ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท ::rewrite::
..กริ๊ง...
เสียงนุ่มก้องกังวานอย่างน่าประหลาด แหวกผ่านม่านหมอกแห่งราตรีออกมา ราวกับจะตามหาบางสิ่งเพื่อไขว่คว้ามันไว้ แม้เบื้องหน้าหรือรอบกายนั้นจะมีแต่เพียงความว่างเปล่าที่อ้างว้างในยามราตรีก็ตาม
...กริ๊ง...
สายลมหวีดร้องรับกับเสียงนุ่มทุ้มของกระดิ่งและพัดหอบเอาเสียงของมันไปจากแหล่งกำเนิดเสียงที่ไม่อาจจะมองเห็นไปในทิศที่ตรงกันข้ามในที่ที่ห่างไกลออกไป
...กริ๊ง...
...กริ๊ง...
เสียงทุ้มของมันยังคงตามสายลมไปอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งเบื้องหน้าปรากฎภาพบ้านหลังใหญ่จนเรียกว่าเป็นคฤหาสน์ก็ว่าได้ แต่ที่แห่งนั้นกลับถูกโอบอุ้มไปด้วยบรรยากาศของความอ้างจนแลดูน่าหดหู่
...กริ๊ง...
เสียงกังวานของกระดิ่งยังคงดำเนินต่อ แทรกตัวผ่านร่องหน้าต่างใบหรูเข้าภายในตัวบ้านอย่างไร้ซึ่งคำเอ่ยชวน สายลมยังคงหอบเอาเสียงของมันไปผ่านพื้นหินอ่อนสีซีด ยิ่งทำให้เสียงหวีดของมันให้ทวีความก้องกังวานยิ่งขึ้นเมื่อลอดผ่านเข้ามาในห้องสีทึม ภายในห้องสีทึมกลับมีอณาบริเวณกว้างขวางมากกว่าห้องของคนทั่วไป แต่ถึงกระนั้นกลับคุกรุ่นไปด้วยไปด้วยบรรยากาศอ้างว้าง
ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีคาราเมล ที่ถูกปรับแต่งให้เข้ากับสมัยนิยม ละมือจากหนังสือนวนิยายสอบสวนเล่มโตที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อเริ่มสัมผัสถึงสิ่งที่แปลกปลอมไปจากปกติ
...กริ๊ง...
...'เสียงกระดิ่ง ไม่น่าจะมีนี่'...
เจ้าของเรือนผมสีคาราเมลลุกออกจากเก้าอี้ไม้โอ้คขนาดตัวพอดีคนเพื่อที่จะตามหาต้นตอของเสียงแปลกปลอมนั่น แต่กลับมีสายลมโถมเข้าใส่ทั้งที่ในห้องสีทึมไร้ซึ่งทางที่ลมจะปรากฎอยู่เลแม้แต่น้อยและสายลมที่โถมเข้ามานั้นก็ได้หอบเอาเสียงกังวานที่ไร้ซึ่งแหล่งกำเนิดประดังเข้าสู่ร่างของชายหนุ่มและนั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน
ก่อนที่ประสาทรับรู้ทั้งหมดจะถูกพรากไป
เบื้องหลังเสาหินเจ้าของนัยน์ตาสีโลหิตจับจ้องร่างที่ล้มลงด้วยแววตาของเพรชฆาต
ร่างที่หลบอยู่ภายในมุมมืดเบี่ยงตัวออกมาพร้อมย่างเท้าเข้าหาร่างที่ไร้สติ ข้อมือหนาใต้ผ้าคลุมสีดำปรากฎแส้เหล็กสีโลหิต บุรุษผู้นั้นใช้นัยน์ตาคู่เดิมของตนจับจ้องไปยังร่างเบื้องหน้าที่อยู่แทบเท้าด้วยความเคียดแค้นก่อนที่แส้เหล็กในมือจะถูกตวัดออกหมายจะตัดลำคอระหง
เคร้ง!
เสียงแส้เหล็กกระทบโลหะ หาใช่เนื้อหนังมนุษย์
บุรุษผู้ถือแส้ตวัดดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวหันมองยังผู้ที่ขัดขวางตนก่อนจะต้องชะงัก
ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีรัตติกาลเฉกเช่นเดียวกับเส้นผมกำลังมองที่เขี่ยฝืนในมือที่บัดนี้หักลงหลังจากถูกนำมาใช้อย่างผิดวิธีด้วยสายตาบ่งบอกถึงความเสียดาย
" เจ้าเป็นใคร "
คนถูกถามไม่ใช่แค่ไม่สนใจแต่กลับจ้องมองที่เขี่ยฝืนในมองด้วยแววตาเช่นเดิมไม่เลิก
ดวงตาสีโลหิตทอประกายเหี้ยม แส้เหล็กสีแดงในมือถูกกระชับขึ้นอีกครั้งก่อนจะหวดลงไปยังร่างเป้าหมายใหม่ ชายหนุ่มเพียงเหลือบตาขึ้นมามองแบบไม่ใส่ใจก่อนจะใช้มือหยุดแส้ที่พุ่งเข้ามาไว้อย่างง่ายดาย
บุรุษตรงหน้าหรี่ตามองชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ พลันแสยะยิ้มร้ายออกมาพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกจากแส้ลามไปเผาถุงมือสีขาวจนไหม้เกรียม
เปลวเพลิงสีแดงลามมาติดบนถุงมืออย่างรวดเร็วแต่ดูท่าราวกับเจ้าของมันจะได้ใส่ใจ ชายหนุ่มเพียงประกบมือทั้งคู่เปลวไฟที่ลามติดจากแส้ก็หายไปในทันที กระนั้นถุงมือสีขาวก็ยังกลายเป็นสีดำเพราะรอยไหม้จากเปลวเพลิงอยู่ดี เห็นเช่นนั้นเจ้าของเรือนผมสีดำก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกพลางคิดว่า"ต้องเปลี่ยนคู่ใหม่อีกแล้ว"โดยยังไม่มีท่าทีคิดจะสนใจอีกร่างเลย
แม้เปลวเพลิงบนมือของชายหนุ่มจะถูกดับลงไปแต่ยังคงลุกโหมบนแส้เหล็กสีแดง เจ้าของเพียงตวัดมันกลับมาไว้ข้างตัว
" เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้ามนุษย์ "
บุรุษในผ้าคลุมเริ่มกระชับแส้ในมืออีกครั้งในขณะที่ดวงตาสีรัตติกาลเงยขึ้นมาสบ แววตาเรียบนิ่งแต่แฝงเอาไว้ด้วยความไม่พอใจทำใช้บุรุษผู้นั้นถึงกับชะงัก เหงื่อเม็ดโตไหลลงจากขมับกระทบกับฝ่ามือเย็นเฉียบที่ถือแส้อยู่พร้อมกับแรงกดดันมหาศาลที่ประดังกันเข้ามา
" เล่นเอาผมไปรวมกับพวกชั้นต่ำแบบนั้นก็แย่สิครับ "
" เจ้า...! "
เพียงพริบตาเดียวร่างของชายหนุ่มก็หายไปจากสายตา บุรุษผู้ซ่อนกายอยู่ใต้ผ้าคลุมเริ่มวิตก อาวุธในมือถูกกวัดแกว่งสะเปะสะปะไปมาอย่างร้อนรนก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสเย็นยะเยือกรดต้นคอ
ดวงตาสีรัตติกาลมองร่างที่ผงะหนีไปด้วยแววตาสมเพชก่อนที่มือหนาจะพุ่งเข้าบีบคอร่างตรงหน้าจนลอยสูงจากพื้น
" แก! แกเป็นใครกันแน่! "
ร่างของชายหนุ่มกระตุกยิ้มออกมาโดยที่สีหน้านั้นไม่เปลี่ยนแปลง
ใบหน้าของชายที่อยู่ในกำมือเริ่มกลายเป็นสีเขียวคล้ำจากการขาดอากาศอย่างฉับพลับ ดวงตาสีโลหิตเหลือกขึ้นพร้อมร่างที่ดิ้นกระสับกระส่ายไปมา แส้เพลิงในมือหล่นกระทบพื้นหินอ่อนเช่นเดียวกับเจ้าของร่างที่เริ่มสงบลง
ชายหนุ่มเหยียดยิ้มให้กลับภาพตรงหน้า แรงบีบในมือเริ่มคลายลง
" กะ แก..นใค...ร "
เสียงแหบพล่าดังขึ้นไม่เป็นคำพูดจากปากซีดเรียกแววตาขบขันจากชายหนุ่มตรงหน้าได้ราวกับเจอเรื่องน่าพอใจ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยขึ้นตอบ
" ก็แค่หมาเฝ้าบ้าน "
ดวงตาสีโลหิตเหลือกขึ้นอีกครั้งเมื่อแรงบีบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากสีซีดกอบเอาความว่างเปล่าเข้าสู่ปอดอย่างดิ้นรน
เฮือกสุดท้าย...
กร็อบ!
" โฮ่ง! "
[TBC] :: rewrite ::
อันนี้ข้าน้อยเริ่มกลับมาย้อนดัดแปลงเนื้อหาในบทแรกๆทั้งที่เพิ่งเขียนไปไม่กี่บท=-=;
ส่วนสาเหตุนั้นมาจากความน้อยใจที่ประดังเข้ามานับตั้งแต่เห็นตัวเลขผู้อ่านที่สูงเฉพาะตอนที่ 1 กับ 2 เท่านั้น
จึงเป็นสาเหตุให้ข้าน้อยย้อมกลับมาดูผลงานเรื่องแรก(ในช่วงแรกๆ)ของตนเองหลังจากมีคำวิจารณ์มาเป็นพักๆรวมถึงตัวเลขผู้อ่านที่อยู่ดีๆทำเอาเกือบหมดสติไปดื้อๆ
พอมาถึง ณ จุดนี้ต้องขอยอมรับว่าฝีมือคนนั้นขึ้นอยู่กับการขัดเกลา
ทำให้ข้าน้อยได้รู้ว่าการเขียนในช่วงบทแรกของตัวเองแทบจะไร้เสน่ห์ชนิดเรียกได้ว่าหากเป็นครูภาษาไทยข้าน้อยคงโดนด่ากลับมาว่าเป็นปลาสลิดหน้าจืดไร้ความอภิรมณ์น่าลิ้มลอง ฟังดูแล้วหดหู่หางลู่แบบเอวัง(มันคืออะไร)
เอาเถอะเจ้าค่ะ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณทุกกำลังใจไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อนๆ พี่ๆ ทั้งในที่รู้กันและเด็กดีทำให้เกิดฮึดสู้เขียนต่อ
ขอบคุณคอมเม้นที่ช่วยบอกกันตรงๆว่าไม่น่าสนใจทำให้ข้าน้อยย้อมกลับมาเขียนใหม่อีกครั้ง
ขอทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทนี้อย่าพึ่งเบื่อหน่ายกันไป ข้าย้อยขอรับลองว่าบทต่อไปดีดรีความมันจะเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาการพัฒนาฝีมือของผู้เขียนเจ้าค่ะ
ฉนั้นขอความกรุณาอย่าเพิ่งหมดอารมณ์ หากพบข้อบกพร่องผิดพลากประการใดกรุณาติชมอย่างๆตรงๆเพราะมันทำให้ผู้เขียนมองเห็นตัวเอง
และจะขอยืนหยัดคำมั่นสัญญาว่าจะเขียนต่อไปแม้ไม่มีคนอ่านก็ตาม
...เอวัง-_-
เสียงนุ่มก้องกังวานอย่างน่าประหลาด แหวกผ่านม่านหมอกแห่งราตรีออกมา ราวกับจะตามหาบางสิ่งเพื่อไขว่คว้ามันไว้ แม้เบื้องหน้าหรือรอบกายนั้นจะมีแต่เพียงความว่างเปล่าที่อ้างว้างในยามราตรีก็ตาม
...กริ๊ง...
สายลมหวีดร้องรับกับเสียงนุ่มทุ้มของกระดิ่งและพัดหอบเอาเสียงของมันไปจากแหล่งกำเนิดเสียงที่ไม่อาจจะมองเห็นไปในทิศที่ตรงกันข้ามในที่ที่ห่างไกลออกไป
...กริ๊ง...
...กริ๊ง...
เสียงทุ้มของมันยังคงตามสายลมไปอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งเบื้องหน้าปรากฎภาพบ้านหลังใหญ่จนเรียกว่าเป็นคฤหาสน์ก็ว่าได้ แต่ที่แห่งนั้นกลับถูกโอบอุ้มไปด้วยบรรยากาศของความอ้างจนแลดูน่าหดหู่
...กริ๊ง...
เสียงกังวานของกระดิ่งยังคงดำเนินต่อ แทรกตัวผ่านร่องหน้าต่างใบหรูเข้าภายในตัวบ้านอย่างไร้ซึ่งคำเอ่ยชวน สายลมยังคงหอบเอาเสียงของมันไปผ่านพื้นหินอ่อนสีซีด ยิ่งทำให้เสียงหวีดของมันให้ทวีความก้องกังวานยิ่งขึ้นเมื่อลอดผ่านเข้ามาในห้องสีทึม ภายในห้องสีทึมกลับมีอณาบริเวณกว้างขวางมากกว่าห้องของคนทั่วไป แต่ถึงกระนั้นกลับคุกรุ่นไปด้วยไปด้วยบรรยากาศอ้างว้าง
ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีคาราเมล ที่ถูกปรับแต่งให้เข้ากับสมัยนิยม ละมือจากหนังสือนวนิยายสอบสวนเล่มโตที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อเริ่มสัมผัสถึงสิ่งที่แปลกปลอมไปจากปกติ
...กริ๊ง...
...'เสียงกระดิ่ง ไม่น่าจะมีนี่'...
เจ้าของเรือนผมสีคาราเมลลุกออกจากเก้าอี้ไม้โอ้คขนาดตัวพอดีคนเพื่อที่จะตามหาต้นตอของเสียงแปลกปลอมนั่น แต่กลับมีสายลมโถมเข้าใส่ทั้งที่ในห้องสีทึมไร้ซึ่งทางที่ลมจะปรากฎอยู่เลแม้แต่น้อยและสายลมที่โถมเข้ามานั้นก็ได้หอบเอาเสียงกังวานที่ไร้ซึ่งแหล่งกำเนิดประดังเข้าสู่ร่างของชายหนุ่มและนั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน
ก่อนที่ประสาทรับรู้ทั้งหมดจะถูกพรากไป
เบื้องหลังเสาหินเจ้าของนัยน์ตาสีโลหิตจับจ้องร่างที่ล้มลงด้วยแววตาของเพรชฆาต
ร่างที่หลบอยู่ภายในมุมมืดเบี่ยงตัวออกมาพร้อมย่างเท้าเข้าหาร่างที่ไร้สติ ข้อมือหนาใต้ผ้าคลุมสีดำปรากฎแส้เหล็กสีโลหิต บุรุษผู้นั้นใช้นัยน์ตาคู่เดิมของตนจับจ้องไปยังร่างเบื้องหน้าที่อยู่แทบเท้าด้วยความเคียดแค้นก่อนที่แส้เหล็กในมือจะถูกตวัดออกหมายจะตัดลำคอระหง
เคร้ง!
เสียงแส้เหล็กกระทบโลหะ หาใช่เนื้อหนังมนุษย์
บุรุษผู้ถือแส้ตวัดดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวหันมองยังผู้ที่ขัดขวางตนก่อนจะต้องชะงัก
ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีรัตติกาลเฉกเช่นเดียวกับเส้นผมกำลังมองที่เขี่ยฝืนในมือที่บัดนี้หักลงหลังจากถูกนำมาใช้อย่างผิดวิธีด้วยสายตาบ่งบอกถึงความเสียดาย
" เจ้าเป็นใคร "
คนถูกถามไม่ใช่แค่ไม่สนใจแต่กลับจ้องมองที่เขี่ยฝืนในมองด้วยแววตาเช่นเดิมไม่เลิก
ดวงตาสีโลหิตทอประกายเหี้ยม แส้เหล็กสีแดงในมือถูกกระชับขึ้นอีกครั้งก่อนจะหวดลงไปยังร่างเป้าหมายใหม่ ชายหนุ่มเพียงเหลือบตาขึ้นมามองแบบไม่ใส่ใจก่อนจะใช้มือหยุดแส้ที่พุ่งเข้ามาไว้อย่างง่ายดาย
บุรุษตรงหน้าหรี่ตามองชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ พลันแสยะยิ้มร้ายออกมาพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกจากแส้ลามไปเผาถุงมือสีขาวจนไหม้เกรียม
เปลวเพลิงสีแดงลามมาติดบนถุงมืออย่างรวดเร็วแต่ดูท่าราวกับเจ้าของมันจะได้ใส่ใจ ชายหนุ่มเพียงประกบมือทั้งคู่เปลวไฟที่ลามติดจากแส้ก็หายไปในทันที กระนั้นถุงมือสีขาวก็ยังกลายเป็นสีดำเพราะรอยไหม้จากเปลวเพลิงอยู่ดี เห็นเช่นนั้นเจ้าของเรือนผมสีดำก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกพลางคิดว่า"ต้องเปลี่ยนคู่ใหม่อีกแล้ว"โดยยังไม่มีท่าทีคิดจะสนใจอีกร่างเลย
แม้เปลวเพลิงบนมือของชายหนุ่มจะถูกดับลงไปแต่ยังคงลุกโหมบนแส้เหล็กสีแดง เจ้าของเพียงตวัดมันกลับมาไว้ข้างตัว
" เจ้าเป็นใครกันแน่ เจ้ามนุษย์ "
บุรุษในผ้าคลุมเริ่มกระชับแส้ในมืออีกครั้งในขณะที่ดวงตาสีรัตติกาลเงยขึ้นมาสบ แววตาเรียบนิ่งแต่แฝงเอาไว้ด้วยความไม่พอใจทำใช้บุรุษผู้นั้นถึงกับชะงัก เหงื่อเม็ดโตไหลลงจากขมับกระทบกับฝ่ามือเย็นเฉียบที่ถือแส้อยู่พร้อมกับแรงกดดันมหาศาลที่ประดังกันเข้ามา
" เล่นเอาผมไปรวมกับพวกชั้นต่ำแบบนั้นก็แย่สิครับ "
" เจ้า...! "
เพียงพริบตาเดียวร่างของชายหนุ่มก็หายไปจากสายตา บุรุษผู้ซ่อนกายอยู่ใต้ผ้าคลุมเริ่มวิตก อาวุธในมือถูกกวัดแกว่งสะเปะสะปะไปมาอย่างร้อนรนก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อสัมผัสเย็นยะเยือกรดต้นคอ
ดวงตาสีรัตติกาลมองร่างที่ผงะหนีไปด้วยแววตาสมเพชก่อนที่มือหนาจะพุ่งเข้าบีบคอร่างตรงหน้าจนลอยสูงจากพื้น
" แก! แกเป็นใครกันแน่! "
ร่างของชายหนุ่มกระตุกยิ้มออกมาโดยที่สีหน้านั้นไม่เปลี่ยนแปลง
ใบหน้าของชายที่อยู่ในกำมือเริ่มกลายเป็นสีเขียวคล้ำจากการขาดอากาศอย่างฉับพลับ ดวงตาสีโลหิตเหลือกขึ้นพร้อมร่างที่ดิ้นกระสับกระส่ายไปมา แส้เพลิงในมือหล่นกระทบพื้นหินอ่อนเช่นเดียวกับเจ้าของร่างที่เริ่มสงบลง
ชายหนุ่มเหยียดยิ้มให้กลับภาพตรงหน้า แรงบีบในมือเริ่มคลายลง
" กะ แก..นใค...ร "
เสียงแหบพล่าดังขึ้นไม่เป็นคำพูดจากปากซีดเรียกแววตาขบขันจากชายหนุ่มตรงหน้าได้ราวกับเจอเรื่องน่าพอใจ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยขึ้นตอบ
" ก็แค่หมาเฝ้าบ้าน "
ดวงตาสีโลหิตเหลือกขึ้นอีกครั้งเมื่อแรงบีบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากสีซีดกอบเอาความว่างเปล่าเข้าสู่ปอดอย่างดิ้นรน
เฮือกสุดท้าย...
กร็อบ!
" โฮ่ง! "
[TBC] :: rewrite ::
อันนี้ข้าน้อยเริ่มกลับมาย้อนดัดแปลงเนื้อหาในบทแรกๆทั้งที่เพิ่งเขียนไปไม่กี่บท=-=;
ส่วนสาเหตุนั้นมาจากความน้อยใจที่ประดังเข้ามานับตั้งแต่เห็นตัวเลขผู้อ่านที่สูงเฉพาะตอนที่ 1 กับ 2 เท่านั้น
จึงเป็นสาเหตุให้ข้าน้อยย้อมกลับมาดูผลงานเรื่องแรก(ในช่วงแรกๆ)ของตนเองหลังจากมีคำวิจารณ์มาเป็นพักๆรวมถึงตัวเลขผู้อ่านที่อยู่ดีๆทำเอาเกือบหมดสติไปดื้อๆ
พอมาถึง ณ จุดนี้ต้องขอยอมรับว่าฝีมือคนนั้นขึ้นอยู่กับการขัดเกลา
ทำให้ข้าน้อยได้รู้ว่าการเขียนในช่วงบทแรกของตัวเองแทบจะไร้เสน่ห์ชนิดเรียกได้ว่าหากเป็นครูภาษาไทยข้าน้อยคงโดนด่ากลับมาว่าเป็นปลาสลิดหน้าจืดไร้ความอภิรมณ์น่าลิ้มลอง ฟังดูแล้วหดหู่หางลู่แบบเอวัง(มันคืออะไร)
เอาเถอะเจ้าค่ะ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณทุกกำลังใจไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อนๆ พี่ๆ ทั้งในที่รู้กันและเด็กดีทำให้เกิดฮึดสู้เขียนต่อ
ขอบคุณคอมเม้นที่ช่วยบอกกันตรงๆว่าไม่น่าสนใจทำให้ข้าน้อยย้อมกลับมาเขียนใหม่อีกครั้ง
ขอทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทนี้อย่าพึ่งเบื่อหน่ายกันไป ข้าย้อยขอรับลองว่าบทต่อไปดีดรีความมันจะเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาการพัฒนาฝีมือของผู้เขียนเจ้าค่ะ
ฉนั้นขอความกรุณาอย่าเพิ่งหมดอารมณ์ หากพบข้อบกพร่องผิดพลากประการใดกรุณาติชมอย่างๆตรงๆเพราะมันทำให้ผู้เขียนมองเห็นตัวเอง
และจะขอยืนหยัดคำมั่นสัญญาว่าจะเขียนต่อไปแม้ไม่มีคนอ่านก็ตาม
...เอวัง-_-
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น