกเธอว่า เราอ่านแล้ว เราเอามาให้เธอยืมหนะ J  ซึ่งถ้าเธอไม่เชื่อว่าผมอ่านแล้วผมจะให้เธอเปิดหนังสือแล้วถามผมเลย มันเป็นแค่แผนสำรองหนะ

    หลังจากที่ได้ของครบแล้วก็ออกเดินทางกันเถอะ ผมไม่เคยเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิทางที่ดูจะคลาสสิกสุดที่พอจะเป็นไปได้นั่นก็คือ นั่งรถเมล์ไปต่อแอร์พอร์ตลิ้ง ฮ่าๆผมไม่หลงแน่นอน ในระหว่างนั่งรถเมล์ไป ผมก็นั่งอ่านหนังสือไปพลาง ซะที่ไหนหละ แบบบ้าพลังสุดๆตะหากละตอนที่เดินทางมาถึงนั้น นี่เป็นการขึ้นรถไฟแอร์พอร์ทลิ้งค์ครั้งแรกของผมเช่นกัน ผมจึงถามพี่พนักงานเผื่อไว้ก่อนว่า ที่นิปิดกี่โมงครับ เสียงพี่หนักงานใจดีตอบมาว่า เที่ยงคืนค่ะ ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมไปถามเขาว่าผู้โดยสารขาออกนี่อยู่ชั้นไหนครับ ทั้งๆที่เธอไม่ได้อยู่สุวรรณภูมิแต่เธอประจำอยู่หัวหมากแต่คุณรู้ไหม เหมือนฟ้าเห็นใจผม มีแผนที่กากๆ ซึ่งคาดว่าคงมีใครทิ้งไว้เหน็บอยู่ที่ราวระเบียงตรงชานชาลา แล้วพี่พนักงานเขาก็หยิบมาให้ผม ผมบอกเขาว่า ผมขอได้ไหมครับพอดีจะไปส่งเพื่อน ( อันที่จริงเธอเป็นพี่ และมากกว่านั้นเป็นคนที่ผมรัก ) แล้วพี่พนักงานเขาก็ให้แผนที่ผมมา ฮ่ะๆผมมีไอเท็มเพิ่มมาอีกแล้ว ผมก็แค่สงสัยว่าทำไมพี่พนักงานเขาถึงไม่เก็บทิ้งไปหละ มันก็สภาพดูไม่ได้แล้วทั้งๆที่พี่เขาบอกว่ามันอยู๋ตรงนี้มานานมากแล้วหรือเพราะว่า นี่เป็นนิสัยคนไทยกันนะ.. แต่อย่างไรก็เถอะผมได้แผนที่มาไว้ในครอบครอง  ตอนนั้นเวลาประมาณ 16:?? ผมนัดเธอไว้ 21:?? แต่ผมก็มาเร็วไปจนได้ ผมมาถึงแล้ว ในที่สุดผมก็มาเหยียบสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว แล้วก็ทำสิ่งบ้านๆที่เพื่อนๆของผมมักทำกันเวลาไปเยือนที่แปลกๆ นั่นคือซนและสำรวจห้องน้ำ ผมนั่งอ่านหนังสือรอเธอไปพลาง เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่ง มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับผมนั่นก็คือมีนักเดินทางชาวเวียดนาม พูดอังกฤษไม่ได้จ้า แต่เขามี สคริปต์ มาว่า I Can’t Speak English ….. Blablabla ผมจำไม่ได้แล้วเขาเขียนไว้อย่างไร แต่ที่แน่ๆก็คือเขาอยากให้ผมพาไปที่ ผู้โดยสารขาออก ตายหละหว่า น้าแกดันมาถามคนที่ไม่เคย บินแบบผม มันจะได้เรื่องไหมเนี่ย ผมก็พยายามสุดความสามารถใช้ภาษามือกับน้าเขา บอกให้ตามผมมา ผมก็พาเขาขึ้นมาชั้น 4 – Departures ผู้โดยสารขาออก แล้วก็ตรงดิ่งไปที่ประชาสัมพันธ์ ให้ประชาสัมพันธ์ช่วยเช็ค และแนะนำให้ สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี แล้วผมก็กลับไปนั่งรอที่เดิมของผม มุมเงียบๆของผม ที่มีบันไดเลื่อนของฝั่งของผม และนั่งอ่านหนังสือต่อไป จนในที่สุด เวลาก็มาถึงผมบอกกับเธอว่าถ้ามาถึงแล้วให้โทรมาบอกด้วยนะ ! เธอก็โทรมาจริงๆแหละครับแต่ตอนที่เธอจะไปแล้วเธอบอกว่าอยู๋ไหนแล้วรีบๆมานี่สายมากแล้ว อะไรกันนี่! ผมตกใจมากไหนบอกว่าบิน 23:15 ไงละแล้วทำไมถึงรีบไปขนาดนั้น ผมไม่เข้าใจระบบของสนามบินเหมือนกันครับ พึ่งได้มาทราบทีหลังว่าผู้โดยสารต้องไปเตรียมตัวก่อนเครื่องออก ผมแทบไม่ได้ล่ำลาอะไร ผมรีบวิ่งไปหาเธอด้วยความโง่ของคนไม่เคยมาสนามบินคนหนึ่ง สิ่งที่เธอบอกเป็นคำเฉพาะของสถานที่มานั้น ผมไม่ทราบหรอกครับว่าไอ้ โซนนั้นนี้ที่เธอพูดมามันคือตรงไหนส่วนไหน ตอนนั้นผมรู้สึกยังไง ทราบไหมครับ ผมรู้สึกว่า นี่ถ้าไม่ได้เจอกันกูคงเสียใจไปชั่วชีวิตที่เตรียมแผนอย่างดีมาทั้งวัน นั่งรอตั้งแต่ห้าโมงกว่าๆจนตอนนี้สามทุ่มเลทๆ เข้าไปแล้ว รูปที่เตรียมไว้ก็จะไม่ได้ให้ หนังสือที่อุตส่าห์ไปหาซื้อ และนั่งอ่านจนจบภายใน สาม สี่ ชั่วโมงก็จะไม่ได้ให้ มันคงเป็นความขื่นขมที่บอกใครไม่ได้เชียวแหละ และสุดท้ายเธอก็ได้บอกใบ้คำสุดท้ายมา เห็น

    ยักษ์ไหมเราอยู่ตรงยักษ์

    เจอกันตรงยักษ์นะ  เราอยู่กับเพื่อนๆแหละ

    ผมรีบมองหายักษ์ที่อยู่ระหว่างโซน H – J ทันทีในที่สุดผมก็เจอ และผมก็รีบวิ่งฝ่าฝูงชน ที่มาโลดของเตรียมขึ้นไปหาเธอทันที และในที่สุดก็เจอ ไม่มีการล่ำลาอย่างลึกซึ้ง แบบที่ผมตั้งใจไว้ ผมได้แต่ถ่ายรูปกับเธอซึ่งเธอก็บ่นว่า ถ่ายอีกและ !” และเธอก็จะต้องมายืนซ้ายมือของผม เธอชอบยืนซ้ายมือเวลาถ่ายรูปด้วยกัน ไม่รู้เพราะอะไร แต่มันก็ตลกดี ผมได้แค่ยัดหนังสือ ที่ผมพยายามอ่านจนจบใส่มือของเธอและแนบรูปไว้ที่หน้า 134 ซึ่งเรื่องราวตอนนั้นผมอยากให้เธอได้อ่านแต่ผมก็ไม่ได้พูดมันออกไป คำพูดตอนท้ายของหนังสือตอนนั้นผมจำได้คร่าวๆประมาณว่า ให้อดทนสู้ต่อไป ในวันที่ฟ้าหม่น ผมก็แค่อยากให้กำลังใจเธอ ในวันที่เธออยู่ห่างไกลบ้าน .. นั่นแหละครับเรื่องราววันนี้

                    ท้ายที่สุดไม่รู้ว่าการไปญี่ปุ่น หนึ่งปีของเธอ มันอาจจะมีคนเข้ามาหาเธอซึ่งมันจะต้องมีเหตุการณ์แบบนั้นแน่ๆ ความสัมพันธ์ของเราจะแนบแน่นขึ้นไหม จะดีขึ้นไหม หรืออย่างไร ผมไม่ทราบ

                    แต่ถ้าผมมัวแต่กลัวอนาคต จนไม่ทำปัจจุบันวันนี้ของผมให้ดี

    และนั่นคงไม่ต้องให้หมอดูคนไหนมาดูดวงให้ผม ผมก็รู้แล้วแน่ๆว่ารักของเรามันต้องแย่แน่ๆ

    ผมต้องไม่มัวแต่กังวล และสู้ต่อไป ผมทำได้แค่ เชื่อมั่นในตัวเธอ ..และทำในส่วนของผมให้เต็มที่

    นั่นเป็นสิ่งที่ผมทำได้และควรจะทำ 

    ....ติดพริก....

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น