ผลที่เกิดจากบ้านแตก - ผลที่เกิดจากบ้านแตก นิยาย ผลที่เกิดจากบ้านแตก : Dek-D.com - Writer

    ผลที่เกิดจากบ้านแตก

    เด็กสาวที่อยู่ในครอบครัวยากจน พ่อเอาแต่ดื่มสุรา แม่ก็ไม่มีอาชีพ มีพี่ชายก็ไม่สมบูรณ์ปกติ แม้อยากจะเรียนต่อแต่ก็ไม่มีปัญญา สภาพแวดล้อมของครอบครัวทำให้เธอต้องหมดอนาคต

    ผู้เข้าชมรวม

    26

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    26

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 พ.ย. 67 / 07:11 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                     ผล..ที่เกิดจากบ้านแตก

       ผมมีโอกาสเข้าไปเที่ยวที่บ้านแฟนเพลงของผม ที่หมู่บ้านหัวทุ่ง นี่ถือว่าเป็นการเดินสายพบกับแฟนรายการเป็นครั้งแรก หลังจากที่ได้ดำเนินรายการวิทยุมากว่าหนึ่งปีและคุ้นเคยกับผู้ติดตามฟังรายการในระดับหนึ่ง การทำรายการวิทยุ ถือเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับผม

       “อาจารย์ขลุ่ย ขี่รถมาตามทาง ถนนลำปาง-พะเยา พอถึงโรงเรียนประจำตำบลก็จะมีทางเข้าหมู่บ้าน เลยเข้ามาอีก100 เมตร ก็จะถึงบ้านผม ”แฟนเพลงพูดในทางโทรศัพท์

        แฟนเพลงคนนี้ ทราบชื่อในภายหลังว่าชื่อประสิทธิ์ ประสิทธิ์เป็นชาวบ้านบ้านหัวทุ่งแต่กำเนิดมีพี่น้องด้วยกัน 6 คน ในพี่น้องของเขาทุกคนเป็นแฟนรายการได้ติดตามรับฟังรายการที่ผมจัดทุกเช้าตั้งแต่เวลา8.00 น. -10.00 น  ระยะแรกผู้ดำเนินรายการของสถานีวิทยุ มีอาจารย์ของมหาวิทยาลัย  10 คน นักศึกษาอีก 5 คน นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานภายนอกที่เข้ามาร่วมจัดรายการคือโรงเรียน วัดประจำตำบล โรงพยาบาลศูนย์ของจังหวัด สถานีตำรวจภูธร  การที่มหาวิทยาลัยมีสถานีวิทยุเครือข่ายการศึกษาเพื่อชุมชนเป็นของตนจึงมีความคาดหวังจะให้สถานีวิทยุได้เผยแพร่ข่าวสารและประชาสัม -พันธ์ผลงานต่างๆขององค์กรทั้งยังให้หน่วยงานของทางราชการอื่นๆเข้ามามีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์หน่วยงานของตนโดยตรง   

        แรกๆผมได้รับอบหมายให้ดำเนินรายการ สัปดาห์ละสองครั้งๆละ 1 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นผู้ดำเนินรายการหน้าใหม่ และยังขาดทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ หากเป็นวันราชการเมื่อมีปัญหา ผมสามารถที่จะให้เจ้าหน้าที่ ที่ดูแลด้านเทคนิคให้เข้ามาช่วยแก้ไขได้  บ่อยๆครั้งอาจารย์ผู้รับผิดชอบไม่มาทำหน้าที่ ผมจึงเข้าไปจัดรายการแทน นี่จึงเป็นโอกาสที่ผมจะได้นำเพลงลูกกรุงและลูกทุ่งไพเราะๆในยุคอดีตมาให้ความบันเทิงแก่ประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้รับฟังจะเป็นเกษตรกร   

         “แปลกมาก คนพวกนี้ แรกๆก็แย่งเวลากันจัดรายการวิทยุแต่พอหลังๆมา ส่วนใหญ่ก็ขาดความรับผิดชอบกัน"ผมคิด 

         ตอนที่มหาวิทยาลัยเริ่มปฎิรูประบบการออกอากาศใหม่ๆมีผู้เสนอตนเองมาขอจัดรายการกันมากมาย ทุกคนกำลังเห่อของใหม่ โดยมีความคาดหวังว่าพวกเขาจะเป็นนักจัดรายการที่มีชื่อเสีียง พอมาจัดรายการเข้าจริงๆบางคนจัดรายการได้เพียงสามเดือนก็ต้องหยุดดำเนินรายการไป เพราะไม่ได้รับการตอบรับจากคนฟัง

      “อ้าว หยุดจัดรายการแล้วเหรอ อาจารย์ประภาพร  ทรงยศ เอ่ยปาก

      “ไม่ค่อยว่าง มัวยุ่งกับงานวิจัย น่ะ”อาจารย์ ประภาพร ตอบ

        ทรงยศ เป็นอดีตนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาระดับปวส. สาขาสารสนเทศได้สอบเข้าทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของห้องสมุด เวลาต่อมาทางสถาบันมอบหมายให้เขาเป็นนายสถานีวิทยุอีกตำแหน่งหนึ่ง   

                                                       *******************

            แน่นอนว่าการทำหน้าที่ให้ความสุขกับประชาชนต้องใช้ศาสตร์และศิลปะในการพูด และจูงใจให้ต้องติดตามรับฟังทุกครั้งที่เราดำเนินรายการ  หลังจากอาจารย์ประภาพร ถอนตัวออกจากผังรายการ ผมจึงเข้าไปทำหน้าที่แทน จากนั้นมาผู้จัดรายการคนอื่นๆต่างก็ค่อยๆถอนตัวเนื่องจากเสียงตอบรับจากผู้ฟังไม่ดีจึงท้อถอยและวางมือไปทำหน้าที่การสอนเพียงอย่างเดียว เหตุผลที่อาจารย์แย่งกันมาทำหน้าที่ดำเนินรายการ เนื่องจากเวลาที่จัดรายการวิทยุ  ถือเป็นผลงานอย่างหนึ่ง ที่สามารถเอาไปคิดเป็นค่าคะแนนในการพิจารณาความดีความชอบการขึ้นเงินเดือนได้  นี่เอง.ที่พวกเขาจึงกระตือรือร้น

    “เขาก็เห่อกัน แค่เพียงช่วงแรกๆแหละ” อาจารย์อัสนัย พูดกับผม

    “นี่ บางคนจองเวลาจัดรายการ ไม่เปิดทางให้คนอื่นได้ทำหน้าที่และหาประสบการณ์บ้างเลย” ผมพูด

    “ผมฟังอาจารย์ และเด็กๆ จัดรายการทุกวัน ไม่รู้เอาเพลงอะไรมาเปิด พูดแต่เรื่องวิชาการ ชั่วโมงนึงเปิดเพลงแค่ 4 เพลงเอง ประชาชนที่เป็นคนฟังเขาไม่ต้องการฟังวิชาการมากมายขนาดนั้น น่าจะพูดเพียงสาระน่ารู้ที่เป็นประโยชน์ ” อาจารย์อัสนัยพูด

    “ใช่ครับ พี่” ผมพูด

    “รายการที่อาจารย์ขลุ่ยจัดผังรายการมันไม่ชัดเจน บางวันจัดเช้า บางวันจัดบ่าย คนติดตามเขาจำเวลาไม่ได้ นายสถานีควรจัดผังรายการใหม่”  อาจารย์ อัสนัยพูด

    “จริงครับ พี่” ผมพูด

                                                 *************************

              ช่วงปิดเทอมปลายภาคเป็นช่วงที่นักศึกษา และอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่อยู่ในที่ทำงาน เพราะต้องไปเยี่ยมบ้านในจังหวัดภูมิลำเนาเกิด ผังรายการที่จัดวางไว้จึงว่างลง ผมจึงรับทำหน้าที่ดำเนินรายการตั้งแต่8.00 - 24 .00น.ทุกวัน ไม่เว้นวันเสาร์ -อาทิตย์  นี่จึงทำให้ประชาชน ต้องมาฟังรายการที่ผมจัดอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้  และจากบัดนั้นมาประชาชนจึงได้ฟังรายการของผมอย่างจุใจ รายการที่ผมจัดเริ่มมีคนบอกกันต่อๆ จากปากสู่ปากว่าเป็นรายการเพลงที่มีความไพเราะและเป็นเก่าที่หาฟังยาก  

           การได้รับสายโทรศัพท์จากแฟนรายการ ถือเป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจที่ดีเจทุกคนมีความต้องการจะได้รับ เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้คนดำเนินรายการใจฟู และเสมือนเป็นการได้รับประกาศนียบัตรแห่งความสำเร็จ

      “สวัสดีครับดี.เจ ขลุ่ย  วันนี้ผมขอเพลงดาวเหนือของสุเทพ  วงศ์กำแหง กับเพลงพะวงรักของศรวณี  ด้วยครับ” แฟนรายการเพลงที่ใช้นามแฝงว่าต้นไผ่ พูด

      “ได้ครับ  ” ผมตอบกลับไป

        แรกๆ ภายในหนึ่งชั่วโมง ที่ผมตั้งเป้าไว้คือ หากมีผู้ฟังรายการขอเพลงโทรศัพท์ เข้ามาในรายการ สามสายถือว่าเข้าเป้าแล้ว ส่วนใหญ่ผู้โทรเข้ามาหา มักจะเป็นคนเดิมๆ ผู้โทรมาขอเพลงและให้กำลังใจบ่อยๆได้แก่ ผู้ใช้นามแฝงว่าต้นไผ่ สิงห์ กระทิงเปลี่ยว ,สาวเหลือน้อย,พิมพา,สายน้ำ,ขนิษฐา, ดอกไม้ป่า ดาวเรืองและจรกา เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ผู้ดำเนินรายการที่เคยรับผิดชอบไม่มาจัดรายการ ผมจึงเข้าไปทำหน้าที่แทนทุกคน นี่จึงทำให้ผมกับแฟนรายการ ยิ่งเพิ่มความสนิทสนมและใกล้ชิดกันมากขึ้นๆ  

        “ผมขอเพลงนี้  ทำไม ไม่เปิดให้ฟัง ครับ”  ดอกไม้ป่า  พูดในโทรศัพท์

       “ที่สถานีของเรา ไม่มีเพลงนี้จริงๆ เอาเป็นว่า เดี๋ยวผมจะหาซื้อมา ขอให้รอสักสองสามวันต้องได้ฟังแน่” ผมตอบกลับไปยังแฟนรายการ 

        ทุกอย่างภายในสถานีของเรามีแต่ปัญหา ผู้บริหารไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยเข้ามาดูแลแม้แต่ครั้งเดียว นี่เองจึงทำให้คุณภาพ ประสิทธิภาพของระบบการถ่ายทอดสัญญาญของสถานีของเราสู้กับสถานีวิทยุอื่นๆไม่ได้  ผมต้องซื้อแผ่นซีดีอย่างน้อยเดือนละ5 ชุดๆละ 120 บาท  น้ำดื่ม ไว้ดับกระหายสำหรับผู้จัดรายการไม่มีเลย แทนที่ทางผู้บริหารจะแสดงน้ำใจช่วยเหลือซื้อมาไว้ให้ดิิื่มกิน  

                                                               ********************

              ตลอดสองเดือนเศษๆที่ผมต้องทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ แฟนเพลงเริ่มเนืองแน่น จนเราคุ้นเคยกันเสมือนคนในครอบครัว และในวันหนึ่งที่ผมดำเนินรายการและเปิดเสียงออกหน้าไมค์ ให้ทุกคนได้ยินการสนทนา

       “สวัสดีครับ คุณต้นไผ่ วันนี้ ต้องการจะฟังเพลง อะไรครับ”  ผมถาม

       “น้ำตาสาวดอกคำไต้  มีหรือเปล่าครับ”ต้นไผ่พูด

      “เพิ่งซื้อมาครับ งั้นจะเปิดให้ในลำดับ จากนี้ไป”  ผมพูด

      “ผมอยากชวนให้ดีเจ ขลุ่ย มาเที่ยวที่บ้านผม เย็นนี้เลย ว่างมั้ยครับ”

      “ได้สิครับงั้นบอกสถานที่ให้หน่อย”

      “ได้ครับบ้านผมอยู่ใกล้ที่ทำการอ.บ.ต. พออาจารย์ถึงอ.บ.ต แล้ว เลี้ยวซ้ายเลยไปอีกสัก100 เมตรก็ถึงบ้านผม" ต้นไผ่ พูด

     “โอเค.. ครับ เย็นนี้พบกัน ”ผมพูด

      หลังจากที่ผมเลิกดำเนินรายการวิทยุแล้วจึงกลับมาพักผ่อนที่บ้าน เพื่อรอจะได้เดินทางไปพบแฟนเพลงในเวลาใกล้ๆค่ำ  

      “วันนี้ จะไปเที่ยวบ้านแฟนเพลง สักหน่อยนะ คุณ”  ผมพูด บอกแม่บ้าน  

      “แล้วรู้จัก บ้านเขาหรือ  ” แม่บ้านพูด

      “ไม่รู้จัก เดี๋ยวไปถามหาเอา ไม่ยากหรอก ” ผมพูด

      “อย่า กลับดึกนะ  ”แม่บ้านพูด 

        ตะวันคล้อยตัวต่ำลงแล้ว ผมจึงขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน สิบนาทีต่อมา. จึงถึงบ้านของแฟนเพลง ซึ่งได้มายืนรอที่หน้าประตูบ้าน

      “ใช่ดีเจ ขลุ่ยหรือเปล่าครับ”

      “ใช่ครับ  ”

      “เชิญในบ้านเลยครับ  ”

     เมื่อผู้ใช้นามแฝงว่าต้นไผ่ เอ่ยปากเชิญ ผมจึงนำรถจักรยานยนต์เข้าไปจอดที่ข้างบ้านของเขาซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง   “นี่บ้านผมครับ ในบริเวณพื้นที่ตรงนี้ เป็นบ้านของพี่น้องของผม หลังนี้เป็นของพี่สาวคนโต ถัดไปตรงโน้นเป็นพี่สาวคนที่สอง ใกล้บ้านผมที่เป็นกระต๊อบ เป็นบ้านของน้องชายผมลำดับที่ 4 และหลังนี้เป็นบ้านของน้องสาวและที่อยู่ริมธารเป็นบ้านของน้องชายคนเล็กสุด” ต้นไผ่พูด

     “ดีนะอยู่ด้วยกันทั้งตระกูลเลย  คงไม่มีปัญหาความขัดแย้งอะไรกัน” ผมพูด

     “ไม่มีครับ ” 

     “ไม่ต้องเรียกผมว่า ดีเจดีกว่าผมฟังแล้วมันชอบกลน่ะ เรียกผมว่าอาจารย์จะดีกว่าครับ ว่าแต่คุณค้นไผ่ชื่อจริงว่าไง จะได้เรียกถูก”

      “ประสิทธิ์ครับ  ” เขาตอบ

      เมื่อเขาชวนผมเข้าไปในบ้าน ก็เห็นเพื่อนร่วมอาชีพที่ทำงานรับจ้างด้วยกันนั่งอยู่ในวงเหล้าก่อนหน้าแล้ว 

     “นี่อาจารย์ดีเจขลุ่ย  ” ประสิทธิ์แนะนำเพื่อนๆ

     “สวัสดีทุกๆคนครับ” ผมพูด พร้อมยกมือไหว้ทุกคน 

           ในวงสุรามีสมาชิกที่นั่งสามคน หลังจากประสิทธิ์ได้แนะนำชื่อให้แล้ว ผมจึงเข้าไปนั่งล้อมวงสรวลเสเฮฮากันแบบเป็นกันเองไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี เราก็เริ่มสนิทกันจากที่สังเกตแฟนเพลงในวงสุราทุกคน ดูจะเป็นคนที่แนบแน่นและรักใคร่สามัคคีกันดี ในครั้งนี้ผมได้เห็นความจริงใจของแฟนเพลงทั้งหมด 

      “นี่ไข่งูสิง..ครับ  อาจารย์เคยกินหรือเปล่า หากินได้ยากนะ ผมตั้งใจเก็บไว้อาจารย์โดยเฉพาะเลยน่ะ”ประสิทธิ์พูด จากนั้นเขาได้ยื่นไข่งูซึ่งมีลักษณะมนรียาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร   

      “ต้มสุกแล้ว กินได้เลยครับ ” ประสิทธิ์ พูดย้ำ

     ผมหยิบไข่จากมือของประสิทธิ์ที่มีขนาดผลมะปรางแล้วใส่เข้าปาก เมื่อได้สัมผัสกับรสชาติ จึงได้รู้ถึงความแตกต่างจากไข่ไก่อยู่บ้าง ไข่งูสิงที่ผมเปิบครั้งแรกในชีวิตจะมีความมันและอร่อยยิ่งนัก   

              สองชั่วโมงผ่านไป พวกเราคุยกันอย่างถูกคอ  แม้อยากจะนั่งคุยต่ออีกก็จำใจต้องบอกลากลับ

     “โชคดีครับ อาจารย์ วันหน้ามาใหม่.อีกนะครับ”ประสิทธิ์พูด

     “ขอบคุณมาก ครับประสิทธิ์  “ 

                                                      ***********************

           สองสัปดาห์ต่อมา ผมได้รับโทรศัพท์ จากประสิทธิ์แจ้งว่าอยากให้มาร่วมงานศพของหลานชายซึ่งเป็นบุตรของน้องชายคนที่ 4 ที่ชื่อประสงค์ 

    “รบกวนอาจารย์ มางานศพหลานชายผมนะครับ" ประสิทธิ์ พูด

    “ได้ครับ” ผมรีบตอบทันควัน โดยมิลังเล

          ช่วงค่ำที่เป็นวันสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้าย ชาวบ้านที่มาในงาน คะเนด้วยสายตา มีประมาณม 50 คน ซึ่งนับว่าน้อยมากทำให้รู้สึกเห็นใจเจ้าภาพ  

    “น้ำค่ะ” เด็กสาววัย 11 ขวบ มาเสริฟน้ำให้แขกภายในงาน ประสิทธิ์บอกเป็นหลานสาวซึ่งเป็นลูกของน้องชายที่ชื่อประสงค์ 

    “ชื่ออะไรหรือหลานสาว เรียนชั้นไหนแล้วล่ะ”ผมถามกับประสิทธิ์

    “ชื่อหนิง กำลังเรียนชั้น ม.1 ครับเธอเป็นบุตรคนที่ 2 จากพี่น้องสามคน ”

            กระต๊อบหลังเล็กๆแคบๆสำหรับเป็นที่ซุกหัวนอนของครอบครัวคนจนๆที่หาเช้ากินค่ำ นับเป็นครั้งแรกที่ผมมางานศพแล้วรู้สึกสังเวช เพราะศพทารกวัยสามเดือนต้องมาตั้งอยู่นอกบ้านโดยใช้เสาไม้ไผ่ โยงพลาสติกไว้คลุมโลงศพกันน้ำค้างล่วงลงใส่ เดิมตั้งใจจะไปงานศพแค่วันสวดพระอภิธรรม แต่ต้องมาร่วมงานฌาปนกิจจนได้เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพ 

      “ขอเรียนเชิญอาจารย์ ขลุ่ย  บ้านข่อย ถวายผ้าบังสุกุลแด่พระสงฆ์  ” โฆษกในงานประกาศ

         ผมลุกจากเก้าอี้แล้วไปรับผ้าจากเจ้าภาพ จากนั้นจึงนำไปวางด้านหน้าพระซึ่งนั่งอยู่ในพิธีกรรมนั้น  นับแต่นั้นมาผมจะไปๆมาๆที่บ้านของประสิทธิ์อย่างน้อยสัปดาห์ละสามถึงสี่วัน นี่จึงทำให้ผมรู้จักกับเด็กสาวชื่อหนิงตั้งแต่เธอเรียนชั้น ม.1 จนถึง ม.5 หนิงเป็นลูกของประสงค์กับนางจันทรา จากสภาพของครอบครัวของประสงค์ที่ผมมอง ตั้งแต่เริ่มรู้จัก เริ่มรู้สึกหวั่นใจและอดเป็นห่วงหนิงเสียไม่ได้ เพราะเธอเป็นเด็กสาวหน่้าตาดี 

    “พ่อก็เมาทั้งวัน แม่ก็ไม่มีอาชีพ นี่เขาจะส่งเสียให้ลูกสาวเรียนต่อ ได้มากสักเท่าไหร่” ผมคิด

     หนิงมักจะมาแวะที่บ้านลุงของเขา คือประสิทธิ์ ทุกๆค่ำคืนเป็นเพราะเธอสนิทกับลูกพี่ลูกน้องที่เป็นลูกสาวของประสิทธิ์จากที่ผมได้พบกับเด็กสาวคนนี้ ดูเธอจะเป็นเด็กเรียบร้อย มีสัมมาคารวะ 

    “มึงเป็นชู้กับไอ้ประสานเหรอ อีจัน ”ประสงค์ เมาสุราทั้งยังโวยวายลั่นกระต๊อบของเขา

              เมื่อก่อนประสงค์มีรายได้จากการไปเป็นลูกจ้างรับเหมาปลูกสับปะรด แต่ด้วยที่เมาหนัก จนไม่สามารถไปทำงานจึงไม่มีรายได้มาเลี้ยงครอบครัวดังแต่ก่อนเขาจึงเครียด จันทราซึ่งไม่มีเงินใช้จ่ายจึงหยิบยิมน้องเขยมาใช้จ่าย นี่คือสาเหตุที่ทำให้ประสงค์เข้าใจผิดคิดว่าประสานแอบเป็นชู้กับเมียของตน   

    “มึง เป็นชู้กับเมียกูเหรอ ไอ้สันดาน  ”ประสงค์เดินไปยังบ้านของประสานพร้อมด่าเขา อย่างสาดเสียเทเสีย  ประสิทธิ์ ต้องขอร้องให้ผมมาแก้ปัญหาความขัดแย้งและทุกอย่างก็จบลงด้วยการให้ประสานไปเช่าบ้านอยู่ที่อื่น

      ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่น้องคลานตามกันมาแท้ๆจะมาเข้าใจผิดกับเรื่องที่ละเอียดอ่อนของครอบครัวนี่อาจเป็นเพราะประสาน ยังโสดและมีฐานะดีกว่าพี่ชายกระมัง จึงทำให้ประสงค์หึงหวงน้องชาย  ขณะหนิงยังเรียนมัธยมปลาย ครูประจำชั้นต้องมาพบผู้ปกครองเนืองๆ เป็นเพราะหนิงมักจะขาดเรียนและไม่ค่อยเข้าชั้นเรียน เธอมักจะหลบหนีไปเที่ยวในเมืองกับเพื่อนๆ 

        เวลานั้น ผมเข้ามาเป็นวิทยากร ให้โรงเรียนประจำตำบลจึงได้ฝากให้ครูประจำชั้นของหนิงให้ช่วยดูแลเด็กคนนี้ รวมทั้งตัวผมได้เข้าไปตักเตือนหนิงอย่างต่อเนื่องที่บ้านของลุงของเธอที่ผมไปสังสรรค์บ่อยๆ 

      “ตั้งใจเรียนนะ อีกนิดเดียวเองก็จะจบชั้น ม.6 แล้ว ยังไงเดี๋ยวอาจารย์จะฝากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยให้” ผมพูดกับหนิง

     “ค่ะ อาจารย์  ”

         หนิงมาที่บ้านของลุงของเธอทุกวัน  จากที่ผมสังเกตุกิริยาอาการ ดูเหมือนเธอคงมีปมในใจ ที่จะพบพ่อกับแม่ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน บางวันเธอต้องมาบ้านของลุงเพราะในบ้านเลอะเทอะกับสิ่งของที่พ่อทำให้สกปรก เช่นทุ่มไหหน่อไม้ดองที่ดองไว้กิน ปลาร้า เมื่อเห็นแล้วก็อดรู้สึกสงสารหนิงไม่น้อย 

      “หากยังอยู่ในสภาพนี้ สงสัยหนิง ต้องหมดอนาคตแน่ๆ ” ผมพูดกับประสิทธิ์

      “ผมก็ไม่รู้จะตักเตือนน้องชายของผมอย่างไร ขนาดแม่ของผมทั้งเตือนทั้งดุด่าว่ากล่าว มันยังไม่ฟัง เลยสักนิด ”ประสิทธิ์ พูด

       เวลาผมมาที่บ้านของประสิทธิ์ หนิงจะมาคอยให้บริการและเข้ามานั่งคุยด้วยตลอด รูปร่างของเด็กคนนี้บอบบาง ผิวคล้ำ ตาโต สวยเหมือนคนอินเดีย สิ่งที่เธอเคยทำผิดพลาดจากการขาดเรียน หนีเรียน ก็ได้กลับเนื้อกลับตัว มามุ่งด้านการเรียน ผมคาดหวังว่าหากเธอจบ ม.6 ผมอยากให้เธอมาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ผมทำงาน อย่างน้อยหากจบชั้นปวส.ก็ยังพอที่จะหางานเลี้ยงตนเองได้

      “ยังไง มาเรียนต่อ ที่มหาวิทยาลัยที่อาจารย์ทำงานนะ ขยันๆอีกนิด เรื่องในครอบครัวหากมีปัญหามาพักกับลุงประสิทธิ์ ก็ได้ ” ผมพูดแนะนำ

      “ค่ะ  ”

                                                  ************************

      หนิงจบ ม.6 ด้วยเกรดที่ไม่ดีนักแต่ก็ยังจบมาได้ เวลานั้นปิดเทอมแล้วระยะหลังนานๆครั้งๆผมจึงจะได้มีโอกาสไปเที่ยวหาประสิทธิ์ การมาครั้งนี้ก็ต้องได้ข่าวเศร้าเพราะแม่ของหนิงได้หย่าขาดจากพ่อและเธอต้องไปอยู่กับยายที่ต่างอำเภอ พ่อหนิงยิ่งดื่มสุราหนักขึ้นกว่าแต่ก่อน งานการก็ไม่ได้ทำเงินทองก็ไม่มีใช้ หนิงต้องไปอาศัยอยู่กับบ้านเพื่อนๆ ด้วยวัยของเธอที่ต้องคบหาเพื่อนต่างเพศจึงคบค้าเป็นแฟน ผมได้ข่าวครั้งนี้รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก เด็กสาวอายุยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องมามีครอบครัว ทั้งๆที่ยังไม่มีความพร้อมเลยสักนิด ผมไม่พบกับหนิงอีกเลย ..ทั้งยังฝากให้ลุงของเธอช่วยดูแลหลานสาวให้ปลอดภัยจากสิ่งแวดล้อมที่มันชุกชุมเกี่ยวกับยาเสพติด

    “หนิง มันไม่ยุ่งหรอกครับอาจารย์ ผมรู้นิสัยหลานของผม คนนี้ดี ” ประสิทธิ์  พูดอย่างมั่นใจ

     “อย่าประมาท..นะ เชื่อผมสิ ลูกศิษย์ผมไม่รู้กี่คนต่อกี่คน เป็นเหยื่อ เพราะใจอ่อน ” ผมพูด

     “ผมมั่นใจน่ะ  ไอ้หนิงไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน  ” ประสิทธิ์  พูด  อย่างมั่นใจ

                                            * *************************

       ค่ำคืนหนึ่งที่ผมกำลังนั่งสังสรรค์กับประสิทธิ์ ที่โต๊ะข้างบ้านของเขาที่ทำจากเศษไม้จากต้นมะม่วง หนิงได้มากับเพื่อนชายที่เขาเชื่อมั่นว่าจะเป็นคู่ชิวิตของเธอ เธอได้เข้ามทักทายผมและยังแนะนำคนรักให้รู้จักกับผม

      “นี่อาจารย์ขลุ่ย  ดีเจจัดวิทยุมี่มหาวิทยาลัย  ”  หนิงพูดแนะนำ

         ผมไม่ได้พบกับหนิงมาครึ่งปี เวลานี้เธอไม่ได้เรียนและเป็นอิสระเสรี แม้เธอจะพบกับพ่อ ..แต่ก็ไม่ได้ทักทายกันประสงค์ยังเมาเกือนกลิ้งทุกวัน เขาได้เหล้าจากพี่สาวแบ่งปันให้มากิน เพราะกลัวน้องจะลงแดงตาย  แม้ผมจะเคยแนะนำให้ประสงค์ปรับปรุงพฤติกรรม แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ครอบครัวแตกแยกเช่นนี้ ที่น่าเป็นห่วงก็คือลูกสาวของเขา 

         “ไม่รู้ว่าชะตากรรมของหนิง จะไปรอดจากยาเสพติดหรือเปล่า” ผมคิด เพราะดูจากสารรูปของแฟนของหนิงมันขี้ยาชัดๆ  

         ค่ำนี้ ผมดื่มสุราอย่างไร้รสชาติ มองมาที่เด็กสาวพร้อมกับชายตาไปที่ประสงค์พ่อของหนิง ที่ครวญครางหาเมียแบบคนเสียสติ  

        “ตอนที่เธออยู่ ก็เที่ยวอาละวาดทุบตี ทำลายข้าวของ พอเขาจากไปก็มาร้องขอให้เขากลับมาอยู่” พี่สาวคนโตพูด

                                                   *************************

        ผมกลับมาถึงบ้าน ได้เล่าเรื่องราวนี้ให้แม่บ้านฟัง เธอได้แต่ภาวนาขอให้หนิงแคล้วคลาดปลอดภัย ยังไม่ถึงสัปดาห์ดี เมื่อผมกลับไปที่บ้านประสิทธิ์อกครั้งทราบข่าวว่าหนิงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในข้อหาเสพยา และมียาบ้าไว้ในครอบครอง หัวใจผมแทบสลาย รู้สึกสงสารเด็กสาวคนนี้อย่างที่สุด  

         “หนิง เสพยาด้วยหรือ  ” ผมถาม

        “ไม่รู้ครับอาจารย์ ตั้งแต่มันคบกับแฟนคนนี้ เขาให้มันทำอะไร มันก็ทำให้ทุกอย่าง”  ประสิทธิ์พูด 

       “ผมเคยเติอนประสิทธิ์ แล้ว ก็ไม่เชื่อ”

      “หลังๆนานๆหนิงจะแวะมาบ้านผมสักครั้ง” ประสิทธิ์ พูด

      “สงสารน่ะ  ผมไม่รู้จะช่วยอะไรได้แล้ว  ตอนนี้  ”ผมพูด

       “รอขึ้นศาล น่ะ ตอนนี้..ถูกขังที่เรือนจำ กล้าที่จะยอมสารภาพว่า ยาเสพติดเป็นของตนเอง ทั้งๆที่เป็นของผู้ชาย "ประสิทธิ์ พูด

       “ก็เด็กน่ะ เธอไม่ทันเล่ห์เหลี่ยม ไอ้ชายคนเห็นแก่ตัวหรอก ”ผมพูด

                  บ้านแตกครั้งนี้ ..ต้องทำให้เด็กสาวที่ไร้เดียงสา หมดอิสรภาพ และหมดอนาคตลง ไปต่อหน้าต่อตา     

                                                 เหตุการณ์ที่เกิดนี้ จะโทษโคร ??

                                                          ขลุ่ย   บ้านข่อย  

                                                          (๑๑  พย  ๒๕๖๗  )

    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×