ปริญญาที่ไขว่คว้า - ปริญญาที่ไขว่คว้า นิยาย ปริญญาที่ไขว่คว้า : Dek-D.com - Writer

    ปริญญาที่ไขว่คว้า

    ขลุ่ย บ้านข่อย

    เมื่อวัยเด็กผมมาเล่นกับหลานปลัดอำเภอที่อยู่หัวมุมห้องแถว ขณะเล่นก็แหงนไปดูรูปที่ติดฝาบ้าน ทราบว่าเป็นรูปของแม่เพื่อน ที่รับปริญญาคณะแพทยศาสตร์ นี่จึงถือเป็นแรงจูงใจทีีทำให้ผมอยากจะมีบ้าง...

    ผู้เข้าชมรวม

    42

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    42

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ม.ค. 68 / 13:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                    ปริญญาที่ไขว่คว้า         

                ช่วงที่ผมมีอายุ 6-7  ขวบ ได้มีโอกาสไปเล่นกับหลานปลัดจรัญ ซึ่งเป็นปลัดอำเภออำเภอ ของเมืองอรัญประเทศ ในเวลานั้นหลานชายของปลัดชื่อเล่นว่าจื๋ว มีอายุอ่อนกว่าผมประมาณสามปี  จิ๋วเป็นลูกคนเดียวของพี่จรรยา ระหว่างช่วงปิดเทอมที่ผมไปเ่ล่นกับจิ๋วที่บ้านซึ่งอยู่หัวมุมของห้องแถวพอดี ผมได้เห็นภาพบุคคลในชุดครุยของลุง ของแม่และน้าของจิ๋ว ทุกคนเป็นบัณฑิตของมหาวิทยาลัย ภาพที่ติดผนังข้างฝาบ้านเป็นภาพขาวดำที่เป็นภาพเดี่ยวและภาพที่กำลังยื่นมือรับปริญญาบัตรกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อผมได้เห็นภาพเหล่านี้ จึงเกิดความอยากรู้ 

       “จิ๋ว .เอ็งลองถามยายดูสิ ว่าภาพพวกนี้เป็นภาพ ที่เขาถ่ายไว้ ในงานอะไร” ผมพูดกับจิ๋ว

          โดยปกติเด็กๆในห้องแถวส่วนใหญ่ จะมาเล่นบริเวณหัวมุมของบ้านปลัดจรัล โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่มีน้ำนองท่อระบายน้ำของเทศบาล พวกเรามักจะใช้บริเวณนี้ เป็นที่กระโดดน้ำเล่นไล่จับในน้ำ เด็กๆในห้องแถว 95 เปอร์เซ็นต์ จะว่ายน้ำเป็นเพราะในเขตเทศบาลจะมีห้วยพรมโหด ซึ่งเป็นสายน้ำแบ่งแนวสองอาณาเขตฝั่งไทยกับกัมพูชา   วันหยุดเรียนเสาร์ -อาทิตย์ พวกเรามักจะชวนกันเป็นเล่นบริเวณหน้าประตูระบายน้ำ ช่วงน้ำมากๆ ทางเทศบาลมักจะประกาศเตือนเสียงตามสายให้ดูแลลูกหลานไม่ให้มาเล่นน้ำ เพราะอาจเป็นอันตรายจมน้ำจนเสียชีวิตได้

                                                             **********************

          วันต่อมา.. หลังจากที่จิ๋วได้สอบถามเรื่องภาพถ่ายที่ติดผนังของบ้านกับยายจึงมาบอกผมว่า ภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพของลุงศรชัย ภาพแม่ของจิ๋วเองและน้าซึ่งได้เรียนจบปริญญาแล้ว ก่อนหน้ามานี้ผมมองภาพเหล่านั้นอย่างผิวเผิน เพราะตัวเองยังเด็กมากเกินที่จะรับรู้เรื่องของระบบการศึกษาได้  การที่ผมพอจะสะกดอักษรและอ่านได้บ้าง จึงพยายามสะกดภาพที่ลุงของจิ๋วยื่นมือรับปริญญา “พิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   ”และอีกสองภาพที่เป็นภาพของแม่จิ๋วและน้า ข้อความเขียนว่า “พิธีพระะราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยมหิดล”  

       แม้ผมจะยังเป็นเด็ก แต่ก็พอจะทราบว่าอาชีพหมอหรืออาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่มีเกียรติและเรียนยากมาก จากที่ผมพอจะทราบข้อมูล คนในเขตเทศบาลมีเพียงสามคนเท่านั้นที่เรียนคณะแพทย์ศาสตร์ สองคนเป็นลูกของปลัดจรัล ที่อยู่ในห้องแถวเดียวกันกับผมและอีกคนคือเพื่อนของพี่ชายคือพี่สนชัยที่มีโอกาสเข้าเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ แต่ยังเรียนไม่จบเพราะสติฟั่นเฟือนพ่อกับแม่ของเขาจึงทำเรื่องขอลาออกเพื่อนำตัวไปรักษาจึงนับว่าน่าเสียดายกับอนาคตของเขาอย่างมาก  

       แม่ของจิ๋วชื่อจรรยาเป็นบุตรที่สองของตระกูล ธัญญานานนท์  พี่น้องในครอบครัวนี้ส่วนใหญ่จะเรียนหนังสือเก่งทุกคน ช่วงที่จิ๋วมาอยู่กับยายเป็นช่วงปิดเทอมพอดี สองเดือนเศษๆที่ผมได้สนิทกับจิ๋วจึงได้เล่นด้วยกันอย่างคนรู้ใจ  แค่เห็นภาพ เหล่านั้นก็เป็นสิ่งจูงใจและเป็นแรงบันดาลใจให้ผม ฝันจะไขว่คว้าใบปริญญาบัตรให้ได้ เหมือนกับภาพที่ได้พบเห็น

                                                         ***********************

          เขตเทศบาลตำบลที่ผมอาศัยอยู่ มิได้กว้างขวางมากนัก เวลามีข่าวอะไร ?ทุกคนก็ย่อมทราบ  กรณีของเด็กหรือคนอรัญฯสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพได้ จึงถูกเปิดเผยจากพ่อแม่หรือญาติพี่น้อง เพื่อแจ้งข่าว หรืออวดอ้างในตัวของลูกของเขาว่า มีความสามารถที่จะสอบเข้าคณะในมหาวิทยาลัยในเมืองหลวงจากอำเภออรัญประเทศไปกรุงเทพจะว่า ไกลก็ไกลจะว่าใกล้ก็ใกล้ ช่วงที่ผมยังเด็ก..พี่ชายของผมเรียนจบชั้นมัธยมต้นกันหมดแล้ว  พี่ชายคนโตของผมแม้จะเป็นคนเรียนเก่งและสอบได้เป็นที่ 1 มาตลอด แม้เขาฝันจะเรียนในมหาวิทยาลัยแต่ก็ไม่สามารถเดินไปตามความฝันของตัวเองได้ เนื่องจากแม่ไม่มีปัญญาจะหาเงินส่งเสีย พี่ชายของผมคนนี้  จึงไปเรียนทางสายวิชาชีพ ด้านช่างก่อสร้างที่เทคนิคกรุงเทพคนรองลงมามีผลการเรียนในระดับปานกลาง ได้มาเรียนทางสายวิชาชีพ ที่โรงเรียนช่างศิลป์  

       คนที่เรียนที่โรงเรียนช่างศิลป์ สามารถไต่ระดับการเรียนจากชั้น ม.6 (สายอาชีพ)จนสามารถเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยศิลปากร ในคณะมัณฑนศิลป์ จนจบปริญญาตรีได้  ซึ่งในเวลานั้นผมกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 7  

    “แม่ ..ผมเรียนจบแล้ว นะครับ  ” พี่ชายคนรอง พูด

    “แล้วคิดไง??กับเรื่องอนาคตล่ะ  ”แม่ ถาม

     “มีสองหน่วยงานที่กำลังเปิดรับสมัครพอดี เลยครับแม่” พี่ชายผมตอบ

     “ที่ไหนบ้าง ล่ะ”

     “ที่สำนักงานทรัพย์สินฯ กับกองทัพอากาศ ตอนนี้ผมกำลังดูว่า จะสมัครสอบที่ไหนดี  ”  พี่ชายพูด  

    “แล้วแต่ลูก ก็แล้วกัน  ”แม่พูด

                  ช่วงที่พี่ชายกลับมาที่บ้าน ได้มาคุยและหารือกับแม่ ซึ่งเวลานั้นผมกำลังช่วยแม่ทำขนมอยู่พอดี

      “จริงๆที่กองทัพอากาศ ก็น่าสนใจอยู่นะครับ..แม่ แต่เงินเดือนมันน้อยกว่าที่สำนักงานทรัพย์สิน ผมสนใจทำงานที่สำนักงานทรัพย์สินมากกว่า น่ะครับ แม่..” พี่ชายพูด

    “งั้นก็ตามใจลูก  ก็แล้วกัน” แม่พูด

    “ครับ ” พี่ชายพูด

                              และต่อมา…พี่ชายของผม จึงได้เข้าทำงาน ณ. สถานที่ที่เขาเลือกเอง

                                                   *************************

          พี่ชายคนที่สองของผมคือคนแรกของครอบครัวที่มีโอกาสได้เรียนจบชั้นปริญญาตรี   หลังจากที่เขารับพระราชทานปริญญาแล้ว จึงได้อัดขยายภาพช่วงรับปริญญากับในหลวงรัชกาลที่ ๙ นำมาให้แม่ได้ดู

    “นี่ครับแม่ รูปตอนที่ผมรับปริญญา ” พี่ชายผมพูด

    “สวยมาก เป็นความภูมิใจของแม่ ที่ลูกสามารถเรียนจบชั้นปริญญาได้ โดยความมุมานะและพึ่่งพาตนเอง”  แม่พูด

    “ยังไง? แม่ช่วยดูแลน้องๆด้วยนะครับ ยังไงพอ ไอ้ขลุ่ยเรียนจบมศ.3 แล้ว  ผมจะให้ลองไปสอบเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบ” พี่ชายพูด

     “จะไหวหรือ ตกเย็นๆมา ก็เอาแต่ไปเล่นบอล ที่สนามเทศบาล หนังสือก็ไม่ได้จับอ่าน”แม่พูด

       การที่พี่ชายของผม ได้นำภาพมาประดับไว้ที่ฝาบ้าน ถือเป็นแรงบันดาลใจและเป็นต้นแบบของน้องๆในบ้าน แม้ฐานะของที่บ้านของผมจะยากจน แต่แม่..ก็ได้ปลูกฝังให้ลูกๆ ทุกคนจำต้องขวยขวายการศึกษาให้ได้มากที่สุด

      “แม่…ไม่มีมรดก ที่จะให้ลูกๆเหมือนครอบครัวคนอื่นๆ ทางเดียวที่แม่ให้ลูกทุกๆคนได้โดยเท่าเทียมและยุติธรรมที่สุด คือการส่งเสียให้การศึกษากับทุกๆคนใครใคร่เรียน ใครใคร่อยากทำอะไรก็ทำ แต่ขอให้อยู่ในเกณฑ์ต้องทำดี  ไม่ผิดจริยธรรมและศีลธรรม”แม่พูด

      คำพูดนี้.. แม่จะพูดกับลูกๆเสมอ และยังบอกกับคนที่มาเที่ยวหาแม่ เพื่อบอกให้พวกเขารับรู้ ถึงความตั้งใจของแม่

      ครั้นผมเรียนจบชั้นมศ.3 แล้ว พี่ชายของผมได้ฝากฝังให้พี่ประสิทธิ์ซึ่งเป็นนายตรวจรถ บขส.ที่คุ้นเคยกัน ให้ช่วยรับผมจากบ้านให้มาที่บ้านในสวนฝั่งธนบุรี และนี่คือประสบกาณ์ชีวิตครั้งแรกที่ผมเข้ามาสู่กรุงเทพฯและจะต้องมาอยู่อย่างถาวร เพื่อเข้าเรียนต่อในอีกระดับหนึ่ง เมื่อพี่ประสิทธฺิ์มาส่งผมที่บ้านในสวนแล้ว เขาจึงขอตัวกลับ

      “ขอบใจมากนะ..ประสิทธิ์”  พี่ชายผมพูด

      “ไม่เป็นไรครับ..พี่ ”ประสิทธิ์ พูด

      พี่ประสิทธิ์ ได้ขอตัวกลับ ผมกล่าวขอบคุณพี่ประสิทธิ์ ที่เป็นธุระทั้งยังเสียสละเวลา มาส่งผมจนถึงบ้านที่พี่ชายผมเช่าอยู่ และจากนั้นมา ผมก็ไม่เคยพบกับพี่ประสิทธิ์อีกเลย..จนปัจจุบัน

                                      ***********************

       สิ่งที่จะทำให้ผมเกิดความมั่นใจ ในการจะสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบ คือต้องสมัครเข้าเรียนกวดวิชา พี่ชายของผมพามาสมัครกวดวิชาที่โรงเรียนวัดราชนัดดาข้างโรงหนังเฉลิมไทย  ผมต้องมาเรียนกวดวิชา วันละสามชั่วโมงเมื่อถึงวันสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบ มีนักเรียนเป็นพันๆ คนมาเข้าห้องสอบ  ทางโรงเรียนสามารถรับนักเรียนได้เพียง 120 คนเท่านั้น

      “ไม่ต้องซีเรียสหรอก  ลองสอบเพื่อหาประสบการณ์ ” พี่ชายพูด

     “ครับพี่”

      ที่โรงเรียนแห่งนี้ นับว่าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากถือเป็นโรงเรียนที่มีผู้ปกครอง อยากให้ลูกหลานของตนเองสามารถสอบเข้าเรียนได้ และก็เป็นไปตามที่คิดไว้คือผมสอบไม่ติด จึงต้องมาเรียนที่วัดราชาธิวาส ที่พี่ชายได้ติดต่อสถานที่ไว้ก่อนหน้าแล้ว การมาเรียนสายสามัญหากผมมีพื้นฐานวิชาคณิตศาสตร์และวิชาภาษาอังกฤษดีกว่านี้  ตอนเรียน มศ.4 ผมคงสอบผ่านได้อย่างแน่นอน แต่นี่…ผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์กับภาษาอังกฤษ คะแนนของผมได้ไม่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์จึงสอบตกไม่เป็นท่า ระหว่างที่เรียนชั้นมัธยมปลายเคยมีึความฝันว่าหากจบมศ.5 ผมอยากสมัครเรียนคณะรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์  แต่เมื่อความฝันไปถึงฝั่ง คือสอบตกชั้นมศ.4  จึงเบนเข็มมาเรียนวิชาชีพแทน

                                           ************************

    ช่วงที่ผมยังเคว้งคว้างและอยู่ในช่วงการตัดสินใจที่จะเลือกเส้นทางชีวิตของตน พี่ชายได้พาผมมาเที่ยวที่บ้านน้าสาวที่สำโรง สมุทรปราการ จนรู้จักกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกัน นั่นคือ..ไอ้แว่น แว่นเป็นลูกอัยการจังหวัด ของในจังหวัดภาคใต้  ตอนที่ผมรู้จักไอ้แว่นใหม่ๆ เขาพักอยู่กับพี่ชายที่กำลังเรียนนิติศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แว่นเรียน ปวช. ปี1 สายช่างกล ที่เทคนิคสมุทรปราการ   ผมไปๆมาๆ ระหว่างบ้านพี่ชายกับบ้านน้าสาว  จนเช้าวันหนึ่ง ผมได้พบกับน้องสาวของไอ้แว่น หลังจากได้รู้จักกันแล้วทราบชื่อเล่นว่าชื่อหญิง  หญิงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม หน้าตาของเธอดูชัดว่าเป็นคนปักษ์ใต้เนื่องจากตาคม ผมหยิก ทุกๆเช้าหญิงจะออกมากวาดบ้าน สายตาของคนหนุ่มสาวที่เจอะกันทุกเช้าทำให้เรารู้โดยธรรมชาติว่า เราชอบกันแล้ว ..

    “คุณเรียนอะไร? ที่ไหนหรือ ” หญิงถาม ด้วยอยากรู้

    “เคยเรียน มศ.4 แต่สอบตก กำลังคิดว่าจะไปสอบเรียนต่อ ทีไหนดี ”

    “ไปสมัครเรียนวิทยาลัยครูกันมั้ยคะ  หญิงจะไปซื้อใบสมัครวันนี้..น่ะ สนใจมั้ย..จะซื้อมาฝาก ”หญิงพูด ทั้งยังเสนอตัวที่จะช่วยซื้อใบสมัครมาให้ผม

     “ก็ดีครับ ลองสมัครดู กันเอาไว้ นี่พี่ชายของผม ก็กำลังฝากเพื่อนของเขาให้ซื้อใบสมัครที่เกษตรเจ้าคุณทหารมาให้ไปสมัครเรียน หากสอบที่ไหนได้ ก็จะเรียนที่นั่น น่ะครับ”

    “ดีจัง ที่มีตัวเลือกได้ ของหญิงนี่ หากสอบไม่ติด ก็ไม่รู้จะไปเรียนต่อที่ไหนดี  ”

     ผมกับหญิงเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้นๆ จนมีโอกาสได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน จนเมื่อถึงวันสอบเรียน ที่วิทยาลัยครูพิทยาลงกรณ์  เราได้นั่งรถเมล์ไปด้วยกันและพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปตลอดเส้นทาง กระทั่งถึงวันฟังผลสอบที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทา เราก็ยังไปดูผลสอบด้วยกัน  จากที่ผมมีคะแนนผลการสอบที่ดี จึงสามารถสอบติดที่วิทยาลัยสุนันทาได้ ส่วนหญิง มีคะแนนการสอบไม่ดีนัก จึงสอบติดที่วิทยาลัยครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์

      “ยินดีด้วยนะ ที่สอบได้ที่สวนสุนันทา ” หญิงพูด

      “ยังไม่แน่ใจดอกนะ ว่าจะเรียนที่นี่. ใจลึกๆ เพียงมาสอบเผื่อไว้เท่านั้นเอง หากสอบที่เกษตรได้ ผมคงจะเรียนที่นี่แน่นอน” ผมพูด

         เมื่อเกษตรเจ้าคุณทหารประกาศผลสอบ ผมสอบติดเป็นหนึ่งในจำนวน120 คน จึงมามอบตัว. จากนั้นมาผมกับหญิงจึงไม่ค่อยได้พบกันอีก  ผมต้องว่างเว้นการเรียนไปหนึ่งปี  เวลานั้น…. ในวิทยาลัยฯที่ผมเรียน มีระดับชั้นการศึกษาสูงสุด  เพียงแค่ระดับปวส.(อนุปริญญา)เท่านั้น หลังจากที่ผมกลับมาเรียนใหม่ในระดับปวส. อีกครั้ง วิทยาลัยฯได้ถูกควบรวม   ในสังกัดพระจอมเกล้า ลาดกระบังและปีถัดมา จึงมีการเปิดสอนในระดับปริญญาตรีหลักสูตรสองปี เพื่อนๆร่วมรุ่นของผมจึงเป็นรุ่นปฐมฤกษ์ ที่ได้เรียนระดับปริญญาตรี

         ว่ากันถึงความฝันของเด็กไทยทุกคน ที่อยูในเมืองหรือชนบท ต่างก็อยากมีโอกาสเรียนจบปริญญาตรี ว่ากันว่าครั้งที่รุ่นพี่ๆเรียนจบปวส. ทุกคนก็อยากจะมีโอกาสเรียนจบชั้นปริญญาตรีแต่ทว่าสายอาชีพด้านเกษตรกรรม ไม่มีสถานศึกษาใดที่มีหลักสูตรเปิดสอนระดับปริญญาตรีเลยสักแห่ง ดังนั้นผู้จบปวส. อยากจะมีวุฒิปริญญาตรีได้ ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และผู้จะมีสิทธิเรียนได้ก็คือข้าราชการเท่านั้น  เพื่อนๆของผมถือเป็นรุ่นแรก(รุ่นทดลอง)ที่ได้เรียน  การเรียนในระดับนี้ค่อนข้างจะเป็นวิชาการมากกว่าเมื่อก่อน อาจารย์ที่เข้ามาสอนเป็นอาจารย์ใหม่ๆ เกือบทั้งสิ้น วุฒิของพวกเขาคือปริญญาโทและเอก 

                                   การเรียนเริ่มเข้มข้น…จนเพื่อนๆ บ่น 

      “แม่ง วิชาเคมีนี่  สอบตกเกือบยกชั้นเลย ว่ะ” สมชายพูด

       ภายในบ้านพักที่พวกเรามาเช่าบ้านอยู่ร่วมกันมี สมชาย ยุทธนา จีรวัฒน์  ประสิทธิ์และผม ในจำนวนนี้มีผมเพียงคนเดียวที่ยังเรียนอยู่ชั้นปวส. นอกนั้นเรียนระดับปริญญาตรี    

        “โห เรียนระดับปริญญาตรี นี่..มันโหด หิน ขนาด เพื่อนๆถึงกับ ไม่ได้กินไม่ได้นอนกันเลยหรือนี่..”  ผมคิด

         ทุกคนที่อยู๋ในบ้านขมึงทึง หน้านิ่วคิ้วขมวด  ยามเช้ามา.ทุกคน ก็ต้องหยิบจับตำรามาท่อง มาอ่าน  ส่วนผมมีอิสรภาพ ที่จะไปดื่มเหล้าเที่ยวตามหอพักรุ่นน้องๆ แม้ในใจของผมจะคิดเหมือนกันว่า เมื่อเรียนจบปวส.แล้ว คงจะต้องสอบเรียนต่อ ระดับปริญญาตรี  เพื่อหวังที่จะได้มีโอกาสไขว่คว้าใบปริญญา ดังที่เพื่อนๆในบ้านพักมีโอกาสเหนือกว่าผมไปหนึ่งก้าวแล้ว หลังจากสอบปลายเทอมปีสุดท้าย ทางคณะฯได้เปิดรับสมัครสาขาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งสาขา  คือพัฒนบริหารศาสตร์ จากที่ได้อ่านรายละเอียดของหลักสูตรแล้ว ผมมีความสนใจ จึงสมัครสอบและสามารถสอบติดเป็น 1 ใน 25 คน 

                                                     ***************************

       พอมาเริ่มเรียน..ในระดับปริญญาตรี  ผมก็ต้องเจอสภาวะความเครียดดังเช่นเพื่อนๆประสบมาก่อน  จากที่เคยเที่ยวดื่มหัวราน้ำ ไม่ค่อยจะทุกข์ร้อน ก็จำต้องปรับตัว มิฉะนั้นคงต้องถูกรีไทร์ตั้งแต่เทอมแรกแน่นอน 

      “บ้าฉิบ.. วิชายากๆ ทั้งนั้นเลย ไอ้ห่าเอ๋ย” ผมบ่นกับ สมชาย

      “อะไรวะ หลักสูตรพัฒนบริหารศาสตร์ พวกมึงต้องเรียนชีวเคมี  วิชาชีววัสดุ ด้วย” สมชายพูด

       แค่เทอมแรกก็ทำให้ผู้เรียนในสาขานี้   ต้องหนาวๆร้อนๆวิชาที่บรรจุให้เรียนเป็นวิชาพื้นฐานที่พวกเราไม่คุ้นมาก่อน ทุกคนต้องขยันผิดปกติ  กระทั่งตัวผมที่ไม่เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้ เมื่อมีการติววิชาต่างๆ ผมจึงไม่ค่อยพลาดที่จะเข้าฟังเพื่อนที่เรียนเก่งๆช่วยติวให้ ผมต้องขยันอ่านหนังสือมากกว่าช่วงเรียนปวส. ถึงห้าเท่า  เทอมแรกที่สอบ ผมผ่านไปได้อย่างเฉียดฉิว และไม่ติด F   

        “สุดยอดเลย ไอ้ขลุ่ย  มึงไม่ติด F ”สมชายชื่นชม

        ส่วนใหญ่นักศึกษากว่าร้อยละ70 จะติดF ไม่วิชาใดก็วิชาหนึ่ง เพราะวิชาที่เรียนในเทอมแรกเป็นวิชาพื้นฐาน ไม่เกี่ยว ข้องกับวิชาชีพมากนัก การไม่ถูกเตือน(PRO)ทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น และช่วงนี้เองผมสามารถที่จะปรับตัวเรื่องการเรียนได้ดีขึ้น จึงกลับมากินเที่ยวดื่มเหมือนเดิม พอใกล้สอบผผมก็มาติวและขยันอ่านหนังสือ และวิชาแรกที่ผมติด F ก็มาถึง  

       “ทั้งๆวิชานี้ กูทุ่มเทอ่าน 20 รอบแล้ว แต่.ก็ยังไม่ผ่าน” ผมพูด

       “ใครผ่านวิชานี้ แม่งโคตรเซียนเลย” สมชายพูด

         วิชายากๆ ที่มีการคำนวณ ผมสามารถสอบผ่านได้อย่างหวุดหวิดทุกวิชา แต่มาเจอวิชาความอุดมสมบูรณ์ของดิน ที่ในสาขาของผมไม่น่าจะบรรจุในหลักสูตรให้เรียน กลับต้องมาเรียน ในห้องผมมียี่สิบกว่าคนสอบไม่ผ่านวิชานี้ครึ่งห้อง ทุกคนต้องลงทะเบียนเรียนซ้ำ ผมลงทะเบียนเรียนใหม่และผ่านมาได้ด้วยเกรด D   เพียงเท่านี้ ผมก็พึงพอใจแล้ว หลังทราบว่าผมผ่านวิชาดังกล่าว จังหวะที่..ผมได้รับทุนการศึกษามาพอดี จึงจัดเลี้ยงฉลองกันดังกับถูกหวยรางวัลใหญ่     4 เทอมในระดับปริญญา หากผมมีความขยันและมีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ดีกว่านี้ ผมคิดว่า.คงไม่น่าจะเครียดมากนัก บ่อยๆครั้งที่เครียด เพราะกลัวจบไม่ทันเพื่อน  แต่ทุกอย่างตลอดการศึกษา ก็ผ่านตลอดรอดฝั่ง สุขบ้าง..ทุกข์บ้าง ทำให้มีรสชาติของชีวิต 

          ตลอดระยะเวลาที่เรียน ในใจลึกๆคิดว่าตนเองน่าจะไม่จบ ในระยะเวลาที่กำหนด  เป็นเพราะผมยังค้างวิชาปัญหาพิเศษ ที่เพิ่งจะมาทำ เมื่อตอนต้นเทอมสุดท้าย ปีการศึกษาสุดท้าย ต่างกับเพื่อนๆที่ส่วนใหญ่เขาเริ่มทำมาตั้งแต่เทอมสอง ปีการศึกษาแรก  ทุกอย่างเราจะจบหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวเอง.. ผมพยายามดิ้นอีกเหือก  งดดื่ม.งดเที่ยว ยอมอดหลับอดนอนเร่งทำปัญหาพิเศษแล้วนำไปให้อาจารย์วิเชษฐ์ ที่เป็นที่ปรึกษาวิชาปัญหาพิเศษและเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาภายในห้องเรียน ได้ตรวจแก้ไข  จนสามารถสอบปากเปล่ากับคณะกรรมการจนผ่าน   ทั้งยังสามารถตีพิมพ์เนื้อหาได้ทันเวลา ภายในเวลา  24.00 น. ของการกำหนดส่งวันสุดท้าย หลังจากส่งงานและลงลายมือชื่อแล้ว ผมก็สามารถยิ้มได้ พร้อมกับการประกาศชัยชนะของผม ที่ได้จบการศึกษาแล้ว

    “ครูรอ ..จนถึงเวลาที่กำหนดไว้  สุดยอดมาก  ” อาจารย์ ศินีย์ พูด

     “ผมนึกว่า จะต้องมาเรียนภาคฤดูร้อน  เสียแล้วล่ะครับ  ”

     “ดีใจด้วย..จ่ะ ว่าที่บัณฑิต .ป้ายแดง ”อาจารย์ศินีย์พูด

                                    และนี่คือ ความฝัน ที่ผมสามารถทำได้สำเร็จ…แม้จะทุลัก ทุเลก็ตาม  

                       พ่อกับแม่ คงดีใจ ที่ลูกคนนี้.สามารถไขว่คว้าปริญญาบัตร มาเป็นคนที่สองของครอบครัวได้

                                                               ขลุ่ย   บ้านข่อย

                                                              (๑๐ มกราคม  ๒๕๖๘)

    นิยายแฟร์ 2025
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      • ฟอนต์ THSarabunNew
      • ฟอนต์ Sarabun
      • ฟอนต์ Mali
      • ฟอนต์ Trirong
      • ฟอนต์ Maitree
      • ฟอนต์ Taviraj
      • ฟอนต์ Kodchasan
      • ฟอนต์ ChakraPetch

    รีวิวจากนักอ่าน

    Empty Review

    นิยายเรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว

    มาเป็นคนแรกที่เขียนรีวิวนิยายให้กับนิยายเรื่องนี้กัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    กำลังโหลด...
    ×
    แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
    L o a d i n g . . .
    x
    เรียงตาม:
    ใหม่ล่าสุด
    ใหม่ล่าสุด
    เก่าที่สุด
    ที่กำหนดไว้
    *การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

    < Back
    แทรกรูปโดย URL
    กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
    http:// หรือ https://
    กำลังโหลด...
    ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
    *เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
    < Back
    สร้างโฟลเดอร์ใหม่
    < Back
    ครอปรูปภาพ
    Picture
    px
    px
    ครอปรูปภาพ
    Picture