สามเสือ ทหารอากาศ - สามเสือ ทหารอากาศ นิยาย สามเสือ ทหารอากาศ : Dek-D.com - Writer

    สามเสือ ทหารอากาศ

    เพื่อนร่วมชั้นมัธยมตอนต้น ชวนกันมาสอบเรียนต่อที่โรงเรียนจ่าอากาศ สองคนเรียนเหล่าสื่อสารอีกคนเรียนเหล่าอุตุนิยมวิทยา คนหลังสุดโชคดีมีโอกาสเรียนต่อ รร.นายเรือฯ นี่จึงพูดได้ว่าแข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้

    ผู้เข้าชมรวม

    14

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    14

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  6 ต.ค. 67 / 13:00 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

                                                        สามเสือทหารอากาศ

               แม้พวกเราจะเรียนในโรงเรียนประจำอำเภอ ที่เสมือนว่าเป็นโรงเรียนใหญ่แล้วก็ตาม  แต่หากเทียบกับอำเภออื่นๆที่สังกัดในจังหวัดปราจีนบุรีในขณะนั้น อำเภออรัญประเทศคงเป็นรองแค่อำเภอเมืองปราจีนฯ การเป็นเด็กในต่างจังหวัดอย่างพวกเราจะว่าไกลปืนเที่ยงก็ไม่เชิง  ศิษย์เก่าที่จบจากโรงเรียนประจำอำเภอของเราที่นี่ สามารถสอบเข้าศึกษาต่อในคณะแพทย์ศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ถึงสี่คน สอบเข้าเรียนในคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์อีกสองคน จบจากโรงเรียนนายร้อยจปร.ห้าคนและจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานอีก สิบคน นับว่าทุกคนได้มาช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงให้กับสถานศึกษาได้ในระดับหนึ่ง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คนเหล่านี้ที่เป็นส่วนน้อยได้กลับมารับใช้บ้านเกิดเมืองนอน

                                                                   *********************

     หลังจากสอบปลายภาคระดับชั้นมศ.3 เสร็จ พวกเราต่างไปรับเอกสาร (ใบสุทธิ)ที่แผนกทะเบียน ของโรงเรียนเพื่อใช้นำไปเป็นหลักฐานไปสมัครเรียนต่อ วันนี้เป็นวันที่เพื่อนๆนักเรียนชั้นมศ.3 ที่เคยเรียนร่วมชั้นกันมา ต่างรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย เพราะเป็นวันที่พวกเราจะต้องแยกย้ายกันไปตามแนวทางที่ตนฝันและอยากจะไปเรียน คนที่เรียนเก่งที่สุดของรุ่นผมมี 3 คน กลุ่มนักเรียนชายมีพิสิษฐ์ สอบได้เปอร์เซ็นต์ 92 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือชำนาญสอบได้ 91 เปอร์เซ็นต์ สำหรับนักเรียนหญิงมีบุญทวีสอบได้ 90 เปอร์เซ็นต์ ชื่อที่กล่าวมาข้างต้น นับเป็นความหวัง ที่จะสร้างชื่อเสียงให้ทางโรงเรียนเหมือนรุ่นพี่ๆที่จะไปสมัครสอบเข้าเรียนต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้น 

       พูดได้ว่า.สมัยที่ผมเรียน ไม่มีครูที่จะคอยแนะแนวให้เด็กนักเรียนได้รู้ถึงแนวทางที่จะสอบเข้าเรียนต่อเหมือนโรงเรียนในบางจังหวัดหรือในกรุงเทพ นักเรียนทุกคนจะสอบถามและขวยขวายเรียนรู้ด้วยตนเองทั้งสิ้น ใครมีจุดมุ่งหมาย มีความชอบอย่างใดก็จะชวนกันไปเป็นหมู่ น้อยคนที่จะมีประสบการณ์ในการเข้าไปในเมืองหลวง    จึงต้องพึ่งพากันเอง ใครที่มีญาติอยู่ในกรุง เพื่อนๆที่ไปด้วย ก็ขออาศัยอยู่ด้วยชั่วคราว  สำหรับคนที่มีจุดมุ่งหมายที่ไปเรียนโรงเรียนจ่าอากาศต่างไปสมัครและเมื่อประกาศผลมีคนเดียวที่ไม่ผ่านคือสมศักดิ์ เนื่องจากไม่ผ่านคุณสมบัติในการรับเข้ามาเรียน เนื่องจากเป็นตาบอดสี      

    “เป็นไง?? บ้างเพื่อน ไปสอบที่โรงเรียนจ่าอากาศ..มา ”  ผมสอบถามสมศักดิ์  

      “สอบผ่านทฤษฎีกันทุกคน แต่ช่วงตรวจสุขภาพ มีเราเพียงคนเดียว ที่สอบไม่ผ่าน ”สมศักดิ์ตอบ

      “แล้วทำไงต่อไป ล่ะ”

      “ว่าจะไปสมัครสอบเรียนที่วิทยาลัยครู น่ะ” สมศักดิ์ พูด

       จากที่ฟังคำตอบจากเพื่อนคนนี้ ดูเหมือนเขาค่อนข้างผิดหวังกับที่เขามาสอบตกเรื่องการตรวจสุขภาพ ทั้งๆที่ตัวเขาสามารถมองสีต่างๆได้เหมือนบุคคลสายตาปกติทั่วไป  สมศักดิ์ ได้สมัครสอบเรียนที่วิทยาลัยครูธนบุรีได้ และต่อยอดการศึกษาจนจบปริญญาตรีที่วิทยาลัยครูประสานมิตร  

         สมศักดิ์ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนชั้นเดียวกันกับผมมาตั้งแต่ป.3 -จนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น บ้านเช่าของเขา อยู่บนถนนสายเดียวกันกับผมแต่อยู่กันคนละฝั่งถนน   ห้องแถวที่บ้านผมพักอาศัยเป็นเลขคู่ ส่วนบ้านของเขาเป็นเลขคี่ สมศักดิ์จะมีรูปร่างใหญ่และสูงกว่าผม เขาเป็นพี่คนโตของครอบครัว ผมกับเขาไม่ค่อยจะได้คุยและเล่นด้วยกันมากนัก แม้เราจะเรียนห้องเดียวกัน ซึ่งผมก็หาสาเหตุไม่ได้  ส่วนใหญ่ผมมักจะเล่นกับน้องชายของเขา ที่มีรูปร่างพอฟัดพอเหวี่ยง  

                                                     ********************

        ทั้งสามคนที่สอบเรียนที่โรงเรียนจ่าอากาศ ได้เข้าเรียนในหลักสูตรที่ตนชอบ วัฒนะ กับพรชัย เลือกเรียนเหล่าสื่อสาร วันชัยเลือกเรียน สื่อสารบนเรื่องบิน   พรชัยเลือกเรียนสื่อสารเรดาร์     สายการเรียนสื่อสารการนั้นค่อนข้างยาก ส่วนวัฒนะเลือกเรียนเหล่าอุตุนิยมวิทยา เมื่อทุกคนเรียนจบหลักสูตรแล้ว  ระยะแรก วันชัยได้บรรจุรับราชการที่กองทัพอากาศดอนเมือง เขาไปดูงานเกี่ยวกับสื่อสารที่อเมริกา 1 เดือน นับเป็นโอกาสอันดีที่ทหารยศต่ำกว่าสัญญาบัตร ได้เปิดหูเปิดตา กับประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางการทหารและเทคโนโลยี   ชีวิตความก้าวหน้าของเขา ค่อยเป็นค่อยไปไม่หวือหวา เหมือนเพื่อนร่วมชั้นมัธยมต้นอีกสองคน  พรชัย ทำงานภายในกองทัพอากาศที่ดอนเมืองเช่นกัน แต่คนละสังกัด แมัทั้งคู่จะอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่กลับไม่เคยพบกันแม้แต่ครั้งเดียว เพื่อความก้าวหน้าในวิชาชีพวันชัยได้ย้ายตัวเองไปสังกัดที่จังหวัดอุบลราชธานี และมีครอบครัวกับสาวเมืองอุบล อยู่กินได้ไม่นานเขาก็เสียชีวิตลง    

      วัฒนะ สอบได้เป็นที่หนึ่งของเหล่าอุตุนิยมวิทยา เขาจึงมีโอกาสได้เข้าเรียนต่อในโรงเรียนนายเรืออากาศจนจบหลักสูตร วิถึชีวิตและหน้าที่การงาน จึงมีความแตกต่างกับเพื่อนร่วมรุ่นที่เคยไปสมัครเรียนด้วยกันมาตั้งแต่จบชั้นมัธยมต้นมาใหม่ๆ  ภาษิตโบราณว่าไว้คือ การแข่งเรือแข่งพายนั้น สามารถแข่งกันได้  แต่แช่งบุญวาสนานั้นแข่งไม่ได้  ”   วัฒนะเรียบจบแล้วได้ประดับยศ เรืออากาศตรี ขณะทำงานได้ทุ่มเท ขยัน จนเป็นที่รักของผู้บังคับบัญชา 

      “ผมคิดว่า ผมต้องการที่จะลาศึกษาต่อในระดับปริญญาครับ  ”วัฒนะ พูดกับผู้บังคับบัญชา 

       “เอาสิ  ผมเห็นว่่าวัฒน์ เป็นคนหนุ่มที่มีความตั้งใจ มีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานดี  อีกอย่างกองทัพอากาศก็มีนโยบายที่จะสนับสนุนบุคลากรในหน่วยงานให้มีโอกาสไปศึกษาในระดับที่สูงขึ้น ”

      “งั้นปีการศึกษาหน้านี้ ผมจะขออนุญาตลาไปเรียนเลย นะครับ”วัฒนะ พูด

       “ทำเรื่องผ่านผู้บังคับบัญชา แต่ละระดับชั้นขึ้นมาก็แล้วกัน  ยังไง?? ผมจะบอกให้ทุกคนรับทราบว่า ผมพร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้วัฒนะ ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท” ผู้บังคับชาพูด

      “ครับผม ” วัฒนะ พูด

       ช่วงที่วัฒนะ ทำงานที่กองทัพอากาศ นานๆ ครั้ง เขาจึงจะมีโอกาสกลับไปยังภูมิลำเนา เพื่อเยี่ยมพ่อกับแม่และพี่สาว เวลานั้นผมเพิ่งเรียนจบชั้นปริญญาตรีใหม่ๆ  และเป็นครั้งเดียวที่ผมได้พบกับเขาโดยบังเอิญ

                                             ********************* 

    “แม่… เดี๋ยวผมจะไปเที่ยวหาเพื่อน หน่อยนะ สักครึ่งชั่วโมง ก็คงจะกลับ นะครับ”  ผมพูด

       ผมจูงจักรยานออกจากบ้่าน เพื่อลงท้องถนน จริงๆ ที่บ้านของผมก็มีรถจักรยานยนต์ แต่คิดว่า ระยะทางจากบ้านผมไปบ้านเพื่อนทั้งสามคนไม่ได้ไกลมากนัก    

    “อย่ากลับบ้านค่ำมากนัก นะ ลูก  เดี๋ยวจะได้กินข้าวเย็นด้วยกัน ”  แม่ผมพูด

    “ครับแม่  ” ผมตอบ

        เมื่อผมขึ้นค่อมและนั่งบนอานรถ ได้ใช้มือจับแฮนด์แล้วจึงใช้เท้าค่อยๆปั่นให้รถเคลื่อนตัวออกไป  พอถึงหัวมุม ตรงทางเข้าในตรอกชาตะสิงห์ ผมจึงเลี้ยวรถ เพื่อจะแวะหาเพื่อน เกือบทุกครั้งที่ผมแวะหาวัฒนะจะต้องผิดหวังไปเสียทุกครั้ง เพราะผมกับเขา ไม่เคยได้กลับมาบ้านในช่วงจังหวะเวลาเดียวกัน  ในวันนี้ ช่วงจังหวะที่ผมผ่านหน้าบ้านของวัฒนะ ได้มองเข้าไปภายในบ้านของเขา  คิดไว้ว่า หากไม่เจอตัวเขา .แต่เจอแม่กับพี่สาวของเขา ก็จะได้ถือโอกาสแวะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ในฐานะคนคุ้นเคยกัน

      “เห็นแว๊บๆ นั่น คงเป็นพี่สุนีย์ .นะ” ผมคิดในใจ

        ผมหยุดรถลงทันที แล้วจอดตรงบริเวณหัวบันไดบ้าน     

      “มีใครอยู่ มั้ยครับ   ”  ผมตะโกนออกไป

       ไม่ถึง15 วินาที พี่สาวของวัฒนะ ก็ปรากฎตัวให้เห็น ทั้งทักทายกลับมา

       “เอ้าน้อง ..ลงมาจากกรุงเทพ มานานแล้วหรือ”  พี่สุนีย์ พูด

      “สองวันแล้วครับ พี่นีย์ ..  เจ้าวัฒน์  กลับมาบ้านบ้างมั้ยครับ ผมมาหามันทีไร ไม่เคยเจอเลย”ผมพูด

      “เขามาวันสองวัน ก็กลับละ เป็นอย่างนี้ทุกที นี่เขาว่าจะขอเรียนต่อระดับปริญญาโทอยู่  ” พี่สุนีย์พูด

     “วัฒน์ เขาขยัน อนาคตคงไปได้ไกล  เพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนทหารอากาศ กับเขาอย่างวันชัยกับพรชัย ต่างก็แยกย้ายไปทำงานกันคนละแห่ง  ”ผมพูด

    “ยังไง ถ้าคราวหน้าเจ้าวัฒน์กลับมาบ้าน บอกด้วยว่า ผมฝากความคิดถึง  ”

    “ได้จ๊ะน้อง  แล้วนี่ จะไปไหนต่ออีก ” พี่สุนีย์ พูด

     “แวะหาเจ้าแอ๊ว  ” ผมพูด

     “แอ๊ว เขาไม่ค่อยได้ไปไหนหรอก ต้องอยู่บ้าน อย่างแน่นอน ”  พี่สุนีย์พูด 

       เธอให้ความมั่นใจว่า เพื่อนของน้องชายที่มีบ้านห่างจากนี้ไปไม่ไกลคงจะไม่ไปไหน  ผมคุยกับพี่สาวของเพื่อนอีกสักครู่จึงขอตัว

      “พ่อกับแม่คงสบายดีนะครับ  ” ผมพูด

      “ก็มีเจ็บไข้ได้ป่วย บ้างตามประสาคนสูงวัย  ”พี่สุนีย์พูด

      “มาอรัญทุกครั้ง  ผมอยากกินข้าวต้มมัด ที่แม่ของพี่ทำขาย  แม่ทำอร่อยมากเลย ผมซื้อกินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่า” ผมหยอดคำชมให้แม่ของพี่สุนีย์

     “ ปากหวาน  ”พี่สุนีย์พูด

    “จริงครับพี่  ผมขอตัวก่อนนะครับ”

                                                     ************************

       ผมแวะหาพินิจเมื่อมองเข้าไปในบ้านเห็นเงียบๆ และรถที่เคยจอดไว้ไม่อยู่ ผมจึงมั่นใจว่า เขาคงไม่อยู่บ้าน  คิดว่า ไว้มีโอกาสจะแวะไปหาเขาใหม่  ผมกลับเข้ามาบ้านเช้ากว่าปกติ จนแม่สงสัยจึงต้องถาม

    “เป็นไงเหรอ กลับเข้ามาบ้านเร็ว ไม่เจอเพื่อนหรือ”แม่พูด

     “ ครับแม่  ผมคงแวะไปหาเขาภายหลังอีกครั้ง  สงสัยคงไปนากุ้ง ที่แปดดริ้วแน่ ”ผมพูด

       ช่วงปิดเทอม ผมจะแวะมาเยี่ยมที่บ้านประมาณหนึ่งสัปดาห์ หรือบางครั้งไม่เกินสามวัน  พูดได้ว่าทุกครั้งที่แวะหาวัฒนะ ไม่เคยเจอเขาแม้แต่ครั้งเดียว การสื่อสารของผมกับวัฒนะ ทำได้เพียงผ่านคนกลาง คือพี่สาวของวัฒนะ ด้วยการฝากบอกด้วยวาจา

        “ผมอยากได้ที่อยู่ ที่วัฒน์ ทำงานน่ะพี่ เผื่อมีอะไรจะได้คุยกันทางจดหมาย  ”  ผมพูด

        “นี่จ๊ะ  นามบัตรของวัฒน์  ” พี่สุนีย์พูด   พลางเธอหยิบในกระเป๋าเงินส่วนตัวส่งให้ผม 

      “ขอบคุณครับพี่”  ผมพูด  

                                                   เวลาผ่านไป….

      ผมมาทราบข่าวว่าวัฒนะ เวลานั้นมีชั้นยศเป็นเรืออากาศเอก และสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกแล้ว สำหรับเพื่อนอีกสองคน คือพรชัยกับวันชัย(อ๊อด)  ผมมิทราบข่าวคราวของเขาแม้แต่น้อย  ยังเข้าใจว่าทั้งคู่คงมีหน้าที่การงานและครอบครัวที่ดี  และช่วงปลายปีของปีหนึ่ง ที่ผมค่อนข้างประหลาดใจ ที่มีจดหมายจ่าหน้าถึงผม และแน่นอนว่าสิ่งที่อยู่ในซอง คือ ส.ค.ส.  

    “ส.คส.ครับ อาจารย์  ” เจ้าหน้าที่ พูดขึ้น 

    ผมรับซองจดหมาย ซึ่งมีความใหญ่กว่าซองจดหมายทั่วไป เมื่อหยิบดูได้เห็นโลโก้ด้านบนเป็นรูปเครื่องบิน พร้อมมีอักษรเขียนว่า สถาบันการบินพลเรือน หลังจากคลี่ซองและเปิดหยิบโปสการ์ดสคส. จึง ทราบว่าผู้ส่งคือเพื่อนเก่า ที่เคยเรียนด้วยกันมา  

    “สุดยอดเลยเพื่อน  นี่ทำเซอร์ไพร์ท เราเลยเนี่ยะ” ผมคิด

    ผมรุู้สึกประทับใจ ที่เขายังอุตส่าห์นึกถึงเพื่อนเก่า  ไม่รอช้า ผมก็นำโปสการ์ดที่ผมซื้อมา เตรียมผนึกส่งอวยพรไปให้เขา กับเพื่อนๆ และครูบาอาจารย์ที่เคยสอนผมมา ซึ่งผมจะทำเป็นประจำทุกๆ ปี   แทบทุกปีก็ว่าได้ที่วัฒนะจะส่ง ส.ค.ส มาให้ผม บางปีผมก็ส่งไปให้เขาก่อน ดูเหมือนในกลุ่มเพื่อนๆผมส่งไปให้เพียงไม่กี่คน เป็นเพราะผมไม่มีที่อยู่พวกเขานั่นเอง ที่ดูจะมีความภูมิใจในตัวเขาคือช่วงลงท้ายชื่อของเขา  ที่ได้ใส่ชื่อยศตำแหน่งไว้

         “ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นต วัฒนะ…………” ตำแหน่ง  รองผู้ว่าการ การบินพลเรือน 

                                      ( เท่ห์ไม่เบาเลยเพื่อนเราคนนี้)  ผมคิด   

                                         *****************************

    “วัฒน์เขามีภริยา เป็นพยาบาล ที่โรงพยาบาลภูมิพล  มีลูกสาวคนนึงน่ะ น้อง ”  พี่สุนีย์พูด

    “อ้อ ..ครับ อนาคตของเพื่อนผมคนนี้ คงไปไกล  ”ผมพูด

    “บญพา วาสนาของเขา  พี่ก็ดีใจไปกับน้องชาย” พี่สุนีย์พูด

    “ผมคิดอยู่แล้วเชียวว่าเพือนของผมคนนี้ ต้องมีอนาคตไกล  ” ผมพูด

         ผมได้คุยกับพี่สุนีย์ ก่อนที่ผมจะเกษียณอายุราชการไม่กี่ปี  แม้ผมจะไม่พบกับเพื่อนเลยสักครั้ง แต่ก็ยังหวังที่จะได้พบกับเขาในโอกาสหลังเกษียณอายุ เพราะเราต่างหมดภาระหน้ากันแล้ว  ผมยังกังขาอยู่ว่า ที่หน้าซองจดหมายพิมพ์คำว่า “สถาบันการพิมพ์พลเรือน ” พยายามสืบค้นข้อมูลก็ทราบว่า หน่วยงานนี้เป็นรัฐวิสาหกิจ นั่นแสดงว่า วัฒนะ น่าจะโอนย้ายมาทำงานที่นี่  

          ในวันหนึ่งที่ผมนำการ์ด ส.ค.ส ของเพื่อนมาอ่านอีกครั้ง  ได้พบเห็นหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ที่เขาให้ไว้ ผมจึงลองโทรไป คิดว่าถ้าโชคดี เราคงจะได้คุยกัน เมื่อกดหมายเลขออกไปแล้ว มิได้คาดหวังอะไรมากนัก ประมาณ 30 วินาทีปลายทางก็ได้รับสายขึ้น

      “สวัสดีครับผม วัฒนะ  ”วัฒนะพูด

      “สวัสดีครับผม”  ผมพูด แต่มิได้บอกชื่อ ออกไป

      “โทษครับ คุณชื่ออะไร  ”วัฒนะ ถาม

      “จำเราไม่ได้ เหรอเพื่อน สมัยเรียนมัธยม นายเคยชวนเรา มาสมัครสอบโรงเรียน จ่าอากาศ ”

      “อ้อ.. จำได้แล้ว  ”วัฒนะพูด

     “เป็นไงเพื่อน สุขสบายดี ได้ตำแหน่งผู้ว่าการหรือยัง  ”ผมพูด

    “ไม่หรอก  แค่นี้เราก็พอใจแล้ว ล่ะ”

     เพียงช่วงเรียนั้น มศ.3 ที่ผมเริ่มสนิทกับเขามากขึ้น ได้รู้ถึงนิสัยใจคอเพื่อนคนนี้ อย่างลึกซึ้ง การมีหน้าตาหล่อ หุ่นสมาร์ท เรียนเก่ง พูดน้อย สุภาพ ขยัน  จึงทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต หลังเกษียณอายุแล้ว วัฒนะ ได้เข้าหุ้นกับเพื่อนๆ ที่เคยทำงานในกองบินพลเรือนมาเปิดสถาบันการศึกษา เพื่อผลิตบุคลากรป้อนกับบริษัทการบินทั้งในและนอกประเทศ  ความก้าวหน้าเทคโนโลยีสื่อสารยุคใหม่ ทำให้ผมกับเขาได้มีโอกาสสิื่อสารกันมากขึ้น เราจึงป็นเพื่อนกันทางไลน์ 

     “เรามาเปิดสถาบันการสอน แถวประชาชื่น ซื้อที่ดินไว้ 10 กว่าไร่ เราเข้าหุ้นกับเพื่อนๆน่ะ ตัวเองคิดว่ายังมีสติปัญญาและกำลังกายที่จะช่วยพัฒนาการศึกษาทางด้านนี้  เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานใด มีหลักสูตรอย่างนี้” วัฒนะพูด

    “ดีมากเลยเพื่อน  ตอนนี้เราเกษียณ หากมีอะไรจะให้ช่วยด้านการเรียนการสอนได้ ก็ยินดีนะ ” ผมพูด  

    “นายเรียน จบด้านไหน มา”

    “บริหารธุรกิจ และรัฐประศาสนศาตร์จากนิด้า  ”

    “ไว้รอก่อนเพื่อน เราจะเปิดหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ ภายหลัง เป็นไงบ้างตอนนี้”

    “อยู่บ้านเขียนหนังสือ ทำสวนแบบพอเพียง”ผมพูด

    “น่าอิจฉาว่ะ เพื่อน  มีลูกกี่คน ทำงานหรือยัง”

    “สองสาว ทำงานคนนึง อีกคนกำลังจะจบดอกเตอร์ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยเพื่อน เผื่อที่สถาบันนายมีหลักสูตรไหนพอจะรับบุคลากรได้ อยากฝากลูกสาวเข้าร่วมพิจารณาด้วย”

    “ได้สิเพื่อน ”

    “แล้วครอบครัวนายล่ะ”

    “แฟนเราเป็นพยาบาล ตอนนี้ไปอยู่กับลูกสาวที่อเมริกา  เขาไปมีครอบครัวกับคนไทย”

    “เพลาๆ บ้างนะเพื่อน เป็นช่วงที่เราเกษียณอายุแล้ว  นี่ทางเพื่อนๆ ช่วงเรียนมัธยมต้น เขาจัดงานพบปะสังสรรค์กันทุกปี เราเพิ่งไปได้ปีที่แล้ว  ปีนี้เขาจะจัดที่นครนายก เราอยากชวนนายมาร่วมงานด้วย เห็นเพื่อนๆ อยากเจอนาย เขาบอกว่าไม่เคยเจอนายเลยตั้งแต่จบชั้นมศ.3  มาร่วมงานนะเพื่อน”

    “งานเรายุ่งมาก  เราเป็นผู้บริหารและต้องสอนด้วย ไม่มีวันหยุดน่ะ ใจจริงเราอยากมาร่วมงานน่ะ  แต่จัดที่อรัญฯ  มันไกล กว่าจะขับรถไปกลับหลายชั่วโมงเลย  ขอคิดดูก่อนนะ  ถ้าจัดงานที่นครนายกเราไปได้ แต่คงไม่พักค้างคืน เสร็จงานก็จะขับรกลับกรุงเทพเลย"

     ”ไม่รบกวนเวลาแล้ว เพื่อน ยังไงมาให้ได้นะ" 

     “โอเค เพื่อน เราอยากจะมาและอยากพบเหมือนกัน” 

                                      ***************************

        จากที่แผนงานของกรรมการจัดงานสังสรรค์ เคยตั้งใจว่าจะจัดเลี้ยงที่นครนายก ต้องล้มเลิกไป เพราะปัญหาอุปสรรคหลายประการ  งานนี้จึงต้องจัดเลี้ยงกันที่บ้านของเพื่อน ที่มีพื้นที่กว้่างขวางพอสมควร  วัฒนะจึงมิอาจมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ได้ 

         “น่าเสียดายว่ะ  ไอ้วัฒน์มาไม่ได้ เพราะเราเปลี่ยนสถานที่จัดงาน หากเป็นนครนายกดังเดิม เขาต้องมาได้แน่นอน เพราะเราคุยกันไว้แล้ว ” ผมพูดกับเพื่อนๆ ที่มาในงานสังสรรค์ 

          ทุกๆ เช้าในไลน์ ระหว่างผมกับเขาจะทักทายกันไม่เคยขาด  แม้เราจะไม่ได้พบกันตัวเป็นๆ แต่เราสามารถมองเห็นหน้ากันและกันในโทรศัพท์  ได้ 

      “ยังหนุ่มฟ้อเลยนะเพื่อน ”ผมทักทายไป

     “นายก็ไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ หากเจอกันในกรุงเทพ อาจต้องหยุดนึกสักพัก”

      มิตรภาพของผมยิ่งแนบแน่น บางครั้งที่วัฒนะคิดถึง ก็โทรศัพท์มาหา แบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาผมถึงกับงง  สี่เดือนที่ผ่านมานี้ ผมค่อนข้างสงสัย ว่าทำไมผมทักทายไปหาเขาทุกวันเขากลับไม่โต้ตอบอะไรกลับมาเลย ซึ่งมันผิดวิสัยของเขาที่เป็นคนจริงใจ

      “ใช่ วัฒน์ เคยบอกกับผมว่า จะไปอเมริกา สักพัก  เพื่อเยี่ยมลูกกับเมีย เขาคงไม่ว่างจริง” ผมคิด 

      ผมไม่เคยคิดโกรธเพื่อน ที่ไม่ได้ทักทาย แม้มีเพื่อนในไลน์บางคน เคยตำหนิเขาว่า เป็นคนไม่เอาเพื่อนเอาฝูง  ผมก็ยังมีความเข้าใจในตัวเขา   

                                                     ****************** 

        เช้าวันหนึ่ง ที่ผมเข้าในไลน์กลุ่ม ได้อ่านเจอข้อความว่า  “ตอนนี้วัฒนะป่วย เป็นมะเร็งในปอดระยะสุดท้าย "

      “เป็นไปได้ไง  ก็ไอ้วัฒน์ มันไม่สูบบุหรี่และดื่มเหล้า”  ผมคิด  

      “อ้อ อย่างนี้ นี่เองที่เขาไม่ทักทายมาหาเรา  ”ผมคิด

          สองสัปดาห์ ที่วัฒนะเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ท่ามกลางความห่วงใยของเพื่อนๆ  ที่ได้ส่งตัวแทนไปเยี่ยม  แต่วัฒน์หาได้รู้สึกตอบสนองกับเพื่อนๆไม่  นับเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง .. สุดท้ายต่อมา วัฒนะก็จากไปอย่างสงบ   ท่ามกลางความโศกเศร้าของครอบครัว เพื่อนร่วมรุ่น และผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งอดีตและปัจจุบัน 

           สามเสืออากาศสิ้นไปแล้วสองคน คงเหลือพรชัย...เพียงหนึ่งเดียว ที่ยังต้องสู้กับโรคร้ายที่เขาเพิ่งทราบ    

                             “อโรคยาปรมา ลาภา  ผู้ไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ  “

                                                     ขลุ่ย  บ้านข่อย

                                                   (๖ ตุลาคม  ๖๗)

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×