การให้สามประเภท - การให้สามประเภท นิยาย การให้สามประเภท : Dek-D.com - Writer

    การให้สามประเภท

    การให้3ประเภทจะกล่าวถึงการให้ตามหลักพุทธศาสนา ได้แก่ ให้ทานสิ่งของ วิทยาทาน และอภัยทาน

    ผู้เข้าชมรวม

    152

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    152

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 มี.ค. 49 / 11:10 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      การให้

      การให้เป็นการดำรงชีวิตในระดับสูงสุด ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของชนทั้งหลาย

      การให้ทานที่ถูกต้องหรือการให้ทานด้วยความบริสุทธิ์ใจคือการให้ทานโดยไม่หวังผลใดๆ

      สิ่งที่เราให้ออกไปคือสิ่งที่เราได้กลับมา ถ้าคุณให้สิ่งที่ดี คุณก็จะได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนมา ในทำนองเดียวกัน

      ถ้าคุณให้สิ่งที่ไม่ดี คุณก็จะได้รับสิ่งที่ไม่ดีนั้นกลับคืนมา ยิ่งคุณให้มาก คุณก็ยิ่งได้รับมากหรือได้กลับคืนมา

      เป็นสิบเท่า

      จงหยิบยื่นให้ผู้อื่นและสังคมจนเป็นนิสัยและขอให้ให้ด้วยทัศนคติที่ดี

      การให้ทานแก่ผู้อื่นควรทำแบบปิดทองหลังพระ ไม่ควรให้ด้วยความเสียดายหรือด้วยความคาดหวังว่าจะได้รับ

      ผลประโยชน์หรือมิฉะนั้นด้วยความคาดหวังว่าจะได้รับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นการตอบแทนกลับมา เมื่อเราให้

      โดยไม่หวังผลใดๆเลย เราจะรู้สึกปลอดโปร่งและมีความสบายใจ

      จงให้ทานหรือสิ่งที่มีค่าแก่ผู้ที่รู้จักคุณค่าหรือผู้ที่สมควรได้รับในโอกาสอันควรและให้ถูกกาลเทศะ

      จงยึดมั่นไว้ว่าเมื่อคุณได้รับ ผู้ให้ก็มีโอกาสได้ให้และเมื่อพวกเขาได้ให้ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาเป็น

      ฝ่ายได้รับอีก

      การให้ทานแบ่งออกเป็นสามอย่างได้แก่ ให้ทานเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค ทรัพย์และสิ่งของต่างๆ ให้ความรู้

      เป็นทาน และให้อภัยในความผิดของผู้อื่นที่กระทำต่อเราหรืออภัยทาน

      การให้อย่างแรกคือการให้สิ่งของเป็นทานเป็นการให้ที่ง่ายที่สุดและสะดวกที่สุดเพราะเราเพียงแค่มีสิ่งของและมีผู้

      รับทาน เราก็สำเร็จประโยชน์ได้ด้วยความเอื้อเฟื้อ เสียสละ แบ่งปัน ช่วยเหลือ สงเคราะห์ด้วยตัวเราเอง

      การให้อย่างที่สองคือการให้ความรู้หรือวิทยาทานหรือการให้ศิลปะวิทยาการแก่ผู้ที่ขาดความรู้ การให้ในข้อนี้

      ถือการให้ธรรมทานเป็นการให้ที่เหนือกว่าการให้ทานทั้งปวงและเป็นการให้ที่ได้บุญกุศลสูงสุด

      การให้อย่างที่สามคืออภัยทาน มีบุคคลอยู่สามประเภทที่คุณต้องให้อภัยได้แก่ บิดามารดา คนอื่นๆทั้งหมด

      และตัวคุณเอง

      บิดามารดาของคุณเป็นบุคคลประเภทแรกที่คุณต้องให้อภัย ไม่ว่าบิดามารดาหรือคนใดคนหนึ่งจะเคยทำร้ายคุณ

      ขนาดไหนไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางจิตใจหรือทั้งสองอย่าง คุณก็ต้องให้อภัยแก่ท่านโดยยอมรับว่าท่าน

      ทำดีที่สุดแล้วจากสิ่งที่ท่านเป็น ในหลายๆกรณีท่านไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าได้ทำอะไรลงไปจึงทำให้คุณไม่ชอบใจ

      อยู่จนทุกวันนี้ คุณเคยสังเกตไหมว่าแม้คนอื่นที่ไม่ใช่บิดามารดา ตัวเราก็ยากจะให้อภัยได้ คุณจะรู้สึก

      ยากลำบากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าหากบุคคลผู้นั้นเป็นบิดามารดาของเรา คุณพึงตระหนักและจดจำใส่ใจ

      ไว้ว่าบิดามารดาสามารถมีความโหดร้าย อาฆาตแค้นและ ทำร้ายให้เจ็บปวดเป็นทุกข์อย่างแรงกล้าได้

      อย่างไร ยกตัวอย่าง เช่น การที่บิดามารดาทิ้งขวางไม่ต้องการเรา ไม่ให้ความรักความอบอุ่น เบียดเบียน

      ทางเพศ ทำร้ายร่างกายทำร้ายจิตใจ คุณผู้ตกเป็นเหยื่อจะรู้สึกสารพัดซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะ

      เป็นความเจ็บปวดแค้นเคือง ความชอกช้ำระกำใจ ความขมขื่น ความชิงชัง เป็นต้น อารมณ์ความรู้สึก

      ดังกล่าวอาจจะแผดเผาบุคคลนั้นไปนานหลายสิบปีหรือประทับลงไปในจิตใจจนชั่วชีวิตถ้าไม่รู้จักที่จะให้อภัย

      ความขมขื่น ความโกรธแค้น และความอาฆาตพยาบาทที่ยาวนานนั้นเป็นเสมือนยาพิษร้ายทางอารมณ์

      พวกมันทำให้จิตใจเราได้รับความเสียหาย การให้อภัยเป็นไฟเผาไหม้อันยิ่งใหญ่ มันแผดเผาโรคร้ายทาง

      อารมณ์และปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากเครื่องจองจำของอดีต คุณจะไม่ได้รับอะไรเลยและจะสูญเสีย

      มากกว่าหากคุณยังยึดติดกับอดีตที่ยังคงทำให้คุณเจ็บใจ โกรธแค้น มุ่งร้ายและขุ่นเคืองใจ จงอย่าลืมว่าไม่มี

      มนุษย์คนใดสมบูรณ์แบบดังนั้นจงอย่าผูกใจเจ็บบิดามารดาของคุณเพราะพวกเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือน

      เช่นคนอื่นๆ จงทำความเข้าใจจุดอ่อนของพวกเขาและเรียนรู้ที่จะรักพวกเขาในฐานะที่คุณเป็นผู้ใหญ่คน

      หนึ่ง สรุปก็คือยิ่งคุณมีชีวิตครอบครัวที่เลวร้ายมากเพียงไรคุณก็ยิ่งต้องให้อภัยบิดามารดาของคุณมากเท่านั้น

      บุคคลประเภทที่สองที่คุณต้องให้อภัยคือคนอื่นๆทั้งหมด คุณต้องให้อภัยได้อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆแก่คนทุกคน

      ที่ล่วงเกินคุณโดยไม่มีข้อยกเว้น นี่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณชอบคนๆนั้น สิ่งที่ต้องทำคือเพียงแค่ให้อภัย

      การให้อภัยเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวเป็นที่สุดเพราะว่ามันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนๆนั้นเลย แต่ทว่ามัน

      เกี่ยวข้องกับความสงบสุขทางใจและความสุขของตัวคุณเอง

      บุคคลประเภทที่สามที่คุณต้องให้อภัยก็คือตัวคุณเอง คุณต้องให้อภัยตัวเองสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณผิดพลาด

      ซึ่งคุณเคยพูดหรือทำ ชายและหญิงที่มีปัญญาและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวล้วนแล้วแต่เคยทำผิดด้วยกันทั้งนั้น เพราะ

      ด้วยความผิดพลาดนั้นเองที่ทำให้พวกเขาได้กลายเป็นคนที่ฉลาดและเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวมากขึ้น ดังนั้นคุณต้อง

      ให้อภัยตัวเองสำหรับทุกสิ่งที่คุณได้กระทำลงไป

      จงให้อภัยไม่ว่าคนที่คุณเกลียดชัง คนที่คุณอาฆาตพยาบาทจะเป็นใคร คนที่แบกภาระแห่งอารมณ์ลบไว้ในใจ

      จะพูดเหมือนกันว่า พวกเขาไม่อาจลืมความเจ็บช้ำน้ำใจ ความขมขื่น ความชอกช้ำระกำใจที่คนอื่นทำไว้

      กับพวกเขาได้ พวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การที่พวกเขายังไม่ให้อภัยคู่กรณีเพราะบุคคลนั้นไม่มี

      ความสำนึกเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป ไม่แม้แต่จะยอมรับหรือทำความเข้าใจว่าได้ทำสิ่งที่แสนเลวร้าย

      หลายคนพูดถึงคนที่เขาไม่ให้อภัยว่า “ผมให้อภัยเขาไม่ได้เพราะเขาไม่ได้สำนึกหรือเสียใจแม้แต่น้อย คน

      พวกนี้จึงไม่สมควรจะได้รับการให้อภัยจากผม” ถ้านั่นคือหลักการของการให้อภัยแล้วล่ะก็ แน่นอนว่ามี

      หลายคนในโลกนี้ไม่มีสิทธิ์ได้รับการให้อภัย มีคนหลายคนที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นเสียหายแบบถาวรโดยขาดความ

      สำนึกผิด มีหลายคนที่ไม่สนแม้แต่นิดเดียวว่าได้ทำร้ายจิตใจใครบ้าง อย่าว่าแต่ทำให้ชีวิตและจิตใจผู้อื่นพัง

      ทลายเลย

      ขอให้คุณเข้าใจดังนี้ ถ้าคุณยอมให้ผู้ใดทำให้คุณเกลียดชัง เคียดแค้น ชิงชัง อาฆาตพยาบาทเขาได้ เขาคน

      นั้นคือผู้ชนะ ส่วนคุณคือผู้แพ้ จงอย่ายอมให้คุณเป็นผู้แพ้อีกแม้แต่วันเดียว จงอย่าลืมว่า”เป็นสิ่งที่

      แน่นอนเหลือเกินว่า คนที่มุ่งแต่จะแก้แค้นก็ย่อมเท่ากับเป็นการทะนุถนอมบาดแผลทางจิตใจของตนไว้ให้

      นานที่สุด เขาผู้นั้นย่อมต้องได้รับความทุกข์ทรมานอันไม่มีประมาณทั้งๆที่แผลควรจะหายสนิทไปแล้วถ้า

      เพียงแต่เขาให้อภัยเท่านั้นเพราะว่าการให้อภัยคือกระบวนการการเริ่มสมานแผลจิตใจซึ่งในที่สุดแผลใจก็จะ

      หายไป”

      ผู้ที่ไม่สามารถให้อภัยคนอื่นได้เท่ากับว่าได้ทำลายสะพานแห่งอิสรภาพของตัวเขาเองที่จะต้องใช้ข้ามไปสู่การเป็น

      ไทแก่ตัวเองคือหลุดพ้นจากการเป็นทาสทางอารมณ์ของตนเองเนื่องจากการให้อภัยคือการกระทำสิ่งที่จำเป็น

      ต่อการสงวนเรี่ยวแรงทางจิตวิญญาณเพื่อสร้างสภาวะจิตใจของตัวคุณอง เมื่อคุณให้อภัยก็เท่ากับคุณได้ข้าม

      สะพานที่ข้ามได้ยากสมตามที่มีผู้กล่าวไว้ว่า”ในยามที่คุณไม่ได้อยู่ต่อหน้าฉันคุณไม่สามารถทำร้ายจิตใจและ

      ควบคุมฉันไว้ใต้อำนาจของคุณ คุณไม่สามารถกำหนดความรู้สึกของฉันได้ คุณไม่สามารถผูกใจฉันไว้

      กับใจคุณได้ คุณจะไม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฉัน เป็นสิ่งที่ฉันคิด เป็นสิ่งฉันทำอยู่ทุกวัน ฉันจะไม่

      ยอมให้คุณทำเช่นนั้นกับฉัน ฉันจะไม่ยอมให้คุณลากฉันเข้าไปยังที่มืดมิดของคุณ ฉันตระหนักดีว่าการ

      ให้อภัยคุณนั้นไม่ต้องรอความร่วมมือจากคุณแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นเลยที่คุณต้องมารับรู้และการให้อภัยคุณ

      เป็นเรื่องของฉันเพียงฝ่ายเดียว การที่ฉันให้อภัยคุณก็เท่ากับฉันปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากคุณซึ่งไม่

      ใช่การปล่อยคุณให้เป็นอิสระจากฉัน คุณต้องมีชีวิตอยู่ในความมืดมิดของจิตใจคุณแต่ฉันไม่ต้องและจะไม่

      ทำเช่นนั้นเป็นอันขาด”

      คุณมีความสามารถที่ให้อภัยได้ ไม่ใช่เพื่อเป็นของขวัญสำหรับพวกเขาแต่เพื่อเป็นของขวัญสำหรับตัวคุณเอง

      หากการให้อภัยของคุณจะทำให้เกิดผลพลอยได้ใดๆแก่บุคคลนั้น ก็ช่างมันเถอะ คนที่คุณช่วยไว้คือตัวคุณ

      เอง คุณคือผู้ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการทางอารมณ์นั้น

      แม้ว่าการให้อภัยจะไม่ช่วยแก้ไขอดีตให้ดีขึ้นได้ก็ตามทว่าการให้อภัยจะทำให้อนาคตของคุณประสบแต่สิ่งที่ดีงามอย่างแน่นอน ดังนั้นจงให้อภัยต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

      จงมองหาสิ่งที่ดีในตัวคนที่คุณจะให้อภัย คิดในแง่มุมที่ดี คิดถึงส่วนที่ดีของบุคคลนั้นโดยอยู่บนฐานของ

      ความจริง อย่าลืมว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดและก็ไม่มีใครอีกเช่นกันที่จะไม่ต้องการการยกโทษนอกจากนั้น

      คุณก็จะได้พบสิ่งที่ดีเกี่ยวกับตัวคุณเองด้วย

      การให้อภัยเป็นเฉกเช่นเดียวกันกับความรักคือต้องมอบให้โดยปราศจากเงื่อนไขและโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ

      ตามที่กล่าวมานี้ถ้าคุณยังให้อภัยแก่ใครไม่ได้ คุณลองสดับคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อไปนี้ดูเผื่อว่าอาจจะช่วย

      ดับความอาฆาตพยาบาทลงได้ พระธรรมนี้ว่าด้วยธรรมะดับความอาฆาตห้าประการคือ

      ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญเมตตาในบุคคลนั้น

      ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญกรุณาในบุคคลนั้น

      ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงเจริญอุเบกขาในบุคคลนั้น

      ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงนึกถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น

      ความอาฆาตพึงบังเกิดขึ้นในบุคคลใด พึงนึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆตนให้มั่นในบุคคลนั้นว่า

      ท่านผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของๆตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มี

      กรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใดก็ดีชั่วก็ตาม จักเป็นทายาท(ผู้รับผล)ของกรรมนั้น

      พึงระงับความอาฆาตในบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้

      จงจำไว้ว่า การให้ทานอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างหรือทั้งสามอย่างที่ประกอบด้วยเมตตา เป็นการจรรโลง

      ความรักให้เกิดขึ้น

      จงจำไว้อีกว่า ไม่มีใครได้รับเกียรติจากการเป็นผู้รับ เกียรตินั้นเป็นรางวัลสำหรับผู้ให้ และมือที่ให้ย่อมจะ

      ได้รับด้วย ความจริงอย่างหนึ่งที่สำคัญเพื่อให้มีชีวิตอย่างมีความสุขคือ คุณต้องให้เพื่อจะได้รับสิ่งดีๆในชีวิต

      นี่คือเคล็ดลับของการมีชีวิตที่มีอย่างเหลือเฟือ ขอย้ำให้ฟังอีกครั้งว่า คุณต้องเป็นผู้ให้ก่อนจึงจะได้รับสิ่งดีๆ

      ในชีวิตนี้ จงเป็นคนใจบุญสุณทานและชอบให้ผู้อื่น

      จงจำให้ขึ้นใจว่า จงให้ก่อนที่จะรับ ถ้าคุณให้อยู่เรื่อยๆ คุณก็จะมีเรื่อยๆไป ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ และหนึ่งใน

      กฎของการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จก็คือ การที่คุณให้โดยปราศจากความเห็นแก่ตัวแล้วคุณก็จะได้รับผล

      ตอบแทนที่แท้จริง จงคิดถึงเรื่องการให้แทนที่จะคิดแต่เรื่องการรับ จงให้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งคุณไม่อาจทน

      ที่จะไม่แบ่งปันได้เลย

      จงจำไว้เสมอว่า ทานที่ให้อย่างเปิดเผยจะให้การตอบแทนอย่างเร้นลับ การทำทานไม่เคยเป็นสิ่งที่พอเพียง

      ถ้าคุณคิดว่า คุณให้มากพอแล้ว จงคิดอีกครั้ง คุณสามารถให้ได้มากกว่านั้นและมีคนที่คุณสามารถให้ได้

      เสมอ

      9 พฤษภาคม 2548

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×