การให้สามประเภท
การให้3ประเภทจะกล่าวถึงการให้ตามหลักพุทธศาสนา ได้แก่ ให้ทานสิ่งของ วิทยาทาน และอภัยทาน
ผู้เข้าชมรวม
152
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
การให้
การให้เป็นการดำรงชีวิตในระดับสูงสุด ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของชนทั้งหลาย
การให้ทานที่ถูกต้องหรือการให้ทานด้วยความบริสุทธิ์ใจคือการให้ทานโดยไม่หวังผลใดๆ
สิ่งที่เราให้ออกไปคือสิ่งที่เราได้กลับมา ถ้าคุณให้สิ่งที่ดี คุณก็จะได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนมา ในทำนองเดียวกัน
ถ้าคุณให้สิ่งที่ไม่ดี คุณก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดีนั้นกลับคืนมา ยิ่งคุณให้มาก คุณก็ยิ่งได้รับมากหรือได้กลับคืนมา
เป็นสิบเท่า
จงหยิบยื่นให้ผู้อื่นและสังคมจนเป็นนิสัยและขอให้ให้ด้วยทัศนคติที่ดี
การให้ทานแก่ผู้อื่นควรทำแบบปิดทองหลังพระ ไม่ควรให้ด้วยความเสียดายหรือด้วยความคาดหวังว่าจะได้รับ
ผลประโยชน์หรือมิฉะนั้นด้วยความคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นการตอบแทนกลับมา เมื่อเราให้
โดยไม่หวังผลใดๆเลย เราจะรู้สึกปลอดโปร่งและมีความสบายใจ
จงให้ทานหรือสิ่งที่มีค่าแก่ผู้ที่รู้จักคุณค่าหรือผู้ที่สมควรได้รับในโอกาสอันควรและให้ถูกกาลเทศะ
จงยึดมั่นไว้ว่าเมื่อคุณได้รับ ผู้ให้ก็มีโอกาสได้ให้และเมื่อพวกเขาได้ให้ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาเป็น
ฝ่ายได้รับอีก
การให้ทานแบ่งออกเป็นสามอย่างได้แก่ ให้ทานเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค ทรัพย์และสิ่งของต่างๆ ให้ความรู้
เป็นทาน และให้อภัยในความผิดของผู้อื่นที่กระทำต่อเราหรืออภัยทาน
การให้อย่างแรกคือการให้สิ่งของเป็นทานเป็นการให้ที่ง่ายที่สุดและสะดวกที่สุดเพราะเราเพียงแค่มีสิ่งของและมีผู้
รับทาน เราก็สำเร็จประโยชน์ได้ด้วยความเอื้อเฟื้อ เสียสละ แบ่งปัน ช่วยเหลือ สงเคราะห์ด้วยตัวเราเอง
การให้อย่างที่สองคือการให้ความรู้หรือวิทยาทานหรือการให้ศิลปะวิทยาการแก่ผู้ที่ขาดความรู้ การให้ในข้อนี้
ถือการให้ธรรมทานเป็นการให้ที่เหนือกว่าการให้ทานทั้งปวงและเป็นการให้ที่ได้บุญกุศลสูงสุด
การให้อย่างที่สามคืออภัยทาน มีบุคคลอยู่สามประเภทที่คุณต้องให้อภัยได้แก่ บิดามารดา คนอื่นๆทั้งหมด
และตัวคุณเอง
บิดามารดาของคุณเป็นบุคคลประเภทแรกที่คุณต้องให้อภัย ไม่ว่าบิดามารดาหรือคนใดคนหนึ่งจะเคยทำร้ายคุณ
ขนาดไหนไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางจิตใจหรือทั้งสองอย่าง คุณก็ต้องให้อภัยแก่ท่านโดยยอมรับว่าท่าน
ทำดีที่สุดแล้วจากสิ่งที่ท่านเป็น ในหลายๆกรณีท่านไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าได้ทำอะไรลงไปจึงทำให้คุณไม่ชอบใจ
อยู่จนทุกวันนี้ คุณเคยสังเกตไหมว่าแม้คนอื่นที่ไม่ใช่บิดามารดา ตัวเราก็ยากจะให้อภัยได้ คุณจะรู้สึก
ยากลำบากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าหากบุคคลผู้นั้นเป็นบิดามารดาของเรา คุณพึงตระหนักและจดจำใส่ใจ
ไว้ว่าบิดามารดาสามารถมีความโหดร้าย อาฆาตแค้นและ ทำร้ายให้เจ็บปวดเป็นทุกข์อย่างแรงกล้าได้
อย่างไร ยกตัวอย่าง เช่น การที่บิดามารดาทิ้งขวางไม่ต้องการเรา ไม่ให้ความรักความอบอุ่น เบียดเบียน
ทางเพศ ทำร้ายร่างกายทำร้ายจิตใจ คุณผู้ตกเป็นเหยื่อจะรู้สึกสารพัดซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะ
เป็นความเจ็บปวดแค้นเคือง ความชอกช้ำระกำใจ ความขมขื่น ความชิงชัง เป็นต้น อารมณ์ความรู้สึก
ดังกล่าวอาจจะแผดเผาบุคคลนั้นไปนานหลายสิบปีหรือประทับลงไปในจิตใจจนชั่วชีวิตถ้าไม่รู้จักที่จะให้อภัย
ความขมขื่น ความโกรธแค้น และความอาฆาตพยาบาทที่ยาวนานนั้นเป็นเสมือนยาพิษร้ายทางอารมณ์
พวกมันทำให้จิตใจเราได้รับความเสียหาย การให้อภัยเป็นไฟเผาไหม้อันยิ่งใหญ่ มันแผดเผาโรคร้ายทาง
อารมณ์และปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากเครื่องจองจำของอดีต คุณจะไม่ได้รับอะไรเลยและจะสูญเสีย
มากกว่าหากคุณยังยึดติดกับอดีตที่ยังคงทำให้คุณเจ็บใจ โกรธแค้น มุ่งร้ายและขุ่นเคืองใจ จงอย่าลืมว่าไม่มี
มนุษย์คนใดสมบูรณ์แบบดังนั้นจงอย่าผูกใจเจ็บบิดามารดาของคุณเพราะพวกเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือน
เช่นคนอื่นๆ จงทำความเข้าใจจุดอ่อนของพวกเขาและเรียนรู้ที่จะรักพวกเขาในฐานะที่คุณเป็นผู้ใหญ่คน
หนึ่ง สรุปก็คือยิ่งคุณมีชีวิตครอบครัวที่เลวร้ายมากเพียงไรคุณก็ยิ่งต้องให้อภัยบิดามารดาของคุณมากเท่านั้น
บุคคลประเภทที่สองที่คุณต้องให้อภัยคือคนอื่นๆทั้งหมด คุณต้องให้อภัยได้อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆแก่คนทุกคน
ที่ล่วงเกินคุณโดยไม่มีข้อยกเว้น นี่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณชอบคนๆนั้น สิ่งที่ต้องทำคือเพียงแค่ให้อภัย
การให้อภัยเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวเป็นที่สุดเพราะว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนๆนั้นเลย แต่ทว่ามัน
เกี่ยวข้องกับความสงบสุขทางใจและความสุขของตัวคุณเอง
บุคคลประเภทที่สามที่คุณต้องให้อภัยก็คือตัวคุณเอง คุณต้องให้อภัยตัวเองสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณผิดพลาด
ซึ่งคุณเคยพูดหรือทำ ชายและหญิงที่มีปัญญาและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวล้วนแล้วแต่เคยทำผิดด้วยกันทั้งนั้น เพราะ
ด้วยความผิดพลาดนั้นเองที่ทำให้พวกเขาได้กลายเป็นคนที่ฉลาดและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวมากขึ้น ดังนั้นคุณต้อง
ให้อภัยตัวเองสำหรับทุกสิ่งที่คุณได้กระทำลงไป
จงให้อภัยไม่ว่าคนที่คุณเกลียดชัง คนที่คุณอาฆาตพยาบาทจะเป็นใคร คนที่แบกภาระแห่งอารมณ์ลบไว้ในใจ
จะพูดเหมือนกันว่า พวกเขาไม่อาจลืมความเจ็บช้ำน้ำใจ ความขมขื่น ความชอกช้ำระกำใจที่คนอื่นทำไว้
กับพวกเขาได้ พวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่พวกเขายังไม่ให้อภัยคู่กรณีเพราะบุคคลนั้นไม่มี
ความสำนึกเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป ไม่แม้แต่จะยอมรับหรือทำความเข้าใจว่าได้ทำสิ่งที่แสนเลวร้าย
หลายคนพูดถึงคนที่เขาไม่ให้อภัยว่า “ผมให้อภัยเขาไม่ได้เพราะเขาไม่ได้สำนึกหรือเสียใจแม้แต่น้อย คน
พวกนี้จึงไม่สมควรจะได้รับการให้อภัยจากผม” ถ้านั่นคือหลักการของการให้อภัยแล้วล่ะก็ แน่นอนว่ามี
หลายคนในโลกนี้ไม่มีสิทธิ์ได้รับการให้อภัย มีคนหลายคนที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นเสียหายแบบถาวรโดยขาดความ
สำนึกผิด มีหลายคนที่ไม่สนแม้แต่นิดเดียวว่าได้ทำร้ายจิตใจใครบ้าง อย่าว่าแต่ทำให้ชีวิตและจิตใจผู้อื่นพัง
ทลายเลย
ขอให้คุณเข้าใจดังนี้ ถ้าคุณยอมให้ผู้ใดทำให้คุณเกลียดชัง เคียดแค้น ชิงชัง อาฆาตพยาบาทเขาได้ เขาคน
นั้นคือผู้ชนะ ส่วนคุณคือผู้แพ้ จงอย่ายอมให้คุณเป็นผู้แพ้อีกแม้แต่วันเดียว จงอย่าลืมว่า”เป็นสิ่งที่
แน่นอนเหลือเกินว่า คนที่มุ่งแต่จะแก้แค้นก็ย่อมเท่ากับเป็นการทะนุถนอมบาดแผลทางจิตใจของตนไว้ให้
นานที่สุด เขาผู้นั้นย่อมต้องได้รับความทุกข์ทรมานอันไม่มีประมาณทั้งๆที่แผลควรจะหายสนิทไปแล้วถ้า
เพียงแต่เขาให้อภัยเท่านั้นเพราะว่าการให้อภัยคือกระบวนการการเริ่มสมานแผลจิตใจซึ่งในที่สุดแผลใจก็จะ
หายไป”
ผู้ที่ไม่สามารถให้อภัยคนอื่นได้เท่ากับว่าได้ทำลายสะพานแห่งอิสรภาพของตัวเขาเองที่จะต้องใช้ข้ามไปสู่การเป็น
ไทแก่ตัวเองคือหลุดพ้นจากการเป็นทาสทางอารมณ์ของตนเองเนื่องจากการให้อภัยคือการกระทำสิ่งที่จำเป็น
ต่อการสงวนเรี่ยวแรงทางจิตวิญญาณเพื่อสร้างสภาวะจิตใจของตัวคุณอง เมื่อคุณให้อภัยก็เท่ากับคุณได้ข้าม
สะพานที่ข้ามได้ยากสมตามที่มีผู้กล่าวไว้ว่า”ในยามที่คุณไม่ได้อยู่ต่อหน้าฉันคุณไม่สามารถทำร้ายจิตใจและ
ควบคุมฉันไว้ใต้อำนาจของคุณ คุณไม่สามารถกำหนดความรู้สึกของฉันได้ คุณไม่สามารถผูกใจฉันไว้
กับใจคุณได้ คุณจะไม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฉัน เป็นสิ่งที่ฉันคิด เป็นสิ่งฉันทำอยู่ทุกวัน ฉันจะไม่
ยอมให้คุณทำเช่นนั้นกับฉัน ฉันจะไม่ยอมให้คุณลากฉันเข้าไปยังที่มืดมิดของคุณ ฉันตระหนักดีว่าการ
ให้อภัยคุณนั้นไม่ต้องรอความร่วมมือจากคุณแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นเลยที่คุณต้องมารับรู้และการให้อภัยคุณ
เป็นเรื่องของฉันเพียงฝ่ายเดียว การที่ฉันให้อภัยคุณก็เท่ากับฉันปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากคุณซึ่งไม่
ใช่การปล่อยคุณให้เป็นอิสระจากฉัน คุณต้องมีชีวิตอยู่ในความมืดมิดของจิตใจคุณแต่ฉันไม่ต้องและจะไม่
ทำเช่นนั้นเป็นอันขาด”
คุณมีความสามารถที่ให้อภัยได้ ไม่ใช่เพื่อเป็นของขวัญสำหรับพวกเขาแต่เพื่อเป็นของขวัญสำหรับตัวคุณเอง
หากการให้อภัยของคุณจะทำให้เกิดผลพลอยได้ใดๆแก่บุคคลนั้น ก็ช่างมันเถอะ คนที่คุณช่วยไว้คือตัวคุณ
เอง คุณคือผู้ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการทางอารมณ์นั้น
แม้ว่าการให้อภัยจะไม่ช่วยแก้ไขอดีตให้ดีขึ้นได้ก็ตามทว่าการให้อภัยจะทำให้อนาคตของคุณประสบแต่สิ่งที่ดีงามอย่างแน่นอน ดังนั้นจงให้อภัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
จงมองหาสิ่งที่ดีในตัวคนที่คุณจะให้อภัย คิดในแง่มุมที่ดี คิดถึงส่วนที่ดีของบุคคลนั้นโดยอยู่บนฐานของ
ความจริง อย่าลืมว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดและก็ไม่มีใครอีกเช่นกันที่จะไม่ต้องการการยกโทษนอกจากนั้น
คุณก็จะได้พบสิ่งที่ดีเกี่ยวกับตัวคุณเองด้วย
การให้อภัยเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับความรักคือต้องมอบให้โดยปราศจากเงื่อนไขและโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
ตามที่กล่าวมานี้ถ้าคุณยังให้อภัยแก่ใครไม่ได้ คุณลองสดับคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อไปนี้ดูเผื่อว่าอาจจะช่วย
ดับความอาฆาตพยาบาทลงได้ พระธรรมนี้ว่าด้วยธรรมะดับความอาฆาตห้าประการคือ
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงนึกถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น
ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆตนให้มั่นในบุคคลนั้นว่า
ท่านผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของๆตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มี
กรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใดก็ดีชั่วก็ตาม จักเป็นทายาท(ผู้รับผล)ของกรรมนั้น
พึงระงับความอาฆาตในบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้
จงจำไว้ว่า การให้ทานอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างหรือทั้งสามอย่างที่ประกอบด้วยเมตตา เป็นการจรรโลง
ความรักให้เกิดขึ้น
จงจำไว้อีกว่า ไม่มีใครได้รับเกียรติจากการเป็นผู้รับ เกียรตินั้นเป็นรางวัลสำหรับผู้ให้ และมือที่ให้ย่อมจะ
ได้รับด้วย ความจริงอย่างหนึ่งที่สำคัญเพื่อให้มีชีวิตอย่างมีความสุขคือ คุณต้องให้เพื่อจะได้รับสิ่งดีๆในชีวิต
นี่คือเคล็ดลับของการมีชีวิตที่มีอย่างเหลือเฟือ ขอย้ำให้ฟังอีกครั้งว่า คุณต้องเป็นผู้ให้ก่อนจึงจะได้รับสิ่งดีๆ
ในชีวิตนี้ จงเป็นคนใจบุญสุณทานและชอบให้ผู้อื่น
จงจำให้ขึ้นใจว่า จงให้ก่อนที่จะรับ ถ้าคุณให้อยู่เรื่อยๆ คุณก็จะมีเรื่อยๆไป ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ และหนึ่งใน
กฎของการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จก็คือ การที่คุณให้โดยปราศจากความเห็นแก่ตัวแล้วคุณก็จะได้รับผล
ตอบแทนที่แท้จริง จงคิดถึงเรื่องการให้แทนที่จะคิดแต่เรื่องการรับ จงให้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งคุณไม่อาจทน
ที่จะไม่แบ่งปันได้เลย
จงจำไว้เสมอว่า ทานที่ให้อย่างเปิดเผยจะให้การตอบแทนอย่างเร้นลับ การทำทานไม่เคยเป็นสิ่งที่พอเพียง
ถ้าคุณคิดว่า คุณให้มากพอแล้ว จงคิดอีกครั้ง คุณสามารถให้ได้มากกว่านั้นและมีคนที่คุณสามารถให้ได้
เสมอ
9 พฤษภาคม 2548
ผลงานอื่นๆ ของ ADA ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ADA
ความคิดเห็น