ค่ายอาสา ครั้งที่ผมเหนื่อยใจที่สุด
เป็นประสบการณ์ในการออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่ผมเคยผ่านมาโชกโชน ครั้งนี้ที่เจอ นับว่าหนักใจและเหนื่อยใจที่สุด ในชีวิต
ผู้เข้าชมรวม
42
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
ค่ายอาสา ครั้งที่ผมเหนื่อยใจที่สุด
การออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทในนามชมรมสัตวบาลอาสาที่จัดขึ้นครั้งแรก นับแต่ที่เรามีการจัดตั้งสถานศึกษาแห่งนี้ แม้ผมจะไม่ได้เรียนในภาควิชาสัตวศาสตร์ แต่ผมก็ได้สิทธิพิเศษจากที่ปรึกษาชมรมสัตวบาลอาสา คืออาจารย์ธเนศที่เป็นผู้ซึ่งผลักดันให้เกิดชมรมขึ้นมา เหตุผลที่อาจารย์หมอต้องการให้ผมไปออกค่ายอาสาพัฒนาในครั้งนี้ เป็นเพราะท่านมองว่าการออกค่ายในเขตสีชมพู(การก่อร้ายคอมมิวนิสต์) ในอดีตจำเป็นต้องมีการทำงานมวลชนไปในตัว
“ขลุ่ย ไปออกค่ายอาสากับชมรมสัตวบาลอาสาพัฒนา นะ” อาจารย์หมอธเนศ เอ่ยปากชักชวน
“ผมไม่แน่ใจครับ อีกอย่างผมก็เรียนในภาควิชาบริหารฯ หากไปออกค่ายฯเพื่อนๆกับรุ่นน้องในภาคสัตว์ฯ อาจเขม่นในตัวผม ”ผมพูด
“ได้สิ ผมมองคนไม่ผิด ทางสมาชิกชมรมเขาไปทำวัคซีน ตอนสัตว์ ขลุ่ยก็ไปช่วยงานมวลชนเข้าหาผู้นำท้องถิ่น ใช้หลักจิตวิทยาพูดกับชาวบ้าน ช่วยการเจรจากับหน่วยราชการของพื้้นที่ต่างๆไง”อาจารย์หมอธเนศพูด
“ผมกลัวรุ่นผมที่เรียนสัตว์ฯ จะไม่พอใจ หาว่าผมมีอภิสิทธิ์ เพราะการไปออกค่ายครั้งนี้ มีการคัดเลือกคนที่จะไปอย่างเคร่งครัด” ผมพูด
“ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมจะพูดกับประธานชมรมโดยจะบอกเหตุผลว่า ทำไม??ผมจึงต้องดึงเอาขลุ่ย ไปร่วมกิจกรรมในครั้งนี้" อาจารย์หมอธเนศ พูด
พบผมกับอาจารย์หมอธเนศ โดยบังเอิญที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวในสถานีรถไฟหัวตะเข้
“เอาเป็นว่าหากทางประธานชมรม ไม่ว่าอะไร ผมก็จะไปร่วมด้วยครับ” ผมพูด
“รับประกันว่าทางประธานชมรม คงจะไม่ขัดข้องแน่นอน ” อาจารย์หมอธเนศพูด
“ครับ”
“เตรียมตัวไว้ ให้พร้อมก็แล้วกัน ”
เมื่อถึงกำหนดวันเดินทาง ผมได้เตรียมเสื้อผ่้าเพียงไม่กี่ชุดที่ขาดไม่ได้คือผ้าขาวม้า จัดเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด เพราะสามารถใช้งานได้อย่างเอนกประสงค์ สามารถใช้นุ่งเปลี่ยนถ่ายเสื้อผ้า ใช้ปูนอนได้ในทุกหนแห่ง ปัดฝุ่น ปัดไล่แมลง ใช้ห่ม ฯลฯ ผมต้องมานั่งด้านหลังรถเพื่อจะได้ให้สมาชิกได้นั่งกันอย่างสบายๆ ประมาณ 8 -9 ชั่วโมง กว่าเราจะเดินทางไปถึงบึงผลาญชัย จังหวัดร้อยเอ็ดในเวลาตีห้าเศษๆ กว่าจะถึงปลายทางที่อำเภอเมืองสรวงที่พวกเราต้องนั่งรถกระบะไปอีก 40 นาที ที่เต็มไปด้วยฝุ่นอบอวนตลอดเส้นทาง
การทำกิจกรรมชาวค่ายครั้งนี้ มีนักศึกษาไม่น้อยก็อยากจะเข้ามามีส่วนร่วมในการออกค่ายอาสาฯ เนื่องจากเป็นของใหม่สำหรับพวกเราทุกคน ทุกคนจะต้องเสียเงินกันคนละ 200 บาท เพื่อเป็นค่าโดยสารรถทัวร์จ้างเหมารับ-ส่ง แต่มีผมเป็นเพียงคนเดียวที่มิต้องจ่ายเงิน เนื่องอาจารย์ธเนศได้ขอร้องไว้
******************************
เกือบเดือนเต็มๆ ที่ผมได้ร่วมทำกิจกรรมชาวค่ายอาสาพัฒนาชนบทในครั้งนี้ ผมไม่ได้ทำให้ประธานชมรม รวมทั้งเพื่อนๆน้องๆ ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย การที่ผมมีพื้นฐานการเรียนด้านสัตวบาลมาก่อน จึงมีความรู้ด้านสัตว์มาพอสมควร คืนแรกเราต้องพักค้างคืนที่วัดเหล่าฮก กิ่งอำเภอเมืองสรวง ปลัดอาวุโส ที่ทำหน้าที่รักษาการนายอำเภอพร้อมปลัดอำเภออีกสองคนได้มาร่วมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่ง ทางกิ่งอำเภอได้ให้ชาวบ้านมาหุงหาอาหารมื้อแรกแบบง่ายๆคือ ทำส้มตำกับแกงมะละกอใส่ปลา กิจกรรมแรกของพวกเราคือพัฒนาวัด โดยการปรับปรุงถนนหนทาง การทำความสะอาดภายในวัดและช่วงค่ำๆ พวกเรามีโอกาสฟังเทศนาจากเจ้าอาวาสวัดเหล่าฮก พร้อมกันนี้รักษาการนายอำเภอได้เล่าประสบ การณ์ชีวิตการออกค่ายฯ ให้พวกเราฟัง อีกทั้งยังอวยพรให้ทุกคนสามารถดำเนินกิจกรรมไปด้วยความราบรื่นและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
การวางตัวของนายอำเภอ ที่ผมและเพื่อนๆสมาชิกชาวค่ายอาสาฯมองคือ เขาเป็นคนหนุ่มที่น่าจะมีอนาคตไกล เพราะด้วยวัยเพียงสี่สิบต้นๆ ยังสามารถมาเป็นถึงรักษาการตำแหน่งนายอำเภอได้ และอีกในไม่ช้านี้..เขาคงมีโอกาสได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดใดจังหวัดหน่ึ่งของประเทศไทยอย่างแน่นอน สองสัปดาห์แรก เขายังมีบุคลิกและท่าที ที่น่าเคารพศรัทธา แต่หลังจากนั้นมาสันดานส่วนตัว ที่มีก็ได้แสดงออกมาอย่างเปิดเผย เนื่องจากความลับไม่มีในโลก และพวกเราได้เห็นกับตาว่า เขาเป็นนายอำเภอที่มือถือสากปากถือศิล
“ดูนายอำเภอสิ เวลาเข้ามาภายในวัด ทำเป็นนุ่งขาวห่มขาว ราวดังกับนักพรต พนมมือแต้ปากท่องบ่นบาลี แต่พออยู่ใกล้กับครูสาวๆ สวยๆ นี่ตาลุกวาว ดังกับเสือจ้องจับเหยื่อกิน " เพื่อนๆ ในกลุ่มวิจารณ์
จริงทุกอย่าง ดังที่ผมต้องมาเป็นก้างขวางคอเขา ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งที่นายอำเภอคนนี้กำลังมองครูสาวคนสวยอย่างตาไม่กระพริบ
“คุณ. อย่าลุกไปไหนนะ เพราะไม่งั้นนายอำเภอ จะเรียกดิฉันไปนั่งร่วมโต๊ะของเขา” ครูสาวพูดกับผม
“มีอะไรหรือ ถึงกลัวเขามากขนาดนั้น ” ผมถาม
“ทุกครั้งที่นายอำเภอ เข้ามาที่โรงเรียนแห่งนี้ เขาจะบอกครูใหญ่ ให้ดิฉันต้องไปคอยรับใช้ใกล้ชิด และเขามักจะลวนลามดิฉันทุกครั้งด้วย”ครูสาวพูด
“อ้าว เขาเป็นคนงั้นเหรอ ไม่น่าเชื่อเลยนะ”
“จริงค่ะ ครูในท้องที่ชนบท กลัวเขามาก ”ครูสาว พูด
และในคืนนั้น..ผมก็เป็นไม้กันหมาให้ครูสาวได้สำเร็จ เธอได้กล่าวขอบคุณ อายุของเราใกล้เคียงกัน ความงามของเธอทำให้ผมเคลิ้มจนอยากสานสัมพันธ์ต่อ แต่ด้วยที่เราพบกันเพียงระยะสั้นๆและในวันรุ่งขึ้นพวกเราต้องย้ายสถานที่ ไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง จึงเป็นความสุขแค่ลมพัดผ่านเท่านั้น
**********************
ช่วงหลังนายอำเภอกับอาจารย์หมอธเนศ เริ่มปีนเกลียวกันเพราะเขาได้เข้ามาตีสนิทกับอาจารย์พรประภา ซึ่งเป็นอาจารย์สาวที่เพิ่งจบสัตวแพทย์และเพิ่งมาบรรจุเป็นข้าราชการใหม่ที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เขามักจะชวนอาจารย์พรประภาเข้าไปในตัวเมือง เพื่อไปนั่งกินอาหารในห้องอาหารหรูในตัวจังหวัด ด้วยความสนิทกันระหว่างนายอำเภอกับอาจารย์ผู้ด้อยประสบการณ์ จึงทำให้ฝ่ายอาจารย์สาวหลงใหลในตัวอำเภอ ความหวังดีของหมอธเนศจึงได้ตักเตอนเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องไป
“คุณไม่ต้องมายุ่ง เรื่องส่วนตัวของผมกับอาจารย์หมอพรประภา หรอก ” นายอำเภอพูด
“ผมต้องเป็นผู้ดูแล ทุกคนที่มาออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทในครั้งนี้ ครับพี่ ”อาจารย์หมอธเนศพูด
“ถ้าคุณเรื่องมาก เดี๋ยวผมจะยัดข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ อยากลองดี ก็เชิญ ”นายอำเภอพูด
รอยปริร้าวระหว่างคนสองคนที่เป็นข้าราชการด้วยกัน ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจในพิ้นที่ ที่สามารถใช้อำนาจกล่าวหาบุคคลได้ ยิ่งในยุคนั้นการกล่าวหาบุคคลเป็นคอมมิวนิสต์จะมีโทษทัณฑ์ถึงขั้นจำคุกตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป เมื่อนักศึกษาทราบเรื่องความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสอง
“เราต้องยอมอ่อนข้อให้นายอำเภอ เพราะเหลือเวลาอีกสัปดาหฺเดียวเอง พวกเราก็จะทำงานได้สำเร็จลุล่วง ผมจะลงไปกรุงเทพก่อน พวกเราต้องดูแลกันเองนะ” อาจารย์หมอธเนศ บอกสมาชิกชาวค่ายทุกคน
ผมรู้สึกเห็นใจอาจารย์หมอธเนศ แต่ด้วยที่เราเป็นเพียงแค่นักศึกษา ก็ไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายรุนแรงจนกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวและคืนถัดมาอาจารย์หมอธเนศจึงเดินทางกลับมากรุงเทพก่อนกำหนดพวกเรายังทำงานตามโปรแกรม ที่ได้กำหนดไว้ และได้เดินทางกลับมาสถาบันโดยความสวัสดิภาพ นี่คือประสบการณ์ชีวิตที่ผมได้อะไรมามากมายและคงหาซื้อไม่ได้ สิ่งที่ประทับใจมากๆ คือตลอดเกือบเดือนเต็มๆ ผมได้อยู่อย่างชาวชนบทจริงๆ ป่าช้าที่น่ากลัว เชิงตะกอนเผาศพ โรงหมอลำ ศาลาวัด ผ่านการนอนมาหมดทุกแห่ง
****************
การได้ผ่านการทำกิจกรรมครั้งสมัย ที่ยังเรียนที่เกษตรเจ้าคุณทหารซึ่งมีทั้งด้านกีฬา ดนตรีทั้งสากลและดนตรีไทย การประพันธ์ที่ผมได้ช่วยเขียนให้สถาบันเนื่องในวันแม่แห่งชาติ วันปิยะมหาราชและวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งเพื่อนๆน้องทราบกันดี สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมมีความมั่นใจในความรู้ความสามารถของตน และส่งผลให้ผมสามารถสอบมาบรรจุเป็นข้าราชการได้ก่อนใครๆ ในรุ่นเดียวกัน
“ดีใจด้วยว่ะ..ขลุ่ย ที่นายสอบบรรจุเป็นอาจารย์ได้ ผมมั่นใจว่าขลุ่ย จะเป็นบุคลากรที่ช่วยสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี ” อาจารย์หมอธเนศพูด
ก่อนที่ผมจะมารายงานตัว ที่จังหวัดลำปาง อาจารย์หมอธเนศ สมนึกที่รุ่นน้อง กับปรีชาเพื่อนร่วมรุ่นได้จัดเลี้ยงแสดงความยินดีกับผมที่คลินิกย่านบางกอกใหญ่
“สมนึก เดี๋ยวไปซื้อตับหวาน ลาบน้ำตก ต้มแซ่บ ที่เจ้าขลุ่ยชอบมาด้วย”อาจารย์หมอธเนศ พูด
“ครับ ”สมนึกตอบ
คืนนี้ เป็นบรรยากาศที่เราจะได้พบกัน และเป็นการสั่งลาเพื่อจะไปรับหน้าที่ในวิชาชีพของตน นี่คือความสุข..ที่ผมยากจะลืมไปได้กับบุคคลคนนี้ที่เป็นทั้งพี่ชาย เป็นอาจารย์ที่คอยแนะนำ คอยสอนเกี่ยวกับเรื่องการดำเนินชีวิต การทำกิจกรรมเมื่อผมมาบรรจุเป็นอาจารย์ สิ่งแรกที่ผมนำมาใช้คือหลักมนุษยสัมพันธ์ ทุกกิจกรรมที่นักศึกษาทำ ผมจะเข้าไปดูห่างๆก่อน อย่างเช่นขณะที่นักดนตรีของวงดนตรีของสถาบัน กำลังฝึกซ้อม ผมจะไปยืนดู ยืนฟัง จนหัวหน้าวงต้องมาซักถาม
“อาจารย์ชอบดนตรี หรือครับ เห็นมายืนดู ทุกวันเลย” หัวหน้าวงดนตรีถาม
“ชอบครับ สมัยผมเรียน ก็เป็นนักร้องด้วย” ผมพูด
หลังจากที่ผมเข้ามาทำงานเป็นปีที่สอง เพื่อนๆในที่ทำงานก็ได้เห็นผลงานของผมในช่วงปลายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ผมกับคณะอาจารย์ที่รักในทางดนตรีได้ตั้งวงดนตรีขึ้นมาโดยใช้ชื่อวงว่า “วงชาวทุ่ง”จากนั้นมาผมก็ได้รับการทาบทามจากผู้ช่วยผู้อำนวยการ ให้มาดูแลวงดนตรีของนักศึกษา และหันมาทำงานเกี่ยวกับกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์โรงเรียน วัด หมู่บ้าน โรงพยาบาล และหน่วยงานต่างๆ ที่ร้องขอมา
********************
ชมรมอาสาพัฒนาชนบทในสถาบันแห่งนี้ที่เป็นรูปเป็นร่าง เริ่มจากครั้งที่ผมเป็นอาจารย์แผนกนันทนาการและชมรม ชมรมอาสาฯนี้มีผู้สนใจเข้าเป็นสมาชิกมากที่สุด เนื่องจากเยาวชนต้องการได้ออกไปสัมผัสชีวิตชนบทที่กันดารและอยู่ไกลปืนเที่ยง ครั้งแรกที่นักศึกษาจัดออกค่ายอาสาคือที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน การดำเนินงานเป็นไปด้วยความเรียบ ร้อย ครั้งนั้นผมมิได้ไปร่วมกิจกรรมกับนักศึกษา เนื่องจากมีภารกิจต้องไปราชการที่กรุงเทพ จึงมีอาจารย์ที่เป็นที่ปรึกษาของชมรมฯโดยตรงไปเป็นผู้ดูแล หลังจากนั้นเป็นต้นมาที่มีการออกค่ายอาสาพัฒนาชนบท ผมจะต้องเป็นแกนหลักนำนักศึกษาออกค่ายอาสาพัฒนาชนบททุกครั้งไป
ในจังหวัดลำปางเกือบทุกอำเภอ ที่ผมต้องรับผิดชอบคุมนักศึกษาไปทำกิจกรรม นับแต่อำเภอเกาะคา งาว เสริมงาม แจ้ห่ม แม่เมาะ เมืองปาน แม่ทะ เถิน ส่วนใหญ่สมาชิกชมรมอาสาฯ อยากไปออกค่ายในพื้นที่ๆกันดาร และลำบากมากๆ เป็นเพราะพวกเขาอยากสัมผัสและอยากมีประสบการณ์ชีวิตไว้พูดคุยในอนาคต ปัญหาอุปสรรคของอาจารย์ผู้รับผิดชอบคือ เรื่องเงินทุนที่จะใช้ซื้ออุปกรณ์ไปใช้ในการออกค่ายอาสาพัฒนาชนบทเช่น อิฐ หิน ทราย ปูน เหล็กเส้น สี สิ่งที่จะช่วยให้งานออกค่ายประสบความสำเร็จได้คือการต้องหาทุน (เงิน)
“พวกเราต้องทำหนังสือเพื่อขอรับเงินบริจาคจากอาจารย์ภายในสถาบันของเรา ต้องจัดผ้าป่า ต้องทำสติกเกอร์ -เสื้อของชมรมขาย ต้องจัดดนตรีหารายได้หรือไม่ก็จัดฉายภาพยนตร์หารายได้ ฯลฯ" ผมแนะนำกรรมการทุกชุดที่ผมเคยเป็นที่ปรึกษาชมรมม
การจัดกิจกรรมหารายได้ นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง กับการทำงานชมรมอาสาพัฒนาชนบท กรรมการและสมาชิกต้องเหนื่อยมาก กว่างานจะบรรลุเป้าหมาย สำหรับที่สถานศึกษาแห่งนี้แทบไม่มีอาจารย์คนใดที่จะให้ความสำคัญกับกิจกรรมดังกล่าวเลย การที่ผมต้องทุ่มเทต้องเหนื่อยกายและใจตลอดมา ก็เพียงแต่หวังจะฝึกการทำงานให้นักศึกษาได้รู้จักบทบาทหน้าที่- ความรับผิดชอบ มีความคิดริเริ่ม ฝึกการเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละกับสังคม การเป็นผู้นำ-ผู้ตามที่ดี ไม่มีครั้งไหนเลยสักครั้งทีการรออกค่ายอาสาของพวกเราจะราบริื่น อุปสรรคมีมาโดยตลอด อย่างแรกคือปัญหาการขนส่ง จริงๆแล้วในทุกครั้งเราจะมีรถยนต์ไว้ใช้ยามฉุกเฉินหนึ่งคัน แต่บางครั้งคนขับรถยนต์ก็ไร้ความรับผิดชอบ ปัญหาอย่างที่สองที่มักมีอยู่บ้าง คือเรื่องการชกต่อยกันเพราะดื่มสุรา ปัญหาการหย่อนยานด้านวินัยของการอยู่ค่าย ในฐานะหัวเรือใหญ่ผมจะต้องควบคุม ดูแลคนจำนวนร้อยๆ จำต้องอดทนทุกอย่างเพื่อให้กิจกรรมบรรลุเป้าหมายให้ได้
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ นายสองคนจะต้องออกจากค่าย เพราะไม่รักษาวินัย ถ้าอยู่ต่อไป จะเสียหลักการปกครอง ผมจะให้พนักงานขับรถไปส่งพวกนายที่วิทยาลัยหลังกินข้าวมื้อเช้าแล้ว ” ผมพูดกับลูกศิษย์
โดยส่วนใหญ่….ปัญหาการทะลาะวิวาทมักเกิดขึ้นจากการดิื่มสุรา พวกเขาจะมีความขัดแย้งกันมาก่อนที่จะมาเข้าค่ายอาสาฯ หากทั้งคู่เชื่อในคำสั่งที่ผมห้ามและหยุดการกระทำเสีย ผมคงจะไม่ใช้อำนาจที่มี เพื่อส่งตัวพวกเขากลับอย่างแน่นอน พูดได้ว่าในการออกค่ายทุกครั้ง…ผมไม่เคยฆ่าลูกศิษย์แม้แต่ครั้งเดียว แต่หากอาจารย์อัสนัยกับอาจารย์ปิติมาด้วยแน่นอนว่าพวกเขาต้องเจอกับโทษอย่างเบาๆ คือตัดคะแนนความประพฤติอย่างน้อย 20 คะแนน
*******************************
ครั้งที่ออกค่ายอาสาฯ ที่โรงเรียนปู่จ้อย ตำบลบ้านแลง อำเภอเมืองลำปาง ผมกับอาจารย์ก้าน ได้นำนักศึกษาเข้าค่ายเพื่อพัฒนาโรงเรียนวัดและหมู่บ้าน กำหนดเวลาคือสี่คืนสามวัน ครั้งนี้ผมได้เตรียมรับมืิอกับปัญหาเป็นอย่างดีได้อบรม สมาชิกให้อยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด เดิมทีนักศึกษาส่วนใหญ่ เข้าใจว่าการออกค่ายครั้งนี้ไม่สนุกตื่นเต้นนัก และน่าจะไม่กันดารเหมือนอำเภอรอบนอกไกลๆ แม้โรงเรียนปู่จ้อยจะเป็นโรงเรียนในสังกัดอำเภอเมือง แต่พอออกค่ายเข้าจริงๆ ทุกคนก็ต้องสนุกกับการเดินทางเพราะหนทางที่เข้าไปบางช่วงบางตอนเป็นป่าชุก คนที่นั่งบนรถบรรทุกต้องคอยหลบหลีก ปัดป้องกิ่งไม้และแขนงไผ่ที่ยื่นออกมาจากข้างทาง มิให้โดนศีรษะและใบหน้าของตน เสียงตะโกนโห่ฮิ้วกับการหลบกิ่งไม้มีตลอดทาง บางช่วงบางตอนเป็นพื้นที่สูงชันเมื่อมองลงด้านล่างตรงหุบเหวดูน่าหวาดเสียว ถนนเป็นทางโค้งคด ไปเคี้ยวมาเกือบตลอดเส้นทาง เมื่อมาถึงโรงเรียนก็เกือบค่ำ แผนกอาหารจึงเร่งหุงข้าวให้ทันเวลากิน มื้อค่ำมื้อนั้นทางโรงครัวได้ทำไข่เจียว กับยำปลากระป๋อง สมาชิกทุกคนอร่อยกับฝีมือแม่ครัวจำเป็น
*************************
ค่ำวันที่สอง ตามธรรมเนียมปฎิบัติ เราจะต้องจัดกิจกรรมเล่นรอบกองไฟ อากาศในเดือนธันวาคมเย็นยะเยือก การก่อไฟทำให้บรรยากาศอบอุ่น อาจารย์ก้านได้ขี่รถจักรยานยนต์เวสป้าส่วนตัวมาทันเวลากับกิจกรรมเล่นรอบกองไฟพอดี ชาวบ้านและเด็กนักเรียนมายืนชมการเล่นรอบกองไฟ กว่าจะเลิกกิจกรรมนี้ได้ ก็ประมาณสามทุ่มเศษๆวันนี้เป็นกิจกรรมนันทนาการประธานชมรมได้มาขออนุญาตผม เพื่อขอดื่มสุรากับสมาชิก
“ผมขอดื่มสุรา สักห้าทุ่ม ก็จะบอกให้ทุกคนเข้าพักทันที ครับ” ประธานชมรมพูด
“ยังไง ??อย่าส่งเสียงดัง รบกวน ชาวบ้านนะ เดี๋ยวจะเสียชื่อ ”
“ครับ ”
กิจกรรมอย่างนี้ หากตึงเกินไปก็ไม่ดี และหากหย่อนยานก็จะทำให้งานเสียหาย ทุกครั้งที่ผมนำนักศึกษาไปออกค่ายจึงต้องใช้จิตวิทยาอย่างมาก ผมจำต้องไปนั่งดื่ม รวมทั้งร้องรำทำเพลงให้เข้ากับวัยของลูกศิษย์ ทั้งยังสอดแทรกและสอนสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่างๆให้เขารับฟัง สิ่งสำคัญการเป็นผู้นำที่ดีจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานด้วย “อย่าลืมนะ งานเป็นงาน กินเป็นกิน เล่นเป็นเล่น” ผมมักสอนเขาบ่อยๆ
งานที่เราแบ่งหน้าที่ ได้ทำจนสำเร็จลุล่วง ในรุ่นนี้ไม่มีปัญหาเรื่องงาน ทุกคนมีความรักความสามัคคี ทุกอย่างเสร็จไปตามแผนงานทุกอย่างเช่นการทำอาคารเก็บวัสดุให้หมู่บ้าน สร้างศาลาที่พักให้วัด ทำวัสดุการสอนให้ครู ทาสีอาคารเรียน สร้างเสาธงใหม่ ปรับปรุงโรงครัว ห้องสมุด ทุกคนมีความสุขกับผลงาน จนเมื่อถึงวันสุดท้ายที่เรากำลังจะกลับมายังวิทยา -ลัย เรานัดให้พนักงานขับรถให้มารับในเวลาบ่ายสามโมงเย็น เพื่อจะได้เตรียมขนอุปกรณ์การทำงานและอุปกรณ์งานครัวกลับ แล้วจึงกลับมารับสมาชิกอีกครั้ง งานที่เราทำได้เสร็จลง ตั้งแต่บ่ายสองโมงครึ่งแล้ว นักศึกษาส่วนหนึ่งอยากจะกลับมาหอพัก หลายคนเครียดจัด เพราะต้องรอรถที่มาไม่ตรงเวลา
“อาจารย์ครับ เพื่อนผมไม่รู้เป็นไร จู่ๆ ก็มีอาการชักดิ้นชักงอ” กรรมการชมรมพูด
“จัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อน ” ผมพูด
พวกเราต่างมาช่วยกันพยาบาลเบื้องต้น ให้ยาดม ยาหอมกิน จนอาการทุเลา ผมเฝ้ารอรถด้วยความหงุดหงิด โชเฟอร์คนนี้เป็นอย่างนี้เสียทุกครั้ง ขาดความรับผิดชอบเห็นแก่ได้ ทุกครั้งที่เขาเข้ามารับสมาชิกชมรม หนีไม่พ้นที่จะหาประโยชน์ส่วนตนโดยเขาได้ติดต่อกับชาวบ้านหาซื้อไม้เถื่อนในราคาถูกแล้วนำมาขายต่อ จากครึ่งชั่วโมงที่พวกเรารอ เป็น หนึ่งชั่วโมง จากที่นักศึกษามีอาการชักเพียงคนเดียวก็ได้เกิดเพิ่มขึ้นมาอีกสองคนโดยไม่ทราบสาเหตุและห่างจากนั้นมาอีกสิบห้านาทีก็เกิดอาการเดียวกันอีกสองคน ผมเริ่มเครียดหนัก.. เนื่องจากตั้งแต่เคยพานักศึกษาออกค่ายมาเป็นสิบครั้งไม่เคยเจอกรณีอย่างนี้มาก่อนเลย
“ทำไงดีครับ..พี่ก้าน ” ผมพูดกับอาจารย์ ที่มาร่วมงานในครั้งนี้
“ขอยืมรถผู้ใหญ่บ้าน ไปส่งที่โรงพยาบาลด่วนเลย”อาจารย์ก้านพูด
ผู้ใหญ่บ้านได้กรุณาเอื้อเฟิ้อช่วยเหลือ โดยนำนักศึกษาทั้งสี่คน ไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ส่วนผมต้องรอพนักงานขับรถกว่าเขาจะมาถึงก็เกืิอบหกโมงเย็น
ช่วงที่นักศึกษาขนของขึ้นรถ….
“อาจารย์ขลุ่ย..ช่วงวันแรก ที่เข้ามาในสถานที่นี้ ได้ทำพิธีบนบานศาลกล่าว ขออนุญาต เจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขาได้รับรู้หรือเปล่า” อาจารย์ก้านพูด
“ผมลืมครับ…พี่ มัวแต่ยุ่งๆ ”ผมพูด
“นี่เองแหละ ทีทำให้เด็ก ต้องเกิดอุปาทานหมู่ ล้มป่วยกันเป็นแถว เอ็ง..ไปทำพิธีขอขมาท่าน..เลย "อาจารย์ก้านพูด
ถึงผมจะไม่เชื่อ เกี่ยวกับเรื่องราวทางไสยศาสตร์ แต่ผมก็จำใจต้องกระทำ เพราะอาจารย์ก้านเป็นคนท้องถิ่นและทุกครั้งที่ผมไปออกค่ายกับเขา อาจารย์ก้านก็จะเป็นคนทำพิธีทางนี้โดยตลอด
อุปาทานหมู่ ที่เกิดขึ้นครั้งนี้….เป็นเครื่องเตือนใจ ผมเสมอว่า “ไม่เชื่อ แต่อย่าหลบหลู่ เชียวนะ”
วันนี้..ผมยังหาคำตอบไม่ได้ ว่าเรื่องที่เกิด.. มันมีสาเหตุ จากอะไรกันแน่
ขลุ่ย บ้านข่อย
(๒๘-๑๒-๖๗)
เนื้อเรื่อง
ค่าเริ่มต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
รีวิวจากนักอ่าน
นิยายเรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว
มาเป็นคนแรกที่เขียนรีวิวนิยายให้กับนิยายเรื่องนี้กันรีวิวถึงตอนที่ 0
รีวิวถึงตอนที่ 0
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น