เรียนๆลอกๆ ไปนอกก็ยังได้
แว่นเป็นเด็กเทพ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาจะเลือกเรียนด้านเกษตร ที่ต้องใช้ชีวิตที่ลำบาก บุคลิกของเขา เหมือนกับเด็กเรียนเก่ง ความพิเศษของเขาคือนำโพยเข้าห้องสอบ ซึ่งอาจารย์ไม่เคยจับได้เลยสักครั้ง
ผู้เข้าชมรวม
43
ผู้เข้าชมเดือนนี้
27
ผู้เข้าชมรวม
เรียนๆลอกๆ ไปนอกก็ยังได้
ช่วงที่ผมพักหอพักในวิทยาลัยในเวลานั้นเพื่อนร่วมห้องที่พักในห้อง102 ที่ดูว่าเป็นเด็กเรียนเก่งมากๆ คือ ไอ้แว่น แว่นมีชื่อจริงว่าชิตพงษ์ เป็นเด็กกรุงเทพ เขาจบชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย บุคลิกของไอ้แว่นที่ทุกคนในห้องพักรู้กันดีคือเป็นคนร่างท้วมขาว ใส่แว่นตาหนาเตอะ มีสิวเต็มใบหน้าจนเป็นปมด้อย เพื่อนๆมักชอบล้อเลียนไอ้แว่นด้วยการเลียนแบบน้ำเสียงของเขา เนื่องจากไอ้แว่นเป็นคนเสียงใหญ่และแหบ บ่อยๆครั้งช่วงที่อยู่ในการซ้อมร้องเพลงเชียร์ที่โดมริมสระน้ำของวิทยาลัยเมื่อไอ้แว่นถูกรุ่นพี่ให้ออกไปรายงานตัว เพื่อนมักชอบอกชอบใจกับบุคลิกของเขาที่หลุกหลิกๆ “ไอ้แว่น..ออกมารายงานตัวให้เพื่อนๆ ทุกคนได้รู้จักหน่อยสิวะ ” รุ่นพี่ร้องตะโกนสั่ง
หลังจากรุ่นพี่เรียกเขา ให้ออกมายืนด้านหน้า จากนั้นเขาจึงตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“ผมนาย ชิตพงษ์ สีคราบุตระ จบจากโรงรียนสามเสนวิทยาลัย เป็นคนเทเวศร์ กรุงเทพฯ ครับ” ไอ้แว่นพูดรายงานตัว
นักศึกษาน้องใหม่ที่เข้ามาเรียนที่วิทยาลัยแห่งนี้ ทุกคนล้วนต้องเคยผ่านการรายงานตัว ให้เพื่อนๆและรุ่นพี่ได้รู้จักทุกคน ในรุ่นของผมมีนักศึกษาประมาณ130 คน เพียงเปิดเรียนได้ไม่ถึงสัปดาห์ดี ก็จะมีเพื่อนในรุ่นบางคนให้ผู้ปกครองมาขอลาออกไปเรียนที่อื่นแทน เพราะพวกเขาทนกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมของการรับน้องใหม่ไม่ได้
“ไอ้แว่น มึงเป็นเด็กเทพเหรอ พ่อมึงทำงานอะไร ที่ไหน”พี่หวังอยู่ เข้ามาสัมภาษณ์ในห้องพัก
“ใช่ครับพี่ ผมเกิดที่กรุงเทพ บ้านผมอยู่ใกล้กับแบงก์ชาติ แถวท่าวาสุกรี พ่อผมเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ครับ” ไอ้แว่นตอบ
“มึงเด็กเส้น หรือเปล่าวะ ” พี่หวังอยู่ถาม
“ไม่ครับ ผมสอบเข้ามาเรียนได้เองครับ”ไอ้แว่นพูด
“เออดี แล้วมึงรู้มั้ยว่า ในห้องพักห้องนี้ ใครเป็นเด็กเส้นบ้าง ” พี่หวังอยู่พูด
“ไม่ทราบครับพี่”
ในห้องที่ผมพักมี ไอ้เก่ง กับไอ้แคปที่รุ่นพี่ๆพยายามสืบค้นประวัติของเขาและมาทราบว่าไอ้เก่งเป็นบุตรบุญธรรมของเลขานุการของอธิบดีของกรมๆหนึ่ง ในกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนไอ้แคปเป็นหลานชายของอาจารย์ที่สอนอยู่ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผมมิทราบเลยว่า เพราะเหตุใด?? รุ่นพี่จึงรังเกียจเด็กเส้นถึงกับต้องตามล่าหาความจริง ว่าไปแล้ว…ระบบเส้นสาย มันมีในทุกองค์กรและทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษา การเข้าทำงาน จะมีระบบอุปถัมภ์ ฝากให้เข้าเรียนและเข้าทำงาน ในใจลึกๆของผม ก็มองว่า การมีเด็กฝากให้เข้าเรียน เข้าทำงาน ถือเป็นระบบที่มีการเอารัดเอาเปรียบกันและกันซึ่งไม่ควรจะมีในสังคมไทย
หลังกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ เมื่ออาหารย่อย จนเรียงเม็ดดีแล้ว รุ่นพี่ๆก็จะเข้ามานั่งสัมภาษณ์พวกเรา ที่มาดีก็มากที่มาแย่ๆก็มีบ้าง ดีอยู่ที่ว่ามีรุ่นพี่ที่อาวุโสกว่าจะมาคอยเป็นผู้กำกับและสอดส่องดูรุ่นพี่ ที่เป็นคนรับน้องในรุ่นผมไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางจนเกินไป ไอ้เก่ง ไม่ค่อยอยากอยู่ในหอพักเหมือนเพื่อนๆ เป็นเพราะเขามักถูกรุ่นพี่ ซักไซร้ประวัติส่วนตัว เนืองๆจนน่ารำคาญ ในห้องพัก 102 ที่พวกเราพักมีเด็กกรุงเทพเพียงสองคนคือไอ้เก่งกับไอ้แว่น การจับคู่นอนด้วยกันก็นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ ที่นอนในหอพักจะเป็นเตียงเหล็กสองชั้น ส่วนใหญ่นักศึกษาที่เข้ามาอยู่ในหอพักก่อนมักจะจับจองเตียงนอนเตียงล่าง เพราะสะดวกในการที่จะล้มตัวลงนอนได้เลยเมื่อง่วง
**********************
แรกๆที่เราเข้ามาอยู่ในหอพัก ทุกคนจะมีอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวกันครบครันตั้งแต่ขันน้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผม แป้งฝุ่น ลูกกลิ้งดับกลิ่นรักแร้ (มีเฉพาะบางคน) ส่วนใหญ่การดับกลิ่นรักแร้ พวกเราจะใช้สารส้มทาถูๆกันเพราะประหยัดเงิน อาวุธประจำกายที่พวกเราขาดไม่ได้คือ ช้อนกับซ่อม ทุกคนจะต้องมีติดกายเพื่อไว้ใช้ตักอาหารกินทั้งสามมื้อ หลังจากลงงานประจำหมวดต่างๆแล้ว ทุกคนจะเข้ามาพักผ่อนในหอพักเพื่อรอกินข้าวต้มกุ๊ยที่โรงครัวต้มให้กินทุกวัน กับข้าวหลักในการกินกับข้าวต้มกุ๊ยคือถั่วลิสงทอดกับ กับข้าวอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งอาจจะสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน อาทิ ยำกุนเชียง ยำไข่เค็ม ผักกระป๋อง ยำกุ้งแห้ง ปลาซิวแก้วทอด หัวไช้โป๊ผัดไข่ ผััดผักกาดดองใส่ไข่ ฯลฯ
“เก๊งๆๆๆ” สัญญาณที่ใช้เหล็กเคาะ กับด้ามจอบแทนระฆัง
“ไปโว้ย ไอ้แว่น รุ่นพี่เคาะระฆังเรียกกินข้าวแล้ว” ผมพูด
“มึงไปก่อน เดี๋ยวกูจะรีบทำรายงานของอาจารย์เนาวรัตน์ ส่งเช้านี้ ยังไง?? มึงแบ่งกับข้าวไว้ให้กูด้วย” ไอ้แว่นพูด
ไอ้แว่น แม้จะดูบุคลิกเหมือนนักศึกษาแพทย์ เป็นเพราะเขามีรูปร่างท้วม ขาว แต่งตัวเรียบร้อย -สะอาด แต่จริงๆแล้ว เขามีผลการเรียนเพียงแค่ระดับปานกลาง แรกๆเจอกันภายในหอพักผมคิดว่าเพื่อนคนนี้คงจะเป็นคนที่เรียนเก่งมาก แต่พอสัมผัสเข้าจริงๆ เขาก็มีผลการเรียนไม่ได้แตกต่างจากพวกเราที่พักในห้อง102 เลย
“ได้…เดี๋ยวกูจะขอแบ่งถั่วลิสงคั่วใส่จานแยกต่างหาก ตอนที่โรงครัวมาเสิร์ฟให้ ” ผมพูด
โรงครัวจะจัดอาหารทุกมื้อ ให้นักศึกษาที่พักในหอพักกิน ไม่เคยขาดหรือไม่เพียงพอ ดังนั้นนักศึกษาที่มาสายหรือที่มาไม่ทันเวลาก็สามารถมาขอกินภายหลังได้ แต่ต้องอยู่ในเวลาที่กำหนดไว้
“ขอบใจว่ะ ไอ้ขลุ่ย ” ไอ้แว่นพูด
ไอ้แว่น รีบเร่งทำรายงานและเสร็จทันเวลาพอดี เขามักจะเป็นคนเรื่อยเฉื่อย สบายๆเสมือนทองไม่รู้ร้อน…เมื่อเขาเข้ามานั่งในโต๊ะอาหารร่วมกับเพื่อนๆแม้จะมาสายไปเกือบ15 นาที แต่เพื่อนๆในกลุ่มก็ที่รู้กันว่าไอ้แว่นจะมากินภายหลัง
“เอ้านี่ ข้าวต้ม ยังอุ่นๆอยู่ "ไอ้แดงพูด
"ขอบใจโว้ย เพื่อน "ไอ้แว่น พูด
เขาได้เข้ามานั่งตรงที่ว่าง จากนั้นได้หยิบเอาช้อนส่วนตัวมาถือในมือแล้วตักข้าวต้มที่ยังพออุ่นเข้าปาก ตามด้วยตักถั่วคั่ว กับข้าวหลักๆที่ไม่เคยขาดเลยสักวันเดียว
“เธอรู้หรือไม่ ว่าถั่วลิสง เป็นอาหารโปรตีนที่ให้พลังงานสูงมาก เนื่องจากพวกเธอ ต้องทำงานทุกเช้าและเย็น จำต้องใช้พลังงานมาก ดังนั้นครูจึงคิดว่าการจัดอาหารประเภทโปรตีนจึงเหมาะกับวัยของพวกเธอ” ผู้อำนวยการพูด
นี่คือคำตอบที่พวกเราพากันถึงบางอ้อ และมิอาจปฎิเสธกับ กับข้าวที่ต้องกินกับข้าวต้มทุกมื้อ นับเป็นความโชคดีที่ผู้อำนวยการ ผู้ซึ่งมีคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของนักศึกษาและครูอาจารย์ที่มาเริ่มต้นบุกเบิกสร้างสถาบันการศึกษาด้านเกษตรกรรมที่ชานกรุงของเมืองหลวง จนเจริญก้าวหน้าและพัฒนามาตามลำดับ
******************************
ผมกับไอ้แว่นแม้จะพักในห้องพัก102 ด้วยกัน แต่เราก็เรียนกันคนละห้อง สิ่งที่อาจารย์ทุกคนป้องกันนักศึกษาขาดเรียนบ่อยๆ คือจะมีการสอบเก็บคะแนนในทุกครั้งที่เข้าห้องเรียน ซึ่งก็จะได้ผลเพราะการได้คะแนนเก็บมาบ้างยังดีกว่าไม่มีตุนสำรองไว้เลย ว่าไปแล้วกุศโลบายนี้ ได้ผลอย่างยิ่ง เพราะนักศึกษาที่เรียนไม่ค่อยเก่งจะเข้าเรียนสม่ำเสมอ ช่วงเรียนเทอมแรกของปี 1(ปวช) นักศึกษารุ่นของผมทุกคนต้องปรับตัวทั้งการเรียน-การลงงานและการคบค้าสมาคมกันและกัน เราจำเป็นต้องพึ่งพากันและกัน พูดได้ว่าวิชาทางด้านช่างทุกวิชา ผมไม่ค่อยถนัดมากนัก อย่างวิชาช่างยนต์ ช่างไม้ ช่างประปา การเชื่อม(แก๊ส และเชื่อมไฟฟ้า) รวมทั้งวิชาการสำรวจ ผลคะแนนของผมได้สูงสุดเพียงแค่เกรด C ผมจะต้องพึ่งพาเพื่อนบ้างบางครั้ง
“หัดทำเองบ้าง สิวะ ไอ้ห่าขลุ่ย ” ไอ้แว่นบอก
“หัดทำแล้วโว้ย แต่มันทำไม่ได้ ”ผมพูด
ในห้องพัก102จากที่ดูผลคะแนนการเรียน เมื่อทางแผนกทะเบียนได้ติดประกาศบนบอร์ดหน้าห้องสมุด ของวิทยา -ลัย คนที่เรียนเก่งที่สุดคือชวลิต เขาได้ค่าคะแนนเฉลี่ย 3.00 รองลงมาคือไอ้แว่นได้เกรดเฉลี่ย 2.80 แรกๆดูเขาจะเอาจริงเอาจังกับการดูตำรับตำรา แต่พอขึ้นเทอมสองได้ ไอ้แว่นก็เริ่มชินกับการฝึกความท้าทายการทุจริต(พกโพย) เข้าไปลอกในห้องสอบ
“ไอ้ยง แม่งได้เกรด A วิชาของอาจารย์เนาวรัตน์ด้วย ”ฉัตรชัยพูด
“ไอ้ห่า..โดดเรียนประจำ หนังสือก็ไม่ค่อยได้อ่านเหมือนเพื่อนๆ ” ไอ้แว่นพูด
เป็นธรรมดาที่พวกเราจะมีความสนิทกันตามกลุ่มภูมิลำเนา อย่างเด็กที่เกิดและเคยเรียนในกรุงเทพฯ ก็จะมีการรวมกลุ่มกันพูดคุยกันเป็นพิเศษ เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ เช่นนัดกันมาเล่นไพ่ เล่นปั่นแปะ ตั้งวงพี้กัญชาเป็นต้น ประยงค์เป็นเด็กจากชุมพรแต่มาอยู่กรุงเทพตั้งแต่เรียนชั้นประถม ส่วนฉัตรชัยเป็นคนแถวสามเสน ส่วนไอ้แว่นเป็นคนแถวท่าวาสุกรี บ้านของไอ้แว่นกับฉัตรชัยไม่ห่างกันมากนัก ทั้งคู่จึงไปมาหาสู่กันบ่อยๆ แม้ไอ้แว่นจะพักที่ห้อง102 แต่เขามักจะแวะไปที่ห้อง 104 ที่มีเพื่อนร่วมห้องเรียนเดียวกันพักอยู่ ไอ้แว่นมักไปสันทนาการในรูปแบบต่างๆ แล้วจึงกลับเข้ามานอนที่ห้อง102
“พรุ่งนี้จะสอบวิชาพืชไร่แล้วไอ้แว่น มึงเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง" ไอ้แดงทักทายเพื่อนด้วยความห่วงใย
“ พรุ่งนี้ตอนตีห้า กูค่อยปลุกนาฬิกา มาอ่านหนังสือก็ยังทัน ของีบก่อนละ เพื่อน ” ไอ้แว่นตอบ
“ ตามใจว่ะ ไอ้แว่น "ไอ้แดงพูด
ขณะที่เพื่อนส่วนใหญ่ คร่ำเคร่งกับการอ่านสมุดจดวิชาพืชไร่ ของอาจารย์ศรีไพร ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เคร่งครัดและเข้มงวดกับการเรียนการสอบอย่างมาก ทุกคนหวั่นใจว่าจะสอบไม่ผ่านวิชาของเธอ จริงๆแล้วที่หอพักมีห้องอ่านหนังสือให้ถึง 4 ห้อง บางคนไม่เข้าไปอ่านในห้องอ่านหนังสือรวม เป็นเพราะว่าขาดสมาธิกับการซักถามของเพื่อนคนอื่น หรือมีการพูดคุยเย้าหยอกกัน เมื่อไอ้แว่นขึ้นไปนอนแล้ว เขาก็ต้องใช้ผ้าขนหนูพลางแสงไฟที่ส่องแยงตา พวกเราอ่านหนังสือไปได้สักพักต่างก็ทยอยเข้านอน
ช่วงเวลาห้านาฬิกาเสียงนาฬิกาของไอ้แว่นก็ดังขึ้น ไอ้แว่นลุกจากที่นอนแล้วไปล้างหน้าที่อ่างอาบน้ำรวม จากนั้นจึงเข้าไปที่ห้องอ่านหนังสือรวม นอกจากไอ้แว่นจะอ่านหนังสือแล้วเขายังคัดลอกเนื้อหาที่เขาเก็งข้อสอบด้วย แรกๆความลับนี้ไม่มีใครรู้ เพราะเขามักจะแอบทำตอนที่ไม่มีใครอยู่ แต่ความลับย่อมไม่มีในโลก เมื่อประยงค์ได้วิจารณ์เขาถึงผลคะแนนที่เขาได้มากกว่าใครๆในห้อง
“ไอ้แว่นนี่ มึงทำเนียนเลย ไอ้ห่า ลอกโพยสบาย โดยอาจารย์ศรีไพร จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน ” ประยงค์พูด
“มึงไม่ต้องอิจฉา กูหรอก ฝีมือโว้ย ” ไอ้แว่นพูด พร้อมยิ้มอย่างภูมิใจ
ตลอดการเรียนระดับชั้นปวช. สามปี เขาไม่เคยถูกอาจารย์คุมสอบ จับทุจริตการสอบได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว หนำซ้ำทุกวิชาของเขามีคะแนนสูงในลำดับต้นๆ นี่เป็นเพราะบุคลิกของเขาที่ดูเหมือนเป็นคนสุภาพ คงแก่การเรียนนั่นเอง
**********************************
หลังจากไอ้แว่นจบชั้น ปวช.แล้ว เขาได้สอบเข้าเรียนต่อในระดับปวส. ที่วิทยาลัยฯเดิม ช่วงนี้ภายในองค์กรของเราเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่จะควบรวมวิทยาลัยให้เป็นคณะเทคโนโลยีการเกษตรในสังกัดสถาบันพระจอมเกล้า แนวโน้มของเราที่จะเปิดสอนในระดับปริญญาตรีค่อนข้างแน่นอน หลังจากวิทยาลัยยุบหอแพักแล้ว ไอ้แว่นได้กลับไปพักอาศัยที่บ้านแถวท่าวาสุกรี ผมกับเขาเริ่มห่างเหินกันเพราไปเช่าบ้านอยู่กับเพื่อนๆ ใกล้สถานีตำรวจ
“มาดเหลือกิน เลยนะเพื่อน” ผมกระเซ้าไอ้แว่น ขณะที่เราบังเอิญพบกันที่สหกรณ์ร้านค้าของวิทยาลัย
“แน่นอนโว้ย ได้ข่าวว่ามึง ตามจีบไอ้ติ๋ว รุ่นกูหรือไอ้ขลุ่ย” ไอ้แว่นพูด
“เปล่า กูเพียงอยากรู้จัก คบหากันเป็นเพื่อน เหมือนพวกมึงน่ะแหละ ” ผมพูด
“อย่า..ปฎิเสธ เพื่อนๆที่อยู่ในห้องกูพูดกันไปทั่ว ว่ามึงตามจีบไอ้ติ๋ว ” ไอ้แว่นพูด
“แล้วแต่จะคิด ว่าแต่เป็นไง..เกรดของมึง ”ผมพูด
“3 กว่า โว้ย เกรดสูงกว่าตอนเรียน ปวช. เสียอีก ” ไอ้แว่นพูด
“คงขยันลอกโพย ไม่เปลี่ยนแปลง” ผมพูด
“แน่นอน ฝีมือกู อาจารย์ไม่มีวัน จับได้หรอก ” ไอ้แว่นพูด
“นี่พอมึงจบปวส. แล้ว ได้ข่าวว่า รุ่นเรานี่ จะได้เรียนต่อปริญญาตรี เป็นรุ่นแรกเลย มึงวางแผนยังไง"ผมพูด
” กูคิดว่า จะไปเรียนต่อ เมืองนอก น่ะ"
“ฟิลิปปินส์ เหมือนพี่เบส กับพี่ วินัย ใช่เปล่า ”ผมพูด
“ใช่ ”
ช่วงหลังไอ้แว่น มักจะอยู่กับกลุ่มของเพื่อนที่พักในกรุงเทพ ผมกับเขาจึงห่างเหินจนเกือบจะไม่ได้พบ หลังเรียนจบปวส.แล้ว เพื่อนๆส่วนใหญ่เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีอีกสองปี แต่ไอ้แว่นได้มุ่งหน้าไปศึกษาต่อที่ฟิลิปปินส์ เขาใช้เวลาเพียงสามปี ก็สามารถสำเร็จการศึกษาทั้งปริญญาตรีและโทได้ตามความเป้าหมายที่วางไว้
****************************
เขาหายหน้าหายตาไปจากเพื่อนๆ 35 ปี โดยไม่มีใครทราบข่าวของเขาอีกเลย งานสังสรรค์รุ่นที่พวกเรานัดพบกัน ไม่เคยมีวี่แววและได้ข่าวไอ้แว่นเลยสักนิด
“ไม่แน่ใจว่ะ กูพยายามสืบค้นหาชื่อไอ้แว่นในกูเกิล ก็ไม่พบข้อมูลมัน ไอ้ห่านี่ก็เหลือเกิน แทนที่จะส่งข่าวให้เพื่อนๆได้รับรู้ว่าบ้างว่ามีความสุข ทุกข์ประการใด กลับทำตัวลึกลับ”ชุมพล ประธานรุ่นพูดขึ้น
“กูเจอพี่ชายมัน เลยถามว่าไอ้แว่นอยู่ที่ไหน เขาตอบว่า มันทำงานที่โรงงานสุรา มีครอบครัวแล้ว กูเลยขอเบอร์มันไว้และจะดึงมันเข้ากลุ่มไลน์รุ่น ”ประยงค์พูด
“ดีเลย ไอ้ยงค์ เพื่อนๆจะได้พูดคุยถามไถ่กับมันให้หายคิดถึง เสียที ”ชุมพลพูด
จริงๆ แล้วกิตติศัพท์ของไอ้แว่น ตั้งแต่สมัยครั้งอยู่หอพัก เป็นที่รู้กันว่าเจ้าหมอนี่ จอมขี้ตืด เวลายืมเงินเพื่อน มักไม่ค่อยใช้คืน(เบี้ยวหนี้)ประจบอาจารย์ก็เก่ง นี่เองที่ทำให้คะแนนของไอ้แว่น จึงได้มากกว่าเพื่อนๆ
“น้ำหน้า อย่างไอ้แว่น หรือจะเรียนต่อต่างประเทศ พนันกัน ร้อยนึงกับขี้หมากองเดียว ” ไอ้แดงพูดปรามาส
ตลอดเวลาที่เราพัก ในห้องเดียวกันกับไอ้แว่นภายในหอพัก ไม่เคยเห็นแววว่า เขาจะสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษ ได้มากนัก แล้วอย่างนี้เขาจะไปเรียนต่อที่ฟิลิปปินส์ได้อย่างไร (ทุกคนคิดเช่นนั้น)
“พวกมึง ไม่ต้องสบประมาทกู ขอให้พวกมึง คอยดู ” ไอ้แว่นพูด
และทุกอย่าง ก็เป็นไปตามคำพูด ที่ไอ้แว่นเคยพูดไว้ว่า
“คนอย่างกู เรียนๆลอกๆ ไปนอกก็ได้ กูจะพิสูจน์ ให้พวกมึงดู ”ไอ้แว่นพูด
ไอ้แว่นคว้าปริญญาบัตรระดับริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยจากประเทศฟิลิปปินส์มาอย่างไม่ยากนัก เมื่อสมัยเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ระบบการศึกษาระดับปริญญาของเขามีความเจริญกว่าประเทศไทยมาก หน่วยราชการได้ส่งบุคลากร ไปศึกษาต่อมากมาย ความฝันของไอ้แว่นจึงบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
************************
ในกลุ่มไลน์เพื่อนร่วมรุ่น หลังจากที่ไอ้แว่นเข้ามาเป็นสมาชิก ผมจึงขอเข้าเป็นเพื่อนกับเขาส่วนตัว
“หวัดดี โว้ย ไอ้แว่น ไปไง มาไงวะ หายหัวไปเสียนาน ไม่ได้ข่าวคราวของมึงเลย”ผมพูดทักทายก่อน
“ผมอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ทำงานที่โรงเหล้าขาว ของบริษัทใหญ่ ที่มีชื่อเสียง”ไอ้แว่นพูด
“ครับ-แค๊ปอะไรวะ สมัยมึงอยู่หอเดียวกันกับกู พูดมึง .พูดกู มาตลอด ทั้งยังไล่เตะกันเป็นเด็ก”ผมพูด
“มันติดปากแล้ว ครับ”ไอ้แว่นพูด
“ตามใจเพื่อน เอาที่ถนัดปาก”ผมพูด
“นายมีครอบครัวและทำงานอยู่ไหน” ไอ้แว่นถาม
“เป็นอาจารย์ เกษียณแล้วโว้ย มีลูกสาวสองคน ทำงานคนนึง อีกคนกำลังจะจบปริญญาเอกแล้ว ”ผมพูด
“ผมมีลูกสาว จบนิติศาสตร์ ทำงานเป็นนิติกรของบริษัทผลิตและจำหน่ายน้ำมัน ไม่ต้องบอกชื่อก็รู้นะ ” ไอ้แว่นพูด
“รู้ สิ ปัดโธ่ บริษัทนี้รวยฉิบหาย เมียนายเป็นคนไทยหรือต่างประเทศ ”
“คนไทย เคยได้เมีย ชาวฟิลิปปินโน แต่เลิกกันก่อน จะกลับเมืองไทย ”
เมื่อเห็นว่าไอ้แว่นพูดครับ ใช้สรรพนามแทนตนว่าผม -นาย ผมจึงกระดากที่จะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า กู-มึง จึงเปลี่ยนสรรพนามไปตามไอ้แว่น
“นายยังจำ วลีนี้ ได้มั้ย วะ”
“ว่าไง" ไอ้แว่นพูด
“เรียนๆลอกๆ ไปนอกก็ยังได้ ”ผมพูด
“จำได้เสมอ ” ไอ้แว่นพูด
“วันนี้ผม ได้เจอเจ้าของวลีนี้แล้วว่ะ มันพูดจริงและทำจริงได้เสียด้วย ”ผมพูด
“วันนี้ พอก่อนนะเพื่อน วันหน้าค่อยคุยกันใหม่ ”ไอ้แว่นพูด
“ได้สิ เพื่อน”ผมพูด
ผมกับไอ้แว่น วางสายโทรศัพท์ลง เนื่องจากไอ้แว่นมีภารกิจด่วน
ผมหวนกลับไปคิด ถึงเรื่องในอดีต..นึกถึงหนุ่มร่างท้วมคนกรุงเทพ ที่มีสิวเกลื่อนหน้า ช่างประจบอาจารย์ และจอมขี้ตืดคนนั้น
“ไอ้แว่น นิสัยไม่เคยเปลี่ยนไปเลย จริงๆ ”ผมคิด
ขลุ่ย บ้านข่อย
(๒๙-๑๑-๖๗ )
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น